[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ใต้เงาไม้ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 12 พฤษภาคม 2568 17:18:27



หัวข้อ: เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๒ ประเพณีเลี้ยงลูก-บวชนาค-แต่งงานบ่าวสาว
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 พฤษภาคม 2568 17:18:27
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/37576591223478_7_Copy_.jpg)

เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๒

ประเพณีเลี้ยงลูก
ประเพณีบวชนาค
ประเพณีแต่งงานบ่าวสาว

ลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ภาคที่ ๒
----------------------------

เสวกเอก พระยาศรีราชอักษร
พิมพ์แจกในงานศพ
นางเล็ก กาญจนาคม ผู้มารดา
ปีมะแม พ.ศ. ๒๔๖๒
----------------------------

พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร



คำนำ

เสวกเอก พระยาศรีราชอักษร กรมราชเลขานุการ มาแจ้งความแก่กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร ว่าจะทำการปลงศพนางเล็ก กาญจนาคม ผู้มารดา มีความศรัทธาจะรับพิมพ์หนังสือในหอพระสมุด ฯ สักเรื่อง ๑ ขอให้กรรมการช่วยเลือกเรื่องหนังสือให้ ข้าพเจ้านึกว่าถ้าหาพระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ให้พิมพ์ได้ พระยาศรีราชอักษรเห็นจะยินดี จึงตรวจค้นหาเรื่องหนังสือซึ่งกรมพระสมมต ฯ ได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ ไปพบเรื่องประเพณีบวชนาคมีอยู่ในหนังสือวชิรญาณวิเศษ ปีชวดสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๕๐ (พ.ศ. ๒๔๓๑) เรื่อง ๑ ในปีนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เสด็จดำรงตำแหน่งสภานายกแทนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ทรงเรื่องต่าง ๆ สำหรับจะให้แต่งลงพิมพ์ในหนังสือวชิรญาณ แล้วโปรดให้ขอแรงทั้งในกรรมสัมปาทิก แลสมาชิกของหอพระสมุด ฯ บรรดาที่สามารถจะแต่งหนังสือได้ รับเรื่องไปแต่งส่งมาตามถนัด กรมพระสมมต ฯ เปนตำแหน่งเหรัญญิก ทรงรับเรื่องประเพณีบวชนาคราษฎรไปแต่ง พระยาราชวรานกูล (อ่วม) เปนผู้ช่วยกรมพระสมมต ฯ ในกรรมสัมปาทิกนั้น รับแต่งเรื่องประเพณีเลี้ยงลูกเรื่อง ๑ กับประเพณีแต่งงานบ่าวสาวไปเรื่อง ๑ การที่แต่งเรื่องทั้ง ๓ ทีเห็นจะได้ปฤกษาหารือกัน มีความกล่าวอ้างถึงกันอยู่ในหนังสือที่แต่งนั้น ข้าพเจ้าจึงคัดมาทั้ง ๓ เรื่องรวมพิมพ์ในสมุดเล่มนี้ จัดไว้ในจำพวกลัทธิธรรมเนียม นับเปนภาคที่ ๒ ข้าพเจ้าได้ตรวจตราชำระบ้างเล็กน้อย แต่ในเรื่องประเพณีแต่งงานบ่าวสาว ได้แก้ตอนต้น​มากอยู่น่อย ด้วยหนังสือเดิมพระยาราชวรานุกูลคิดจะกล่าวเปนใจความในเรื่องประเพณีแต่งงานไว้ข้างต้น แล้วบรรยายถึงลักษณพิธีแต่งงานต่อไปข้างตอนหลัง เห็นว่าเปนความคิดดีอยู่ แต่ความที่เรียบเรียงตอนต้นไปกล่าวซ้ำเสียเปนอย่างเดียวกับตอนหลัง ข้าพเจ้าจึงแก้ตอนต้นให้ คงกล่าวแต่ใจความตามดำริห์เดิมของพระยาราชวรานุกูล แลได้เปลี่ยนเรียกชื่อเรื่องเสียใหม่ ให้เปนระเบียบเดียวกันทั้ง ๓ เรื่อง

มีข้อความควรจะต้องชี้แจงไว้ในที่นี้อิกสักน่อย ๑ ว่า ลัทธิประเพณีที่กล่าวในหนังสือ ๓ เรื่องนี้ ว่าด้วยลัทธิประเพณีที่ประพฤติกันมาแต่ก่อน แลยังคงประพฤติกันอยู่บ้างในเวลาเมื่อแต่งหนังสือ การก็ล่วงมาช้านานแล้ว มิใช่ประเพณีที่คงใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เปนดังพรรณาในหนังสือที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้

ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในกุศลบุญราษีทักษิณานุปทาน ซึ่งพระยาศรีราชอักษรได้บำเพ็ญสนองคุณมารดาด้วยความกตัญญูกตะเวที ทั้งได้พิมพ์ลัทธิธรรมเนียมภาคที่ ๒ นี้ให้แพร่หลายด้วย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/24234623544745_Signed_Prince_Damrong_Rachanup.png)  สภานายก
หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๒


หัวข้อ: Re: เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 พฤษภาคม 2568 17:22:57
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/14700587052437_7_Copy_.jpg)

เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๒

ประเพณีเลี้ยงลูก
​พระยาราชวรานุกูล (อ่วม) เรียบเรียง
----------------------------

ธรรมดาบิดามารดากับบุตร ก็เปนธรรมเนียมของปุถุชนทั่วโลกย่อมมีความกรุณาอุปถัมภ์แลสั่งสอนจะให้เปนคุณประโยชน์แก่บุตรของตนนั้นสืบมาทุกรูปทุกนาม จะพรรณาได้กว้างขวางโดยเลอียดก็จะยืดยาวไป ทราบแก่ใจของปุถุชนทั้งปวงอยู่แล้ว

จะขอกล่าวความโดยโวหาร แลไต่ถามท่านผู้รู้พระบรมพุทโธวาทมาเรียบเรียงลงไว้พอเปนสังเขป ตามบาฬีอังคุตระนิกายติกกะนิบาตว่า ตโย เม ภิก์ขเว ปุต์ตาสํวิช์ชมานา โลกัสมิ กตเม ตโย อภชาโต อนุชาโต อวชาโต จาติ ความว่าบุตรมี ๓ จำพวก คือ อภิชาตบุตรจำพวก ๑ อนุชาตบุตรจำพวก ๑ อวชาตบุตรจำพวก ๑ เปน ๓ จำพวกดังนี้ อภิชาตบุตรนั้น คือบุตรชายบุตรหญิงก็ดี มีน้ำใจตั้งอยูในถ้อยคำบิดามารดาสั่งสอน แลมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด จะร่ำเรียนวิชาการต่าง ๆ ฤๅคิดทำการสิ่งใดก็ว่องไวเฉียบแหลมยิ่งเกินบิดามารดา จะมียศศักดานุภาพทรัพย์สมบัติก็ยิ่งกว่าบิดามารดา บุตรจำพวกนี้ได้ชื่อว่าอภิชาตบุตร อนุชาตบุตรนั้น มีน้ำใจตั้งอยู่ในถ้อยคำบิดามารดาสั่งสอนบ้าง ประพฤติการที่ชอบประกอบคำบิดามารดาสั่งสอนบ้าง มีสติปัญญาเล่าเรียนวิชาทำการสิ่งใด ๆ ฤๅประกอบไปด้วยยศแลสมบัติ ก็ไม่ยิ่งไม่ต่ำกว่าบิดามารดานัก พอเสมอตามตระกูล​บิดามารดา บุตรดังนี้ได้ชื่อว่าธนชาตบุตร อวชาตบุตรนั้น มิได้ตั้งอยู่ในถ้อยคำบิดามารดาสั่งสอน ประพฤติการสิ่งซึ่งมิชอบ คบเพื่อนเสพสุราประกอบการทุจริตต่าง ๆ มีความประพฤติต่ำเลวทรามกว่าบิดามารดา จะคิดทำการสิ่งใดก็ไม่เปนคุณประโยชน์ไม่เปนที่ชอบใจแห่งบิดามารดา แลวงษาคณาญาติ ชักให้ตระกูลบิดามารดาต่ำถอยลงด้วย บุตรอย่างนี้ได้ชื่อว่าอวชาตบุตร ก็แลบุตรทั้ง ๓ จำพวกดังกล่าวมานี้ จะมาบังเกิดในสำนักบิดามารดาตระกูลใด บิดามารดาก็ย่อมมีความสิเนหาอุปถัมภ์สั่งสอนบุตรทั้ง ๓ จำพวก ให้ประพฤติการตามตระกูลเสมอกัน หากอุปนิไสยของบุตรผิดกัน จึงแตกต่างไปเปน ๓ จำพวก ดังกล่าวมา

เมื่อบิดามารดาทราบว่าบุตรมาปฏิสนธิในครรภ์มารดาแล้วก็มีความยินดี ตั้งใจทนุบำรุงรักษาบุตรในครรภ์ตามสมควรแก่ความสามารถของบิดามารดา มารดานั้นแม้อยากจะบริโภคอาหารที่เผ็ดร้อนเปนของที่ชอบใจก็สู้อดงดเว้นไม่บริโภค เมื่อจะนั่งนอนเดินไปมาก็ระวังรักษากาย เพื่อจะมิให้บุตรในครรภ์ป่วยเจ็บเปนอันตรายด้วยเหตุต่าง ๆ ฝ่ายบิดาก็หาหมอมาประกอบยาให้มารดาบุตรนั้นรับประทาน เพื่อจะได้รักษาบุตรในครรภ์ให้มีความศุขสบายเจริญไวยวัฒนาขึ้น จนครรภ์มารดาถ้วนกำหนดจวนจะคลอดบุตรแล้ว จึงหาหมอพยุงครรภ์หมอยาหมอนวดมาประจำรักษาครรภ์มารดาอยู่ เผื่อจะเจ็บครรภ์ฤๅจะขัดขวางประการใด จะได้แก้ไขให้ทันท่วงที มารดาต้องทนทุกขเวทนารักษาครรภ์บุตรนั้นมาได้ความลำบากถึง ๙ เดือน ๑๐ เดือน.

​ครั้นถึงฤกษ์งามยามดีบุตรคลอดพ้นจากครรภ์มารดา บางทีขัดขวางทนทุกขเวทนาต่าง ๆ กัน บางทีจนถึงมารดานั้นตายก็มี ถ้าบุตรคลอดจากครรภ์มารดาโดยสดวกแล้ว บิดามารดาก็มีความโสมนัศจัดการเลี้ยงดูโดยประเพณีที่นับถือ เปนคติสืบกันมาตั้งต้นแต่หาสมุดดินสอมาจดหมายฤกษ์ยามวันคืนเดือนปีบุตรไว้ เพื่อจะได้ให้โหรดูชตาราษีบุตรให้ถูกต้องตามตำรา ส่วนหมอพยุงครรภ์ก็รับเอาบุตรมาเอานิ้วมือควักโลหิตในปากบุตรนั้นออก แล้วเขาน้ำผึ้งทองคำเปลวกวาดที่ต้นลิ้น เพื่อจะมิให้ทารกนั้นมีโรคป่วยเจ็บตานทรางต่าง ๆ ถ้าหมอพยุงครรภ์ควักโลหิตในปากทารกนั้นออกไม่หมด ฤๅไม่ได้ควักออกแล้ว ก็ถือว่าทารกนั้นมักจะมีโรคป่วยเจ็บตานทรางต่าง ๆ แลน้ำผึ้งทองคำเปลวนั้นบิดามารดาหาเตรียมไว้ ก็ได้กวาด ถ้าไม่มีก็หาได้กวาดไม่ หมอก็เอาบุตรนั้นมาตัดสายอุทรที่ติดอยู่กับรก วิธีที่ตัดสายอุทรนั้น ต้องไว้สายยาวเสมอกับเข่าทารกนั้น แล้วเอาด้ายดิบที่ย้อมครามผูกคาดสายอุทรที่จะตัดให้แน่น ปราถนาจะไม่ให้เลือดลมเดินได้ เมื่อจะตัดสายอุทรนั้นเอาก้อนดินที่แขง รองสายอุทรไว้ จำเภาะให้เอาผิวไม้รวกตัดสายอุทรนอกกายที่ผูกคาดไว้ แลรกที่ตัดขาดออกแล้วต้องล้างน้ำให้หมดจด ใส่หม้อตาลเอาเกลือใส่ทับรกไว้บนปากหม้อ ซึ่งเอารกล้างน้ำให้หมดจดนั้น เพราะปราถนาจะกันไม่ให้บุตรป่วยเจ็บเปนพุพองเปื่อยพังได้ แล้วหมอพยุงครรภ์จึงได้รับเอาบุตรไปอาบน้ำ ชำระกายให้หมดมลทิน ปูเบาะแลผ้าในกระด้งยกบุตรลงวาง ถ้าบุตรเปนชายบิดาแลญาติก็เอาสมุดดินสอวางไว้ใน​กระด้งข้างเบาะ ถ้าบุตรเปนหญิงก็เอาเข็มด้ายใส่ลงไว้ ความประสงค์ของบิดามารดา เพื่อจะให้บุตรชายบุตรหญิงรู้วิชาในการหนังสือแลการเย็บปักร้อย แล้วหมอพยุงครรภ์มีลัทธิ ยกกระด้งที่รองบุตรนั้นขึ้นร่อนออกวาจาว่าสามวันลูกผีสี่วันลูกคน ลูกของใคร ๆ มารับเอาเน้อ แล้วทิ้งกระด้งลงกับพื้นเรือนเบา ๆ พอให้บุตรที่นอนในกระด้งตกใจสดุ้งร้องดังขึ้น แต่หมอยกกระด้งรองบุตรขึ้นร่อนแล้วทิ้งลงออกวาจาดังกล่าวมาแล้วนั้นถึง ๓ ครั้ง บางทีบิดาบ้าง ญาติผู้ใหญ่ซึ่งมีอายุบ้าง ออกวาจาว่า “ลูกของข้าเอง” หมอจึงได้ส่งกระด้งรองทารกนั้นให้ ท่านผู้รับก็วางลงไว้ในที่สมควรใกล้มารดา ฝ่ายข้างมารดานั้น บุตรคลอดออกจากครรภ์แล้ว ก็รับประทานน้ำส้มมะขามเปียกกับเกลือก่อน นอนไฟอยู่ด้วยเตาเชิงกรานมีฟืน ๓ ดุ้นอยู่ ๓ วัน แล้วบิดาแลญาติจึงหาวันดีทอดเตาไฟใหญ่ เมื่อจะทอดเตาไฟนั้น มีหมอทำน้ำมนต์ธรณีสารประพรมเตาไฟ เศกเข้าสารกับเกลือเคี้ยวพ่นหลังพ่นท้องผู้ที่จะอยู่ไฟ แลพ่นเตาไฟด้วยเรียกว่าดับพิศม์ไฟ มีธูปเทียนเข้าตอกดอกไม้หมากพลูกะทงเล็ก ๆ ใส่กุ้งพล่าปลายำวาง ๔ มุมเตาไฟ แล้วมารดาต้องกราบไหว้เตาไฟ รฦกถึงคุณพระเพลิงพระพายพระธรณีพระคงคาเปนที่พึ่ง หมอเศกขมิ้นกะปูนทาหลังทาท้อง แล้วจึงขึ้นอยู่บนกระดาน รับประทานยาแก้โลหิตเช้าเย็นกว่าจะออกไฟ แต่การที่นอนไฟนั้นลางทีนอนอยู่ครบเดือนบ้าง ไม่ครบเดือนบ้าง สุดแต่จะอยู่ได้ไม่ได้ หม้อตาลที่ใส่รกนั้นต้องวางไว้ริมเตาไฟด้วย เพราะจะให้สายอุทรบุตรแห้งเร็ว ครั้นสายอุทรบุตรนั้นหลุดแล้ว หมอจึงเอาใบพลูสดลน​ควันไฟไต้เสม็ดให้ร้อนพอประมาณ มาทาบกับสดือบุตร โรยผงดินสอพองบ้าง พิมเสนบ้าง แล้วเอาผลมะกรูดลนควันไฟไต้เสม็ดมาคลึงท้องบุตรปราถนาจะให้สดือแห้งเร็ว แลให้เนื้อที่ท้องทารกนั้นหนาจะไม่ได้ปวดท้อง

เมื่อบุตรนอนอยู่ในกระด้งครบ ๓ วันนั้น บิดามารดาให้ญาติแลคนใช้ทำบายศรีปากชาม ทำขวัญแล้วยกบุตรขึ้นจากกระด้งขึ้นนอนเปลตามธรรมเนียมมา ที่บิดามารดาบริบูรณ์ก็จัดหาพี่เลี้ยงแม่นมเลี้ยงดูรักษาบุตรตามสมควร ที่บิดามารดาขัดสนยากจนก็อุปถัมภ์เลี้ยงดูบุตรไปตามกำลัง ครั้นบุตรมีอายุครบเดือน กำหนดจะโกนผมไฟแล้ว บิดามารดาจึงได้บอกกล่าวญาติพี่น้องมาช่วยในการมงคลโกนผมไฟ มีบายศรีทำขวัญเลี้ยงดูกันตามประเพณี ผู้ที่มาช่วยมีเงินแลสิ่งของมาทำขวัญให้กับบุตรนั้น ตามวงษ์ตระกูลมากแลน้อย ที่เปนคนขัดสนอนาถา ก็เอาแต่ด้ายดิบมาผูกข้อมือบุตรเรียกมิ่งขวัญโกนผมไฟบุตรไปตามจน เมื่อมารดาออกจากนอนไฟแล้ว ก็หาผู้รู้ตำราวิธีที่จะฝังรกบุตรนั้นที่ต้นไม้ใหญ่ที่ทิศใดทิศหนึ่ง มีกำหนดหลุมฦกแลตื้นเปนสำคัญ เพื่อจะให้บุตรนั้นมีความเจริญสืบไป บางคนก็หาได้ทำตามตำราไม่ ทิ้งหม้อรกผุพังไปก็มีโดยมาก

