[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ร้านน้ำชา => ข้อความที่เริ่มโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 06 พฤษภาคม 2568 17:36:17



หัวข้อ: [ข่าวมาแรง] - คนพิการก็แรงงานคนหนึ่ง เปิดช่องว่างกฎหมาย โดนเอาเปรียบ ขาดโอกาสก้าวหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 06 พฤษภาคม 2568 17:36:17
คนพิการก็แรงงานคนหนึ่ง เปิดช่องว่างกฎหมาย โดนเอาเปรียบ ขาดโอกาสก้าวหน้า
 


<span>คนพิการก็แรงงานคนหนึ่ง เปิดช่องว่างกฎหมาย โดนเอาเปรียบ ขาดโอกาสก้าวหน้า</span>
<span><span>See Think</span></span>
<span><time datetime="2025-05-01T15:15:07+07:00" title="Thursday, May 1, 2025 - 15:15">Thu, 2025-05-01 - 15:15</time>
</span>

            <div class="field field--name-field-byline field--type-text-long field--label-hidden field-item"><p>เรื่อง: อรรถพล ศรีชิษณุวรานนท์</p><p>ถ่ายภาพ: คชรักษ์ แก้วสุราช</p><p>ภาพปก: กิตติยา อรอินทร์</p></div>
     
            <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field-item"><p>ทุกคนอยากมีงานทำ รวมทั้งคนพิการด้วยเช่นกัน ปัจจุบันแม้ประเทศไทยมีกฏหมายส่งเสริมให้คนพิการเข้าถึงงาน แต่คนพิการที่ได้งานทำก็ยังต้องเผชิญสัญญาจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม ส่วนใหญ่ก้มหน้าอดทนทำไปเพราะทางเลือกสำหรับคนพิการมีไม่มาก อีกทั้งยังเผชิญกำแพงทัศนคติจากเพื่อนร่วมงาน และการเลือกปฏิบัติ ทำให้ขาดโอกาสก้าวหน้าทางอาชีพ&nbsp;</p><p>รายงานนี้ชวนสำรวจมุมมองของคนพิการที่ได้รับการจ้างงานจากภาครัฐและเอกชน ตาม มาตรา 35 พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 2550 ว่าเขาเหล่านั้นพบเจอประสบการณ์อะไรบ้าง มีคุณภาพชีวิตเป็นอย่างไร มีความต้องการและเสียงสะท้อนต่อการจ้างงานในมาตรา 35 อย่างไร รวมทั้งมุมมองจากคนภาคเอกชนและนักกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานคนพิการ</p><h2>กฎหมายกำหนด 3 ทางเลือก จ้างงานคนพิการ</h2><p>ในประเทศไทยมีกฎหมายกำหนดให้มีการจ้างงานคนพิการ คือ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 โดยมีมาตราที่ว่าด้วยการจ้างงานคนพิการอยู่ 3 มาตรา เพื่อให้ภาครัฐและเอกชนเลือกดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่สะดวก ได้แก่</p><p>มาตรา 33 กำหนดให้เจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐ รับคนพิการเข้าทํางานตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยมีระเบียบกำหนดให้รับคนพิการเข้าทำงาน (อายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี) อัตราส่วน 100 : 1 หรือพูดง่ายๆ ว่า พนักงานทั่วไป 100 คน ต้องจ้างคนพิการ 1 คน</p><p>มาตรา 34&nbsp; หากไม่สะดวกรับคนพิการเข้าทำงานก็ให้ส่งเงินเข้า ‘กองทุน’ แทน ซึ่งอัตราที่ต้องส่งจะกำหนดไว้ในกฎกระทรวงแรงงาน การส่งเงินเข้ากองทุนจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษี ตามที่กฎหมายกําหนดด้วย</p><p>มาตรา 35 หากไม่สามารถทำตาม ม.33 หรือ 34 นายจ้างอาจเลือกให้สัมปทาน จัดสถานที่จําหนายสินค้า หรือบริการจัดจ้างเหมาช่วงงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใด แก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการแทนก็ได้ ตามที่ระเบียบกำหนด</p><p>กฎหมายนี้ต้องการสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานคนพิการในบริษัทที่ใหญ่ระดับมีคนทำงาน 100 คนขึ้นไป โดยแรงจูงใจสำหรับผู้ประกอบการคือ สิทธิพิเศษทางภาษีที่สามารถยกเว้นรายจ่ายในการจ้างคนพิการเพิ่มจากรายจ่ายจริงได้อีก 1 เท่า และหากกิจการมีการจ้างคนพิการเข้าทำงานเกิน 60% ของพนักงานลูกจ้าง มีระยะเวลาในการจ้างเกิน 180 วัน ก็ให้สิทธิพิเศษยกเว้นรายจ่ายในการจ้างคนพิการเพิ่มจากสิทธิพิเศษขั้นแรกอีก 1 เท่า</p><h2>ภาครัฐจ้างงานคนพิการน้อยมาก</h2><p>เมื่อกฎหมายกำหนดแล้ว มีการจ้างงานคนพิการมากแค่ไหน? ผลการศึกษาเรื่อง ‘การส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการในหน่วยงานของรัฐ’ ของคณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการ ในคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสวุฒิสภา เมื่อปี 2566 พบว่า ภาคเอกชนมีความพยายามปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด ในขณะที่หน่วยงานของรัฐ ยังไม่สามารถดำเนินการจ้างงานคนพิการให้ครบถ้วนตามกฏหมาย</p><p>ตัวเลขการจ้างงานในปี 2566</p><ul><li aria-level="1">หน่วยงานภาครัฐที่ต้องจ้างงานคนพิการ มี 294 แห่ง มียอดจ้างคนพิการทั้งหมด 17,533 คน แต่มีเพียง 147 แห่งที่สามารถจ้างคนพิการได้ โดยแบ่งการจ้างงานตามมาตรา 33 จำนวน 1,252 คน มาตรา 35 จำนวน 257 คน</li><li aria-level="1">ภาคเอกชนเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องจ้างคนพิการ มี 14,456 แห่ง มียอดที่ต้องจ้างคนพิการทั้งหมด 67,868 คน แบ่งเป็นการจ้างตามมาตรา 33 จำนวน 33,193 คน มาตรา 35 จำนวน 11,068 คน และส่งเงินเข้ากองทุนมาตรา 34 จำนวน 12,001 คน&nbsp;</li></ul><p>แล้วคนพิการจะเข้าถึงงานได้อย่างไร? การเข้าถึงงานของคนพิการสามารถเข้าถึงได้ 2 ช่องทาง</p><ul><li aria-level="1">สมัครทางตรงกับสถานประกอบการเหมือนพนักงานทั่วไป</li><li aria-level="1">สมัครผ่าน ‘หน่วยงานกลาง’ ที่มีทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งจะทำหน้าที่เชื่อมประสานคนพิการที่ต้องการทำงานให้ได้จับคู่กับบริษัทที่สนใจจ้างงานคนพิการ&nbsp;ในช่องทางนี้กรมจัดหางานเป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง</li></ul><h2>คนพิการกับสัญญาจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม</h2><p>“ยังดีกว่าอยู่บ้านเพราะอยู่บ้านไม่มีรายได้เลย ผมมีใบวุฒิแค่ ม.สาม ตอนนั้นเขาหาคนทำงานตามมาตรา 35 บอกว่าได้ 9,000 บาทค่าแรงขั้นต่ํา ทำเดือนแรกได้จริงๆ 6,000 บาท สงสัยเราอาจเข้ากลางคัน เดือนที่ 2 ได้ 6,000 กว่า อยู่ประมาณนั้นไม่เกิน 7,000 บาท เขาตัดเสาร์อาทิตย์ไป ถ้าหยุดก็ไม่ได้ พอมาดูสัญญาอีกทีถึงรู้ว่าเขาจ่ายเป็นรายวัน”</p><p>เสียงสะท้อนของเอ (นามสมมุติ) ชายหนุ่มพิการในจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคกลาง ความพิการเกิดจากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ล้มเมื่อตอนอายุ 19 ปี ปัจจุบันมีความพิการมา 9 ปี มีวุฒิการศึกษาเพียงมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพราะไม่ได้กลับไปเรียนต่อด้วยข้อจำกัดในหลายมิติ ทั้งการเดินทาง สภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่ไม่เอื้อต่อความพิการ เขาได้ทำงานครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้วซึ่งเป็นประสบการณ์ของการได้ออกจากบ้านมาทำงานครั้งแรกหลังจากนอนอยู่ที่บ้านมา 6 ปี เอได้รับการจ้างงานแบบเหมาบริการ ตาม ม.35 ให้เข้าไปช่วยทำงานในหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดที่เขาอาศัยอยู่</p><p>&nbsp;</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/54487871472_a60fdf3611_o.jpg" width="6000" height="4000" loading="lazy"><p class="picture-with-caption">เอ</p><p>ปีแรกของการทำงาน เอมีหน้าที่เดินส่งเอกสารให้แผนกต่างๆ ในหน่วยงาน หรือช่วยงานที่ใช้แรงจากร่างกายที่พอทำได้ ช่วยพับผ้า เก็บของให้เข้าที่เข้าทาง เข้างานตั้งแต่ 8.00 - 16.30 น. เหมือนพนักงานประจำ ทำงานวันจันทร์ถึงศุกร์ แต่หากระหว่างสัปดาห์มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ก็จะไม่ได้รับค่าแรง&nbsp;</p><p>“บางทีป่วยไม่สบายต้องทนฝืนไปทำงาน ไม่งั้นคงโดนหักไม่เหลืออะไรเลย”</p><p>เอเลือกเช่าห้องอยู่ใกล้ที่ทำงาน เพราะบ้านอยู่ต่างอำเภอ เขาสามารถเข็นรถวีลแชร์ไปทำงานได้ ใช้เวลา 10 นาทีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย</p><p>“ได้ตามค่าแรงขั้นต่ำเป็นรายวัน จึงได้ไม่เกิน 7,000 บาททุกเดือน เราต้องเสียค่าใช้จ่ายในชีวิต ของใช้ แผ่นรองซึมซับ กระดาษทิชชู ค่ากิน รวมเดือนละ 2,000 กว่าบาท