หัวข้อ: พิธีสงกรานต์ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 11 เมษายน 2568 17:45:29 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/47831914366947_sk2_Copy_.jpg) พิธีสงกรานต์ พิธีสงกรานต์ คือการกำหนดปีใหม่ของไทยเป็นสองขยัก คือเดือนห้าขึ้นค่ำหนึ่งนับว่าเป็นปีใหม่ เพราะเปลี่ยนชื่อปีตามสิบสองนักษัตร คือ ชวด ฉลู ขาล เถาะ แต่ยังไม่เปลี่ยนศก คือ ท้ายศักราชเพราะศักราชนั้นยังไม่ได้ขึ้นปีด้วยตามวิธีโหร ให้นับตามการโคจรของพระอาทิตย์ ถ้าพระอาทิตย์ยกขึ้นราศีเมษเมื่อใด จึงจะขึ้นศักราชในวันเถลิงศก ในระหว่างที่ยังไม่ได้ขึ้นศักราชใหม่จึงต้องใช้ปีใหม่แต่ต้องจดหมายว่ายังเป็นศกเก่าอยู่ วิธีนับปีมีชื่อสิบสองปีนี้เป็นของคนโบราณ การกำหนดเรื่องเปลี่ยนปี ตามพระราชาธิบายของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไว้ในคำประกาศใจความว่า “ด้วยแรกที่จะกำหนดปีนี้โบราณคิดเห็นว่าฤดูหนาวเป็นเวลาพ้นจากมืดฝนสว่างขึ้นเปรียบเหมือนเวลาเช้า คนโบราณจึงคิดเห็นว่าฤดูเหมันต์คือฤดูหนาวเป็นต้นปี ฤดูร้อนเป็นเวลาสว่างร้อนเหมือนกลางวันจึงได้คิดว่าเป็นกลางปี ฤดูฝนเป็นเวลามืดคลุ้มโดยมาก และฝนพร่ำเที่ยวไปไหนไม่ใคร่ได้จึงดีคิดเห็นเป็นเหมือนกลางคืน คนทั้งปวงเป็นอันมากถือว่าเวลาเช้าเป็นต้นวัน กลางคืนเป็นปลายวันฉันใดนับเวลาเริ่มปีได้ คนโบราณก็คิดเห็นว่าฤดูเหมันต์คือฤดูหนาวเป็นต้นปี ฤดูคิมหันต์คือฤดูร้อนนับเป็นกลางปี ฤดูวัสสานคือฤดูฝนเป็นปลายปี เพราะเหตุนี้จึงได้นับชื่อเดือนหนึ่งมาแต่เดือนอ้าย ต่อเมื่อมีผู้ตั้งศักราชขึ้นใช้ จึงเป็นเหตุที่จะเริ่มตั้งศักราช เช่นพระพุทธศักราช นับตั้งแต่วันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ต้องไปตั้งสงกรานต์เอาในวันวิศาขบุรณมี ซึ่งเป็นเหมือนอย่างกับนับเป็นเดือนหนึ่งขึ้นใหม่ การพระราชกุศลก่อพระทรายแลตีเข้าบิณฑ์ เรื่องสงกรานต์นี้ในหนังสือนพมาศกล่าวไว้ว่า เมื่อถึงกำหนดพระสุริยเทพบุตรเสด็จโคจรจากราศีมิน ประเวศขึ้นสู่ราษีเมศ สมมติว่าเป็นวันสงกรานต์ พระบรมวงษานุวงษ์ และข้าราชการถวายบังคมถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจา แล้วก็พระราชทานเบี้ยหวัดผ้าปี แด่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายน่าฝ่ายในทั้งปวง ไม่เห็นพูดถึงการพระราชกุศลอันใด จึงยกเอาการถือน้ำแจกเบี้ยหวัดเป็นส่วนของราชการมาใช้ในการกำหนดวันเปลี่ยนปีใหม่ ส่วนในกฎมณเฑียรบาลมิได้กล่าวถึง มาถึงในสมัยกรุงทวารวดี ในจดหมายขุนหลวงหาวัดได้กล่าวว่า มีการทรงสนานแล้วสรงน้ำพระไชยและพระไสยสาตร มีการนิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะสรงน้ำพุ ฉันถวายไทยธรรมสามวัน ก่อพระวาลุกาเจดีย์พระศรีสรรเพชญองค์หนึ่ง พระทรายเตียงองค์หนึ่ง วัดกุฎีดาวองค์หนึ่ง พระทรายน้ำไหลเพนียดองค์หนึ่ง พระสงฆ์ฉันถวายไทยธรรม ตั้งศาลาฉทาน ๖ ตำบล ๆ ละสามวัน ตลาดยอดแห่งหนึ่ง วัดสุมงคลบพิตรแห่งหนึ่ง แตลงแกงแห่งหนึ่ง สะพานช้างแห่งหนึ่ง ศาลาดินแห่งหนึ่ง สะพานสกูลแห่งหนึ่ง เลี้ยงพระสงฆ์คฤหัสถ์ มีข้าวและกับข้าวของกิน