เมื่อบุตรมีอายุเจริญขึ้นสมควรที่จะไว้ผมจุกผมเปียอย่างไร บิดามารดาก็หาวันดีไว้ผมจุกผมเปียให้บุตรตามประเพณี ฤๅมิได้ไว้ผมจุกผมเปียให้แก่บุตรให้โกนผมเสียทีเดียวประสงค์จะให้สอาดก็มีบ้าง ถ้าบุตรป่วยเจ็บลงประการใดบิดามารดามีความร้อนใจเปนอย่างยิ่ง ไม่เปน​อันที่จะนอนที่จะบริโภคอาหาร หาหมอมารักษาพยาบาลกว่าบุตรจะหายป่วย ต้องเสียเงินขวัญเข้าค่ายาอยู่เนือง ๆ ครั้นบุตรมีอายุเจริญขึ้นไปโดยสมควรที่จะหาเครื่องตกแต่งต่าง ๆ ให้แก่บุตรแล้ว บิดามารดาก็หาทองคำทำรูปพรรณประดับเพ็ชรพลอยต่าง ๆ เปนเครื่องแต่งตัวให้แก่บุตรตามสมควร ถ้าบุตรชายมีอายุสมควรที่จะสั่งสอนให้ประพฤติที่ชอบด้วยประเทศบ้านเมืองประการใด บิดามารดาก็ควรจะตั้งใจสั่งสอนบุตรนั้นให้อยู่ในอำนาจของบิดามารดา เปนต้นว่า ให้บุตรเล่าเรียนรู้ธรรมวินัยพุทโธวาท บวชเปนสามเณรภิกขุปฏิบัติตามวินัยสิกขาบทฝ่ายคันถธุระวิปัสนาธุระดังนี้เปนที่ประเสริฐอย่างยิ่ง ถ้าจะประกอบการตามโลกีย์แล้ว ก็ให้เล่าเรียนรู้หนังสือเลขลูกคิดประกอบกันศึกษาในทางเสมียนแบบอย่างทางราชการฝ่ายทหารพลเรือน ฤๅเปนเสมียนตระลาการดูพระราชกำหนกดกฎหมาย ทางพิจารณาตัดสินคดีความฝึกหัดการช่างต่าง ๆ ให้ชำนาญรู้ได้จริง ๆ ถ้าเปนบุตรหญิง บิดามารดาก็ตั้งใจสั่งสอนบุตรให้รู้หนังสือ แล้วประกอบการให้ดูแลรวบรวมทรัพย์สมบัติในบ้านเรือนโดยเลอียดทั่วไป ฝึกหัดเปนช่างปักช่างเย็บช่างร้อย ช่างทำเครื่องคาวหวาน ฤๅให้บุตรชายบุตรหญิงประพฤติการทำมาหากิน เลี้ยงชีพตามเพศตระกูลบิดามารดา ในประเทศนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยประสงค์จะให้เปนคุณประโยชน์แก่บุตรแลธิดา

ปุถุชนที่มักประพฤติการเปนพาลทุจริต เช่นคบเพื่อนเปนพาลกินสุราสูบยาฝิ่นเล่นเบี้ยโปการพนันต่าง ๆ แลฉกลักตีชิงวิ่งราวปล้นสดมทรัพย์สมบัติของท่านผู้อื่นนั้น เพราะไม่ประพฤติการตามความประสงค์​ของบิดามารดาที่เลี้ยงดูมา ที่จะเปนเพราะบิดามารดาไม่ปราถนาจะให้ลูกดีนั้นหาไม่ แต่บางทีก็เปนเพราะบิดามารดาเลินเล่อไม่ระวังดูแลตามสมควร บุตรจึงได้พากันเปนพาลทุจริตไปต่าง ๆ ถ้าบิดามารดามีความอุสาหะกดขี่สั่งสอนบุตรให้อยู่ในอำนาจบิดามารดา ให้บุตรชายบุตรหญิงเล่าเรียนรู้วิชาประพฤติการทำมาหากินที่ชอบตามประเทศบ้านเมืองดังกล่าวมาช่วงต้นแล้ว บุตรนั้นก็คงจะไม่ใคร่ประพฤติการเปนพาลทุจริตได้ ถ้าจะเปนไปบ้างก็คงจะเบาบางน้อยลง การที่จะป้องกันมิให้บุตรชายบุตรหญิงประพฤติการเปนพาลทุจริตไปโดยมาก จะเอาสิ่งอันใดมาแก้ไขกดขี่ให้บุตรประพฤติการแต่ที่ชอบได้ ก็ต้องอาไศรยอำนาจแห่งบิดามารดาฤๅอาจารย์ ที่สั่งสอนนั้นข่มขืนน้ำใจบุตรไว้ ตั้งแต่เมื่อเจริญไวยขึ้นมาได้ ๕ ปี ๖ ปี ๗ ปีตลอดไป อย่าให้บุตรประพฤติในทางพาลทุจริตได้ ถ้าบิดามารดาละเลยตามใจให้บุตรนั้นประพฤติการทุจริตซึ่งไม่เปนประโยชน์แล้ว ภายหลังบุตรนั้นมีความเจริญเกินที่บิดามารดาจะสั่งสอนแล้ว บิดามารดาจะกลับมากดขี่สั่งสอนให้บุตรกลับมาประพฤติการสิ่งที่ชอบนั้นโดยยาก จะต้องถึงอำนาจบ้านเมืองบังคับกดขี่ไปตามกฎหมาย บิดามารดาก็คงจะได้ความเดือดร้อนแม้อย่างต่ำก็ได้ความโทมนัศแก่บิดามารดาญาตินั้นโดยมาก

เมื่ออายุบุตรเจริญได้ ๑๑ ปี ๑๓ ปีบ้าง บิดามารดาจึงทำการตัดจุกบุตรเปนการมงคลใหญ่อิกครั้งหนึ่ง แต่บุตรหญิงนั้นมักทำการมงคลตัดจุกเสียแต่ในอายุ ๑๑ ปีโดยมาก หาเหมือนบุตรชายไม่ เพราะหญิงมีลักษณร่างกายเจริญวัฒนาเร็วกว่าบุตรชาย ถ้าบุตรชายเมื่ออายุ​ได้ ๗-๘ ปี ๙-๑๐ ปีขึ้นไป สมควรที่จะศึกษาเล่าเรียนศิลปสาตรวิชาประการใด บิดามารดาก็ส่งบุตรไปอยู่วัดบวชเปนสามเณรบ้างเปนลูกศิษย์วัดบ้าง ฤๅส่งโรงเรียนที่มีอาจารย์สั่งสอน ให้บุตรนั้นเล่าเรียนหนังสือหัดวิชาตามสติปัญญาจนอายุนับปีเดือนบริบูรณ์เต็ม ๒๐ ปีแล้ว บิดามารดาก็จัดหาผ้าไตรเครื่องอัฐบริขารแลสิ่งของไทยทาน ซึ่งจะถวายพระอุปัชฌาย์คู่สวดอันดับ กำหนดวันคืน มีธูปเทียนไปลาท่านผู้ใหญ่ในวงษ์ญาติพี่น้อง มาประชุมณบ้านเรือนทำขวัญเวียนเทียนให้บุตรซึ่งจะบวชเรียกว่าเจ้านาค ครั้นเวลาเช้าบิดามารดาวงษาคณาญาติพร้อมกันแห่นาคไปวัด แต่บิดามารดานั้นต้องจูงมือบุตรเข้าไปในพระอุโบสถเปนธรรมเนียมมาแต่โบราณ เพราะเปนการศรัทธาเชื่อถือคุณพระรัตนไตรย ให้บุตรอุปสมบทในพระบวรพุทธสาสนาเปนการกุศลอย่างอุกฤษฐ การบวชนาคนี้มีแจ้งอยู่ในหนังสือวชิรญาณ เล่ม ๔ น่า ๑๘ นั้นแล้ว

ครั้นบุตรอุปสมบทเปนภิกษุอยู่วัดตลอดไป บิดามารดาก็เปนธุระจัดสำรับคาวหวานติดตามไปส่งเช้าส่งเพนไม่ให้บุตรอดอยากได้ ครั้นบุตรนั้นละเพศบรรพชิตเปนฆราวาศแล้ว สมควรจะตกแต่งให้มีภรรยา ฤๅบุตรหญิงอายุได้ ๑๕ ปี ๑๖ ปี ๑๗ ปีขึ้นไป มีผู้มากล่าวสู่ขอไปเปนภรรยาก็ดี บิดามารดาเห็นดีสมควรที่จะให้บุตรมีสามีภริยาได้ ก็ประชุมปฤกษาญาติทำการมงคลใหญ่ ให้บุตรชายบุตรหญิงมีสามีภริยาแบ่งปันเงินทองทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ แก่บุตรตามมากแลน้อย มี​แจ้งอยู่ในเรื่องทำการวิวาหมงคลซึ่งจะมีต่อไปภายหลังนั้นแล้ว ถ้าบุตรชายหญิงซึ่งบิดามารดาตกแต่งให้มีสามีภริยาออกจากบิดามารดาไปทำมาหาบริโภคตามกำลังตนเองแล้ว ถ้ามีความเจริญประกอบด้วยยศศักดิทรัพย์สินบริบูรณ์ บิดามารดาก็มีความยินดีชื่นชมโสมนัศในบุตรนั้นเปนอันมาก ถ้าบุตรมีความทุกข์ร้อนคับแค้นอนาถาลงด้วยเหตุต่าง ๆ บิดามารดาก็มีความโทมนัศเสียใจด้วย ถึงโดยบุตรจะชั่วช้าประพฤติแต่การทุจริต ไม่อยู่ในถ้อยคำสั่งสอนเปนที่โกรธเคืองของบิดามารดาก็ดี บิดามารดาก็เสียไม่ได้ต้องเกื้อหนุนสั่งสอนสงเคราะห์แก่บุตรต่อไปตามกำลัง ซึ่งบิดามารดามีความเมตตากรุณาอุปถัมภ์สั่งสอนบุตรชายบุตรหญิงนั้นเปนการไม่รู้สิ้นสุดลงได้ ต่อเมื่อใดบิดามารดาฤๅบุตรดับขันธ์ไปสู่ปรโลกย์ฝ่ายหนึ่งแล้ว การอุปถัมภ์แลการสงเคราะห์สั่งสอนบุตรนั้นจึงจะขาดไม่มีต่อไปได้ ถึงดังนั้นก็ยังมีความกรุณาเมตตารฦกถึงบุตรด้วยความอาไลยอยู่เนือง ๆ ถ้าบุตรนั้นได้ชื่อว่าอภิชาตบุตรอนุชาตบุตรแล้ว บิดามารดาก็มีความเสน่หารักใคร่มาก จะมีทรัพย์สมบัติศฤงฆารบริวารมากน้อยเท่าใด ก็เต็มใจที่จะยกให้แก่บุตรไม่มีความรังเกียจทุกประการ เรียบเรียงความเรื่องบิดามารดากับบุตร มีความอุปถัมภ์บำรุงรักษาสั่งสอนกันมาพอเปนสังเขปเพียงนี้ ฯ



-------------------------------------

คือที่กรมพระสมมตอมรพันธุ์ทรงพระนิพนธ์ ที่คัดมาพิมพ์ต่อตอนนี้ไป




ขอขอบคุณที่มา หอสมุดวชิรญาณ


หัวข้อ: Re: เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 พฤษภาคม 2568 17:25:14
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/14700587052437_7_Copy_.jpg)

เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๒

ประเพณีบวชนาค
​กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ทรงเรียบเรียง
----------------------------


การบวชนาคนี้เปนของมีมาช้านาน เนื่องมาจากพุทธกาล เปนกิจฝ่ายพระพุทธสาสนา แลการที่เรียกว่านาคนี้ เมื่อจะคิดค้นดูว่ามาจากอะไร เหตุใดจึงเรียกว่านาค ก็จะสันนิฐานได้สองอย่าง ๆ หนึ่งมีนิทานเล่า ๆ กันมาอ้างว่าเปนคำเทศนาว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่นั้น มีพระยานาคแปลงเปนมนุษย์ มาปลอมบวชเปนภิกษุในพระพุทธสาสนา แลวิไสยนาคนั้นถึงจะแปลงตัวเปนอะไร ๆ ก็ดี ถ้าเวลานอนหลับแล้ว ร่างกายกลับเปนนาคตามเพศเดิม แลพระยานาคที่มาปลอมบวชนี้ เวลานอนหลับก็กลับกลายเปนนาคไป แต่หามีผู้ใดเห็นไม่ จึงได้บวชอยู่ช้านาน อยู่มาวันหนึ่งเวลาพระยานาคที่ปลอมบวชนั้น นอนหลับกายกลับเปนนาคตามธรรมดา มีพระภิกษุไปเห็นเข้า จึงนำความไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ครั้นพระภิกษุที่เปนนาคนั้นมาเฝ้า จึงรับสั่งถาม ภิกษุนั้นก็กราบทูลตามความจริงว่าตนเปนนาค มีศรัทธาอยากจะบวชจึงได้แปลงเปนมนุษย์มาบวช พระพุทธเจ้าดำรัสว่าสัตว์ดิรัจฉานใช่วิไสยที่จะบวชในพระสาสนา ดำรัสดังนี้แล้ว ก็โปรดให้พระภิกษุนั้น ออกจากเพศบรรพชิตกลับเปนนาคตามเดิม พระยานาคมีความอาไลยมากจึงกราบทูลว่า ถึงจะไม่ได้บวชอยู่ต่อไปก็ตามแต่วาศนา แต่ขอฝากชื่อไว้ ถ้าผู้ใดจะบวช​แล้วขอให้เรียกชื่อว่านาคเสียก่อนให้เสมอไป พระพุทธเจ้าทรงรับตามคำพระยานาคแล้ว พระยานาคก็กลับไปยังพิภพของตน ตั้งแต่นั้นมาพระพุทธเจ้าจึงได้ตั้งธรรมเนียมไว้ ว่าถ้าผู้ใดจะบวชให้ชื่อนาคเสียก่อนแล้วจึงบวช จึงเปนธรรมเนียมเรียกผู้ที่จะบวชว่านาคสืบมาจนบัดนี้ แลนิทานนี้เปนแต่เล่ากันมาว่าเปนคำเทศนา แต่ตัวข้าพเจ้าเองไม่เคยได้ฟังพระเทศน์ แลไม่เคยได้เห็นหนังสือในเรื่องนี้เลย มีเรื่องที่คล้ายคลึงอยู่เรื่องหนึ่ง แต่นิทานเอรกปัตนาคที่มีในธรรมบท เปนเรื่องว่าด้วยพระยานาคศรัทธาในพระพุทธสาสนา แต่ความก็ไม่เหมือนกันไม่ถึงกับมาบวช เปนแต่ถึงสรณเท่านั้น แต่เพราะเหตุที่ข้าพเจ้าเปนผู้สดับธรรมเทศนาน้อยจึงไม่เคยได้ฟังพระเทศน์ในเรื่องนี้ แลเปนผู้ดูหนังสือน้อย จึงไม่พบนิทานเรื่องนี้ ฤๅอย่างไรก็ไม่ทราบ

อิกอย่างหนึ่งในตำราบวชนาค ยกอุทาหรณ์ที่จะสวดญัตินั้นให้คำว่านาโคคือนาค เปนชื่อผู้บวช จะคิดไปว่าเปนด้วยพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ใช้อย่างนี้ตามคำพระยานาคทูลขอไว้ ก็จะคิดไปได้ แต่เห็นว่าในวิธีบรรพชาอุปสัมปทา ที่มีในคัมภีร์มหาวรรคนั้น ก็หามีนาโคไม่ จึ่งเห็นว่าจะเปนท่านพระเถระองค์ใดองค์หนึ่งตั้งตำราขึ้นไว้สำหรับท่องบ่นโดยง่าย ที่วางชื่อว่านาโคนั้นก็โดยขึ้นปากเจนใจในชื่อนั้น ฤๅอาไศรยเหตุใดเหตุหนึ่ง แต่คงจะไม่ใช่เรื่องพระยานาคปลอมบวช เมื่อวางเปนตำราไว้แล้วก็เปนแบบเรียกกันสืบมา การที่เรียกคนที่จะบวชว่านาค อาไศรยเหตุสองอย่างเช่นว่ามานี้

​จะกล่าวถึงความประสงค์ ของการที่บวชนาคต่อไป ความประสงค์เดิมเมื่อแรกเกิดการบวชขี้นแต่ครั้งพระพุทธเจ้านั้น ก็ประสงค์เพื่อจะกระทำให้ถึงพระอรหัตผลพ้นจากกองกิเลศกองทุกข์ทั้งปวง คือเมื่อบวชแล้วก็ต้องสำรวมศีลมละกิเลศหยาบ แลเจริญสมาธิมละนิวรณ์ห้า เกิดปัญญาได้บรรลุมรรคผลจนถึงที่สุดกิจของการบวชคือพระอรหัต ส่วนผู้ที่พยายามไปไม่สมประสงค์สิ้นอุสาหทำไปไม่ตลอดก็สึกออกมาเสียก็มี ครั้นพุทธกาลล่วงมานานผู้ที่จะพยายามให้ถึงที่สุดกิจบรรพชิตนั้นก็ไม่ใคร่มี แลผู้ที่จะรู้ที่สุดกิจแห่งบรรพชิตนั้นก็น้อยลง ก็เห็นแต่ผลอย่างต่ำ ๆ ลงมา ผู้ที่สันดานดีก็เห็นว่าการบวชเปนการสงบระงับกายวาจาใจ ปราศจากความกังวลเดือดร้อนรำคาญ ไม่ต้องรับภาระอันหนัก ก็บวชอยู่ได้โดยมาก เมื่อศึกษาเล่าเรียนพุทธวจนะก็ได้ทราบธรรมแล้วแลปฏิบัติให้เกิดผลแก่ตนโดยประการต่าง ๆ ตามสมควร ฝ่ายผู้ที่สันดานหยาบเห็นว่าบวชอยู่ไม่ต้องทำการงาน ประกอบด้วยลาภสักการโลกามิศก็บวชอยู่ได้โดยมากเหมือนกัน แลเมื่อสืบมาอิกชั้นหนึ่งนั้น รู้ตื้นๆ แต่เพียงว่าบวชได้บุญ เมื่อมีศรัทธาอยากได้บุญก็บวชแล้วแลประพฤติตนตามธรรมวินัย บางพวกก็ไม่มีศรัทธา แต่ขัดบิดามารดาญาติพี่น้องไม่ได้ ก็บวชไปตามธรรมเนียม บางทีก็ประพฤติดี บางทีก็ประพฤติชั่ว ตามสันดานแลอัธยาไศรยของคน