ค่าห้องค่าน้ําค่าไฟ 4,000 กว่าบาท จะเหลือเงินต่อเดือนแค่ไม่ถึง 1,000 บาท ค่าข้าวก็เซฟไปได้บ้าง ป้าๆ พี่ๆ ในที่ทำงานเขาเห็นใจก็ให้ข้าวกินมื้อเที่ยงกับมื้อเย็น”</p><p>เมื่อครบรอบปีต้องต่อสัญญาปีถัดไป เป็นช่วงที่คนพิการต้องลุ้นมากว่าจะได้ต่อสัญญาอีกหรือไม่ จะตัดสินใจทำงานกับสถานประกอบการเดิมหรือที่ใหม่ (กฎหมายกำหนดการต่อสัญญาในมาตรา 35 เป็นแบบรายปี)</p><p>ด้วยความที่ไม่มีทางเลือกมากนัก เอต้องตัดสินใจต่อสัญญากับสถานประกอบการเดิม เพราะการออกมาทำงาน แม้จะมีรายได้ไม่มาก แต่สำหรับคนพิการที่ไม่ได้มีต้นทุนทางการศึกษาและเศรษฐกิจ การมีงานทำสามารถช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวได้ นั่นทำให้รู้สึกถึงการมีคุณค่าในตัวเองเพิ่มขึ้น และเพิ่มความภูมิใจที่เติบโตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง แต่เขาก็รู้สึกเสมอว่าสัญญาการจ้างงานแบบนี้ไม่ค่อยเป็นธรรม</p><p>“ผมเองไม่ได้เก่งหนังสือ สัญญาหนึ่งปี บริษัทก็ทําตามกฎหมาย ค่าจ้างคนพิการตามค่าแรงขั้นต่ํารายวัน แล้วคูณจํานวนวันของแต่ละเดือน แต่บริษัทจ่ายเฉพาะวันที่ทํางาน วันหยุดไม่รวม ท้ายสัญญาระบุด้วยว่าจะไม่เรียกร้องอะไรเพิ่มเติม พอต่อสัญญารอบใหม่ เรารู้ แต่ก็ต้องยอม เพราะว่าดีกว่าอยู่บ้าน ไม่มีรายได้เลย”</p><p>ปี 2568 เอได้ทำการต่อสัญญาจ้างใหม่กับสถานประกอบการรายใหม่ ในมาตรา 35&nbsp; โดยได้ค่าตอบแทนเป็นรายเดือน เดือนละ 10,043 บาท เอสะท้อนว่าดีกว่าสถานประกอบการเดิม และตั้งข้อสังเกตว่าทำไมแต่ละที่ถึงปฏิบัติไม่เหมือนกัน&nbsp;</p><p>“เข้าปีที่ 2 จะต้องต่อสัญญาใหม่ปี 68 เราอ่านสัญญาแล้วเป็นบริษัทใหม่ ไม่ใช่บริษัทเดิมแล้ว ในสัญญาระบุว่าอัตราการจ้างจะเป็นเงินเดือน ได้มาตรา 35 เหมือนเดิม แต่เปรียบเทียบกับบริษัทเก่ารู้สึกว่าบริษัทใหม่เป็นธรรมมากกว่า ดีขึ้น หยุดก็ไม่โดนหัก แต่ว่าถ้าไม่แจ้งลาโดนหัก”</p><p>เอสะท้อนทิ้งท้ายถึงความคาดหวังว่า จะมีการพัฒนาการจ้างงานในมาตรา 35 ให้มีความมั่นคง เพิ่มระยะเวลาต่อสัญญาให้ยาวนานขึ้น และเพิ่มสวัสดิการกองทุนเงินสะสมยามแก่ชรา</p><p>“อยากได้สัญญาให้ยาวกว่านี้ ให้เขารับเราไปตลอดจนกว่าจะทําไม่ได้แล้ว ไม่ต้องมาต่อสัญญาปีต่อปี แล้วมีสวัสดิการอื่นๆ แบบว่าหักไปเดือนละร้อยเหมือนยอดกระปุก ออมเงินแบบกองทุนให้สะสมยามปลดเกษียณ มีเงินสักก้อนยามแก่ชราตอนที่ออกไปทํางานไม่ไหว อย่างน้อยจะได้มีใช้จ่ายเช่าที่อยู่ มีของกิน ไม่ใช่เบี้ย 800 หรือ 1,000 ในแต่ละเดือน แบบนั้นไม่พอกิน”</p><h2>คนพิการรุนแรงกับความรู้สึกความไม่มั่นคงในงาน มาตรา 35</h2><p>“เปลี่ยนบริษัทจ้างงานทุกปี ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ไม่แฟร์กับคนพิการที่มีความรับผิดชอบในการทํางาน รู้สึกไม่มั่นคง”</p><p>ในมุมมองของบี (นามสมมุติ) หญิงสาวพิการรุนแรง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เธอมีวุฒิระดับ ปวส. เล่าถึงประสบการณ์กับการทำงานที่แรกหลังจากนอนอยู่บ้านมาร่วม 10 ปี เธอได้รับการจ้างงานตามมาตรา 35 ในปี 2560 งานแรกเป็นงานในองค์กรคนพิการแห่งหนึ่งในจังหวัดภาคกลาง โดยได้รับการประสานการจ้างงานผ่านหน่วยงานกลางแห่งหนึ่ง</p><p>&nbsp;</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/54487871327_74c5f915f7_o.jpg" width="6000" height="4000" loading="lazy"><p class="picture-with-caption">บี</p><p>เธอทุ่มเทพยายามทำงานด้วยความมุ่งมั่น ทั้งลงพื้นที่ชุมชนและงานเอกสาร ในแต่ละสัปดาห์ต้องลงพื้นที่และเข้าออฟฟิตอย่างละ 1 วัน อีก 3 วันทำงานเอกสารที่บ้าน ในแต่ละปีช่วงท้ายปีต้องมาลุ้นว่าจะผ่านการประเมินจากหน่วยงานกลางเพื่ออนุมัติให้ต่อสัญญาได้หรือไม่</p><p>บีได้ค่าตอบแทนเป็นรายเดือนและได้รับโอนจากที่ทำงานโดยตรง ประมาณ 9,500 กว่าบาท โดยวุฒิการศึกษาไม่มีผลต่อการเพิ่มค่าแรง ทําสัญญาจ้างแบบปีต่อปี เธอได้ทำอยู่เพียง 4 ปี ก็ต้องเปลี่ยนที่ทำงานเพราะโควิคระบาด</p><p>“ทำงานที่เดิมมา 4 ปี เปลี่ยนบริษัทตัวกลางทุกปี