หมากพลู มีทั้งน้ำอบ น้ำกิน แป้งน้ำมันหวีกระจก มีช่างตัดผม หมอนวด หมอยา ทั้ง ๖ ตำบลว่ากลม ๆ แปลกกับที่กรุงเทพฯ ก็ที่พระเจดีย์ทรายก่อแต่เฉพาะสี่องค์ ในสี่องค์นั้นพระทรายวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ พระทรายเตียงยก พระทรายน้ำไหล คงเป็นของเก่า แต่พระทรายวัดกุฏีดาวเป็นของเกิดขึ้นใหม่ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ การก่อพระทรายกรุงเก่ากับที่กรุงเทพฯ นี้ ความประสงค์เห็นจะไม่ตรงกัน เรื่องต้นเหตุที่ก่อเกิดพระทรายในเวลาสงกรานต์นี้ เล่ากันว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงเรือขนาน ชนทั้งปวงพากันก่อพระทรายที่ข้างลำน้ำ แลก่อในแพลอยเป็นเครื่องบูชา เมื่อให้ไปค้นเอาความจริงกับไม่มีข้อความเรื่องพระทราย แต่เป็นนิทานที่เล่าต่อกันมา แต่พระทรายสี่อย่างซึ่งมีปรากฏในจดหมายขุนหลวงหาวัด พระทราย ๒ อย่าง คือ พระทรายวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระราชวัง เมื่อมีการก่อสร้างอันใดก็จะโปรดให้ก่อพระทรายทุกคราว และอีกอย่างคือพระทรายวัดกฎีดาว เข้าบิณฑ์หรือข้าวบิณฑ์ คือ การบาตรพระพุทธเจ้า ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระพุทธเจ้า จึงมีการถวายข้าวพระต่าง ๆ เหมือนการเซ่นไหว้พระพุทธเจ้า จะได้รับเครื่องบูชาคล้ายการทำบายศรีสมโภช การสมโภชนี้ตามกฎมณเฑียรบาลนี้เรียกว่า “สมโภชเลี้ยงลูกขุน” เครื่องที่ใช้ในการสมโภช ล้วนเป็นของบริโภค เช่น บายศรีแก้ว บายศรีทอง บายศรีเงิน การเรื่องข้าวบิณฑ์ก็จะเป็นเรื่องสมโภชพระพุทธรูปและพระทรายเหมือนอย่างบายศรี การสรงมุรธาภิเษก เป็นธรรมเนียมมีมาแต่โบราณสำหรับพระเจ้าแผ่นดินสรงในวันเถลิงศกปฏิบัติสืบมามิได้ขาด ตั้งการสวดมนต์พระปริตรในการสรงมุรธาภิเษกวันเถลิงศกบนพระที่นั่งดุสิตาภิรมย์ มีเครื่องตั้งคือตั้งโต๊ะหมู่สูงวางพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรและพระชัยเนาวโลห พร้อมเครื่องนมัสการตระบะถมฉันเวรสำหรับหนึ่ง พระสงฆ์ที่สวดมนต์มีพระครูปริตรไทย ๔ รูป พระรามัญ ๔ รูป ไม่มีพระราชาคณะนำ เพราะไม่มีการเสด็จออก จึงทำการสวดสามวัน คือวันสงกรานต์วันหนึ่ง วันเนาวันหนึ่ง ถ้าปีใดสงกรานต์ ๔ วัน ก็เลื่อนไปตั้งสวดต่อในวันมหาสงกรานต์และยามค่ำสวดมนต์พร้อมสรงน้ำพระ ในพระบรมมหาราชวัง การสรงมุรธาภิเษกสงกรานต์นี้ เป็นของพระเจ้าแผ่นดินที่จะสรงสำหรับบ้านเมือง มิใช่สรงอย่างพระหรืออย่างคนแก่รดน้ำ การพระราชทานรดน้ำสงกรานต์ สมัยก่อนพระเจ้าแผ่นดินสรงน้ำเฉพาะพระพุทธรูปและพระสงฆ์ ครั้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกสรงน้ำพระมหามณีรัตนปฏิมากรที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมโภชเวียนเทียนแล้วเสร็จ ทรงสดับปกรณ์พระอัฐิเจ้านายที่หอพระนาคเป็นการพิเศษ ในกาลต่อมาพระเจ้าแผ่นดินพระราชทานรดน้ำพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ที่สูงอายุ สืบมาจนถึงปัจจุบัน ที่มา : สำนักหอสมุดแห่งชาติ “พิธีสงกรานต์” โดย นางสาวศุภาวิตา พรมสุขทวี เจ้าพนักงานห้องสมุดชำนาญงาน |