การบวชนาคนั้น ผู้ที่จะบวชจะมีความประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงมิใช่ประสงค์พระอรหัตผลก็ดี ถ้าจิตรเปนกุศลจิตรประกอบด้วย​ศรัทธาแล้ว เมื่อบวชเขาคงจะประพฤติแต่การที่ดี แลปฏิบัติตามธรรมวินัย ก็จะได้รับผลตามสมควร ตั้งแต่อย่างสูงลงมาจนอย่างต่ำ คือเมื่อบวชเข้าแล้วก็จะได้เล่าเรียนธรรมวินัยพุทธวจนะบังเกิดความรู้ ความศรัทธาแก่กล้าขึ้น ก็จะได้บรรลุผลอย่างสูง คือโลกุตรธรรมได้บ้างดอกกระมัง ถ้าไม่บรรลุผลเช่นนั้นก็คงจะเปนผู้มั่นในพระรัตนไตรย ประพฤติกายวาจาใจเรียบร้อยละบาปบำเพ็ญบุญ สงบสงัดจากความเดือดร้อนรำคาญ ห่างจากความกังวลขุ่นข้องหมองใจ ถ้าไม่เช่นนั้นก็คงได้รู้ข้อธัมมะรู้จักบาปบุญคุณโทษ ถึงจะสึกหาออกมาก็คงจะเปนคนใจดีประพฤติดี ห่างจากความเปนพาลสันดานทุจริต แลได้รู้วิชาฝ่ายโลกีย์ คือ เลขหนังสือเปนต้น เปนทางเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมสืบไป การที่บวชนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ประสงค์ต่อพระอรหัตผลก็ดี ก็ยังเปนคุณเปนประโยชน์เปนอันมาก เพราะเปนหนทางที่จะได้รับผลอันดีโดยประการต่าง ๆ สูงแลต่ำมากแลน้อย ดังเช่นว่ามาแล้ว จะว่าไม่มีคุณนั้นไม่ถูกเลย แต่คนที่บวชเพื่อลาภสักการโลกามิศ ฤๅบวชด้วยความจำใจไม่มีศรัทธาเลยเหล่านี้ ได้ผลน้อยนักฤๅไม่มีผลเลย บางทีก็กลับเปนโทษไม่ควรจะสรรเสริญเลย ไม่นับว่าเปนความประสงค์ของการบวช เว้นแต่ผู้นั้นจะกลับมีศรัทธาประพฤติตนดีได้จึงกลับเปนคุณได้

วิธีที่บวชนั้น แต่เดิมเมื่อแรก เกิดขึ้นครั้งพระพุทธเจ้านั้นบวชด้วยเอหิภิกขุ แล้วต่อมาบวชด้วยรับสรณคมน์ ภายหลังบวชด้วยญัติจัตตุตถกรรมซึ่งใช้ตลอดมาจนกาลบัดนี้ แต่การที่บวชกันอย่างไรในวิธีสามอย่างนี้ จักล่าวในที่นี้ก็จะยืดยาวนัก

​ขอกล่าวแต่พิธีฝ่ายชาวบ้าน ที่ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ คือ เมื่อแรกจะบวชนั้นผู้ที่จะบวชต้องมีดอกไม้ธูปเทียน เที่ยวขอลาญาติพี่น้องแลผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งเปนที่พึ่งที่นับถือ นัยว่าเปนการแสดงความเคารพนับถือ แล้วเริ่มการพิธีบวช คือก่อนวันที่จะบวชวันหนึ่งนั้นในเวลาเย็นมีการทำขวัญ ถ้าเปนเจ้านายจะทรงผนวชเรียกว่าเปนนาคหลวง มีการสมโภชในพระราชมณเฑียรสถานองค์ใดองค์หนึ่ง รุ่งขึ้นไปทรงผนวชในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีการแห่บ้างไม่แห่บ้าง บางทีข้าราชการโปรดให้บวชเปนการพิเศษเปนนาคหลวงก็มี การบวชนาคหลวงของดไว้

จะขอกล่าวแต่นาคราษฎร การทำขวัญนั้นตัวผู้ที่จะบวชซึ่งเรียกว่าเจ้านาคนั้น โกนผม โกนหนวด แต่ในเวลาเย็นแล้วแล้วตัวนุ่งเยียรบับ สวมเสื้อครุยห่มเฉียงบ่าข้างหนึ่ง สอดแหวนคาดเข็มขัด มานั่งในเคหสถานที่จะทำขวัญ มีบายศรีแลแว่นเวียนเทียน พวกญาติพี่น้องมิตรสหายมานั่งล้อมพร้อมกัน ไตรบาตรแลเครื่องบริขารเครื่องสักการทั้งปวง ก็มาตั้งในที่ทำขวัญด้วย แล้วมีอาจารย์ผู้มีเสียงอันไพเราะมาว่าทำขวัญเปนทำนอง เหมือนเทศนามหาชาติหลายลาหลายแหล่ เมื่อจบลาแล้วตีฆ้องหุ่ยโห แล้วว่าต่อไป

เมื่อจบแล้วเปิดแว่นเวียนเทียน ผู้ที่ว่าทำขวัญนั้นเปิดแว่นเองบ้าง พราหมณ์เปิดแว่นบ้าง ประโคมพิณพาทย์เวียนเทียนทำขวัญเจ้านาค ในเวลาเย็นวันทำขวัญนั้นบางแห่งก็มีกระบี่กระบองมวยปล้ำเปนการฉลองบ้างไม่มีบ้าง แลบางแห่งที่ไม่ทำขวัญเลยก็มีเปน​อันมาก ที่ไม่ทำเพราะความขัดสน ไม่สามารถจะทำการใหญ่ได้ก็มี ที่มีกำลังพอจะทำได้ แต่ไม่ชอบการเอิกเกริกไม่ทำก็มี ครั้นเวลารุ่งขึ้นเปนวันที่จะบวชนั้น ญาติพี่น้องฤๅผู้เปนใหญ่ซึ่งเปนเจ้าของนาคนั้น จัดการที่จะแห่นาคไปวัด กระบวนแห่นั้นก็มีต่าง ๆ กันเหลือที่จะพรรณาให้เลอียดได้ จะยกตัวอย่างแต่ที่เห็นอยู่โดยชุกชุมนั้น คือมีแตรวงอย่างฝรั่ง แต่คนเป่าไม่ใคร่แต่งเปนทหาร แต่งตัวนุ่งผ้าสวมเสื้อโดยธรรมดาเสียมาก บางทีก็ไม่มีแตร แลของไทยธรรมที่จะถวายพระสงฆ์ต่าง ๆ นั้น ก็มักจะให้คนถือเดินสองแถวแห่ไป บางทีอย่างแขงแรงถึงกับถวายไตรพระที่นั่งหัตถบาศทั้งหมด ใช้คนขี่ม้าถือไตรเรียงสองแถวดังนี้ก็มี แลมีพวกกระบี่กระบองมาก ๆ ตั้งเก้าคนสิบคนฤๅสิบห้าคนสิบหกคน ถือกระบองควงทำท่าทางต่าง ๆ ตามแต่จะสำแดงฤทธิไปได้ ในเวลาเดินกระบวนแห่ไปนั้น แลยังมีเครื่องเล่นสำคัญอิกอย่างหนึ่ง ซึ่งการแห่นาคจะเว้นไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าเปนการแห่อย่างเลวที่สุด จะไม่มีเครื่องแห่อย่างอื่นเลย ก็คงยังมีสิ่งนั้นอยู่สิ่งหนึ่งไม่ขาดไม่ได้เลย สิ่งที่สำคัญที่ว่านี้คือเถิดเทิง พวกเถิดเทิงนั้นมีกลองยาวสามใบฤๅสี่ใบ แลมีฉาบมีฆ้องกับมีคนตีกรับมาก ๆ คนตะพายกลองนั้นแต่งตัวตามปรกติบ้าง แต่งเปนตลกถึงเขียนหน้าเขียนตาก็มีบ้าง เวลาตีนั้นก็ทำท่าทางเปนตลกต่าง ๆ จะให้เปนการขบขันการประหลาด กลองนั้นตีด้วยมือบ้าง เอาศอกกระทุ้งบ้าง บางทีสบท่าเหมาะอย่างอุกฤษฐเข้าลงนอนกลิ้งตีไป แล้วลุกขึ้นยืนตีต่อไปอิกก็มี เถิดเทิงนั้นมักอยู่ตรงหน้าเท้านาค การแห่นาคนี้ถ้าไม่​มีเถิดเทิงแล้ว คนดูเกือบจะไม่รู้สึกว่าแห่นาค แลตัวเจ้านาคนั้นแต่งตัวนุ่งเยียรบับบ้างยกบ้าง สวมเสื้อครุยกับเนื้อ ๆ ชั้นเดียวบ้างมีเสื้อซับในบ้าง คาดเข็มขัดสอดแหวนสวมชฎาพอกบ้าง ชฎาเปนศีศะนาคบ้าง ตามแต่จะหาได้ อย่างต่ำที่สุดจนไม่มีอันใดสวมศีศะก็มี พาหนะที่ขี่ไปนั้นขี่ม้าเปนพื้น ขี่ม้าเทศบ้างรถบ้างเปนการพิเศษ ที่อย่างเลวที่สุดเดินไปก็มี แลถ้าเจ้านาคขี่ม้าแล้ว ผ้าไตรแลบาตรที่จะบวชนั้น ก็มีคนถือไปบนหลังม้าด้วย ผ้าไตรที่จะถวายพระอุปัชฌาย์แลคู่สวดนั้น ก็ไปบนหลังม้าโดยชุกชุม ผ้าไตรแลบาตรที่ไปบนหลังม้าก็ดีตัวเจ้านาคก็ดีย่อมมีกลดกั้น กลดนั้นใช้พระกลดเจ้านายตามแต่จะหาได้มากแลน้อย ถ้าหาได้อย่างน้อยที่สุดก็เพียงเจ้านาคกั้นคันเดียวก็มี พระกลดเจ้านายนี้ โดยปรกติคนที่มิใช่เจ้าก็เปนข้อห้ามใช้กันไม่ได้ แต่คนที่จะบวชนาคนี้กั้นได้ไม่มีข้อห้าม เทียนแลกรวยที่จะถวายพระอุปัชฌาย์แลคู่สวดนั้น มักให้คนถือเดินนำไตรแลบาตรบ้าง นำเจ้านาคบ้าง ขึ้นม้าไปบ้าง คนถือนั้นถ้าอย่างดีใช้เด็กแต่งตัวมีเกี้ยวมีนวม ถ้าอย่างต่ำลงมาก็แต่งตัวตามธรรมดา ข้างหลังเจ้านาคลงไป ก็มีเครื่องไทยธรรมที่จะถวายเจ้านาคเองบ้าง ถวายพระนั่งหัตถบาศบ้าง พวกญาติพี่น้องมิตรสหายตามไปข้างหลังบ้าง ที่เปนคนมีวาศนาก็ขี่รถขี่ม้าตามไปข้างหลังบ้าง กระบวนแห่นั้นแห่ไปจากบ้านไปยังวัดที่จะบวชนั้น แต่มักเดินอ้อมค้อมไปมาก ถึงทางที่ไปจากบ้านถึงวัดเปนทางใกล้ก็ไม่เดินไปตามทางนั้น เพราะจะไม่ได้สำแดงการที่แห่ให้เปนการเอิกเกริก จึงต้องเดินอ้อมให้ทางแห่ยาวขึ้น เมื่อถึงวัด​แล้วเจ้านาคลงจากม้าเข้าไปในวัด พวกเถิดเทิงมายืนตีเถิดเทิงขวางน่าเจ้านาคอยู่ไม่ให้เข้าวัด สมมุติกันว่าเปนพระยามารมาผจญ (บางทีจะเห็นสำคัญของเถิดเทิง ตรงข้อนี้ จึงชอบมีในการบวชนาคก็เปนได้) เจ้านาคต้องให้เงินแก่พวกเถิดเทิงนั้น แล้วจึงปล่อยให้เข้าไป เมื่อเข้าวัดแล้วบางแห่งก็มีทิ้งอัฐทิ้งเงินเปนทานบ้าง บางแห่งก็ไม่มี แล้วเจ้านาคแต่งตัวลดเสื้อครุยลงเฉียงบ่า ถอดเครื่องสวมศีศะออก แล้วไปจุดธูปเทียนบูชาสิมาที่น่าพระอุโบสถ

การที่บูชาสิมานี้จะหมายเอาความอย่างไร ตรองไม่เห็นความแลไม่ได้เค้าว่ามูลเดิมจะมีมาอย่างไร เปนแต่ทำตามกันมา จะว่าบูชาพระรัตนไตรยก็ไม่แท้ เพราะส่วนที่บูชาพระรัตนไตรย ก็จะบูชาอิกในพระอุโบสถนั้นแล้ว จะว่าบูชาพระผู้เปนเจ้าฤๅผีสางเทพารักษ์ก็ไม่เปน เพราะเจ้านาคนับว่าเปนผู้ศรัทธาต่อพระรัตนไตรยแล้ว จะไปหาส่วนอื่นธุระอะไร จึงตกลงสันนิฐานว่าบูชาพระรัตนไตรยนั้นเอง เปนแต่ผิดที่เท่านั้น การที่บูชานี้ก็ไม่เปนการเสียหายอันใด เปนแต่ให้ตั้งจิตรบูชาพระรัตนไตรยแล้ว ถึงจะบูชาที่ไหนก็นัยว่าเปนอันบูชาได้ ถึงแม้ว่าจะไปบูชาในพระอุโบสถอิก จะเปนสองซ้ำไปก็ไม่เปนไร ยิ่งบูชามากยิ่งดี ครั้นบูชาสิมาแล้ว บิดามารดาญาติพี่น้องจูงเจ้านาคเดินประทักษิณ เวียนรอบพระอุโบสถสามรอบบ้างรอบหนึ่งบ้าง แต่นาคหลวงก็ไม่มีการบูชาสิมาแลไม่มีประทักษิณเลย เมื่อประทักษิณเสร็จแล้ว ผู้ที่จูงนั้นก็จูงเจ้านาคเข้าในพระอุโบสถ มีแตรสังข์พิณพาทย์กลองแขก​ประโคม แตรสังข์นี้ในการอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การหลวงแลไม่เนื่องด้วยพระรัตนไตรยแล้ว ย่อมเปนที่ห้ามไม่ให้ผู้ใดใช้ แลไม่มีของผู้ใดด้วย มีแต่ของหลวงแห่งเดียว แต่การบวชนาคนี้เกี่ยวด้วยพระรัตนไตรย จึงใช้ได้ไม่มีข้อห้าม แลการแห่นาคกับการประโคมแตรสังข์พิณพาทย์นี้ บางแห่งถึงเจ้าของนาคจะเปนผู้มีอำนาจแลทรัพย์สมบัติกำลังพาหนะมากที่ไม่ทำก็มี เปนแต่พาเจ้านาคไปวัดแล้วไปบวชกันเงียบ ๆ เหตุที่ไม่ทำนั้นเพราะเจ้าของนาคไม่ชอบการเอิกเกริกบ้าง บางทีท่านเจ้าอาวาศที่นาคจะไปบวชนั้น ไม่ชอบในการที่จะมีแห่แลประโคมแตรสังข์พิณพาทย์ ถึงเจ้าของนาคจะชอบการเอิกเกริกก็ต้องผ่อนผันตามอัธยาไศรยของท่านเจ้าอาวาศ ไม่อาจที่จะมีการเอิกเกริกได้

เมื่อเจ้านาคเข้าในพระอุโบสถแล้ว ก็ไปจุดเทียนบูชาพระ เทียนที่บูชาพระนี้เปนของที่เสี่ยงทายกลาย ๆ อยู่ ว่าถ้าเจ้านาคปักเทียนตรงแล้วบวชทนอยู่ได้นาน ถ้าปักเทียนเอนแล้วบวชไม่ทน ยิ่งเอนมากยิ่งไม่ทนมาก การนี้ก็เปนแต่กล่าวกันสืบ ๆ มา ไม่เคยได้สอบสวน เมื่อบูชาพระแล้วมานั่งยังที่ควร พวกญาติพี่น้องแลมิตรสหายของเจ้านาคเอง ฤๅของผู้เปนเจ้าของนาค ก็เข้าไปประชุมพร้อมกันแน่นอยู่ในโบถ ถ้าเจ้าของนาคเปนผู้มีอำนาจมาก การที่นั่งลุกกันก็เปนการเรียบร้อย ถ้าเจ้าของนาคมีอำนาจน้อยก็มักจะโกลาหล คือพวกที่มาช่วยนั้นก็นั่งเรี่ยรายไม่เปนหมู่เปนเหล่า ยิ่งรวมกันหลายนาคหลายเจ้าของเข้า ก็ยิ่งวุ่นวายเกลื่อนกล่นปะปนกัน ทั้งศิษย์วัดก็เข้ามาพลุ่มพล่ามดูอยู่ในโบถ ถ้าวุ่นวายอื้ออึงกันนัก ท่านพระ​สงฆ์เจ้าอาวาศมักลุกขึ้นยืนดูกราดไปโดยรอบ เพื่อจะห้ามปรามให้เรียบร้อยมิให้วุ่นวาย เมื่อการนั่งลุกเปนที่ทางเรียบร้อยแล้ว ผู้เปนเจ้าของนาค จึงหยิบผ้าไตรส่งให้เจ้านาค ผ้าไตรที่จะบวชนั้นมักมีดอกไม้สดร้อย ผูกโครงไม้ตามรูปผ้าไตร มีอุบะห้อยรอบคลุมผ้าไตรอยู่ เมื่อจะส่งผ้าไตรให้เจ้านาคนั้น เอาดอกไม้ออกทิ้งเสีย เจ้านาคจึงถือเอาผ้าไตรนั้นเข้าไปในท่ามกลางสงฆ์ขอบรรพชา วิธีขอนั้นตามลัทธิฝ่ายธรรมยุติกนิกายแลมหานิกาย คือมียืนวันทาบ้างไม่ได้ยืนบ้าง ทำนองนั้นขานอย่างไพเราะก็มี อย่างมคธก็มี ว่ากันเปนพูดตามธรรมดาก็มี ที่ขานได้เรียบร้อยก็มี ที่ประหม่าเสียงสั่นไปบ้างเสียงเบาไปบ้างก็มี มักประหม่ากันเสียมาก ด้วยเวลาพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันย่อมมีสง่าน่าเปนที่เกรงขามมาก ถึงผู้ที่ขานนาคนั้นจะรู้แน่ว่าพระสงฆ์ไม่ทำอะไรเลย ในการที่จะพลั้งพลาดไปก็ดี ก็ยังมีความครั่นคร้ามสทกสเทิ้นอยู่ด้วยอำนาจสง่าสงฆ์ บางทีผู้ที่บวชไม่ได้เรียนขานนาคเลย พระสงฆ์ต้องสอนให้ว่าไปทีละคำสองคำในเวลานั้นก็มี เมื่อขอบรรพชาแล้วออกมาห่มผ้า ถ้าเปนนาคหลวงราชบัณฑิตย์ห่มให้ ถ้าเปนนาคชาวบ้าน พวกพี่น้องพวกพ้องที่เคยบวชมาแล้วรู้จักวิธีนุ่งผ้าห่มผ้า ก็เข้าช่วยห่มให้โดยเรียบร้อยก็มี เจ้านาคห่มได้เองเพราะเคยบวชเปนสามเณรมาแต่ก่อน ฤๅเคยเห็นเคยสังเกตมาห่มได้โดยเรียบร้อยก็มี บางทีก็ห่มกันไม่ค่อยถูก คนที่ช่วยห่มทำแต่ท่าทางเปนคนเข้าใจในการห่มผ้า แต่เมื่อมาทำเข้าจริงก็ทำไม่ถูก เงอะงะงุ่มง่ามรุง ๆ รัง ๆ ไป จนพระสงฆ์ต้องลุกมาช่วย​ห่มก็มีโดยมาก เมื่อเวลาห่มผ้านั้นประโคมด้วย แต่ถ้าเปนนาคหลวงไม่ประโคม ครั้นห่มผ้าเสร็จแล้ว ก็เข้าไปขอศีลที่ท้ายอาศน์สงฆ์ ท่านผู้จะเปนกรรมวาจาออกมานั่งให้ศีล ครั้นรับศีลเสร็จแล้วเข้าไปขอนิสสัยต่อไป เมื่อจะขอนิสสัยนั้น เจ้าของนาคเอาบาตรประเคนให้ก่อน แล้วจึงถือเข้าไปขอนิสสัย ในบาตรนี้มักจะมีญาติลอบเอาของบรรจุไว้ในนั้น คือเครื่องรางต่าง ๆ แลว่านไพล เมื่อบวชแล้วถือกันว่าเครื่องรางนั้น เปนของขลังขึ้นเหมือนหนึ่งได้ปลุกเศก ส่วนว่านแลไพลนั้นก็เปนเหมือนหนึ่งไพลเศกว่านเศก ใช้มีคุณวุฒิแก้โรคไภยต่าง ๆ ตามแต่จะนับถือกันไป เมื่อผู้จะบวชเข้าไปขอนิสสัย ในท่ามกลางสงฆ์แล้ว พระอุปัชฌาย์แลพระกรรมวาจาให้ตะพายบาตร แล้วบอกบาตรแลจีวรแลไล่ออกมายืนห่างหัตถบาศ แล้วท่านกรรมวาจาออกมาถาม กรรมวาจานั้นสวดองค์เดียวบ้างสององค์บ้าง นาคที่จะบวชนั้นสวดทีละองค์บ้างทีละคู่บ้าง ครั้นท่านกรรมวาจาออกมาถามนอกแล้วกลับเข้าไปในท่ามกลางสงฆ์แล้วสวดขึ้นแลเรียกผู้ที่จะบวชเข้าไปในท่ามกลางสงฆ์ ผู้บวชเข้าไปขออุปสัมปทา แล้วพระกรรมวาจาสวดญัติจตุตถกรรมสำเร็จกิจอุปสัมปทา ในเมื่อเสร็จกิจอุปสัมปทานี้ ต้องดูเงาเหยียบชั้นฉายว่ากี่ชั้น เพราะพระพุทธเจ้าบัญญัติให้กำหนดวันเวลาที่บวชไว้สำหรับเมื่อเวลาพบเพื่อนพรหมจรรย์ จะได้รู้พรรษาอายุแก่อ่อน แต่ในกาลบัดนี้ใช้ดูนาฬิกาเสียมาก ที่ยังใช้ตามเดิมก็มี ที่ใช้ทั้งสองอย่างก็มี แล้วพระกรรมวาจาองค์หนึ่งบอกอนุสาสน์ ผู้ที่จะบวชกี่คนก็ฟังพร้อมกัน บอกอนุสาสน์​เสร็จแล้ว ผู้บวชถวายเครื่องสักการะแก่ท่านผู้บอกอนุสาสน์อิกครั้งหนึ่ง เครื่องสักการะนั้นมีเทียนอย่างหนึ่ง กรวยอย่างหนึ่งเปนประธาน แต่การที่ทำนั้นมีประเภทต่าง ๆ เหลือที่จะพรรณา จะว่าแต่ที่จำได้ ของนาคหลวงใช้เทียนสีผึ้งปิดทองทึบฐานไม้กลึง ของราษฎรมีเทียนสีผึ้งเล่มเล็ก ๆ บ้างเทียนไขบ้าง ๕-๖ เล่ม มัดเปนกำคาดลายกระดาษทองอังกฤษ มีฉัตรทองอังกฤษปักยอด ปักบนเชิงเทียนบ้างบนปากขวดบ้าง ที่ใช้เทียนล้วนก็มี ใช้ธูปกับเทียนก็มี ธูปนั้นเปนธูปกระแจะ ใช้ประดับคาดลายทองอังกฤษเหมือนเทียน กรวยนั้นทำด้วยใบตอง เปนเหมือนหนึ่งกระทงเจิมมีฝาชีครอบทำด้วยใบตอง จีบเปนชั้น ๆ ทำนองเหมือนบายศรี ในกระทงนั้นมีเมี่ยงใบคำหนึ่ง

เมี่ยงอย่างที่ทำกันนี้เปนของสำหรับกินเปนอาหาร แต่ที่เอามาใช้ในที่นี้ดูไม่สำหรับกินเลยเพราะนิดเดียวเท่านั้น ประการหนึ่งเวลาที่บวช มักจะบวชเพนแล้วจึงเห็นว่าไม่เปนของควรกิน จะว่าเปนของบูชาก็ดูไม่นำบูชาด้วยเมี่ยงเลย เมื่อใคร่ครวญถึงเหตุที่จะใช้เมี่ยงนี้ก็พอจะนึกเดาไปได้ คือวิธีนี้จะมาจากลาวก่อน ด้วยลาวข้างเชียงใหม่เขาใช้อมเมี่ยงกันทั้งเมือง เหมือนหนึ่งกินหมาก เขาจะใช้เมี่ยงอย่างนั้นถวายพระ เมี่ยงอย่างนั้นมีใบเมียงหุ้มห่อซึ่งกระเทียมเกลือ เห็นว่าเปนยาวชีวิก กินในเวลาวิกาลได้จึงมาใช้ถวายไม่ขัด แต่เมี่ยงที่เราใช้นั้น เมี่ยงมะพร้าวไม่เปนยาวชีวิกเลย พระฉันต้องเปนวิกาลโภชน์ ถ้าจะใช้ให้ถูกกับประเทศบ้านเมืองเราแล้ว ควรใช้หมากพลูเปนการสมควร

​แลกรวยเมี่ยงนี้มีถ้วยแก้วรองเปนฐาน ต่อมาบัดนี้ทำวิจิตรขึ้นไม่ใคร่ใช้ใบตอง ใช้กาบพลับพลึง บางทีก็ใช้ดอกลำเจียก เมี่ยงก็ไม่ใคร่มี กรวยอย่างนี้นับว่าเปนกรวยอย่างหนึ่ง ยังกรวยดอกไม้อิกชนิดหนึ่ง คู่กันกับกรวยที่ว่ามาแล้ว ใช้ดอกมลิดอกพุทธิชาต ร้อยเปนพวงมาไลยเถา ๕ ชั้นบ้าง ๓ ชั้นบ้างซ้อน ๆ กันแล้วมียอดพุ่มข้างปลาย มีถ้วยแก้วรองเปนฐาน กรวยดอกไม้นี้ก็ใช้กันโดยมาก. สักการะเหล่านี้มีลักษณดังว่ามาแล้ว จะรวมจัดเปนประเภทก็ลงในสี่อย่าง คือ เทียนอย่างหนึ่ง ธูปอย่างหนึ่ง กรวยสองอย่าง บางทีมีทั้งสี่อย่าง บางทีมีสามอย่าง คือยกธูปฤๅกรวยอย่างใดอย่างหนึ่งเสีย บางทีมีสองอย่าง ยกธูปกับกรวยเสียอย่างหนึ่ง เวลาที่จะถวายนั้นเปนสี่ครั้ง คือเมื่อขอบรรพชาครั้งหนึ่ง ถวายแก่พระอุปัชฌาย์ เมื่อขอศีลครั้งหนึ่ง ถวายท่านกรรมวาจาผู้ให้ศีล เมื่อขอนิสสัยนี้มักใช้เทียนตามธรรมดาไม่ใคร่ประดับประดา เรียกกันว่าเทียนนิสสัย เวลาบอกอนุสาสน์แล้วถวายท่านผู้บอกอนุสาสน์อิกครั้งหนึ่ง ถ้าพระอุปัชฌาย์บอกเองก็ไม่ต้องถวายซ้ำอิก แลยังเจ้าของนาคอิกจำพวกหนึ่ง ที่ยักใช้เทียนอุปัชฌาย์เปนเทียนมัดธูป มีรองพานแก้วแทนเทียนแลกรวยที่ว่ามาแล้วก็มี ตามแต่ความประสงค์ของคนต่าง ๆ กัน

พรรณาถึงเครื่องสักการะเพลินมานาน พึ่งรู้สึก จะขอยุติไว้ กลับกล่าวถึงการบวชต่อไปอิก ครั้นถวายเครื่องสักการะแล้ว พระภิกษุที่บวชใหม่ถวายผ้าไตร ไทยธรรม แก่พระอุปัชฌาย์พระกรรมวาจา แลพระสงฆ์ที่นั่งหัตถบาศทั่วกันแล้วออกมารับของ ผู้มีศักดิ​แลมีอำนาจใหญ่ถวายก่อน แล้วพวกญาติพี่น้องมิตรสหายถวายต่อไป ของที่มาถวายกันนั้นมีผ้าสบงจีวรเปนพื้น ของอื่น ๆ มีบ้าง ครั้นรับของเสร็จแล้ว พระอุปัชฌาย์ยะถา พระสงฆ์รับสัพพีอนุโมทนา พระที่บวชใหม่กรวดน้ำ เปนเสร็จการบวชกันเพียงนี้ เมื่อเสร็จการแล้วประโคมอิกครั้งหนึ่ง การต่อไปนี้ถ้าเจ้าของจะมีงานฉลองต่อไป ก็มักมีกระบี่กระบอง ใช้พวกที่ถือพลองแห่ไปบ้าง หามาใหม่บ้าง บางพวกก็ไปส่งพระที่กฏิแล้วกลับบ้าน เปนเสร็จการบวชนาคเท่านี้

เรื่องราวที่ว่ามานี้ เช่นเรื่องที่ข้าพเจ้าได้เห็นด้วยตาเองบ้าง ได้ยินคำคนอื่นเล่าบ้าง คงจะไม่หมดความที่มีที่เปนอยู่ แลการที่บวชนี้จะทำการเอิกเกริกฤๅเปนการเงียบ มีทำขวัญฤๅไม่ทำ แห่ฤๅไม่แห่ เปนต้นนี้ ก็ไม่เปนการสำคัญอันใดในที่จะติเตียนฤๅสรรเสริญว่าชั่วฤๅดี ผิดฤๅถูก เพราะใครมีกำลังทุนรอนมากก็ทำ ไม่มีกำลังก็ไม่ทำ มีข้อสำคัญอยู่แต่จิตรของผู้บวชแลผู้เจ้าของนาค ถ้าประกอบด้วยกุศลจิตรมีศรัทธาเปนต้นอยู่แล้ว ก็คงจะมีผลานิสงษ์ด้วยประการต่าง ๆ โดยไม่สงไสยเลย. ฯ


ขอขอบคุณที่มา หอสมุดวชิรญาณ


หัวข้อ: Re: เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 พฤษภาคม 2568 17:33:23
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/14700587052437_7_Copy_.jpg)

เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๒

ประเพณีแต่งงานบ่าวสาว
พระยาราชวรานุกูล (อ่วม) เรียบเรียง
----------------------------


บิดามารดาบำรุงเลี้ยงบุตรแลธิดามาจนมีอายุเจริญไวย สมควรจะออกจากอกไปทำมาหาเลี้ยงชีพได้โดยลำพังตนเมื่อใด ก็คิดอ่านให้มีภรรยาสามีเปนคู่ครอง เพื่อจะได้ตั้งวงษ์สกุลเปนอิศรภาพเฉภาะตนอิกส่วน ๑ ก็แลการที่บิดามารดาจะหาภรรยาสามีให้แก่บุตรแลธิดานั้นเปนการสำคัญอย่าง ๑ เพราะอาจจะเปนคุณฤๅเปนโทษแก่วงษ์สกุลของตนได้มาก ๆ ถ้าได้คนดีมาเปนเขยเปนสใภ้ก็จะพาสกุลของตนให้มีความเจริญ แต่ถ้าไปได้คนเสเพล ฤๅว่าบุตรแลธิดาของตนต้องตกเข้าไปอยู่ในสกุลคนพาล ก็จะได้รับแต่ความทุกข์ร้อนต่าง ๆ บิดามารดาจะให้บุตรธิดามีภรรยาสามีจึงต้องใคร่ครวญเลือกสรร ต่อเห็นว่าเปนอันเหมาะดีจะมีแต่ความศุขความเจริญถ่ายเดียวจึงได้ยินยอมให้ตกแต่งกัน เพราะฉนั้นเมื่อบิดามารดาเลือกหาผู้ที่จะให้เปนคู่ครองของบุตรแลธิดาได้สมประสงค์ จึงนับว่ามงคลอันจะนำความเจริญความศุขให้เกิดมีในวงษ์สกุล ผู้ที่อยู่ในวงษ์สกุลทั้ง ๒ ฝ่าย ก็มีความยินดีด้วย ช่วยกันตกแต่งให้ชายหญิงคู่นั้นเปนสามีภรรยากัน จึงได้เกิดประเพณีแต่งงานบ่าวสาวด้วยเหตุอันนี้ ถ้าชายหญิงสมัครักใคร่ได้กันเอง โดยผู้ปกครองไม่ยินยอมอนุญาต ถึงแม้จะเปนผัวเมียกัน โดยธรรมดาโลกฤๅโดยที่กฎหมายจะไม่ห้ามปรามก็ดี ถ้าแลมิได้แต่งงานตามประเพณี ชายหญิงคู่นั้นก็มิได้รับความอุปการะของวงษ์สกุล ก็มักจะต้องซัดเซ​ระเหระหนไปโดยลำพังตน ในอัตภาพอันไม่พึงปราถนาของคนทั้งหลาย เพราะฉนั้นประเพณีทำการบ่าวสาวจึงทำกันเปนการพิธีใหญ่ให้ประจักษ์ ว่าวงษาคณาญาติทั้ง ๒ ฝ่ายนิยมยินดีเห็นชอบด้วยนั้นอิกประการ ๑.

ก็แต่ลักษณการพิธีแต่งงานบ่าวสาว แม้ในชาวสยามประเทศนี้ คนต่างพวกต่างภาษามีลัทธิทำต่างกันเปนหลายอย่าง แต่พิเคราะห์ดูมีประเพณีเดิมเปนเค้าเหมือนกัน ในวิธีการขอสู่อย่าง ๑ การรวมทุนสินอย่าง ๑ การประชุมญาติวงษ์อย่าง ๑ แลทำพิธีให้อนุมัติอย่าง ๑ แล้วจึงให้อยู่ด้วยกันเปนสามีภรรยา การต่าง ๆ ที่ว่ามานี้เปนหัวข้อของพิธีแต่งงานบ่าวสาวในชาวสยาม จะอธิบายลักษณการเหล่านั้นก่อน แล้วจึงจะว่าด้วยการพิธีต่อไป.

ลักษณการขอสู่นั้น ถือกันว่าเปนกิจธุระของบิดามารดาผู้ปกครองเจ้าบ่าวเจ้าสาว ความข้อนี้ คงจะเปนเพราะถือว่าการแต่งงานบ่าวสาวเปนการเชื่อมสกุลวงษ์ทั้ง ๒ ฝ่ายให้เกี่ยวดองเปนพวกเดียวกัน มิใช่แต่จะให้ชายหญิงอยู่สมรสด้วยกันเท่านั้น จึงถือว่ากิจของผู้ปกครองวงษ์สกุลทั้ง ๒ ฝ่ายที่จะปฤกษาหารือให้เห็นชอบพร้อมกัน แต่ประเพณีการขอสู่ที่ประพฤติกันในชาวสยามประเทศนี้ ต่างกันเปน ๒ อย่าง คือ อย่าง ๑ ผู้ปกครองข้างฝ่ายชายไปขอสู่ต่อผู้ปกครองข้างฝ่ายหญิง ใช้ประเพณีอย่างนี้แทบทั่วไป แต่ชาวมณฑลภาคพายัพใช้ประเพณีอิกอย่าง ๑ ตรงกันข้าม คือผู้ปกครองฝ่ายหญิงเปนผู้ขอสู่ต่อผู้ปกครองข้างฝ่ายชาย จึงเปนประเพณีชายขอหญิงอย่าง ๑ หญิง​ขอชายอย่าง ๑ มีอยู่ดังนี้ พิเคราะห์ดูเห็นว่าประเพณีทั้ง ๒ อย่างนี้ เห็นจะมาแต่คติเดิมอันเดียวกัน ที่กำหนดการสมรสบ่าวสาวว่าเปนอาวาหะมงคลอย่าง ๑ แลวิวาหะมงคลอย่าง ๑ คือถ้าให้หญิงมาอยู่กับชาย เรียกว่าอาวาหะมงคล ผู้ปกครองฝ่ายชายต้องขอหญิง ถ้าให้ชายไปอยู่กับหญิง เรียกว่าวิวาหะมงคล ประเพณีเดิมผู้ปกครองฝ่ายหญิงเห็นจะขอชาย ทั้ง ๒ อย่างนี้ทำนองจะถือเอาการที่จะปกครองทรัพย์สมบัติต่อไปภายน่าเปนหลัก ถ้าชายเปนผู้มีส่วนจะรับทายาทปกครองทรัพย์สมบัติของบิดามารดา รักษาถิ่นฐานวงษ์สกุลต่อไป ผู้ปกครองก็ให้ทำอาวาหะมงคล ถ้าหากว่าหญิงเปนกุลธิดาที่มีส่วนจะรับมรดกปกครองบ้านเรือนแลทรัพย์สมบัติ ผู้ปกครองก์ให้ทำวิวาหะมงคล มูลเหตุของประเพณีทั้ง ๒ อย่างน่าจะเปนเช่นนี้

การกองทุนสินนั้น ก็ประเพณีที่จำเปน คือที่ผู้ปกครองต่างออกทรัพย์เท่ากันทั้ง ๒ ฝ่าย รวมมอบให้แก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ซึ่งเปนสามีภรรยาไว้เปนทุนสำหรับประกอบการหาเลี้ยงกันต่อไป บางทีจำต้องสร้างเรือนใหม่สำหรับผู้ที่แต่งงานจะอยู่ด้วยกันต่อไป จึงเกิดประเพณีปลูกเรือนหอ แลการที่ปลูกเรือนหอนั้นเข้าใจว่าตัวเรือนของฝ่ายชายสร้าง ส่วนเครื่องแต่งเรือนเปนของฝ่ายหญิง

การประชุมญาตินั้น ก็เพราะแต่งงานบ่าวสาวเปนการเกี่ยวเนื่องถึงวงษ์สกุลทั้ง ๒ ฝ่าย ดังกล่าวมาแล้ว จึงต้องเชิญญาติวงษ์มาประชุมให้รู้เห็นยินยอมด้วย การประชุมญาติเหตุที่ต้องมีผ้าไหว้แลขันหมาก คือของคำนับเลี้ยงดูญาติวงษ์ที่มาประชุมกัน

​การทำพิธีให้อนุมัตินั้น ลักษณที่ทำต่างกันตามเพศตามภาษา บางพวกใช้วิธีรดน้ำเจ้าบ่าวเจ้าสาว บางพวกก็ใช้เอาด้ายขวัญผูกข้อมือให้ แต่ถึงจะทำการพิธีอย่างไรก็ตาม คงอยู่ในให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาพร้อมกันเฉภาะหน้าญาติวงษ์ที่มาประชุมกัน พวกญาติวงษ์พร้อมกันแสดงการให้อนุมัติที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเปนสามีภรรยากัน แล้วก็มีการเลี้ยงดูรื่นเริงกันในบรรดาผู้ที่มาประชุม เมื่อเสร็จการพิธีเหล่านี้แล้ว จึงให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่กินด้วยกันต่อไป

ลักษณการพิธีแต่งงานบ่าวสาวของชาวสยามแต่โบราณมา ที่มีเหมือนกันทั่วทุกจำพวกเปนดังกล่าวมานี้ ลักษณการที่มีผิดเพี้ยนกันไปคงเกิดขึ้นในชั้นหลังเพราะความจำเปนต่างกันไปตามภูมิประเทศ แลคติความนิยมเปลี่ยนแปลงมา จะยกตัวอย่างดังเช่นลักษณที่รดน้ำแต่งงานบ่าวสาว ประเพณีแต่ก่อนพระสงฆนายกที่มาสวดมนต์ผู้รดน้ำองค์เดียว ความข้อนี้มีพรรณาไว้ถ้วนถี่ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ทั้งตอนแต่งงานพลายแก้วกับนางพิม แลตอนแต่งงานพระไวยกับนางศรีมาลา เพราะเปนประเพณีที่ใช้กันในสมัยเมื่อแต่งหนังสือนั้น ประมาณเวลาไม่เกินกว่าร้อยปีมา แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนเปนให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในญาติวงษ์หลาย ๆ คนรดน้ำให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว ข้ออื่นก็คงมีเปลี่ยนแปลงตามความนิยมผันแปรมาจากประเพณีเดิมโดยทำนองเดียวกัน ทีนี้พรรณาลักขณการพิธีแต่งงานบ่าวสาวที่ทำกันเปนประเพณีในชนต่างพวกต่างภาษาในสยามประเทศนี้โดยพิศดารต่อไป


​ประเพณีแต่งงานบ่าวสาวอย่างไทย
----------------------------

ลักษณแต่งงานบ่าวสาวตามประเพณีไทยนั้น ถ้าบิดามารดาญาติพี่น้องที่มีบุตรหลานชาย เห็นสมควรจะแต่งงานมงคลแล้ว ก็สืบสวนแสวงหาบุตรหลานหญิงของท่านผู้มีตระกูลแลทรัพย์สมบัติ อันสมควรจะทำงานมงคลให้อยู่กินด้วยกันเปนสามีภิริยาตามสมควรแก่ตระกูลตน เมื่อหาได้ถูกใจแล้วก็หาผู้มีบันดาศักดิฤๅผู้ใหญ่ที่มีอายุเปนเถ้าแก่ไปพูดจาว่ากล่าวทาบทามฟังดูถ้อยคำบิดามารดาญาติฝ่ายหญิงนั้น เปนการเงียบ ๆ กันก่อน ว่าจะยอมยกให้ฤๅไม่ ฝ่ายบิดามารดาญาติหญิงถึงจะเต็มใจยอมยกบุตรหลานสาวให้ก็มักต้องขอวันเดือนปีผู้ชายที่จะมาเปนเขยมาให้โหรตรวจดูชตาราษีกับบุตรหลานสาว ว่าจะถูกต้องตามตำราสมควรทำการมงคลด้วยกันได้ฤๅไม่ บางทีบิดามารดาญาติชายหญิงทั้งสองฝ่ายที่รักใคร่กันสนิท ก็ว่าแล้วแต่กุศลอกุศล ไม่ขอวันคืนปีเดือนชายซึ่งจะทำการมงคลมาสอบสวนตามตำหรับก็มี ที่จริงแท้ใช่ว่าดูวันคืนเดือนปีดีแล้วจะมีความเจริญไปตามตำราทุกการมงคลก็หาไม่ แต่บางทีถ้าไม่เชื่อตำราก็มีเหตุอันตรายได้จริงๆเหมือนตำรากล่าวไว้ ยากที่จะพิจารณาแก้ไขให้ชัดแจ้งได้ แต่การที่ขอให้หมอดูชตาเสียก่อนเช่นว่ามานี้ เปนอุบายที่ดีอิกสถาน ๑ ด้วย เพราะถ้ามีความรังเกียจในตัวชายฤๅในสกุลชาย แม้ไม่อยากจะยกเหตุที่คิดเห็นมาอ้างให้ขัดใจกัน ก็อาจจะบอกได้แต่ว่าชตาไม่ต้องกัน ถ้าขืนให้ตกแต่ง ก็จะเกิดไภยอันตราย บางทีจะเปนด้วยเหตุนี้ด้วย จึงชอบประพฤติกันโดยมาก

​การมงคลรายใดผู้ปกครองทั้ง ๒ ฝ่ายกำหนดตกลงจะให้แต่งกันแล้ว ก็ให้เถ้าแก่ทั้ง ๒ ฝ่ายพูดจาสัญญากันกำหนดทุนสินสอดแลหอขันหมากผ้าไหว้ตามสมควรแก่ตระกูล ครั้นตกลงยอมพร้อมกันเปนคำสัญญาทั้ง ๒ ฝ่ายแล้ว ถึงวันฤกษ์ดีบิดามารดาญาติข้างฝ่ายชาย ก็ให้เถ้าแก่นำขันหมากมั่นไปให้แก่บิดามารดาผู้ปกครองหญิง บิดามารดาญาติฝ่ายหญิง ก็หาเถ้าแก่มาคอยรับขันหมากมั่นตามสมควร ขันหมากมั่นนั้นมีขันใส่หมากทั้งผลกับพลูใบขันหนึ่ง กับทองคำ จะเปนทองทรายฤๅทองใบอันมีน้ำหนักเท่าที่ตกลงกันไว้ แลมีขนมต่าง ๆ ตามแต่จะจัดไปได้ แต่บางทีก็ไม่มีขันหมากมั่นต่อกัน เพราะบิดามารดาญาติทั้ง ๒ ฝ่ายรักใคร่เชื่อถือกันอยู่แล้ว ขันหมากมั่นนั้นเพื่อจะให้ประกันให้แน่นอนตามถ้อยคำสัญญาข้างฝ่ายชาย ถ้าฝ่ายชายไม่ได้ทำการวิวาหะมงคลตามสัญญา ขันหมากมั่นนั้นฝ่ายชายจะขอคืนไม่ได้ต้องเสียเปล่า หญิงนั้นเรียกกันว่าเปนม่ายขันหมาก เว้นแต่ถ้าหญิงมีเหตุชั่วไปไม่ได้ทำการมงคลแก่ชายตามสัญญา ขันหมากมั่นนั้นต้องคืนแก่ฝ่ายชายจงครบ

เมื่อมั่นกันเสร็จแล้ว จึงได้กำหนดวันเดือนที่จะทำการมงคลตอนนี้ถึงเวลาที่สร้างเรือนหอ ที่เรียกว่าเรือนหอนั้น ก็คือเรือนอันจะเปนที่อยู่ของชายหญิงซึ่งจะทำการมงคลด้วยกัน ผู้ปกครองข้างฝ่ายชายต้องปลูกหาจัดที่บ้านฝ่ายหญิงให้แล้วเสร็จก่อนวันทำการวิวาหะมงคล บางทีฝ่ายปกครองของหญิงยอมยกเรือนที่มีอยู่แล้วให้เปนหอ คิดเอาราคาแก่ฝ่ายชายพอสมควรมิให้ต้องสร้างใหม่ให้ลำบากก็มี บางที​บ้านฝ่ายหญิงอยู่ริมแม่น้ำ ใช้แพเรือนหอก็มี แม้ที่สุดถ้าเปนตระกูลประกอบการค้าขาย ใช้เรือบรรทุกสินค้าเช่นเรือเข้าเปนเรือนหอสำหรับจะให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้ไปค้าขายด้วยกันก็มี ถ้าแลต้องปลูกเรือนหอ ประเพณีโบราณฝ่ายพวกข้างเจ้าสาวต้องเลี้ยงดูคนที่มาทำงาน บางทีจะเปนเหตุเพราะจะไม่ให้ต้องเปลืองค่าเลี้ยงดูนั้นเอง จึงมักเปนประเพณีที่ต้องปลูกเรือนหอเปนการเร่งรัด มักจะปรับปรุงตัวไม้มาแต่ที่อื่นให้เสร็จแล้วขนมา ปลูกให้เสร็จในวันฤกษ์ที่ยกเรือนนั้น บางทีเรือนหอปลูกเปนแต่เรือนเครื่องผูกหลังย่อม ๆ พออยู่ได้ชั่วคราว ชนิดนี้เข้าใจว่าเปนประเพณีเกิดขึ้นชั้นหลัง แต่งงานบ่าวสาวซึ่งตกลงกันว่าจะให้หญิงไปอยู่บ้านชายภายหลัง แต่บิดามารดาผู้ปกครองหญิงมีความสงสารลูก จึงให้ทำวิวาหะมงคล ประสงค์จะให้ลูกสาวอยู่บ้านเดิมกับสามีจนคุ้นเคยกันก่อน แล้วจึงจะให้ไปอยู่บ้านสามี เพราะฉนั้นจึงไม่ต้องปลูกหอให้เปนของมั่นคงถาวร

เมื่อปลูกเสร็จแล้ว ครั้นถึงวันก่อนจะถึงฤกษ์แต่งงานเรียกว่าวันสุกดิบ เวลาตอนเช้าผู้ปกครองข้างฝ่ายชายก็ให้ขนผ้าไหว้แลขันหมากไปยังบ้านเจ้าสาว ผ้าไหว้นั้นเปนของกำนันสำหรับเจ้าบ่าวให้เพื่อจะให้บิดามารดาฝ่ายหญิงคนละสำรับ แล้วมีผ้าขาวสำหรับไหว้ผีบิดามารดาฤๅปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้วอิกสำรับหนึ่ง เมื่อเสร็จการมงคลแล้ว ผู้ปกครองฝ่ายหญิงก็เอาผ้าขาวไหว้ผีนั้นตัดเย็บย้อมเปนสบงจีวร ฤๅเย็บเปนมุ้งถวายพระสงฆ์ออุทิศส่วนกุศลไปตามเจตนา ขันหมากซึ่งฝ่ายชายต้องจัดหานั้นเปน ๒ อย่าง เรียกขันหมากเอก​อย่าง ๑ ขันหมากเลวอย่าง ๑ ทำนองเปนของสำหรับเลี้ยงแขกนั้นเอง ที่เรียกกันว่าขันหมากเอกนั้น เปนขันใส่เข้าสารหมากผลพลูจีบลำดับเรียงรอบปากขัน มีฉัตรระย้าทองอังกฤษปักเปนยอดตั้งขันไปบนพานแว่นฟ้า มีเตียบคู่หนึ่งสองคู่สามคู่สี่คู่บ้าง คือตะลุ่มฤๅโต๊ะใส่หมากพลหมูต้มห่อหมกขนมจีน มีฝาปิดแล้วหุ้มผ้าลายผ้าเกี้ยวผ้าไหมอิกชั้นหนึ่ง มีอ้อยมะพร้าวอ่อนเหล่าใส่ขันพานถั่วงาที่หนึ่ง สิ่งที่กล่าวมานี้นับว่าเปนขันหมากเอก ขันหมากเลวนั้นมาก ตั้ง ๕๐ ที่ฤๅ ๑๐๐ ที่ ตามแต่จะตกลงกันเปนขนมส้มกล้วยลูกไม้ต่าง ๆ ส่งไปก่อนวันฤกษ์ดีวันหนึ่ง เรียกกันว่าวันสุกดิบ

ครั้นเวลาเย็นนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ที่เรือนหอ ฝ่ายเจ้าบ่าวแต่งตัวเต็มยศไปกับเพื่อนบ่าวหลายคน ไปฟังสวดที่เรือนหอ ครั้นพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์จบแล้ว บิดามารดาฝ่ายหญิงจึงพาเจ้าสาวออกมา ให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวนั่งใกล้กัน มีเถ้าแก่ฝ่ายข้างผู้หญิงนั่งคั่นกลางอยู่คนหนึ่ง ให้พระสงฆนายกสวมมงคลเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว เปนมงคลคู่มีสายสิญจน์ล่ามติดกันเรียกว่า มงคลแฝด ฝ่ายเพื่อนบ่าวก็นั่งเรียงเจ้าบ่าวต่อมาฝ่ายหนึ่ง เพื่อนสาวก็นั่งเรียงต่อเจ้าสาวไปฝ่ายหนึ่งที่น่าเรือนหอนั้น พระสงฆ์สวดชยันโตพร้อมกัน แลพระสงฆนายกก็ซัดน้ำพระพุทธมนต์ ให้เปียกทั่วกันทั้งพวกเจ้าบ่าวพวกเจ้าสาว เวลานั้นเปนการสนุกรื่นเริงทั้ง ๒ ฝ่าย พวกเจ้าบ่าวก็เบียดเสียดเจ้าบ่าวเข้าไปให้ใกล้เจ้าสาว พวกเจ้าสาวก็เบียดเจ้าสาวเข้ามาให้ใกล้เจ้าบ่าว พวกหนุ่มสาวทั้ง ๒ ฝ่ายเบียดเสียดกันชุลมุน จน​บางทีหญิงเถ้าแก่ที่นั่งกั้นกลางอยู่นั้นหลีกห่างออกมา เจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าไปนั่งชิดกันก็เปนเสร็จซัดน้ำ ในคืนวันนั้นเจ้าบ่าวต้องนอนอยู่ที่หอ มีเครื่องดนตรีดีดสีตีเป่าขับร้อง เรียกว่ากล่อมหอคืนหนึ่ง

รุ่งขึ้นถึงวันฤกษ์ดีเวลาเช้าพระสงฆ์มาพร้อมแล้ว เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวต้องใส่บาตรร่วมขันเดียวกัน ตักด้วยทัพพีเดียวกัน ประเพณีแต่งงานบ่าวสาวเช่นกล่าวมานี้เปนแบบโบราณ แม้ทุกวันนิ้ยังมีทำกันอยู่ในประเทศบ้านนอกชาวสวนชุกชุม แต่ในประจุบันนี้ท่านผู้มียศมีทรัพย์ทำการมงคลแต่งงานบุตรหลานในวันฤกษ์ดีวันเดียว เวลาเช้าเลี้ยงพระสงฆ์ ถวายไทยทานต่าง ๆ แลมีกระถางมังกรมีเข้าสารกับสิ่งของกล้วยส้มขนมต่าง ๆ มีฝาชีปิดปากกระถาง สิ่งของถวายพระสงฆ์นั้นบิดามารดาญาติข้างชายข้างหญิงแบ่งปันกันหาถวายพระตามที่ตกลงกัน ครั้นพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว บิดามารดาญาติฝ่ายหญิงจัดของคาวสำรับ ๑ ของหวานสำรับ ๑ ไปให้แก่บิดามารดาญาติฝ่ายชาย ในเวลาเช้าวันเลี้ยงพระสงฆ์แล้วนั้นก่อน คือจะบอกเหตุให้รู้ว่าการเลี้ยงพระเสร็จแล้วให้นำชันหมากไปเถิดเท่านั้นฤๅอย่างไร บิดามารดาญาติฝ่ายชายเมื่อได้รับของเลื่อนแล้ว จึงให้เถ้าแก่ผู้ใหญ่นำทุนสินผ้าไหว้ขันหมากไปยังบ้านฝ่ายหญิง ลักษณแห่ขันหมากก็เปนอย่างประเพณีเดิม ต่างกันแต่แห่ช้ามาอิกวัน ๑ เท่านั้น

ลักษณแห่ขันหมากนั้น ผู้ปกครองข้างฝ่ายชายต้องเลือกสรรชายหญิงที่รูปร่างหมดจดแต่งตัวตามตระกูล ยกทุนสินผ้าไหว้ขันหมาก มีผู้คนแห่ห้อมไปพร้อมมูลกัน ไปบกฤๅไปเรื่อแล้วแต่ทางที่จะต้องไป​ยังบ้านบิดามารดาฝ่ายหญิง มีฆ้องตีนำขันหมากฤๅบางทีก็มีเครื่องดีดสีตีเป่าไปสำคัญฤๅไปเงียบ ๆ ก็มีโดยมาก แต่ขันหมากเอกนั้นจัดให้หญิงรุ่นสาวแต่งตัวยกไปน่าเตียบ ๆ นั้นจัดหาหญิงที่มีตระกูลมีสามีแล้วยกไปเปนคู่ ๆ กัน ต่อเตียบลงไปก็เปนผ้าไหว้แล้วถึงขันหมากเลว ให้เด็กผู้ชายยกตามไปโดยลำดับ ครั้นถึงบ้านธิดามารดาฝ่ายหญิงที่ในบ้านก็ตีฆ้องรับ แล้วจัดผู้ใหญ่นำเด็กแต่งตัวถือขันพานรองมีหมากพลูลงไปรับ เรียกว่า เชิญขันหมากขึ้นมาบนเรือนหอนั้น บิดามารดาฝ่ายหญิงให้เถ้าแก่ออกมารับขันหมาก แล้วจัดหาผู้มีตระกูลทั้งสามีภิริยาแต่งตัวเต็มยศ หญิงนุ่งจีบห่มผ้าห่มนอนคลุมทั้ง ๒ บ่า มารับเปิดเตียบเปนคู่ ๆ กันตามมากแลน้อย แล้วเถ้าแก่ฝ่ายหญิงยกเตียบกับขันใส่เหล้ามะพร้าวอ่อนพานผ้าไหว้ผีไปไว้ในเรือน บิดามารดาฝ่ายหญิงเส้นบอกผีปู่ย่าตายายตามประเพณีที่นับถือกันต่อ ๆ มา บางทีบิดามารดาฝ่ายหญิงไม่ให้ฝ่ายชายต้องจัดหาขันหมากเอกแลเตียบมีเครื่องเส้นไป ฝ่ายบิดามารดาหญิงจัดหาสิ่งของเครื่องเส้นเองไม่ให้ลำบากด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ถ้าเช่นนั้นก็มีแต่ทุนสินผ้าไหว้ตามสมควร

เมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงเส้นผีเสร็จแล้ว ฝ่ายเถ้าแก่ข้างเจ้าบ่าวเรียกเอาทุนฝ่ายหญิงแต่เถ้าแก่ บิดามารดาเจ้าสาวก็เอาทุนออกมาที่เรือนหอนับตรวจครบถ้วนด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่ายตามกำหนด แลมักให้มีเงินเถาบ้าง เงินสลึงเงินเฟื้องเปนเศษนอกจากทุนออกไปบ้าง เปนเคล็ดที่จะให้ทุนทรัพย์นั้นงอกงามมีความเจริญสืบไป เถ้าแก่ข้างชายหญิงพร้อมกัน​นำเงินทั้ง ๒ ฝ่ายมารวมเคล้าด้วยถั่วงาแป้งน้ำมันหอมแล้วมอบให้บิดามารดาฝ่ายหญิงไว้ เมื่อเคล้าเงินทุนเสร็จแล้ว ฝ่ายข้างเจ้าสาวจัดสำรับคาวหวานเลี้ยงเถ้าแก่ แลผู้ยกทุนสินผ้าไหว้ขันหมากตามผู้ดีแลไพร่พร้อมกัน แล้วจัดสิ่งของต่าง ๆ ให้แก่เถ้าแก่กับผู้ยกขันหมากเอกเตียบผ้าไหว้ แต่ขันหมากเลวนั้นแจกเงินคนละสลึงบ่างคนละเฟื้องบ้าง ฤๅแจกเปนผ้าขาวย้อมสีบ้าง แต่คนที่ยกทุนสินนั้นเปนธรรมเนียมถือกันว่าต้องให้ชั่งละบาท เรียกว่าเปนของแถมพก ครั้นจัดการเลี้ยงแถมพกกันเสร็จแล้ว เถ้าแก่ข้างเจ้าสาวแบ่งขันหมากเลวเปน ๒ ส่วน คืนไปให้ข้างบิดามารดาเจ้าบ่าว (สำหรับไปเลี้ยงพวกเจ้าบ่าว) ส่วนหนึ่ง ฝ่ายข้างเจ้าสาวถ่ายเอาไว้ส่วนหนึ่ง เถ้าแก่ฝ่ายชายก็นำพวกที่ยกทุนสินขันหมากกลับไป

ครั้นเวลาบ่ายเจ้าบ่าวกับพวกแต่งตัวตามยศตามศักดิ์ ก็พากันไปบ้านเจ้าสาว มีเครื่องมโหรีด้วยฤๅไปเงียบ ๆ ก็มี

ครั้นถึงบ้านเจ้าสาว บิดามารดาญาติหญิงนั้นให้ผู้ใหญ่พาเด็กแต่งตัวถือพานหมากมาเชิญเจ้าบ่าว ๆ ต้องมีบำเหน็จให้แก่เด็กที่มาเชิญนั้นสี่บาทบ้างแปดบาทบ้าง ตามยศไม่มีกำหนดมากน้อย แล้วผู้ใหญ่ก็พาเด็กกลับขึ้นเรือนก่อนเจ้าบ่าว ๆ ตามขึ้นไปภายหลัง พวกเจ้าสาวถือแพรสีบ้างสายสร้อยทองคำบ้างคนละข้างยืนกั้นขวางทางประตูไว้ตามธรรมเนียม ๑ ชั้น ไม่ให้เจ้าบ่าวขึ้นไป ที่หนึ่งประตูบ้าน พวกเจ้าบ่าวถามว่าประตูอะไร พวกเจ้าสาวที่กั้นขวางไว้นั้นบอกว่าประตูเงิน ชั้นที่สองประตูเรือน พวกเจ้าบ่าวถามว่าประตูอะไร พวกเจ้าสาวตอบว่าประตู​ทอง ชั้นที่สามประตูเรือนหอพวกเจ้าบ่าวถามว่าประตูอะไร พวกเจ้าสาวบอกว่าประตูแก้ว บอกชื่อประตูถูกต้องดังนี้แล้ว พวกเจ้าบ่าวผู้ใหญ่คนหนึ่งเรียกว่าบ่าวนำ ต้องให้เงินแก่พวกเจ้าสาวที่กั้นขวางประตูไว้นั้น คนละสลึงบ้าง สองสลึงบ้าง บาทบ้างเปนชั้น ๆ กัน ถ้าพวกเจ้าสาวบอกชื่อประตูไม่ถูกต้องตามแบบแล้ว พวกเจ้าบ่าวก็ไม่ใคร่จะให้เงิน ฤๅบางทีพวกเจ้าสาวกั้นขวางทางไว้มากถึงหลายแห่ง พวกเจ้าบ่าวก็ต้องแจกเงินให้ทั่วไปตามสมควร กว่าจะขึ้นเรือนหอได้ก็เสียเงินมากหลายตำลึง พวกเจ้าสาวยกพานหมากน้ำชามาเลี้ยงพวกเจ้าบ่าวคนละที่ ครั้นเวลาเย็นพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ เจ้าบ่าวก็ฟังพระสงฆ์สวดแต่ผู้เดียว เจ้าสาวหาได้มาฟังสวดมนต์พร้อมกันไม่ การสวดมนต์ในชั้นหลังมา เปลี่ยนเปนทำบุญขึ้นเรือนใหม่ หาได้ให้พระสงฆ์สวมมงคลฤๅสาดน้ำดังแต่ก่อนไม่ ครั้นพระสงฆ์สวดจบแล้วก็พักรออยู่พอสมควร เวลาที่ท่านผู้มีบันดาศักดิแลผู้ใหญ่ญาติพี่น้อง ซึ่งได้เชิญมารดน้ำทั้ง ๒ ฝ่ายพร้อมกันแล้ว ฝ่ายข้างเจ้าสาวก็จัดที่รดน้ำมีเตียงปูเสื่ออ่อนปูพรมน้ำมันตามสมควร มีม่านกั้นบังให้เจ้าบ่าวเข้าไปอยู่ในที่นั้นก่อน แล้วเถ้าแก่พาเจ้าสาวออกมานั่งข้างซ้ายผู้ชาย ท่านผู้ใหญ่หยิบมงคลคู่ซึ่งพระสงฆ์ทำไว้มาสวมเศียรทั้ง ๒ เคียงกันหมอบก้มหน้าอยู่ ท่านผู้มีบันดาศักดิแลบิดามารดาญาติทั้ง ๒ ฝ่าย พร้อมกันรดน้ำพระพุทธมนต์ด้วยน้ำสังข์แลขันสำริดให้พร พระสงฆ์สวดชยันโตอิกครั้ง ๑ แต่บางแห่งก็ให้พระสงฆ์กลับวัดเสียก่อน จึงรดน้ำ พระสงฆ์ที่สวดในการวิวาหะมงคลนั้นมีวิธีอาราธนาพระสงฆ์เปนคู่ ๘ รูป ๑๐ รูป ๑๒ รูป ​๑๔ รูปบ้าง ฝ่ายชายนิมนต์กึ่งหนึ่งหญิงนิมนต์กึ่งหนึ่ง ครั้นรดน้ำเสร็จแล้ว เจ้าบ่าวออกมาผลัดผ้านุ่งมีเงินขอดชายผ้านุ่งไว้ตามสมควร ผ้านุ่งที่ผลัดนั้นเด็กฝ่ายเจ้าสาวต้องมารับไปซักตากเก็บไว้ ถ้าไม่มีเงินขอดผ้าไว้แล้ว ผ้านั้นเด็กที่รับไปก็ได้ไว้ไม่ต้องคืนให้เจ้าบ่าว แล้วพวกเจ้าสาวก็จัดแจงเลี้ยงดูกันตามสมควรทั้ง ๒ ฝ่าย ท่านที่มารดน้ำก็กลับไป

เสร็จพิธีรดน้ำแล้ว บิดามารดาหญิงให้เชิญเจ้าบ่าวเข้าไปในเรือนบิดามารดาเจ้าสาว เอาผ้าขาว ๔ ศอกปูลงกลางเรือน ยกเตียบกับขวดเหล้ามะพร้าวอ่อนกับผ้าไหว้มีวางบนผ้าขาว เจ้าบ่าวจุดเทียนแฝดคู่ ๑ ธูปคู่ ๑ แล้ว เถ้าแก่นำเจ้าสาวมาไหว้ผีปู่ย่าตายายพร้อมกับเจ้าบ่าว เถ้าแก่ให้เจ้าบ่าวยกมือขวาขึ้นข้าง ๑ เจ้าสาวยกมือซ้ายขึ้นข้าง ๑ ประนมประสานกราบลงพร้อมกัน ๓ ครั้ง แล้วเจ้าบ่าวออกมาไหว้บิดามารดาญาติเจ้าสาวตามที่ได้จัดผ้าไหว้ไปนั้นเรียงไปโดยลำดับ บิดามารดาญาติหญิงที่รับไหว้ให้พรแลให้เงินสิ่งของแก่เจ้าบ่าว แล้วจัดสิ่งของแถมพกเพื่อนเจ้าบ่าวตามสมควร เพื่อนเจ้าบ่าวพากันกลับไป ฝ่ายเถ้าแก่เจ้าสาวก็จัดเสื่อหมอนที่นอนม่านมุ้งเครื่องเรือนเข้าไปปูดูตกแต่งพร้อมแล้วเชิญให้ท่านผู้ใหญ่ผู้มีตระกูลทั้งสามีภิริยา ซึ่งมีความวัฒนาเจริญด้วยกันนั้นชำระกายสอาดแล้วเข้าไปปูที่นอน เอาฟักเขียวผลหนึ่ง หม้อใหม่ใส่น้ำหม้อหนึ่ง พานถั่วงาที่เหลือจากเคล้าทุนสินพานหนึ่งเข้าไปวางไว้ข้างที่นอน เปนวิธีท่านผู้ใหญ่จะให้พรทั้ง ๒ ซึ่งทำการมงคลให้มีผลน้ำใจใสสอาดอยู่เย็นเปนศุขดังอุทกธาราแลฟัก ให้มีน้ำใจรักกันหนัก​หน่วงดุจศิลา ถั่วงานั้นเพื่อจะเสี่ยงว่าทั้ง ๒ จะมีความเจริญถาวรไปภายน่า ขอให้ถั่วงางอกงามบริบูรณ์ เถ้าแก่ทั้ง ๒ ผู้มีตระกูลวางหมอนหนุนศีศะเรียง หญิงให้นอนซ้ายชายให้นอนขวาตามตำราโบราณ ทั้งสองเถ้าแก่ผัวเมียนอนก่อนเปนสังเขปแล้วให้สีลพรตามสมควร เอาถั่วงามาประมวญโปรยในพื้นดิน ถ้าถั่วงางอกงามยินดีมาก คืนวันนั้นมีมโหรีกล่อมหอเปนเพื่อนเจ้าบ่าว ส่วนที่จะส่งตัวเจ้าสาวกับเจ้าบ่าวที่เรือนหอนั้น หาฤกษ์อิกอย่างหนึ่ง ตามตำราที่เรียกว่าวันเรียงหมอน ได้ฤกษ์เมื่อใดบิดามารดาจึงจะส่งตัวเจ้าสาวให้เจ้าบ่าว บางทีเจ้าบ่าวต้องนอนเฝ้าหออยู่คนเดียวหลายวัน บางทีฤกษ์ส่งตัวเจ้าสาวกับฤกษ์ทำการมงคลร่วมวันเดียวกันในวันนั้น มารดาฤๅเถ้าแก่ก็นำเจ้าสาวมาส่งให้แก่เจ้าบ่าวที่เรือนหอในเวลายามหนึ่งฤๅยามเศษ ประเพณีการแต่งงานบ่าวสาวดังกล่าวมาเปนอย่างที่สองนี้มักทำกันโดยมาก แต่ทุกวันนี้วิธีให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวเข้าไปเส้นผีไหว้ผีปู่ย่าตายายในเรือนบิดามารดาหญิง แลให้เจ้าสาวฟังสวดธารณะใส่บาตรกับเจ้าบ่าวนั้นไม่ใคร่จะมีผู้ใดทำ เพราะจะคิดเห็นไปว่าเปนที่ลอายแก่เจ้าสาวมาก พิเคราะห์ดูที่ถูกแล้วก็เห็นว่าของโบราณท่านทำมานั้นเปนการถูกมาก แต่การซัดน้ำเจ้าบ่าวเจ้าสาวอย่างแบบโบราณเล่นกันรื่นเริงเกินไป การรดน้ำเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ทำกันโดยมากทุกวันนี้เปนการดีสมควรแก่การมงคลแล้ว

ลักษณการส่งตัวเจ้าสาวนั้น แต่โบราณก็มีประเพณือย่างหนึ่ง คือเมื่อถึงวันฤกษ์จะส่งตัว บิดามารดาก็สั่งสอนบุตรสาวให้มีคารวะนบนอบยำเกรงเจ้าบ่าว แล้วให้เถ้าแก่ ๒ คน ๓ คน พาเจ้าสาวไปส่ง​เจ้าบ่าวที่เรือนหอ เถ้าแก่ให้เจ้าสาวกราบเจ้าบ่าว แล้วพาคลานเลยเข้าไปนั่งอยู่ในม่าน เจ้าบ่าวก็เคารพไหว้เถ้าแก่เปนคำนับแล้ว เถ้าแก่ให้เจ้าบ่าวยื่นมือเข้าไปในม่าน ให้เจ้าสาวยื่นมือมาจับเกี่ยวกันไว้แสดงความว่าได้ยอมยกทั้งสอง ให้เปนคู่สิทธิขาด แล้วเถ้าแก่สอนให้เจ้าสาวกราบหมอนผู้ชายแล้ว นอนลงในเบื้องที่ของเจ้าสาวก่อนเจ้าบ่าว เพื่อจะให้เปนลัทธิให้เจ้าบ่าวมีความยำเกรงเจ้าสาว แล้วสอนเจ้าสาวว่า เมื่อเวลาจะนอนพร้อมกันสืบไปให้กราบบาทเจ้าบ่าวเสียก่อนทุกวัน จะได้เปนศรีแก่ตนมีความเจริญไปภายน่า เสร็จการสั่งสอนกันแล้ว เถ้าแก่ก็ออกไปนั่งพูดอยู่กับเจ้าบ่าว พูดจาฝากฝังเจ้าสาวว่ายังเปนเด็กเล็กไม่รู้อะไร ให้เจ้าบ่าวสั่งสอนไปตามชอบใจเถิด เสร็จแล้วเถ้าแก่ก็ลาเจ้าบ่าวออกไปจากเรือนหอ แต่ลักษณที่ทำกันโดยมากนั้น ในกลางคืนวันที่รดน้ำนั้นเอง พอมารดาสั่งสอนเจ้าสาวแล้ว มารดาเองฤๅเถ้าแก่ก็พาเจ้าสาวไปส่งให้เจ้าบ่าวที่ในเรือนหอ ไม่ได้ทำพิธีเกี่ยวก้อยกันอย่างโบราณ ลักษณการแต่งงานบ่าวสาวดังกล่าวมานี้ เปนประเพณีที่ไทยประพฤติกันโดยมาก แต่ยังมีแปลกไปเปนอย่างอื่นบ้าง จะกล่าวไว้ ให้ปรากฎบ้างบางอย่าง



หัวข้อ: Re: เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 พฤษภาคม 2568 17:35:36

ประเพณีแต่งงานบ่าวสาว (จบ)

ลักษณแต่งงานบ่าวสาวของไทยชาวเมืองพัทลุง สงขลา
(ได้มาแต่หม่อมเจ้าวัชรินทร์)
----------------------------

ดำเนินความว่า เมื่อบิดามารดาฝ่ายชายเห็นสมควรจะขอบุตรสาวผู้ใดทำการมงคลกับบุตรชายของตนแล้ว ถึงวันฤกษ์ดีบิดามารดา​ฝ่ายเจ้าบ่าว จึงแต่งให้เถ้าแก่ไปแยบถามบิดามารดาฝ่ายเจ้าสาวว่า คนนั้น ๆ จะมาขอลูกสาวทำการมงคลกับบุตรชายคนนั้นจะได้ฤๅไม่ได้ ถ้าบิดามารดาเจ้าสาวจะไม่ให้ก็กล่าวคำว่ากับผู้เถ้าผู้แก่ว่า บุตรสาวยังเด็กเล็กอยู่ยังไม่รู้จักการเย่าเรือน อย่าเพ่อมาขอเลย ถ้าจะให้ก็ว่าให้แต่งขันหมากมาตามประเพณีเถิด จะควรทำการมงคลด้วยกันได้ฤๅไม่ได้ก็สุดแล้วแต่หมอจะบูรณทาย เถ้าแก่ที่มาแยบก็กลับบอกกับบิดามารดาเจ้าบ่าวตามคำบิดามารดาเจ้าสาวกล่าวนั้น

ครั้นได้วันฤกษ์ดี บิดามารดาเจ้าบ่าวก็จัดหาขัน ๑๒ นักษัตร ๓ ขันแล้วเอาพลทั้งกำหมากทั้งลูกลำดับใส่ลงในขันเต็มทั้ง ๓ ขัน แล้วจัดหาเถ้าแก่ที่เปนคนมีตระกูลตามสมควร ๒ คน ๓ คนกับคนถือขันหมาก ๓ คนนำขันหมากไปเรือนบิดามารดาเจ้าสาว ๆ ก็จัดแจงปูเสื่อรับขันหมาก เถ้าแก่ผู้นำขันหมากไปนั้น ก็กล่าวถ้อยคำขอหญิงโดยไมตรี บิดามารดาเจ้าสาวก็รับถ่ายเขาหมากพลูในขันไว้ เถ้าแก่ก็ลากลับไป บิดามารดาเจ้าสาวก็เอาหมากพลูที่มาขอลูกสาวนั้นแจกให้ตามบรรดาญาติพี่น้องอันสนิทแล้วปฤกษาหารือกันว่า คนนั้นให้เถ้าแก่มาขอบุตรสาวทำการมงคลแก่บุตรชายคนนั้น บรรดาพวกพี่น้องทั้งปวงจะเห็นประการใดบ้าง ถ้าเจ้าบ่าวเปนคนประพฤติการชั่วฤๅเปนคนเกียจคร้านไม่ทำมาหากิน ญาติพี่น้องก็ทักท้วง ฤๅเจ้าบ่าวคนประพฤติการทำมาหากินสุจริตแล้ว ญาติพี่น้องทั้งปวงก็เห็นดี ควรจะทำการมงคลด้วยกันได้ ​ครั้นอยู่มา ๙-๑๐ วัน บิดามารดาเจ้าบ่าว จึงให้เถ้าแก่ไปถามบิดามารดาเจ้าสาวว่าที่มาขอบุตรสาวไว้นั้นได้ปฤกษาตกลงกันอย่างไร ถ้าบิดามารดาเจ้าสาวจะไม่ยอมยกบุตรสาวให้ก็ตอบว่า ได้ถามบุตรสาวดูแล้วบุตรสาวว่าไม่สมัครักใคร่กับชายคนนั้น บางทีก็พูดว่าปฤกษากับญาติพี่น้อง ๆ เขาไม่เห็นดีด้วย ถ้าจะให้บิดามารดาเจ้าสาวก็กล่าวคำว่ากับผู้เถ้าผู้แก่ว่า ได้ปฤกษาญาติพี่น้องเห็นดีพร้อมกันแล้ว ถึงวันดีก็ให้มาขันหมากบูรณสัก ๓๐ ขัน ๕๐ ขัน (ตามคุณานุรูปของเจ้าบ่าวเจ้าสาว) เถ้าแก่ก็กลับไปแจ้งความกับบิดามารดาเจ้าบ่าวตามคำบิดามารดาเจ้าสาวกล่าวนั้น บิดามารดาเจ้าบ่าวจึงหาฤกษ์แล้วแต่งให้คนไปแจ้งแก่บิดามารดาเจ้าสาวว่า ณวันเดือนนั้นขึ้นแรมเท่านั้นเปนวันดี จะให้เถ้าแก่นำขันหมากบูรณไป ฝ่ายบิดามารดาเจ้าสาวก็จัดแจงตระเตรียมหาของสำรองไว้ ที่จะรับเลี้ยงตามสมควร

ครั้นถึงกำหนดวันดี บิดามารดาเจ้าบ่าวก็จัดขัน ๑๒ นักษัตร ๓ ขัน นอกกว่านั้นใช้ขันเลว ๓๐ ขันฤๅ ๕๐ ขัน แต่ขัน ๑๒ นักษัตร ๓ ขันนั้นเรียกว่าขันหัวขัน ๑ ขันคางขัน ๑ ขันฅอขัน ๑ ใช้หมากสงปอกเปลือกแล้วทั้งลูก แล้วเอาพลูลำดับเปนยอดขึ้นไป เอาหมากใส่ไว้กลางขันทั้ง ๓ ขัน นอกแต่นั้นใช้หมากสงทั้งเปลือกกับพลูพอเต็มขัน แล้วเอาแพรต่างสีคลุมขันหมากหัว ขันหมากคาง ขันหมากฅอ รวม ๓ ขัน ขันหมากพลทั้งนั้นคลุมผ้าลายสี่เหลี่ยม ครั้นแต่งขันหมากแล้วก็จัดคนเถ้าแก่ผู้ชาย ๔-๕ คน ผู้หญิง ๔-๕ คน กับหมอสำหรับที่จะดูบูรณทายคน ๑ กับผู้หญิงถือขันหมากแต่งตัวสอาดเรียบร้อยครบกับ​ขันหมาก ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกขันหมากไป บิดามารดาเจ้าบ่าวก็ไปด้วย ครั้นไปถึงบันไดเรือนบิดามารดาเจ้าสาวให้คนเอาหม้อน้ำมนต์ออกไปยืนคอยประพรมขันหมากอยู่ที่บนชานเรือนริมบันได แล้วคนที่ถือขันหมาก ๓ ขันนั้น ก็ถือเลยเข้าไปตั้งไว้ที่ปูผ้าขาวในประธานเรือนบิดามารดาเจ้าสาว แต่ขันหมากพลนั้นวางไว้บนเสื่อข้างนอก แล้วบิดามารดาเจ้าสาวก็จัดสำรับคาวหวานเลี้ยงดูเถ้าแก่แลพวกถือขันหมากทั้งนั้น เสร็จแล้ว ๆ พวกถือขันหมากทั้งนั้นก็กลับไป ฝ่ายบิดามารดาเจ้าบ่าวกับบิดามารดาเจ้าสาวแลเถ้าแก่ พร้อมด้วยญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่าย ก็เรียกหมอดูมาข้างเจ้าบ่าว ๑ เจ้าสาว ๑ ข้างละคน บอกปีเดือนวันคืนขึ้นแรมเวลานาทีเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้หมอตรวจดูชตาราษี หมอก็คำนวณดูนาคสมพงษ์ แลลักษณชตาเจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งสอง ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องกัน บิดามารดาเจ้าสาวก็กล่าวคำว่าจะแต่งให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะปีเดือนวันคืนไม่ถูกต้องกัน ถ้าเห็นว่าลักษณจันทร์เกาะกุมภ์ถูกต้องกันดีแล้ว บิดามารดาเจ้าสาวก็กำหนดกับบิดามารดาเจ้าบ่าวว่า หมอให้ทำการปีนั้นการมงคลวิวาหะออกให้ ให้มาขันหมากใหญ่ตามประเพณีเถิด แล้วบิดามารดาเจ้าสาวก็กล่าวตกทอดสินสอดขันหมากกับบิดามารดาเจ้าบ่าวต่อหน้าผู้เถ้าผู้แก่แลหมอทั้ง ๒ คนว่า จะเอาทองสัก ๕ ตำลึง ฤๅ ๓ ตำลึง ฤๅ เท่าใดตามควร เงินสักสองร้อยเหรียญฤๅร้อยเหรียญฤๅห้าสิบเหรียญ ผ้าขาวสักห้าพับฤๅสามพับ ธูปเทียนสิ่งละ ๕ แพฤๅสิ่งละ ๓ แพ ขันหมากสัก ๑๕๑ ขัน ฤๅ ๕๑ ขัน ​ตามคุณานุรูปคนทั้งสอง ฝ่ายบิดามารดาเจ้าบ่าวก็รับตามคำบิดามารดาเจ้าสาวตกทอด แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวแลเถ้าแก่ก็กลับไปบ้าน แต่นั้นบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาว ก็ไปมาหาสู่เยี่ยมเยือนถามข่าวศุขทุกข์ซึ่งกันแลกันอยู่เสมอ

ครั้นถึงกำหนดปีที่มงคลวิวาหะออกให้ตามหมอดูทำนายไว้นั้นบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ให้หมอคำนวณหาวันดีที่จะทำการวิวาหะมงคล ครั้นหมอคำนวณดูรู้ว่า ต่อวันนั้นเดือนนั้นขึ้นแรมเท่านั้นเปนอุดมฤกษ์ดี แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวก็ไปจัดแจงปลูกเรือนหอที่บ้านบิดามารดาเจ้าสาวตามสมควรเสร็จแล้ว บิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จัดแจงปลูกเปนโรงใหญ่เรียกว่าโรงมัด ตระเตรียมซื้อหาสิ่งของจะทำการ แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จัดแจงแต่งสำรับคาวหวาน ยกไปให้ตามพวกญาติพี่น้องแลพระหลวงขุนหมื่นแลกรมการผู้มีบันดาศักดิ การบอกแขกช่วยทำการวิวาหะมงคลตามสมควรทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวจัดหมากซองเอาไปให้บุตรขุนนางที่หนุ่มๆเชิญเปนเพื่อนบ่าวตามสมควร แล้วก็จัดแจงเหล้าเข้าคาวหวานเครื่องสำหรับเลี้ยงแขกไว้พร้อมแล้ว ก็จัดที่แต่งขันหมากดาดเพดานด้วยผ้าขาวปูพรมปูผ้าขาว แล้วเอาขันหมากวางลงบนผ้าขาว ใช้ขัน ๑๒ นักษัตร ๓ ขัน ขันหมากพล ๑๕๑ ขันฤๅ ๑๐๑ ขัน ฤๅ ๕๑ ขันวางลงไว้บนเสื่อพร้อมกันแล้ว เชิญเถ้าแก่ที่เข้าใจการมาให้จัดลำดับพลูเปนยอดพนมขึ้นไป ใช้หมากสงปอกแล้วทั้งลูกใส่กลางขันทั้ง ๓ ขัน แล้วเอาแพรอย่างดีสีต่าง ๆ กันคลุมลงทั้ง ๓ ขัน แต่ขันหมากพลูทั้งนั้นใส่หมากพลูเต็มทุกขัน แล้วจัดเหล้ากะถาง ๑ ไก่ต้ม​ตัว ๑ เป็ดต้มตัว ๑ ธูปเทียนเข้าเหนียวเข้าเจ้าขนมพร้อม ใส่ในโต๊ะปิดฝาชีสำรับ ๑ เรียกชื่อว่าขันวัดดาม เอามะพร้าวอ่อนปอกเปลือกแล้ว ๓ ผลโต๊ะ ๑ กล้วยสุกโต๊ะ ๑ อ้อยตัดเปนท่อน ๆ โต๊ะ ๑ ทองคำใส่พานถม เงินใส่ขันถม ครั้นจัดขันหมากเสร็จแล้ว ก็เลี้ยงดูญาติพี่น้องผู้ที่มาช่วยการ แลคนที่จะถือขันหมากก็ต้องเอาหมากพลูไปบอกออกปากวักวานทุกคน

ครั้นรุ่งขึ้นเช้าเปนวันมหาสิทธิโชคอุดมฤกษ์ดีแล้ว ก็จัดผู้หญิงมีตระกูลให้ถือขันหมากหัว ขันหมากคาง ขันหมากฅอ ๓ ขัน แลขันหมากพลทั้งนั้นให้ผู้หญิงสาว ๆ แต่งตัวสอาดเรียบร้อยถือคนละขัน ครั้นได้ฤกษ์หมอลั่นฆ้องแล้ว เถ้าแก่คนผู้ดีมีตระกูลประมาณห้าคนหกคน ออกเดินนำน่าขันหมาก แต่ขันหัวคางฅอทั้ง ๓ ขันนั้น ต้องมีคนกางร่มไปทั้ง ๓ ขัน แล้วก็ออกเดินเปนลำดับเรียงตัวกันไปเปนจังหวะเรียบร้อย มีผู้ชายถือปืนเดินเคียงข้างละเก้าคนสิบคน แล้วจัดหมากพลูใส่ขันถมเล็ก ๆ ให้คนที่เข้าใจถือล่วงน่าไปเรือนบิดามารดาเจ้าสาวก่อน ขันหมากบอกให้รู้ว่าคนมากน้อยเท่านั้นจะไปถึงเวลานั้น บิดามารดาเจ้าสาวจะได้จัดแจงการรับรองตามธรรมเนียม ครั้นขันหมากเดินพ้นประตูบ้านเจ้าบ่าวออกไปถึงกลางถนน ก็ยิงปืน ๔ นัด ๕ นัด เพื่อจะให้รู้ไปถึงบ้านเจ้าสาวว่าคลี่กระบวนขันหมากเดินแล้ว ครั้นไปถึงประตูบ้านเจ้าสาวก็ยิงปืนอิกครั้ง ๑ แล้วเดินเข้าไปถึงบันไดเรือน ฝ่ายบิดามารดาเจ้าสาวก็แต่งให้เถ้าแก่ถือหม้อน้ำมนต์ออกไปคอยรับอยู่ที่บันไดเรือน ครั้นขันหมากถึงก็เอาน้ำมนต์ประพรมขันหมากทุก ๆ ขัน แล้ว​นำขันหมากเข้าไปข้างใน แต่ขันวัดด้ามกับขันหมาก ๓ ขัน กับพานใส่ทองขันใส่เงินนั้น ผู้ถือต้องถือเลยขึ้นไปวางที่บนผ้าขาวในห้องเรือน แล้วญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวก็จุดเทียนขึ้น ๒ เล่ม เปนเทียนเจ้าบ่าวเล่ม ๑ เทียนเจ้าสาวเล่ม ๑ ประกาศบอกปู่ย่าตายายวักเส้นเสร็จแล้ว จึงจัดแจงสำรับคาวหวานเลี้ยงดูเถ้าแก่แลคนถือขันหมากเสร็จแล้วก็กลับไป

ทีนี้ฝ่ายข้างบิดามารดาเจ้าบ่าว ก็จัดแจงจัดสำรับคาวหวานเลี้ยงเถ้าแก่แลเพื่อนบ่าว ครั้นเลี้ยงแล้ว จึงแต่งตัวเจ้าบ่าวให้หมอเศกน้ำมันใส่ผมเศกแป้งผัดหน้าเศกขี้ผึ้งสีปาก แล้วนุ่งผ้าใส่เสื้อให้เปนสง่าราษี พอได้ฤกษ์ดีในเวลาเช้าเถ้าแก่ก็นำเจ้าบ่าวลงจากเรือนไป เพื่อนบ่าวก็เดินห้อมล้อมเจ้าบ่าวไป พอออกจากประตูบ้านก็ยิงปืนครั้ง ๑ เก้านัดสิบนัด ไปถึงกลางทางยิงครั้ง ๑ ยี่สิบนัดสามสิบนัด ไปถึงประตูบ้านเจ้าสาวยิงอิกครั้ง ๑ ยี่สิบนัดสามสิบนัด ฝ่ายพวกเจ้าสาวก็ยิงปืนรับยี่สิบนัดสามสิบนัดเหมือนกัน แต่พวกเจ้าสาวปิดประตูบ้านไว้ก่อน เจ้าบ่าวต้องให้คนเอาเงินให้ผู้ปิดประตูประมาณสัก ๔ ย่ำไป ๕ ย่ำไป ๆ หนึ่งนั้นคือเงินรูเปียสามสลึง นายประตูจึงเปิดประตูให้ เถ้าแก่ก็นำเจ้าบ่าวเลยเข้าไปถึงบันได บิดามารดาเจ้าสาวก็แต่งตัวบุตรฤๅหลานที่ยังไว้จุกออกไปคอยล้างเท้าให้เจ้าบ่าว ครั้นเจ้าบ่าวไปถึงแล้ว เด็กนั้นก็เอาขันถมฤๅขันเงินตักน้ำล้างเท้าให้เจ้าบ่าว เจ้าบ่าวก็เอาเงินให้เด็กนั้นประมาณ ๑๔ ย่ำไป ๑๕ ย่ำไป แล้วเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวก็เอากรรชิงกางรับเจ้าบ่าว จูงมือขึ้นไปที่โรงมัด แลที่โรงมัดนั้นดาดเพดานปูเสื่อตั้งม้าตัว ๑ มีเครื่องบูชาพระเทียน ๙ เล่ม หมาก ๙ คำ ดอกไม้ ๙ ดอก ​หมอนใบ ๑ เอาหมาก ๓ คำ เทียน ๓ เล่ม เงิน ๓ สลึงวางเรียงไว้บนหมอน พวกญาติพี่น้องของเจ้าสาวก็มาคอยรับอยู่ที่โรงมัดนั้น ครั้นเจ้าบ่าวถึงโรงมัดแล้ว เจ้าบ่าวก็กราบพระลง ๓ หน แล้วกรายลงอิกหน ๑ แล้วเอามือกวาดหมากกับเงินซึ่งอยู่บนหมอนข้างซ้าย แล้วกราบลงหน ๑ กวาดหมากแลเงินข้างขวา แล้วกราบลงหน ๑ กวาดหมากแลเงินกลางหมอนเข้ามาหาตัว เสร็จแล้วกราบอิก ๓ หน รวมเปน ๙ หน แล้วเอาใบพลู ๓ ใบดับเทียนข้างซ้าย ดับเทียนข้างขวา ดับเทียนกลางหมอนแล้วเถ้าแก่ข้างเจ้าสาวก็ออกไปจูงมือเจ้าบ่าวเข้าไปในห้องที่เจ้าสาวอยู่เจ้าบ่าวต้องเสียเงินค่าเปิดประตูห้องอิกประมาณ ๔ ย่ำไป ๕ ย่ำไป ครั้นเจ้าบ่าวเข้าไปถึงในห้องแล้ว เจ้าสาวก็เอาผ้าเสื้อให้เจ้าบ่าวผลัดแล้ว เถ้าแก่จึงให้เจ้าสาวกราบเจ้าบ่าว ๓ หน แล้วเถ้าแก่จึงพาเจ้าบ่าวเจ้าสาวออกไปที่โรงมัด ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งบนอาศนะที่ตั้งบายศรี ให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวหมอบชิดใกล้กัน พวกญาติพี่น้องแลเถ้าแก่เพื่อนบ่าวทั้งนั้นก็นั่งล้อมโดยรอบ ตาหมอก็ชักวงสายสิญจน์ แล้วจุดเทียนคำนับครู สวดสัคเค นโมจบแล้ว ก็กล่าวถ้อยเชิญขวัญเจ้าบ่าวเจ้าสาว ลั่นฆ้องไชยโห้ร้องเปนการเอิกเกริก แล้วเปิดคลุมบายศรีเวียนเทียน ตาหมอก็สวดชยันโตโปรยเข้าตอก เวียนเทียนได้เจ็ดรอบเก้ารอบแล้วดับเทียน โบกควันไปข้างเจ้าบ่าวเจ้าสาว แล้วตาหมอก็เอาช้อนมุกตักน้ำมะพร้าวอ่อนให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวกินคนละช้อน แล้วเถ้าแก่ทั้ง ๒ ฝ่ายก็อวยไชยมงคลให้พร แล้วเขาเงินเจิมขวัญให้คนละ ๒๐ ย่ำไปบ้าง ๓๐ ย่ำไปบ้าง คนละ ๒๐ เหรียญบ้าง ๓๐ เหรียญบ้าง คนละ ๖๐ เหรียญบ้าง ๗๐ เหรียญ​บ้าง ตามถานานุรูป ครั้นเสร็จการทำขวัญแล้ว เจ้าสาวก็กลับเข้าข้างใน เจ้าบ่าวก็จัดสำรับคาวหวานเหล้าเข้าเลี้ยงดูเถ้าแก่แลเพื่อนบ่าวเปนการสนุกอย่างยิ่ง แล้วข้างบิดามารดาเจ้าสาวก็จัดของแถมพกให้แก่เถ้าแก่แลเพื่อนบ่าว บรรดาที่ได้เจิมขวัญตามมากแลน้อยทั่วทุกคน แล้วต่างคนก็ต่างกลับไปบ้าน ฝ่ายเจ้าบ่าวก็กลับเข้าไปในห้องที่เจ้าสาวอยู่ เจ้าสาวก็ยกสำรับคาวหวานมาตั้งให้เจ้าบ่าว แล้วเจ้าสาวเข้าไปเปิดฝาชีฝาถ้วยชามนั่งคอยปฏิบัติเจ้าบ่าวอยู่จนรับประทานแล้ว ๆ เจ้าบ่าวก็ถอดแหวนใส่ในพานผ้าเช็ดมือให้เจ้าสาววงหนึ่ง ครั้นเวลาเย็นใกล้จะค่ำให้นิมนต์พระสงฆ์ ๕ รูปมารดน้ำมนต์เปนเสร็จการพิธี ต่อมาในวันนั้น พอค่ำลงประมาณยามเศษ เถ้าแก่นำเจ้าสาวออกไปส่งให้เจ้าบ่าวที่ในห้อง การมงคลบ่าวสาวชาวเมืองพัทลุงสงขลากล่าวมาเปนสังเขปแต่เท่านี้


ลักษณแต่งงานบ่าวสาวอย่างลาวพุงดำ
----------------------------

ประเพณีการมงคลแต่งงานบ่าวสาว ในประเทศเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูน เมืองน่าน ที่เรียกว่าลาวพุงดำนั้น บรรดาเจ้านายท้าวพระยาราษฎรที่มีบุตรสาว ถ้าเห็นว่าบุตรสาวของตนสมควรจะทำการมงคลแก่บุตรชายของผู้ใด ที่บิดามารดาหญิงมีใจรักใคร่นั้น ครั้นถึงวันฤกษ์งามยามดี บิดามารดาหญิงก็พูดจากับบิดามารดาของชายนั้นว่า จะขอเอาบุตรชายไปเปนบุตร เมื่อตกลงกันฝ่ายบิดามารดาชายก็บอกปีเดือนวันคืนบุตรชายของตนนั้นให้แก่บิดา​มารดาหญิง ๆ ก็บอกปีเดือนวันคืนบุตรสาวตนให้แก่บิดามารดาชาย ต่างคนก็หาหมอโหรามาดูปีเดือนวันคืนบุตรที่จะทำการวิวาหะมงคล ถ้าไม่ถูกต้องกัน ก็พูดจาบอกกล่าวกันว่าปีเดือนบุตรชายหญิงซึ่งจะทำการวิวาหะมงคลไม่ถูกต้องกัน จะให้ทำการมงคลกันไม่ได้ ถ้าถูกต้องตามตำราดีเปนที่ตกลงพร้อมกันแล้ว บิดามารดาชายหญิงทั้ง ๒ ฝ่ายก็หาวันฤกษ์ดี กำหนดทำการมงคลบุตรชายหญิงด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย

ครั้นถึงกำหนดวันฤกษ์ดี บิดามารดาฝ่ายชายหญิง ต่างคนบอกญาติพี่น้องมาประชุมพร้อมกันที่บ้านเรือนบิดามารดาชายหญิงทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วบิดามารดาฝ่ายหญิงก็จัดขันหมากขันพลู ๘ กรวย เทียน ๘ คู่ เข้าตอกดอกไม้ใส่ในขันหนึ่ง เรียกว่าขันไกว่ผี แล้วจัดขันอิก ๒ ขันมีเทียน ๘ คู่เข้าตอกดอกไม้ เรียกว่าขันขออนุญาตบิดามารดาฝ่ายชายคนละขัน ให้ญาติพี่น้องเถ้าแก่ฝ่ายหญิงไปให้แก่บิดามารดาชาย บิดามารดาชายรับเอาสิ่งของไว้ แต่เทียนดอกไม้หมากพลูของไกว่ผีนั้น บิดามารดาชายแบ่งไว้ ๔ คู่ คืนให้เถ้าแก่แลญาติฝ่ายหญิงกลับคืนไป ๔ คู่ เมื่อเวลาเถ้าแก่หญิงเอาสิ่งของไหว้ผีแลขันหมากไปขอชายนั้น บิดามารดาญาติพี่น้องฝ่ายชายพร้อมกันจัดสำรับคาวหวานเหล้าเข้าเลี้ยงดูตามสมควรแล้ว เถ้าแก่ฝ่ายชายก็นำเจ้าบ่าวกับเพื่อนบ่าวแลญาติพี่น้องเจ้าบ่าว ไปบ้านบิดามารดาหญิงพร้อมกับเถ้าแก่ญาติพี่น้องฝ่ายหญิงในวันเวลาเดียวนั้น บิดามารดาฝ่ายหญิงจัดให้เถ้าแก่ ๓-๔ คนมาคอยรับเจ้าบ่าวอยู่ที่ประตูบ้าน ครั้นเจ้าบ่าวไปถึงประตูบ้านแล้ว เถ้าแก่เจ้าบ่าวก็พูดจากับเถ้าแก่เจ้าสาวว่านำเอาแก้วมา​ให้เปนสวัสดิมงคลอยู่ดีมีศุข เถ้าแก่เจ้าสาวก็ตอบว่าดีแล้วจะได้เปนไชยมงคลขอรับเอาไว้ เถ้าแก่เจ้าสาวก็จูงมือเจ้าบ่าวไปขึ้นเรือนบิดามารดาเจ้าสาว บิดามารดาเจ้าสาวแต่งขันขอพรญาติพี่น้องไว้ ให้พอกับญาติพี่น้องที่เปนผู้ใหญ่สมควรจะให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวขอพรนั้น มีเข้าตอกดอกไม้เทียน ๔ คู่ แล้วให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาพร้อมกัน ต่างคนต่างหยิบขันเข้าตอกดอกไม้เทียนไปให้แก่บิดามารดาญาติพี่น้องผู้ใหญ่ทุก ๆ คนแล้ว ก็ยกมือไหว้ขอพรทั่วกัน ฝ่ายญาติพี่น้องที่ได้รับขันขอพรแล้ว ต่างคนก็ให้สินให้พรแก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ครั้นเสร็จแล้วบิดามารดาชายหญิงเชิญแก่บ้านมาเปนพยานด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย แก่บ้านถามชายเจ้าบ่าวว่าทรัพย์สิ่งของเจ้าบ่าวมีมาสู่เจ้าสาวเปนทุนทำมาหากินเท่าใด ถ้าชายมีทรัพย์สิ่งของ ๆ ตนมีมาเท่าใด ก็บอกให้แก่บ้านทำบาญชีไว้ตามมากแลน้อย พร้อมด้วยเถ้าแก่ญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่าย ถ้าชายไม่มีทรัพย์สิ่งของ ก็บอกว่าไม่มีสิ่งใด จะช่วยกันทำมาหากินเลี้ยงกันไป ญาติพี่น้องฝ่ายหญิงก็จัดสำรับคาวหวานเหล้าเข้าเลี้ยงดูจ้อยซอกัน จ้อยซอนั้นคือหมอเป่าปี่หมอขับรำ ตามเพศพุงดำตามสมควรแก่เวลา แล้วเถ้าแก่กับญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่าย ต่างคนต่างก็ไปบ้าน ฝ่ายเถ้าแก่เจ้าสาวจัดที่ซ่อมปูเสื่อที่นอนหมอนมุ้งแล้ว พาเจ้าสาวไปไว้ในซ่อมนั้น ๆ คือห้องเรือนของบิดามารดาเจ้าสาวนั้นเอง ทำเปนฝากั้นไว้แต่เฉภาะห้องหนึ่งสองห้องบ้าง แล้วเถ้าแก่ก็จูงมือเจ้าบ่าวเข้าไปในซ่อมให้อยู่กับเจ้าสาว ๒ คน เถ้าแก่ก็กลับออกมา

​ครั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่ด้วยกันครบ ๗ วันแล้ว บิดามารดาเจ้าสาวเรียกตัวเจ้าบ่าวมา พูดจามอบบ้านเรือนที่นาช้างม้าโคกระบือข้าคนให้กับเจ้าบ่าว ให้เอาใจใส่ระวังปกปักรักษาทำมาหากินต่อไป แต่ทรัพย์สิ่งของฝ่ายบิดามารดาจะให้แก่บุตรชายบุตรสาวทุนสินทำมาหากินด้วยกันนั้น บิดามารดาฝ่ายชายฝ่ายหญิงหาได้หยิบยกให้ไม่ ให้แต่ของตกแต่งเมื่อเวลาทำการวิวาหะมงคลเท่านั้น ต่อภายหลังบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวถึงแก่กรรมแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวจึงจะได้ทรัพย์ส่วนของบิดามารดาตามสมควร เปนประเพณีการมงคลบ่าวสาวในประเทศพุงดำดังนี้


ประเพณีแต่งงานบ่าวสาวอย่างลาวพุงขาว
----------------------------

การมงคลแต่งงานบ่าวสาวตามแบบอย่างทางเมืองชนบท แลประเทศลาวพุงขาวฝ่ายตวันออกนั้น เดิมบิดามารดาข้างฝ่ายชายให้เถ้าแก่ผู้หญิงไปพูดจากับบิดามารดาข้างเจ้าสาวว่า บิดามารดาเจ้าบ่าวให้มาพูดจาอยากจะให้บุตรชายมาเปนลูกเปนเต้า ข้างฝ่ายบิดามารดาเจ้าสาวก็เรียกบุตรสาวมาไต่ถามต่อหน้าเถ้าแก่ ว่าบุตรชายผู้นั้นให้เถ้าแก่มาขอเอง ๆ จะเอาเขาฤๅไม่เอา ข้างบุตรสาวถ้าไม่ขัดขวางก็บอกว่าสุดแล้วแต่บิดามารดาจะเห็นดี เถ้าแก่กับบิดามารดาข้างเจ้าสาวก็ปฤกษากันหาวันฤกษ์งามยามดี ที่จะให้จัดหาขันหมากมาตามสมควรแก่กำลัง แล้วเถ้าแก่ก็ลาไปพูดจากับบิดามารดาข้างผู้ชาย ครั้นถึงวันดี​บิดามารดาข้างผู้ชาย ก็จัดแจงหมาก ๔ คำใส่พานแล้วเอาผ้าขาวปิดบนพานหมาก ให้เถ้าแก่ผู้ชาย ๓ คนถือพานหมากไปถึงเรือนเจ้าสาว บิดามารดาเจ้าสาวก็จัดแจงรับรองเถ้าแก่ตามสมควร แล้วบิดามารดาเจ้าสาวก็ไปเชิญญาติพี่น้องมาพร้อมกัน เถ้าแก่ข้างผู้ชายก็ยกพานหมาก ๔ คำ ให้บิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าสาวกิน บิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าสาวก็กินหมาก ๔ คำนั้นแล้ว บิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าสาวจึงปฤกษาหารือกำหนดจะเอาสินสอดกับเถ้าแก่ข้างผู้ชายเท่าหนึ่งเท่าใด ตามที่จะตกลงกัน เปนต้นว่าเงิน ๑๐ ตำลึง ทองคำหนักบาท ๑ เหล้า ๔ ไห ปลาหาบ ๑ เนื้อหาบ ๑ ถ้าเปนคนขัดสนก็ลดหย่อนผ่อนผันตามสมควรแก่กำลัง เถ้าแก่ก็ลากลับไปบอกกับบิดามารดาข้างเจ้าบ่าวว่า บิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าสาวจะเอาเงินทองสิ่งของเท่านั้น ฝ่ายบิดามารดาข้างเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็หาหมอมาตรวจดูชตาราษีข้างเจ้าบ่าวเจ้าสาว แลดูวันเดือนฤกษ์ยามที่จะทำการมงคล แล้วกำหนดวันเดือนฤกษ์ยามให้ตามสมควร

ครั้นถึงวันดีเถ้าแก่เอาสินสอด เหล้า ๔ ไห ปลาหาบ ๑ เนื้อหาบ ๑ ไปส่งให้บิดามารดาเจ้าสาว แล้วเถ้าแก่ก็ลากลับมา ครั้นรุ่งเช้าบิดามารดาเจ้าบ่าว ก็หาหญิงผัวเดียวเมียเดียวมาจัดพาขวัญเอาผ้าขาวห่อหมากห่อ ๑ มีหมากพลูจีบ ๔ คำ ยอดคูน ยอดยอ ยอดอ้อย ยอดกล้วย เข้าต้มกล้วยใส่โต๊ะ มีดหมากเล่มหนึ่ง เอาด้ายดิบทำเปนสายสำหรับหามไป มีผ้าขาวหุ้มนอก มีก่องเข้า ๑ น้ำเต้าน้ำ ๑ เสื่อผืน ๑ เสร็จแล้ว ครั้นถึงเวลาฤกษ์ดีบิดามารดาเถ้าแก่ ก็เรียกบุตร​ชายออกมากับผู้ชายที่ยังไม่มีภรรยาคน ๑ ซึ่งเปนเพื่อนบ่าว ถือเข้าตอกร้อยเปนพวงมาไลยสวมยอดตองอ่อนที่ยังไม่ได้คลี่คนละยอด นั่งพนมมือเคียงกันอยู่ที่พาขวัญ ๆ นั้น คือ สำรับบายศรีปากชาม แล้วหมอก็เรียกขวัญ เสร็จแล้ว ก็จัดให้ผู้ชายแบกพาขวัญ เด็กผู้หญิงอายุ ๑๑ ปี ๑๒ ปี ๓ คน หามโต๊ะห่อหมาก ๒ คน หาบน้ำเต้าใส่น้ำก่องเข้าเสื่อปูนอนคน ๑ แล้วเถ้าแก่ก็พาเจ้าบ่าวกับเพื่อนบ่าวคน ๑ ถือยอดตองสวมเข้าตอกเปนพวงมาไลยคนละยอดมาถึงประตูบ้านเจ้าสาว เถ้าแก่ข้างเจ้าสาวก็ลงไปปิดประตูไว้ แล้วเถ้าแก่เจ้าบ่าวเอาเหล้าขวดหนึ่ง หมาก ๒ คำให้เถ้าแก่ข้างเจ้าสาว ๆ จึงเปิดประตูให้เข้าไป ครั้นมาถึงบันไดเจ้าบ่าวขึ้นยืนบนหิน แล้วเด็กผู้หญิงเอาน้ำใส่ขันล้างเท้าให้เจ้าบ่าว แล้วเถ้าแก่ข้างเจ้าสาวกจูงมือเจ้าบ่าวขึ้นบนเรือน เถ้าแก่ข้างเจ้าสาวก็รับเอาโต๊ะห่อหมากกับหาบน้ำเต้าก่องเข้าเสื่อไปวางไว้บนที่นอนเจ้าสาว เจ้าบ่าวกับเพื่อนเจ้าบ่าวเอายอดตองที่ถือมานั้นเหน็บไว้บนหลังคาเรือน บิดามารดาเจ้าสาวเถ้าแก่จึงเอามีดหมากปาดห่อหมากออกไว้ใต้ที่นอนเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั้น ๓ คืนแล้วก็เก็บทิ้งเสีย แต่มีดหมากเล่ม ๑ นั้นบิดามารดาเจ้าสาวเก็บไว้ เมื่อบุตรสาวมีบุตรก็เอามีดหมากเล่มนั้นใส่ในกระด้งครกเมื่อออก มีดหมากเล่มนั้นเรียกว่ามีดผ่าขวัญ เถ้าแก่ก็พาเจ้าสาวออกมานั่งเคียงกับเจ้าบ่าว แล้วยกพาขวัญข้างเจ้าสาวมาให้เจ้าบ่าวจับไว้ ยกพาขวัญเจ้าบ่าวมาให้เจ้าสาวจับไว้ แล้วหมอก็เรียกขวัญเสร็จแล้ว เถ้าแก่ก็เอามีดผ่าขวัญนั้นตัดไข่ขวัญให้เจ้าบ่าวกินครึ่งหนึ่ง ให้เจ้าสาวกินครึ่งหนึ่ง แล้วบิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าสาว​เอาด้ายดิบผูกข้อมือเจ้าบ่าวเจ้าสาวจับมือเจ้าบ่าวไว้ให้บิดามารดาพี่น้องผูกขวัญ ก็ให้สินให้พรตามเพศบ้านเมือง ฝ่ายบิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าบ่าวผูกขวัญเจ้าสาว เจ้าบ่าวก็จับมือเจ้าสาวให้บิดามารดาพี่น้องผูกขวัญให้พรอย่างเดียวกัน ครั้นเสร็จแล้วพวกเจ้าสาวก็ยกสำรับเลี้ยงเจ้าบ่าวแลญาติพี่น้องที่มาประชุมกันทั้ง ๒ ฝ่ายเถ้าแก่กับเจ้าบ่าวแลพวกเจ้าบ่าวก็พากันกลับไปบ้าน

ในวันนั้นต่อมาอิกสักครู่หนึ่ง ญาติพี่น้องข้างเจ้าสาวก็พาเจ้าสาวไปไหว้บิดามารดาข้างเจ้าบ่าว มีวงษ์ญาติที่ไปด้วยช่วยกันแบกฟูกหมอนเสื้อผ้านุ่งผ้าห่มข้างเจ้าสาวไปเปนของสำหรับไหว้ ครั้นไปถึงเรือนบิดามารดาเจ้าบ่าว เด็กก็เอาน้ำล้างเท้าเจ้าสาวแล้วก็ขึ้นไปบนเรือน เจ้าสาวก็ไปนั่งอยู่ที่พาขวัญกับเพื่อนเจ้าสาว แล้วหมอก็เรียกขวัญเจ้าสาวเสร็จแล้ว เจ้าสาวก็ไหว้บิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าบ่าว แล้วยกฟูกหมอนเสื่อผ้านุ่งผ้าห่มให้ บิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าบ่าว ๆ ก็เอาด้ายขาวผูกข้อมือเจ้าสาว แล้วเอาเงินแลสิ่งของทำขวัญเจ้าสาวตามสมควร แล้วพวกข้างเจ้าบ่าวก็ยกสำรับมาเลี้ยงญาติพี่น้องเจ้าสาว เสร็จแล้วญาติพี่น้องแลเจ้าสาวก็ลาบิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าบ่าวกลับมาบ้าน

ครั้นเวลาค่ำประมาณทุ่ม ๑ เถ้าแก่ก็พาเจ้าบ่าวไปส่งที่บ้านเจ้าสาว ครั้นไปถึงเรือนแล้วเจ้าบ่าวก็ไหว้บิดามารดาเจ้าสาว ๆ ก็ให้สินให้พรตามสมควร แล้วเจ้าบ่าวก็เข้าไปในเรือน พวกเถ้าแก่ข้างเจ้าบ่าวก็พากันกลับไปบ้าน แล้วบิดามารดาข้างเจ้าสาวจัดดอกไม้ธูปเทียนใส่พาน ให้เจ้าสาวถือไปขอษมาเจ้าบ่าวก่อน แล้วให้อยู่กินด้วยกันในเรือนบิดา​มารดาเจ้าสาว ซึ่งกั้นฝาเปนห้องไว้ครึ่งขื่อห้องหนึ่งเท่านั้น เพราะธรรมเนียมเรือนลาวยาว ๕ ห้องบ้าง ๗ ห้องบ้าง ขื่อกว้างประมาณ ๓ วา ๔ วา จึงกั้นเปนห้องอยู่ครึ่งขื่อ ถ้ามีบุตรหญิงหลายคน บิดามารดาก็ต้องต่อเรือนให้ยาวออกไปอีกจนพอกับบุตรหญิง บางทีบุตรหญิงใหญ่ได้สามีเกิดบุตรออกเรือนไปต่างหากแล้ว บุตรหญิงผู้น้องจะมีสามี บิดามารดาก็ให้อยู่ในห้องเรือนบิดามารดานั้น ไม่ต้องต่อเรือนให้ยาวออกไป ถ้าเปนคนบริบูรณ์มีเรือนอยู่หลายหลัง ก็ยกเรือนให้แก่บุตรเขยบุตรสาวอยู่ด้วยกัน ประเพณีการมงคลแต่งงานบ่าวสาวในประเทศลาวพุงขาวฝ่ายตวันออก มีธรรมเนียมดังกล่าวมานี้.

----------------------------

คำว่า แยบถาม ก็คือถามโดยแยบคาย
ขัน ๑๒ นักษัตร เปนขันทองเหลืองอย่างโบราณ จำหลักลายรูป ๑๒ นักษัตรไว้ที่ขอบ


ขอขอบคุณที่มา หอสมุดวชิรญาณ