ซึ่งไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เพราะไม่แฟร์กับคนพิการที่มีความรับผิดชอบในการทํางาน รู้สึกไม่มั่นคง ในขณะที่คิดว่าตัวเองพยายามและตั้งใจทํางาน ตามบทบาทหน้าที่ได้รับการจ้างงานมาอย่างเต็มที่ ไม่มีสวัสดิการอะไรเลย มีแค่เงินเดือน ประกันอุบัติเหตุก็ไม่มี</p><p>“แล้วเจอสถานการณ์โควิด หน่วยงานกลางแจ้งว่า ปีนี้โควต้าจ้างงานคนพิการต้องลดลง เพราะบริษัทลดการจ้างพนักงานประจําที่ไม่พิการลง โควต้าคนพิการก็ต้องลด ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนอยากมีรายได้หมด เราก็เสียวว่าจะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกตัดออก รู้สึกบีบคั้น และสุดท้ายเราเป็นคนไม่ได้ต่อสัญญา ตกใจมากจนร้องไห้”</p><p>บีสะท้อนถึงความพยายามต่องานที่ทำว่า ทำด้วยความตั้งใจ จริงจัง ทำตามเกณฑ์ประเมินทุกอย่างตามระบบการประเมินการทำงานจากหน่วยงานกลางที่ประสานการจ้างงานให้ เธอเห็นด้วยกับการมีตัวชี้วัดการทำงาน เพราะถือเป็นระบบการตรวจสอบ แต่ไม่ได้เห็นด้วยในชุดการประเมินในบางหัวข้อที่ดูเหมือนก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวและไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้องานที่ทำ แต่ด้วยเป็นข้อบังคับที่มีผลต่อโอกาสการได้ต่อสัญญา เธอจึงต้องทำตามตัวชี้วัดด้วยความลำบากใจ</p><p>“ในการประเมินของหน่วยงานกลาง เราต้องให้ที่บ้านช่วยถ่ายรูปให้ บางครั้งพ่อแม่ไม่ค่อยว่างมาถ่ายรูปขณะเราทำงาน ต้องลําบากเขา แล้วตอนช่วงโควิดต้องส่งภาพทุกวัน เขาจะดูปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวเป็นตัวชี้วัด หัวข้อแบบนี้เกี่ยวข้องกับเนื้องานหรือเปล่า เขาจําเป็นต้องรู้ไหม ในระบบรายงานของหน่วยงานกลาง จะต้องทำรายงานการทํางาน ต้องมีรูปถ่ายประกอบด้วยทั้งด้านปฏิสัมพันธ์กับครอบครัว ด้านสุขภาพอนามัย เช่น ออกกําลังกายไหม เหมือนกับเราต้องสร้างภาพไปเรื่อยๆ ต้องกินผักด้วย ถามถึงขั้นว่าสูบบุหรี่กี่ม้วน ดื่มเหล้ากี่แก้ว เล่นการพนันไหม มีเงินเก็บเท่าไหร่ แล้วเขาถามไหมว่าเราพอกินไหม มันไม่พออยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้เอาข้อมูลนี้ไปบอก บอกแต่ว่าคนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีสร้างคุณค่าให้สังคม ถ้าไม่ทําตามตัวชี้วัดก็จะมีผลต่อการต่อสัญญาเพราะข้อมูลไม่ครบ”</p><p>การมีงานทำย่อมทำให้คนพิการรุนแรงอย่างบี สามารถพอหล่อเลี้ยงชีวิตและพอช่วยลดลงภาระทางครอบครัวลงได้บ้าง แต่เอาเข้าจริงมันก็ยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายของตัวเองในการเดินทางไปทำงานนอกบ้าน หากไม่ได้รับการสนับสนุนค่าเดินทางมาเพิ่มเติม เช่น ค่ารถ ค่าผู้ช่วยคนพิการ</p><p>“ครอบครัวเรามีแค่แม่คนเดียว ค่าใช้จ่ายเยอะ เรามีโอกาสที่ได้ทํางาน สามารถแบ่งเบาภาระได้บ้าง จากการเริ่มทํางานที่แรก รายได้ไม่พอรายจ่ายที่ต้องออกไปทํางาน ค่าใช้จ่ายมีค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าผู้ช่วยคนพิการ ค่าผู้ช่วยคนพิการวันละ 300 บาท ค่าเดินทางไปกลับตอนนั้นจ้างรถแบบเป็นเหมาไปกลับ 600 บาท รวมแล้ว 900 บาทต่ออาทิตย์ เดินทางอาทิตย์ละ 1 วันไปที่ทำงาน ตอนนั้นที่ทำงานเขาเห็นเราอยู่ไกล ก็ช่วยว่าเข้าออฟฟิศ 2 ครั้งต่อเดือนก็พอ และมีค่าผู้ช่วยคนพิการให้ ถ้าไม่มีคงแย่”&nbsp;</p><p>หลังจากบีได้สมัครหางานผ่านหน่วยงานกลางรายใหม่จนได้รับการจ้างงานในรูปแบบเดิมตาม มาตรา 35 ในบทบาทงานที่เกี่ยวข้องกับ AI ค่าตอบแทนเดือนแรกได้ 9,000 กว่าบาท เพิ่มขึ้นไม่กี่สิบบาท แต่เธอรู้สึกพอใจเพราะรูปแบบการทำงานไม่ต้องลงพื้นที่ ทำงานที่บ้านอย่างเดียวให้ครบ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ไม่ต้องมีระบบประเมินเหมือนที่เดิม แต่ต้องมีชิ้นงานส่งเข้าไปในระบบออนไลน์เป็นตัวชี้วัดการทำงาน และเก็บยอดเวลารวมการทำงานผ่านระบบออนไลน์</p><p>ด้วยโควต้าการจ้างงานในแต่ละปีมีจำนวนมากน้อยต่างกัน จึงทำให้มีการแข่งขันสูงในการต่อสัญญา บีต้องพยายามทำงานให้ได้มาตราสูงกว่าเดิม โดยทํางานเฉลี่ยวันละ 10 ชั่วโมง ยามว่างก็ทําสะสมเวลาไว้ หากทำงานไม่ครบเวลาจะได้รับใบแจ้งเตือน ซึ่งจะมีผลต่อการต่อสัญญา ถึงอย่างนั้นเมื่อใกล้สิ้นปี เธอก็จะรู้สึกถึงความไม่มั่นคงอยู่ดี เพราะหากปีไหนโควต้ามีน้อย โอกาสต่อสัญญาก็ 50/50</p><p>“มีความกังวลเรื่องสัญญาจ้างงานทุกปี ความกังวลนี้เกิดขึ้นช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม ต้องมีการประเมิน มีการทําข้อสอบ ประเมินจากการทํางานจริง แต่ก็ยังกังวลเรื่องเกี่ยวกับการต่อสัญญาเพราะมีการแข่งขันในที่ทํางานเสมอ เราไม่ได้ทํางานคนเดียวกับหน่วยงานกลางรายใหม่นี้ ยังมีอีกหลายสิบชีวิตหรือหลายร้อยชีวิตด้วยซ้ํา ต้องไปสู้กับคนพวกนั้น”</p><p>บีทิ้งท้ายว่า รัฐและสถานประกอบการควรสนับสนุนคนพิการรุนแรงให้มากกว่าเดิม เพิ่มเงินที่ช่วยสนับสนุนสำหรับจ่ายค่าแรงผู้ช่วยคนพิการ และคาดหวังระยะเวลาต่อสัญญาที่ยาวมากขึ้นด้วย ไม่ต้องลุ้นไปเรื่อยๆ ทุกปี</p><h2>ขาดโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ</h2><p>อีกหนึ่งมุมมองและเสียงสะท้อนที่ปนมาด้วยความน้อยใจของซี (นามสมมุติ) ชายหนุ่มพิการทางสายตาที่มีวุฒิการศึกษาปริญญาตรี เขาผ่านประสบการณ์การทำงานที่ผกผันมาหลากหลายที่ อดีตเริ่มทำงานที่แรกในมาตรา 33 ในปี 2558 ด้วยเงินเดือน 12,000 บาท แต่อยู่ได้เพียง 2 ปี และต้องเปลี่ยนงานอีก 3 ครั้ง ผ่านทั้งการจ้างตามมาตรา 33 และมาตรา 35 สาเหตุการเปลี่ยนงานมาจากความกดดันจากทัศนคติของเพื่อนร่วมงาน</p><p>นอกจากนี้ซียังมองว่ามาตรา 35 หรือการจ้างเหมาบริการนั้นไม่มีความก้าวหน้าทางอาชีพ เงินเดือนไม่ขึ้นตามอายุงาน แต่ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ค่าแรงขั้นต่ำในปีนั้นๆ ปัจจุบันซีได้รับการจ้างจากหน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่ง เขาตั้งคำถามว่าทำไมคนพิการถึงไม่มีโอกาสก้าวหน้าได้ และอยากให้มีการจ้างงานตามมาตรา 33 (จ้างประจำ) มากกว่า</p><p>“แบบนี้คนพิการจะดิ้นรนไปเรียนกันเพื่ออะไร”</p><p>“จริงๆ แล้วเราอยากให้มีการจ้างงานคนพิการในรูปแบบมาตรา 33 มากกว่า เพราะมีความมั่นคงและมีสวัสดิการที่ดีกว่า มาตรา 35 เป็นสัญญาปีต่อปี ทำให้เราไม่มั่นใจในอนาคต ในหน่วยงานที่ผมทำอยู่ปัจจุบันก็มีการบรรจุพนักงานราชการที่เป็นคนปกติมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนพิการกลับไม่มีตำแหน่ง ไม่มีโอกาส ทั้งที่ทำงานมาพร้อมกัน หรือบางคนอายุน้อยกว่าด้วยซ้ำ เหมือนเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน เวลาเราเสนอความคิดเห็นอะไรไป เขาก็รับฟังแต่ก็เหมือนปล่อยผ่านไม่ได้นำไปปฏิบัติจริง”</p><p>“คนพิการไม่ได้ต้องการแค่เงินเดือนเพิ่ม โดยที่งานเท่าเดิม แต่ต้องการงานที่หลากหลายขึ้น อยากทำงานที่ท้าทายและได้ใช้ความสามารถที่มี อยากเติบโตในสายอาชีพ การบรรจุเป็นพนักงานประจำมันคือความมั่นคง ตอนนี้มีเฉพาะบางหน่วยงานที่มีการบรรจุคนพิการเป็นลูกจ้างประจำ”</p><p>เช่นเดียวกับ ดี (นามสมมุติ) หญิงสาวพิการทางสายตา ที่เพิ่งจบการศึกษาเมื่อปี 2564 ผ่านการทำงานมา 2 แห่งด้วยการจ้างงานตามมาตรา 35 ดีเห็นด้วยกับซีในเรื่องความก้าวหน้าทางอาชีพพร้อมกันนี้เธอยังชวนตั้งคำถามถึงทัศนคติที่มีต่อการจ้างคนพิการว่า ทุกภาคส่วนควรมองว่ามันเป็นการพัฒนาศักยภาพคนพิการ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำเพียงเพราะกฏหมายบังคับให้ทำ</p><p>“อยากให้หน่วยงานต่างๆ รับฟังความคิดเห็นของคนพิการให้มากขึ้น อยากให้เข้ามาสัมผัสชีวิตการทำงานของคนพิการให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่จัดจ้างตามมาตรา 35 อย่างเดียว แต่ไม่เคยถามเลยว่าชอบงานประเภทอะไร อยากให้ลองให้โอกาสคนพิการได้ทำงานที่หลากหลายก่อน ถ้าไม่ได้ค่อยว่ากัน ต่อให้มีกฎหมายที่ดีกว่านี้ แต่ถ้าทัศนคติของคนในองค์กรยังเหมือนเดิม ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น บางทีการจ้างงานคนพิการก็เป็นไปเพื่อแค่ผลประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ไม่ได้มีเจตนาที่จะพัฒนาศักยภาพของคนพิการจริงๆ”</p><h2>หน่วยงานกลาง ตัวแมชชิ่งคนพิการ-นายจ้างผู้ประกอบการ</h2><p>ฉัตรชัย อภิบาลพูนผล&nbsp;เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทจัดหางานกล่องดินสอเพื่อคนพิการ เป็นอีกคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการจ้างงานคนพิการในภาคเอกชน</p><p>เดิมทีเขาทำงานเรื่องสื่อเด็กตาบอดมาก่อน และพบว่าเหตุเด็กพิการไม่อยากเรียน ไม่ใช่แค่เรื่องสื่อหรือโรงเรียน แต่เป็นเพราะไม่เห็นเหตุผลในการเรียนรู้ เรียนจบมาก็ได้แค่นวดแผนโบราณ ยิ่งจบสูงกลับยิ่งหางานยาก ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการศึกษาคนพิการจึงต้องทำควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาการจ้างงาน</p><p>&nbsp;</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/54489069205_ecb993b3c7_o.jpg" width="6000" height="4000" loading="lazy"><p class="picture-with-caption">ฉัตรชัย อภิบาลพูนผล</p><p>ฉัตรชัยเล่าให้ฟังถึงช่วงเริ่มต้นผลักดันเรื่องการจ้างงานคนพิการว่า เมื่อ 7-8 ปีที่แล้วยากมาก องค์กรจัดหางานของเขาขาดทุนมาตลอด ไม่ได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาล ทำงานกับบริษัทที่ตั้งใจจะจ้างจริงๆ เท่านั้น แต่ช่วงหลังสถานการณ์เริ่มดีขึ้น มีบริษัทให้ความสนใจมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกระแสเรื่อง social inclusion ที่ขยายวงกว้าง ทั้งประเด็นเรื่องคนผิวสี, ผู้หญิง, LGBTQ+ อีกปัจจัยคือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้การทำงานง่ายขึ้น และการทำงานจากที่บ้าน (work from home) ในช่วงโควิด-19 ก็เป็นตัวเร่งให้หลายบริษัทเห็นความเป็นไปได้ในการจ้างงานคนพิการมากขึ้น</p><p>“หากมองในแง่ธุรกิจอย่างเดียวอาจจะไม่น่าสนใจนัก แต่เป้าหมายขององค์กรเราคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการ สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ออกจากบ้านได้ ผมเชื่อว่าชีวิตต้องมีโอกาสและทางเลือก การมีงานทำไม่ใช่แค่เรื่องเงินแต่เป็นเรื่องของคุณค่าความเป็นมนุษย์และคุณค่าในตัวเอง ทำให้พวกเขามีเป้าหมายในชีวิตและมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตนเอง”</p><p>ปัญหาของการจ้างงานคนพิการในปัจจุบันคืออะไร ?</p><p>ในมุมมองของฉัตรชัย พบว่าปัญหาไม่ใช่เรื่องความต้องการจ้างงาน (demand) แต่เป็นเรื่องอุปทาน (supply) ล้วนๆ บริษัทพร้อมจ่ายค่าจ้างในตำแหน่งที่ว่างอยู่ แต่ไม่สามารถหาคนพิการที่เหมาะสมกับความต้องการของบริษัทได้ บริษัทที่จ่ายค่าจ้างตามราคาตลาดย่อมต้องการคนที่มีคุณภาพ จบปริญญาตรี ใช้คอมพิวเตอร์ได้ ภาษาอังกฤษพอได้ และมีประสบการณ์ คนพิการที่มีคุณสมบัติเหล่านี้มักจะมีงานทำอยู่แล้ว ทำให้หลายครั้งไม่สามารถหาคนพิการให้บริษัทที่ติดต่อเข้ามาได้ จึงต้องเจรจาให้บริษัทลดมาตรฐานลง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถลดได้มากนักจึงกลับมาเป็นปัญหา ‘ไก่กับไข่’</p><p>ฉัตรชัยสะท้อนถึงความท้ายทายว่า การหาคนพิการที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของบริษัทซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่สุด อีกความท้าทายคือการสร้างความมั่นใจให้คนพิการกล้าที่จะไปทำงาน หลายครั้งที่สัมภาษณ์และเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ไปทำงานเพราะความกลัว เรื่องเอกสารก็มีความวุ่นวาย แต่ไม่ยากเท่าเรื่องความมั่นใจและการปรับตัวของคนพิการ</p><h2>เปรียบเทียบการจ้าง มาตรา 33 (จ้างประจำ)&nbsp; กับ 35 (เหมาบริการ)</h2><p>ที่กล่องดินสอ สัดส่วนการจ้างงานมาตรา 35 เยอะกว่ามาตรา 33 ฉัตรชัยบอกว่า เพราะมาตรา 35 จ้างง่ายกว่า เป็นทางเลือกที่ดีกว่าไม่มีอะไรเลย แต่สิ่งที่เราอยากเห็นคือการจ้างงานในรูปแบบ มาตรา 33 ซึ่งเป็นการจ้างเป็นพนักงานประจำที่ออฟฟิศ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือนและประกันสังคม แต่เป็นเรื่องของการเข้าสังคม การเติบโตในหน้าที่การงานและการทำงานเป็นทีม</p><p>การจ้างงานคนพิการในรูปแบบมาตรา 33 สิ่งที่ยากคือ การทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน หลายครั้งผู้บริหารและ HR อยากทำ แต่คนที่ต้องทำงานด้วยโดยตรงอาจจะไม่อยาก ดังนั้นการเตรียมความพร้อมให้กับทีมงานที่ต้องทำงานร่วมกับคนพิการจึงสำคัญมาก การจ้างงานคนพิการอาจดูเหมือนยาก แต่สามารถเริ่มต้นจากง่ายๆ ด้วยมาตรา 35 ก่อนก็ได้ สิ่งที่น่าจะขาดหายไปคือกระบวนการสร้างความพร้อมร่วมกัน นอกจากนี้หากรัฐเพิ่มแรงจูงใจทางการเงินสำหรับการจ้างงานมาตรา 33 เช่น ลดหย่อนภาษีมากขึ้น หรือเพิ่มบทลงโทษสำหรับการไม่จ้างงานในรูปแบบอื่นๆ ก็อาจจะช่วยได้</p><h2>เจตนารมณ์กฎหมายจ้างงานคนพิการ</h2><p>รัตน์ กิจธรรม ฝ่ายต่างประเทศและกิจการพิเศษ สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย เป็นอีกคนที่อยู่ในช่วงเวลาจุดเริ่มต้นของการเกิดกฏหมายจ้างคนพิการ ทั้งสามมาตรา และยังเป็นหนึ่งในอนุกรรมาธิการ ศึกษาเรื่องการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการในหน่วยของงาน ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส ของวุฒิสภาในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ปี 2563-2566 ได้เล่าถึง ประเด็นสำคัญ ที่มาและวิวัฒนาการของกฎหมายการจ้างงานคนพิการ เหตุผลของการมีกฎหมาย แบบระบบโควต้าการจ้างงานรวมทั้งบทบาทและปัญหาของมาตรา 35</p><p>&nbsp;</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/54488915964_793c378d55_o.jpg" width="6000" height="4000" loading="lazy"><p class="picture-with-caption">รัตน์ กิจธรรม</p><p>รัตน์เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นโดยกล่าวถึงอาจารย์มนเฑียร บุญตัน อดีต สว.ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นคนที่เริ่มและศึกษากฎหมายของอเมริกาที่เรียกว่า Randolph-Sheppard Act&nbsp;<a class="ck-anchor" id="_ftn_1">[/url]<a href="#_ftn1">(1)[/url]&nbsp; ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 1936 เป็นกฎหมายกลางที่ควบคุมทุกรัฐ ให้มีมาตรการส่งเสริมการจ้างงานคนตาบอด โดยให้สิทธิ์และสัมปทานในการใช้เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและบริการบางอย่างของรัฐ</p><p>จากจุดเริ่มต้นก็มีการขยายขอบเขตออกไป ทำให้เกิด พ.ร.บ. ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2534 เนื้อหาการจ้างงานคล้ายกับมาตรา 33 และ 34 ปัจจุบัน มีเพียง 2 อย่าง - จ้างงานหรือจ่ายเงิน ถ้าไม่จ้างก็ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุน โดยบังคับเฉพาะภาคเอกชนเท่านั้น ไม่มีภาครัฐ อัตราส่วนตอนนั้นคือ 200:1 ตอนปี 2550 เถียงกันเรื่องนี้ สุดท้ายรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยอมให้เป็น 100:1 และเริ่มบังคับในภาครัฐด้วย</p><p>การคิดมาตรา 35 มีที่มาเพราะมาตรา 34 ที่บังคับใช้มากว่า 20 ปี ทำอะไรไม่ได้ จึงหาทางออกโดยเอา Randolph-Sheppard Act มาเป็นทางเลือก เพราะแค่ “จ้างหรือจ่าย” ดูยากไป จึงต้องเพิ่ม 7 อย่าง คือ ให้สัมปทาน จัดสถานที่จําหนายสินค้า หรือบริการจัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใด แก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการแทนก็ได้</p><p>รัตน์ย้ำถึงที่มาสำคัญของกฎหมายเหล่านี้คือ มาตรการเชิงบวก (Positive Measures) หรือ Affirmative Action&nbsp;<a class="ck-anchor" id="_ftn_2">[/url]<a href="#_ftn2">(2)[/url] ซึ่งเป็นมาตรการที่มุ่งเน้นการขจัดการเลือกปฏิบัติและส่งเสริมโอกาสให้กับกลุ่มคนที่ด้อยโอกาส เป็นการให้แต้มต่อกับคนที่เสียเปรียบในสังคม</p><p>“ต้องยึดหลักให้มั่นว่ามันมาจากหลักสิทธิมนุษยชน หลักการสากล และมาตรการแต้มต่อ เมื่อปลายปีที่แล้วมีนายจ้างส่งคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญว่ามาตรา 33 และ 34 ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะจำกัดสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพของนายจ้าง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ขัด เพราะมาตรา 27 บอกว่ามาตรการใดที่เป็นการส่งเสริมโอกาสให้คนพิการเท่าเทียมกับคนอื่น ไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติและไม่ได้สร้างภาระเกินสมควร”</p><h2>โควตาการจ้างงานคนพิการในไทยน้อยกว่าค่าเฉลี่ยโลก</h2><p>หากพูดถึงเรื่องโควตาการจ้างงานคนพิการ 1:100 รัตน์ระบุว่า สัดส่วนโควตาของไทยนั้น นับว่าน้อยที่สุดแล้ว ระบบโควตามีมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อช่วยเหลือทหารผ่านศึกพิการ ปัจจุบันมีกว่า 100 ประเทศที่มีระบบโควตา องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) บอกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 4-6% ของเอเชียอยู่ที่ 2-4% แต่ของไทยอยู่ที่ 1% โดยสภาคนพิการเสนอให้ปรับเป็น 100:2 หรือ 50:1 แต่อย่างไรปัจจุบันยังไม่มีการปรับแก้ไข</p><p>สำหรับกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน รัตน์ระบุว่า เจตนารมณ์กฏหมายต้องการให้มาตรา 33, 34 และ 35 มีความสมดุลกัน โดยมาตรา 33 เป็นเป้าหมายหลัก มีการลดหย่อนภาษีมากกว่า แต่คนไทยก็มีนวัตกรรมเยอะ มีศรีธนญชัยแยะ กฎหมายไม่ได้คิดมาให้ใช้มาตรา 35 เป็นหลัก เราหวังดี แต่ก็มีคนใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพราะมันเห็นผลเร็วกว่า คนเลยไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่า แต่ถึงเวลาที่เราจะมาเห็นภาพกว้าง ตั้งเป้าหมายร่วมกัน และดูว่าจะทำอย่างไร เป็นการแก้ปัญหา Pain Point ของฝั่งนายจ้าง คือนายจ้างอยากจ้างคนพิการ แต่หา ‘คนที่ใช่’ ไม่ได้ การจ้างงานเชิงสังคมจึงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่นั่นก็ทำให้คนพิการส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะคนที่เดินทางไม่สะดวกได้มีงานทำ มีรายได้บ้างก็ยังดี ทุกอย่างมันต้องมีวิวัฒนาการ</p><p>รัตน์สะท้อนว่ามาตรา 33, 34 และโดยเฉพาะ 35 เป็นนวัตกรรม แต่ทุกนวัตกรรมก็ต้องมีการลองผิดลองถูก กฎหมายไทยล้ำหน้าหลายประเทศมาก แต่ก็ต้องช่วยกันพัฒนาปรับปรุงให้มันเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ต้องพัฒนาคนพิการ พัฒนาระบบ สร้างแรงจูงใจให้คนออกจากมาตรา 35 ไปสู่มาตรา 33 มากขึ้น เช่น ให้มาตรา 33 ได้ลดหย่อนภาษี 3 เท่า</p><p>&nbsp;</p><p><strong>อ้างอิง</strong></p><p><a class="ck-anchor" id="_ftn1">[/url]<a href="#_ftn_1">(1)[/url] Randolph-Sheppard Act คือกฎหมายของสหรัฐอเมริกาที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมสิทธิของคนตาบอดในการดำเนินกิจการจำหน่ายสินค้าและบริการภายในอาคารของรัฐบาลกลาง โดยผ่านโครงการที่รัฐต่างๆ ดำเนินการร่วมกับรัฐบาลกลาง</p><p><a class="ck-anchor" id="_ftn2">[/url]<a href="#_ftn_2">(2)[/url] Affirmative Action คือ นโยบายหรือมาตรการเชิงรุกที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขความไม่เท่าเทียมทางสังคม โดยเฉพาะในด้าน โอกาสทางการศึกษา การจ้างงาน และการเข้าถึงทรัพยากร สำหรับกลุ่มคนที่เคยถูกเลือกปฏิบัติในอดีต เช่น คนผิวสี ผู้หญิง ชนกลุ่มน้อย หรือคนพิการ</p></div>
      <div class="node-taxonomy-container">
    <ul class="taxonomy-terms">
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9" hreflang="th">รายงานพิเศษ[/url]</li>
      </ul>
</div> <!--/.node-taxonomy-container -->
<div class="node-taxonomy-container">
    <ul class="taxonomy-terms">
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1" hreflang="th">สังคม[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99" hreflang="th">แรงงาน[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99" hreflang="th">สิทธิมนุษยชน[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95" hreflang="th">คุณภาพชีวิต[/url]</li>
      </ul>
</div> <!--/.node-taxonomy-container -->
<div class="node-taxonomy-container">
    <ul class="taxonomy-terms">
          <li class="taxonomy-term"><a href="http:/