[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ร้านน้ำชา => ข้อความที่เริ่มโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 12 มิถุนายน 2568 18:42:42



หัวข้อ: [ข่าวมาแรง] - กองทัพ ‘ล้ำเส้น’ รัฐบาลพลเรือน? ชิงความนิยมบนกระแส ‘รักชาติ’ ข้อกังวลการเมืองไ
เริ่มหัวข้อโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 12 มิถุนายน 2568 18:42:42
กองทัพ ