[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ร้านน้ำชา => ข้อความที่เริ่มโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 08 พฤษภาคม 2568 22:09:59



หัวข้อ: [ข่าวมาแรง] - ‘วรเจตน์’ ส่อง ‘กฤษฎีกา’ จุดกำเนิด ผลพวงรัฐประหาร บทบาทและคำถามในปัจจุบัน
เริ่มหัวข้อโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 08 พฤษภาคม 2568 22:09:59
‘วรเจตน์’ ส่อง ‘กฤษฎีกา’ จุดกำเนิด ผลพวงรัฐประหาร บทบาทและคำถามในปัจจุบัน
 


<span>‘วรเจตน์’ ส่อง ‘กฤษฎีกา’ จุดกำเนิด ผลพวงรัฐประหาร บทบาทและคำถามในปัจจุบัน</span>
<span><span>See Think</span></span>
<span><time datetime="2025-05-08T20:46:43+07:00" title="Thursday, May 8, 2025 - 20:46">Thu, 2025-05-08 - 20:46</time>
</span>

            <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field-item"><div class="summary-box"><p>ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘กฤษฎีกา’ เป็นองค์กรที่ปรึกษารัฐบาลที่มีบทบาทสูง ปรากฏในหน้าข่าวเป็นประจำ และสามารถกำหนดทิศทางนโยบายได้ระดับหนึ่ง องค์กรนี้ทำหน้าที่อะไร จุดตั้งต้นมายังไง จุดเปลี่ยนหลังรัฐประหารเป็นอย่างไร บทบาทที่เป็นอยู่เหมาะสมแล้วหรือไม่ มีอะไรที่น่าจะพิจารณาปรับปรุง ฯลฯ ‘ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์’ นักกฎหมายมหาชนจะช่วยอธิบายขยายความ โดยเนื้อหาจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ 1.ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกฤษฎีกาในบริบทไทย 2.จุดเปลี่ยนที่ทำให้บทบาทสำคัญขึ้นเรื่อยๆ และข้อวิพากษ์เพื่อการปรับปรุง&nbsp;</p></div><p>&nbsp;</p><p><strong>เลขาฯ กฤษฎีกา เผยดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยหลักแล้วมันควรจะหยุดลง</strong>
PPTV 15 ส.ค. 2567

<strong>เปิดเบื้องลึก 'แพทองธาร' สั่งถอนวาระแจกเงินหมื่นเฟส 2 กฤษฎีกาท้วงข้อกฎหมาย</strong>
กรุงเทพธุรกิจ 4 ธ.ค. 2567

<strong>กฤษฎีกาตีตกคุณสมบัติ กิตติรัตน์ นั่งปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ คลังจ่อชงชื่อใหม่</strong>
มติชน 25 ธ.ค. &nbsp;2567

<strong>กฤษฎีกา ยอมรับ ใส่กลไกป้องกันคนไทยหมกมุ่นพนัน ในร่างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์</strong>
มติชน 18 ก.พ. 2568</p><p><strong>เปิดร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์ฯ ฉบับกฤษฎีกา ตีกรอบกาสิโน - ตั้งทีมประเมินการลงทุน</strong>
กรุงเทพธุรกิจ 17 ก.พ.2568</p><p><strong>‘กฤษฎีกา’ ชี้ บอร์ดสรรหา กกพ. มีส่วนได้เสียกับธุรกิจพลังงาน ไม่เป็นลักษณะต้องห้าม</strong>
อิศรา 12 เม.ย. 2568</p><p><strong>3 เรื่องร้อนในมือ ‘กฤษฎีกา’ เดิมพันนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาล</strong>
กรุงเทพธุรกิจ 19 ม.ค. 2568</p><p>&nbsp;</p><p>ปฏิเสธไม่ได้ว่า บทบาทของคณะกรรมการกฤษฎีกานั้นโดดเด่นยิ่ง ดูได้จาการปรากฏตัวบนหน้าข่าวในช่วง ‘หัวเลี้ยวหัวต่อ’ ของการดำเนินนโยบายต่างๆ หลายครั้งหลายหน</p><p>หลายเรื่องมีผลโต้แย้งให้รัฐบาลต้องถอย โดยเฉพาะเมื่อเป็นรัฐบาลผสม และอยู่ในสภาวะที่องค์กรอิสระต่างๆ มีอำนาจอย่างมาก ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เปิดช่องตีความด้าน ‘จริยธรรม’ ไว้จนต้องระวังตัวทุกฝีก้าว</p><p>แล้วกฤษฎีกาเป็นใคร ทำหน้าที่อะไร จุดตั้งต้นและจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นตอนไหน บทบาทที่เป็นอยู่เหมาะสมแล้วหรือไม่ มีอะไรที่น่าจะพิจารณาปรับปรุง ฯลฯ แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่ประเด็น ‘ร้อนฉ่า’ แต่ก็เป็นประเด็น ‘อุ่นๆ’ เสมอมา อีกทั้งหาคนที่จะอธิบายพัฒนาการ ‘เสาหลักแห่งชาติ’ ต้นนี้ได้ไม่ง่ายนัก</p><p>‘ประชาไท’ จึงไปรบกวน ‘ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์’ นักกฎหมายมหาชนที่ห่างหายจากหน้าสื่อไปนาน ช่วยอธิบายขยายความเกี่ยวกับองค์กรที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแต่บทบาทโดดเด่นนี้ โดยเนื้อหาจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ 1.ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกฤษฎีกาในบริบทไทย 2.จุดเปลี่ยนที่ทำให้บทบาทสำคัญขึ้นเรื่อยๆ และข้อวิพากษ์เพื่อการปรับปรุง ในที่นี้เราจะให้ส่วนหลังเป็นพระเอก ส่วนแรกเป็นพระรอง</p><p>&nbsp;</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/54502913386_41d1ff1af1_o.jpg" width="6000" height="4000" loading="lazy"><p>&nbsp;</p><p>เบื้องต้นที่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ‘ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล’ ที่เรียกว่า กฤษฎีกามีอยู่ร้อยกว่าคน แบ่งเป็น&nbsp;14 คณะ (https://www.ocs.go.th/home-committee) ดังนี้</p><p>คณะที่ 1 มีชัย ฤชุพันธ์ุ เป็นประธาน มีกรรมการรวม 10 คน
คณะที่ 2 วิษณุ เครืองาม เป็นประธาน มีกรรมการรวม 9 คน
คณะที่ 3 คุณหญิงพรทิพย์ จาละ เป็นประธาน มีกรรมการรวม 10 คน
คณะที่ 4 อมร จันทรสมบูรณ์​ เป็นประธาน มีกรรมการรวม 10 คน
คณะที่ 5 จักรมณฑ์ ผาสุกวนิช เป็นประธาน มีกรรมการรวม 10 คน
คณะที่ 6 พชร ยุติธรรมดำรง เป็นประธาน มีกรรมการรวม 8 คน</p><p>คณะที่ 7 สรรเสริญ ไกรจิตติ เป็นประธาน มีกรรมการรวม 10 คน
คณะที่ 8 เกษม สุวรรณกุล เป็นประธาน มีกรรมการรวม 9 คน
คณะที่ 9 ไพศิษฐ์ พิพัฒนกุล เป็นประธาน มีกรรมการรวม 10 คน
คณะที่ 10 สวัสดิ์ โชติพานิช เป็นประธาน มีกรรมการรวม 10 คน
คณะที่ 11 คณิต ณ นคร เป็นประธาน มีกรรมการรวม 10 คน
คณะที่ 12 พนัส สิมะเสถียร เป็นประธาน มีกรรมการรวม 9 คน
คณะที่ 13 บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน มีกรรมการรวม 10 คน
คณะที่ 14 โกวิทย์ โปษยานนท์ เป็นประธาน มีกรรมการรวม 5 คน&nbsp;</p><p>ดูคร่าวๆ จะเห็น 3 เสาหลักคือ มีชัย, วิษณุ, บวรศักดิ์ ซึ่งต้องกล่าวด้วยว่ามีบทบาทสำคัญในการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2560 และเข้าช่วยงานด้านบริหารด้วยการเป็นอดีตรองนายกฯ ฝ่ายกกฎหมายในยุครัฐประหาร และยังมีอีกหลายคนในกฤษฎีกาที่เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 อาทิ นรชิต สิงหเสนี, ประพันธ์ นัยโกวิท, ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการกฤษฎีกาคนปัจจุบัน&nbsp;

นอกจากนี้ในคณะต่างๆ ยังมีนักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงอีกหลายคน อาทิ&nbsp;จรัญ ภักดีธนากุล, คณิต ณ นคร, ณรงค์ ใจหาญ, สมคิด เลิศไพฑูรย์, สมยศ เชื้อไทย, สุรพล นิติไกรพจน์, ธงทอง จันทรางศุ, นันทวัฒน์ บรมานันท์, ปิยะสกล สกลสัตยาทร, เรวัตร ฉ่ำเฉลิม เป็นต้น ส่วน อุดม รัฐอมฤต นั้นไปดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้วในปัจจุบัน&nbsp;

เมื่อเป็นที่ปรึกษารัฐบาล ย่อมต้องใช้ ‘ผู้เชี่ยวชาญขั้นเทพ’ จากสาขาต่างๆ แล้วมันมีปัญหาตรงไหน? ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เราอาจต้องทำความเข้าใจโครงสร้างกันก่อน</p><p>วรเจตน์อธิบายถึงโครงสร้างหลักของกฤษฎีกาว่าแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนสำนักงาน กับ ตัวกรรมการ&nbsp;</p><ul><li aria-level="1">สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้บัญชาของสํานักงาน ขึ้นตรงต่อ ‘ประธานคณะกรรมกฤษฎีกา’&nbsp; นั่นก็คือนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นโดยตำแหน่ง</li><li aria-level="1">คณะกรรมการได้รับแต่งตั้ง มีอำนาจตรวจร่างกฎหมายและให้คำปรึกษาแก่รัฐบาล หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ฯลฯ แบ่งเป็น 14 คณะ แยกตามประเภทของกฎหมาย เช่น กลุ่มกฎหมายว่าด้วยโทรคมนาคม กฎหมายมหาชน บริหารราชการแผ่นดิน แต่ละคณะจะมีประธาน เรียกว่า ‘ประธานกรรมการกฤษฎีกา’ รวมมีจำนวน 14 คน</li></ul><p>ที่ผ่านมาเคยมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดว่า หากกฤษฎีกาพิจารณาอย่างไรก็ให้ถือปฏิบัติไปตามนั้น เรียกว่าเป็น ‘แนวทางปฏิบัติ’ แต่ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ผูกพันศาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p><p>“ฉะนั้นเวลาหารือกฤษฎีกา มันก็ไม่ถึงขนาดปลอดภัย 100% ว่าศาลต้องเห็นแบบนั้น เพียงแต่ถ้ามันผ่านการกรองมาแล้วชั้นหนึ่ง ครม.ก็จะมีความมั่นใจระดับหนึ่ง แล้วในการประชุม ครม. ผมเข้าใจว่าเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นตําแหน่งฝ่ายประจําน่าจะไม่กี่ตําแหน่งที่ได้เข้าร่วมประชุม ครม.เหมือนกับคอยให้คําปรึกษาทางกฎหมาย” วรเจตน์กล่าว</p><p>กฤษฎีกาถือกำเนินมาตั้งแต่ปี 2476 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง วรเจตน์เล่าว่า คนทำคลอดก็คือ ปรีดี พนมยงค์ ผู้ที่คาดหวังให้องค์กรนี้ทำหน้าที่คล้าย council of state ของฝรั่งเศส แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบผล (จะกล่าวถึงประวัติศาสตร์ในตอนท้าย) และค่อยๆ มีหน้าตาและบทบาทแบบกฤษฎีกาที่เราเห็นในปัจจุบัน โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การรัฐประหาร</p><p>วรเจตน์ให้ภาพใหญ่ว่า รัฐประหาร 2549 มาพร้อมกับความพยายามขยายบทบาทของนักกฎหมาย และบทบาททางกฎหมายขยายออกไปมากขึ้น ผ่านคอนเซปต์ ‘ตุลาการภิวัตน์’ เห็นชัดที่สุดเมื่อศาลมีบทบาทในการแก้วิกฤตทางการเมือง ในด้านหนึ่งย่อมเป็นการสถาปนาอำนาจของนักกฎหมายอย่างมากในสังคมไทย</p><p>“จริงๆ แล้วอำนาจของนักกฎหมายเพิ่มขึ้นมากทีหนึ่งแล้วตอนรัฐธรรมนูญ 2540 เมื่อมีองค์กรอิสระ เราต้องไม่ลืมว่าในด้านหนึ่งองค์ความรู้เราก็ไม่มากพอ ระบบแบ่งแยกอำนาจยังไม่แข็งแรง แต่มีองค์กรเหล่านี้เต็มไปหมด มีคนอยากเป็นตำแหน่งพวกนี้เต็มไปหมด เงินเดือนเยอะ มีอัฐบริขาร วิธีคิดหรือตำแหน่งแห่งที่บางอย่างในระบบการแบ่งแยกอำนาจก็ยังไม่ชัด แต่มันก็เกิดขึ้นมา พร้อมๆ กับการเกิดขึ้นในเวลาต่อมาของพรรคไทยรักไทยด้วย มันมีอะไรบางอย่างประจวบกันในทศวรรษ 2540 ตอนนั้นกลไกทางรัฐธรรมนูญก็เอื้อต่อการบริหาร ประกอบกับได้เสียงค่อนข้างเยอะจึงสามารถทำนโยบายใหญ่ต่างๆ ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ขัดแย้งกับอีลีท กฎหมายจึงถูกเอามาเป็นเครื่องมือมากขึ้น เขาก็ต้องหานักกฎหมายเก่งๆ เข้าไปทำงาน เรียกในภายหลังว่า ‘เนติบริกร’ มันเป็นชั่วโมงทองของนักกฎหมายมหาชน ซึ่งมันมีไม่กี่คน มีไม่เยอะในตอนนั้น”&nbsp;

“วิกฤตทางการเมืองช่วงปี 48-49 สุดท้ายล้มรัฐบาลทักษิณไม่สำเร็จ แต่ใช้ต้นทุนทางกฎหมายเยอะมาก คุณต้องทำให้เลือกตั้งเป็นโมฆะ หลายเรื่องเหตุผลทางกฎหมายไม่ได้เลย ต้องให้ กกต.ลาออก โดยที่ก่อนหน้านั้น กกต.มีคดี ไม่ได้ประกันตัว สุดท้ายยังล้มไม่ได้ก็ต้องใช้ทหาร อาจไม่มีการวางแผนเป็นพล็อตใหญ่จากใคร แต่ละส่วนทำของตัว แต่มันนำไปสู่ปลายทางนี้ และทิศทางมันก็จะเริ่มเปลี่ยน”&nbsp;

วรเจตน์มองว่า ความขัดแย้งทางความคิดการเมืองในช่วงเวลานั้น ‘ลึก’ มากและแทรกเข้าสู่ทุกวงการ และเชื่อว่าย่อมไม่เว้นแม้แต่กฤษฎีกา&nbsp;

“การเมืองมันแตกแยกมากและลามไปทุกวงการ ความแน่ใจว่าคนทำงานจะทำงานอย่างมืออาชีพ ผมว่ามันน้อยลง แม้กระทั่งอาจารย์ ความเห็นหลายอย่างเมื่อต้องตีความกฎหมายบางทีมันเลยไม่ได้เป๊ะตามหลักวิชา ปัจจัยพวกนี้มันแทรกเข้าไปจริงๆ ในวงการกฎหมายบางเรื่อง แต่เราไม่รู้หรอก เวลาเขียนคำสั่ง คำวินิจฉัยอะไรออกมา ทุกอย่างมันถูกคัด ถูกเลือก ถูกใช้ประโยคที่เหมาะสมหมดแล้ว ในทุกวงการมันเป็นหมด”</p><h2>ประธานกฤษฎีกานั่งยาวไม่มีวาระ กรรมการต่ออายุได้เรื่อยๆ</h2><p>อย่างไรก็ตาม การมีความคิดทางการเมืองเช่นไรอาจไม่สำคัญนัก หากยังคงมีความเป็นมืออาชีพ แต่การอยู่ในตำแหน่งยาวนาน โดยธรรมชาติย่อมสร้าง ‘เครือข่าย’ ได้โดยปริยาย</p><p>สำหรับตัวกรรมการกฤษฎีกานั้น&nbsp; ครม.จะเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ นำขึ้นทูลเกล้าฯ มีวาระ 3 ปี แต่สามารถต่อได้ไม่มีลิมิต ดังนั้นกรรมการกฤษฎีกาบางท่านอาจสูงอายุมาก</p><p>“อันนี้จะเรียกเป็นระบบอุปถัมภ์ไหม บางท่านเป็นกรรมการมานานมากๆ ถ้าท่านยังไม่เสีย ก็ตั้งต่อไปเรื่อยๆ นานไปก็จะกลายเป็นเครือข่ายขึ้นมา จะมีแต่ผู้อาวุโส ถ้าไปดูชื่อ ข้าราชการเกษียณเยอะมาก…อยู่นานก็มีความสัมพันธ์กันเป็นเครือข่าย มีทัศนะบางอย่างเหมือนกัน เมื่ออยู่ในบริบทที่การเมืองเข้มข้น เวลาให้ความเห็นก็จะมีบทบาทบางอย่างอยู่ แม้กระนั้นเมื่อดูโดยรวมก็ไม่มีอะไรแปลกไปเยอะ มันก็ยังทำงานของมันต่อไปได้ เพียงแต่จะบอกว่ามันจะเกิดเครือข่ายอีลีททางกฎหมายขึ้น”</p><p>เมื่อหันมองตัว ‘ประธานกรรมการกฤษฎีกา’ ซึ่งมีอยู่ 14 คณะ วรเจตน์กล่าวว่า หลังรัฐประหาร 2549 มีการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขึ้นมาและมีการแก้ไข พ.ร.บ.คณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อปี 2551 ใน 2 เรื่องสำคัญและอย่าง ‘ค่อนข้างเนียน’&nbsp;
&nbsp;</p><ol><li aria-level="1">การแต่งตั้งกรรมการกฤษฎีกา แต่เดิมทางสำนักงานจะเสนอไป ครม. แล้ว ครม.นำขึ้นทูลเกล้าฯ ของใหม่คือ สำนักงานคัดเลือกแล้วส่งชื่อไปที่ ‘ประธานกรรมการกฤษฎีกา’ แต่ละคณะเพื่อพิจารณาก่อน แล้วส่งนายกฯ เพื่อให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ จะเห็นได้ว่า เริ่มมีการลดทอนอำนาจของฝ่ายการเมืองลง โยกมาอยู่ที่ตัวประธานคณะ&nbsp;
&nbsp;</li><li aria-level="1">มาตรา 12 วรรคสุดท้าย ระบุว่า ความในวรรคหนึ่งมิให้นำมาใช้บังคับกับกรรมการกฤษฎีกาที่รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการกฤษฎีกาแต่ละคณะ</li></ol><p>“นั่นแปลว่า ประธานกรรมการกฤษฎีกา ไม่ได้มีวาระ 3 ปี ผมพยายามหาดูว่ามีวาระกี่ปี ไม่เจอเลย แปลว่า ประธานกรรมการ 14 คน อยู่ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ”</p><div class="note-box"><p>เรื่องการดำรงตำแหน่งของกรรมการกฤษฎีกายาวนานแค่ไหน เท่าที่สืบค้นดู พบงานวิจัยของ TDRI (https://tdri.or.th/2012/11/law-council/) เมื่อปี 2555 แม้จะเนิ่นนานแล้วแต่ก็อาจพอทำให้เห็นเค้าบางอย่าง โดยงานวิจัยระบุว่า ถ้าดูระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของกรรมการกฤษฎีกาจะพบค่าเฉลี่ยะอยู่ที่ 12 ปี โดย 33% ดำรงตำแหน่งมาแล้ว 11-20 ปี, 19%&nbsp; ดำรงตำแหน่งมาแล้ว 5-10 ปี, 12% ดำรงตำแหน่งมาแล้ว 20-30 ปี, 4% ดำรงตำแหน่งมาแล้ว 30 ปีขึ้นไป ส่วนกรรมการกฤษฎีกาที่ดำรงตำแหน่งมาแล้วน้อยกว่า 5 ปี มีสัดส่วน 32%</p><p>อายุ กรรมการกฤษฎีกาอยู่ในช่วง 61-70 ปีมากที่สุด คิดเป็น 49% , ช่วงอายุ 71-80 ปี คิดเป็น 22%, ช่วงอายุน้อยกว่า 60 ปี คิดเป็น 15% และช่วงอายุ 80 ปีขึ้นไป คิดเป็น 14%&nbsp;

จบการศึกษาจากสาขานิติศาสตร์มากที่สุด คิดเป็น 63%, สาขาเศรษฐศาสตร์/บัญชี/บริหารธุรกิจ และรัฐศาสตร์ คิดเป็น 12 % และ 8% ตามลำดับ, จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาด้านทหารและตำรวจ 7% และอื่นๆ อีก 10%&nbsp;</p></div><p>ต่อมาหลังรัฐประหาร 2557 วรเจตน์ยังชี้ให้เห็นว่า มีการแก้ไขกฎหมายอีกเรื่องคือ เบี้ยประชุม โดยตอนปี 2547 เคยแก้เรื่องเบี้ยประชุมกฤษฎีกาแล้วทีหนึ่ง กำหนดว่าถ้าเป็นข้าราชการอยู่แล้วและเป็นกฤษฎีกาด้วยให้เบี้ยประชุมครั้งละ 2,000 บาท ถ้าไม่ได้เป็นข้าราชการจะได้ 4,000 บาท ส่วนประธานได้เพิ่มอีก 1 ใน 4 หรือประมาณ 5,000 บาท ต่อมาในปี 2558 มีการแก้ให้กรรมการได้เบี้ยประชุมครั้งละ 4,000 บาทหากเป็นข้าราชการ หากไม่ใช่ข้าราชการจะได้ครั้งละ 8,000 บาท ส่วนประธานได้ครั้งละ 10,000 บาท</p><p>นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการเกิดใหม่อีกชุดหนึ่งคือ คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เป็นการตั้งหน่วยงานใหม่รับเรื่องจากหน่วยงานต่างๆ ที่อยากจะให้ศึกษากฎหมายเพื่อแก้ไข ส่วนนี้ก็ได้เบี้ยประชุมเท่ากัน โดยที่กรรมการกฤษฎีกากับกรรมการพัฒนากฎหมายบางคนก็เป็นซ้ำกัน

“เรื่องเบี้ยประชุมค่อนข้างสูง ผมก็เข้าใจ ถ้างานเขามันสำคัญและมันยาก ก็ควรใส่ให้เขา แต่ที่ผมมีปัญหามากสุดคือ วาระของประธาน เราปล่อยให้มีตำแหน่งที่ไม่มีวาระแบบนี้ในระบบกฎหมายไม่ได้ หรือกระทั่งตัวกรรมการก็ต้องล็อคอายุขั้นสูงเอาไว้ เราไม่ควรปล่อยให้เกิดการรากงอกไปยาวๆ แล้วกลายเป็น authority ผู้ชี้ขาด กำหนดทิศทางทางกฎหมายของประเทศ ทรงอำนาจในการตีความ ผมเคยให้สัมภาษณ์ไว้นานแล้วว่า ผู้ทรงอำนาจตีความคือผู้ทรงอำนาจโดยแท้จริง เพราะการตีความนั้นมันมีผลบังคับจริงๆ มันก็คือกำหนดว่าประเทศเป็นยังไงได้เลยนะ กลายเป็นว่าอำนาจฝ่ายประจำทางกฎหมายมันเพิ่มมากขึ้น”</p><p>“รัฐประหาร 2 ครั้งหลังมันฝากรอยแผลในทางกฎหมายลึกกว่าที่เราคิด”

วรเจตน์ยังพูดถึงตำแหน่ง ‘เลขาธิการกฤษฎีกา’ ซึ่งอยู่มา 4 ปีแล้วแต่รัฐบาลอาจยังหาคนใหม่ไม่ได้ ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งพิเศษ เพราะน่าจะเป็นตำแหน่งเดียวของหน่วยที่อยู่ใต้บังคับบัญชานายกฯ ที่ต้องให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ</p><p>“ผมเดาเอาว่า ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งสำคัญ เป็นตำแหน่งทางธุรการก็จริงแต่มีบทบาทในการเอาเรื่องหารือเข้าคณะนั้นคณะนี้ และเตรียมการสำหรับให้หน่วยนี้เหมือนธุรการของศาลปกครอง เขาเลยจะสร้างความชอบธรรมทางประชาธิปไตยให้มากหน่อย เขาไม่มีวาระตามกฎหมาย เป็นเหมือนข้าราชการประจำทั่วไป แต่เหมือนเป็นวาระที่เป็นที่เข้าใจกันว่าให้อยู่ 4 ปีแล้วต้องเปลี่ยนคน บางคนขึ้นตำแหน่งอายุน้อย อย่างคนปัจจุบันรับตำแหน่งอายุ 50 ปีต้นๆ เร็วมาก เพราะช่วงมันขาด ตอนตั้งศาลปกครองมันมีการโอนบุคลากร ไปอยู่ฝั่งสำนักงานศาลปกครองเยอะ แล้วต่อมาก็ไปเป็นตุลาการศาลปกครองกันไป”&nbsp;</p><p>อย่างไรก็ดี วรเจตน์เห็นว่า กฤษฎีกามีข้อดีที่ตัวสำนักงานไม่ได้ใหญ่เทอะทะ บุคลากรไม่มาก และพอจะทำงานเป็นหลักในทางกฎหมายได้ดีกว่าหน่วยอื่น</p><p>&nbsp;</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/54503274685_4643ea1c62_o.jpg" width="6000" height="4000" loading="lazy"><p>&nbsp;</p><h2>กรณี ‘กิตติรัตน์’ สะท้อนอำนาจที่อ่อนแอของฝ่ายการเมือง</h2><p>กรณีล่าสุด เป็นตัวอย่างที่น่าหยิบยกมาสนทนา นั่นคือ การตีความคุณสมบัติของ ‘กิตติรัตน์ ณ ระนอง’ ที่กระทรวงการคลัง โดยกรรมการสรรหาส่งชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ พร้อมๆ กับคู่ชิงจากฝั่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ท่ามกลางเสียงคัดค้านมากมาย อดีตผู้ว่า ธปท.หลายคนและนักเศรษฐศาสตร์หลายร้อยเข้าชื่อต่อต้าน ท้ายที่สุดมีการส่งเรื่องไปยังกฤษฎีกา สื่อมวลชนรายงานว่า เรื่องนี้พิจารณาโดย 3 คณะคือ คณะที่มีชัย, วิษณุ, บวรศักดิ์ เป็นประธาน และสุดท้ายถูกตีตกเพราะขาดคุณสมบัติ&nbsp;

เมื่อถามความเห็นวรเจตน์ เขาดูลำบากใจในการให้ความเห็นอยู่บ้างเพราะไม่ได้เห็นเอกสารทางการในเว็บไซต์กฤษฎีกา&nbsp;(ในขณะให้สัมภาษณ์ - ปัจจุบันมีความเห็นเผยแพร่ในเว็บไซต์แล้ว&nbsp;เป็นบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 1712/2567) ทั้งที่ปกติจะเปิดเผยและนำขึ้นอย่างเป็นระบบอยู่ตลอด&nbsp;

“เรื่องลับมันก็พูดยาก ถ้าต้นทางตีลับมา กลายเป็นว่าที่จะพึ่งได้คือ สื่อบางสำนัก เขาได้มายังไง แหล่งข่าวนี้ต้องระดับอยู่ในที่ประชุม ถ้าไม่ใช่ก็ไม่มีทางจะได้ exclusive ขนาดนั้น

“เท่าที่ดูประเด็นข้อกฎหมาย เรื่องนี้แปลก ประธานบอร์ดแบงก์ชาติมันผ่านคณะกรรมการสรรหา ขออนุญาตเอ่ยนาม มีอาจารย์สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ุ เป็นประธาน ซึ่งผมคิดว่าประธานชุดนี้ดูอย่างดี คนที่อยู่ในกรรมการสรรหาหลายคนก็เป็นนักกฎหมายชั้นอ๋องเหมือนกัน ผมว่าเขาดูดีแล้วว่าไม่ขาดคุณสมบัติโดยตัวบท แต่เราต้องเข้าใจว่าตัวคุณกิตติรัตน์มีแรงต้านเยอะ อาจเรียกได้ว่าเป็นโจทก์เก่าตั้งแต่สมัยคุณทักษิณ&nbsp;</p><p>“เคสของคุณกิตติรัตน์ เท่าที่ดูข้อกฎหมาย ผมเห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการสรรหาว่าวินิจฉัยถูกแล้ว ที่แบงก์ชาติถามมาแล้วกฤษฎีกาตอบ เหมือนเป็นการเอาพฤติกรรมมาประกอบ จริงๆ มันต้องเห็นตัวเต็ม เอาพฤติกรรมมาดูแล้วชี้ว่าขาดคุณสมบัติ ถามว่าความเห็นกฤษฎีกาอันนี้ผูกพันรัฐบาลให้ต้องทำตามไหม ไม่ผูกพัน มันเป็นแค่ความเห็น สมมติผมเป็นรัฐมนตรีคลัง ผมเอาความเห็นที่คณะกรรมการสรรหาเขาสรรหาแล้วอย่างถูกต้องนำเข้า ครม. ขึ้นทูลเกล้าฯ ไป ทำได้ไหม-ได้ ความเห็นกฤษฎีกาไม่ได้ผูกพัน เขาเป็นที่ปรึกษาไม่ได้เป็นเจ้านายรัฐบาล และไม่ใช่ศาลด้วย</p><p>“ในทางกฎหมายไม่ผูกพัน แต่เวลาเราดูกฎหมายมันไม่ขาดกับการเมือง ถึงแม้ผมจะเป็นนักกฎหมาย จะใช้ไปตามหลักเลย แต่ผมเข้าใจว่าเวลาเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ มันมีอะไรมากไปกว่านั้น เราไม่สงสัยว่าทำไมพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำรัฐบาลตอนนี้กลับมาใช้บริการของ อ.วิษณุ เครืองาม ทั้งที่ความจริงท่านก็ป่วย แล้วท่านก็ไม่รับตำแหน่งรองนายกฯ ด้วย เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่ต้องการคนที่เจนศึกสงคราม แล้วงานพวกนั้นมันมี protocol เกี่ยวพันกับราชสำนักอีก มีขั้นมีตอนที่คุณต้องทำ ต้องเห็นโครงสร้างในระบบราชการทั้งหมด ต้องมีประสบการณ์มากพอ ต้องรู้จักคนในระดับหนึ่ง รัฐบาลไม่มีคนแบบนี้</p><p>“อีกด้านหนึ่งก็จะทับซ้อนกัน เพราะอยู่ในกฤษฎีกาด้วย คนคนหนึ่งความสัมพันธ์ในแต่ละอัน หลายแบบ หลายระนาบ เวลาที่เราพูดถึงเรื่องความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา จริงอยู่ไม่มีผลผูกพันรัฐบาล แต่รัฐบาลจะกล้าไหม รัฐบาลในสภาวะแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องถอย ดังนั้น ความเห็นบางอันไม่มีผลผูกพันในทางกฎหมาย แต่มีผลจริงในทางการเมือง ทางปฏิบัติ</p><p>“โดยสรุป ความสูงขึ้นของ (บทบาท) กฤษฎีกาตอนนี้มาจากความมั่นคงของประธานและกรรมการ ดำรงตำแหน่งได้นาน เอาออกไม่ได้ เขาสามารถสรรหากรรมการใหม่เข้าไปเติมได้ ส่วนฝ่ายการเมืองบอกว่าคุมตัวสำนักงาน แต่สำนักงานกับตัวกรรมการก็ใกล้กันอยู่ แล้วเขาก็ขาดคน ในช่วงระยะเวลา 9 ปี รัฐบาลกลับมาในทางบริหาร คนที่จะรู้จักในฝ่ายประจำมันหายไปหมด

“ดังนั้น ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในบางกรณีมันแทบจะเป็นอย่างนั้นเลย ทั้งที่ความจริงอาจไม่ถูก แต่มันเป็นอย่างนั้น นี่คือการเพิ่มขึ้นของบทบาทคณะกรรมการกฤษฎีกาอย่างมีนัยสำคัญ มันไม่ได้เพิ่มเพราะมีกฎหมายเขียนอะไรหรอก แต่บริบทรัฐประหาร 2 ครั้ง รัฐบาลผสม บริบทซึ่งพร้อมจะมีคนชงให้” วรเจตน์ให้ความเห็น</p><h2>รอฝ่ายการเมืองเข้มแข็งเพียงพอที่จะแก้ไข</h2><p>“ข้างหน้าสิ่งที่ฝ่ายการเมืองต้องทำ คุณต้องรื้อเรื่องนี้ที่กฤษฎีกา แต่ว่ารัฐบาลอำนาจไม่พอ ตอนนี้ปัญหาของเรามันย้อนแย้งหลายอย่าง รัฐบาลไม่มีคนที่ทำเรื่องพวกนี้โดยตรง คนที่อย่างน้อยพรรคการเมืองเห็นว่าควรมาทำเรื่องพวกนี้ แต่ผมประเมินว่าเขาไม่ทำ เพราะมันกระเพื่อมในกลุ่มอีลีททางกฎหมายเยอะมาก</p><p>“มันมีการเขียนกฎหมายแบบนี้ ประธานเป็นได้ตลอดชีวิต มันถูกไหม แล้ว ครม.เขาไม่ได้ไปมีส่วน มันถูกไหม คุณกำลังจะสร้างอะไรที่เป็นฝ่ายประจำที่กึ่งๆ เป็นองค์กรอิสระหรือเปล่า</p><p>“รัฐบาลคุณประยุทธ์อยู่มา 9 ปี มันมากพอที่คนที่ขึ้นมาระดับอธิบดี ปลัดกระทรวง จะถูกหล่อหลอมมาจาก 9 ปีนี้ เราอาจไม่ต้องคิดถึง attitude ในทางการเมืองของเขาก็ได้ มันไม่ง่ายสำหรับรัฐบาลที่เข้ามาแล้วเจอกับฝ่ายประจำที่แข็ง จะเปลี่ยนต้องเจอแรงต้าน</p><p>“ปัญหาตอนนี้ส่วนใหญ่เราไม่เชื่อประชาชน ไม่ให้เขาปกครองตัวเขาเองผ่านการเลือก ผมไม่ได้จะลดทอนความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือกลุ่มอีลีท ไอ้ฝ่ายการเมืองก็ต้องถูกดึง หรือถูกถ่วงอยู่ แต่มันถ่วงแบบที่ขาดเลยไม่ได้ ยังไงฝ่ายการเมืองเขาอยู่ชั่วคราว ได้ mandate จากประชาชน เขาต้องรับผิดชอบ ถ้ามีรัฐบาลที่อยู่ได้ยาวนิดหนึ่งเขาถึงจะทำเรื่องพวกนี้ได้ ผมมองว่าเรื่องวงการกฎหมายไทยมันใช้เวลานานกว่าจะแก้ได้ จนกว่าคุณจะมีรัฐบาลที่มีความเข้มแข็งและมี will และ convince คนได้ว่าอันนี้มันไม่ถูก คุณสามารถต่อสู้กับอีลีทกลุ่มนี้ได้ บางทีผมก็คิดว่าต้องรอให้หมดเจเนอเรชันอันนี้ไปหรือเปล่า

“ผมสนับสนุนฝ่ายการเมืองมากกว่า คิดอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเขาได้ mandate มาจากประชาชน ต้องให้เขานำ ถามว่า นักการเมืองบางคนมันไม่ได้เรื่องเลย มันก็มี คุณต้องทำใจ แต่มันเปลี่ยนได้ไง แต่บางคนมาก็อาจทำให้ฝ่ายประจำอ่อนตัวลงได้ แม้มักเจอข้อหาทันทีว่าแทรกแซงฝ่ายประจำ ถ้าฝ่ายการเมืองไม่ดี มันมีกลไกของศาลอยู่ แต่ศาลต้องระวัง ไม่ใช่ว่าคุณเข้าไปจนเขาทำงานไม่ได้ เพียงเพราะคุณไม่เห็นด้วยกับนโยบาย ปัญหาคือคุณไม่ได้เป็นรัฐบาลไง ผมก็ไม่ได้เห็นด้วยกับรัฐบาลทุกเรื่อง แต่ไม่ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เขาก็รับผิดชอบผ่านกลไกทางการเมืองไง&nbsp;</p><p>“ตอนนี้มันจะเกิดพรรคการเมืองหลายพรรค แล้วจะทำให้การบริหารจัดการมันยากเพราะต้องมีการประนีประนอมระหว่างพรรคการเมือง ใครก็มองว่าเลือกตั้งปี 70 พรรคการเมืองก็จะเป็นรัฐบาลผสม เราจะไม่มีพรรคการเมืองพรรคเดียวอีกแล้ว เราจะไม่เห็นแบบรัฐบาลทักษิณตอน 2548</p><p>“เวลาทำระบบต้องปลูกฝังหลักการ แล้วกลไกถ่วงดุลอำนาจต้องแข็งพอ ถ้าศาลคุณเป๋ไปมาก นิติบัญญัติ บริหาร ต้องถ่วงได้ ต้องออกอำนาจตัดอำนาจได้”</p><p>นั่นคือ มุมมองของวรเจตน์ที่เห็นว่าการยกเครื่องคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือกระทั่งทำให้ 3 อำนาจหลักได้ดุลกันมากขึ้นนั้น…​เป็นงานยาก ยาว และดูเหมือนยังไม่เห็นทางสำเร็จในระยะเวลาอันใกล้</p><p>&nbsp;</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/54503104139_28ee99c172_o.jpg" width="6000" height="4000" loading="lazy"><p>&nbsp;</p><h2>ประวัติศาสตร์กฤษฎีกา หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง</h2><p>กฤษฎีกา ท่านได้แต่ใดมา? คือคำถาม และต่อไปนี้คือเลคเชอร์ของศาสตราจารย์ด้านกฎหมายมหาชนที่จะให้ภาพรวมทั้งหมดของการก่อกำเนิดและการเปลี่ยนแปลง

คณะกรรมการกฤษฎีกา มีกําเนิดมาจากไอเดียของประเทศฝรั่งเศส อันที่จริงก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการตั้ง ‘สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน’ ในสมัยรัชกาลที่ 5 คล้ายเลียนแบบมาจากองค์กรในยุโรป ให้คําปรึกษากฎหมายและอื่นๆ กับประมุขของรัฐ แต่หน่วยงานนี้ก็อยู่ได้เพียงประมาณ&nbsp; 20 ปี ผลงานมีไม่มากและเลิกรากันไปในที่สุด ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ตั้ง ‘กรมร่างกฎหมาย’ ขึ้นภายใต้กระทรวงยุติธรรม&nbsp;</p><p>การเปลี่ยนแปลงสําคัญที่สุดเกิดขึ้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผู้นำฝ่ายพลเรือนของคณะราษฎรคือ ‘ปรีดี พนมยงค์’ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองถือว่าเป็นบุคคลสําคัญ เพราะจบกฎหมายจากฝรั่งเศส คุ้นเคยกับระบบที่มีการให้คําปรึกษาทางกฎหมายแก่รัฐบาล การวินิจฉัยคดีที่รัฐพิพาทกับเอกชน มีการผลักดันจนออกกฎหมายฉบับหนึ่งเรียกว่า พ.ร.บ.คณะกรรมการกฤษฎีตรา โดยต้องการให้คณะกรรมการกฤษฎีกามีภาระหน้าที่ 2 อย่าง</p><p>คําว่า ‘คณะกรรมการกฤษฎีกา’ มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Council of State ปัจจุบันยังเป็นชื่อที่ใช้อยู่ แปลตรงตัวคือสภาแห่งรัฐ แต่เราเรียกว่าคณะกรรมการกฤษฎีกา สภาแห่งรัฐในฝรั่งเศสมีพัฒนาการมายาวนาน มีภาระหน้าที่หลักอยู่ 2 อย่าง อย่างแรก คือ ให้คําปรึกษาทางกฎหมายกับรัฐบาล ตรวจร่างกฎหมาย อย่างที่สอง คือ การตัดสินคดีที่เป็นคดีพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชน ที่เราเรียกว่า ‘คดีปกครอง’&nbsp;</p><p>เพราะฉะนั้น สภาแห่งรัฐ (Conseil d'État) ในฝรั่งเศสจึงมี 2 ฟังก์ชั่น ซึ่งเราจะเข้าใจยากมากเลยเพราะว่ามันอยู่ใน ‘ฝ่ายบริหาร’ ด้านหนึ่งให้คําปรึกษากฎหมายแก่รัฐบาล อีกด้านหนึ่งเป็นศาลปกครอง แต่ไม่ได้เป็นฝ่ายตุลาการ ที่เป็นแบบนี้เพราะพัฒนาตามประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส ทุกวันนี้ส่วนที่ตัดสินคดีในสภาแห่งรัฐเขายังไม่ได้ถือเป็นราชการฝ่ายตุลาการ แต่เป็นราชการพลเรือน อย่างไรก็ดี ตัวตุลาการได้รับความประกันความเป็นอิสระ ไปสั่งเขาในการตัดสินคดีไม่ได้&nbsp;</p><p>ในมุมของคนจบจากเยอรมนีซึ่งมีการแยกองค์กรตุลาการขาดจากฝ่ายบริหารย่อมรู้สึกประหลาดนิดหนึ่ง แต่หากศึกษาพัฒนาการในทางประวัติศาสตร์ เราจะเข้าใจว่ามันเป็นผลพวงของฝรั่งเศสหลังปฏิวัติใหญ่ปี 1789 คณะปฏิวัติไม่อยากให้ศาลเดิมที่มีอยู่มายุ่งเกี่ยวกับการบริหารการแผ่นดิน เพราะตุลาการก็ล้วนเป็นขุนนาง จึงออกกฎหมายตัดอํานาจศาลยุติธรรม ห้ามมิให้ยุ่งเกี่ยวกับงานบริหารราชการแผ่นดิน ฉะนั้นในงานบริหารราชการแผ่นดินเลยมีองค์กรใหม่ขึ้นมา คือสภาแห่งรัฐนี่เอง แล้วก็วิวัฒนาการมาจนกลายมาเป็นศาลปกครองเต็มรูป&nbsp;</p><p>“เล่าเรื่องนี้เพื่อช่วยเห็นแบ็กกราวนด์ของท่านผู้ประศาสน์การปรีดีว่า ท่านได้เดียนี้มา สิ่งที่ท่านต้องทําก็คือ ทํายังไงให้เวลาประชาชนพิพาทกับรัฐ เช่น รัฐออกคําสั่งมาแล้วละเมิดสิทธิกระทบสิทธิให้เขาเสียหายสามารถฟ้องคดีได้ ท่านก็เลยตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาขึ้นมาในปี 2476&nbsp; เพียงแต่ว่าตอนแรกส่วนที่ตัดสินคดียังทําไม่ได้ เพราะขาดความพร้อมเรื่องบุคลากร ก็เลยมีแต่ส่วนที่ตรวจร่างกฎหมายให้คําปรึกษากฎหมายกับรัฐบาลก่อน&nbsp; ส่วนการตัดสินคดีปกครองถ้าทำได้เมื่อไรให้ไปออกกฎหมายอีกทีหนึ่ง</p><p>“แต่เหมือนพอจะตั้งศาลปกครองขึ้นมาในแบบฝรั่งเศส ฝ่ายศาลยุติธรรมเขาคัดค้าน ให้เหตุผลว่ามันทําให้ศาลแยกออกเป็นหลายศาล เขาไม่คุ้นเคย…ดังนั้น หากประชาชนมีคดีพิพาทกับเจ้าหน้าที่รัฐก็จะเป็นคดีแพ่งประเภทหนึ่งไป เมื่อก่อนนักกฎหมายไม่รู้จักคดีปกครอง ซึ่งก็มีคดีแบบนี้อยู่บ้างแต่ไม่ค่อยเยอะ คําตัดสินของศาลยุติธรรมบางเรื่องก็ดี เป็นหลักกฎหมายที่โอเค แต่ว่าเขาค่อนข้างจํากัดบทบาทของตัวเอง นอกจากนี้เราก็ไม่ได้เตรียมบุคลากรรองรับความรู้ตามกฎหมายมหาชน โดยเฉพาะยิ่งกฎหมายปกครอง</p><p>“วิชากฎหมายปกครอง พอมันไม่มีศาลปกครอง มันไม่เกิดการพัฒนาในคลังความรู้ ผมมีความเห็นเป็นส่วนตัวว่า ผลจากการนี้ทําให้ความรู้ในทางกฎหมายปกครอง รวมทั้งรัฐธรรมนูญด้วยค่อนข้างนิ่งเป็นเวลาหลายสิบปี เพราะไม่มีคนเรียน ไม่มีคดี สรุปก็คือว่ามันทําไม่ได้ เพราะว่าเวลาจะตั้งศาลปกครอง จอมพล ป. ก็เคยพยายามจะทําแต่ก็เฟล&nbsp;</p><p>“ผมพูดอยู่เสมอเลยว่าหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรแทบจะไม่ได้แตะอะไรอํานาจตุลาการเลย ลองนึกถึงอายุของผู้ประศาสน์การปรีดีตอนนั้น 32 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นนักกฎหมายหนุ่ม จะทําอะไรแต่ละทีคุณเจอพวกพระยาเต็มไปหมดเลย ขนาดทํารัฐธรรมนูญถาวร 2475&nbsp; ยังเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ แล้วมันทําให้ไม่ได้มีการเปลี่ยนไอเดียของพวกผู้พิพากษาตุลาการ”&nbsp; วรเจตน์กล่าว</p><p>ในเวลาต่อมาก็เกิดความขัดแย้งขึ้น เพราะกฤษฎีกาตั้งขึ้นจากไอเดียแบบฝรั่งเศส&nbsp; แต่ฝั่งพิจารณาคดีปกครองเกิดขึ้นไม่ได้ ติดล็อกเรื่อยมา รัฐบาลไหนจะทําศาลปกครองก็มีอันล้ม จนปี 2522&nbsp; จึงเริ่มขยับให้มีกรรมการกฤษฎีกาที่ให้คําปรึกษากฎหมายรัฐบาล กับอีกฝั่งหนึ่งเรียกว่า ‘กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์’ ซึ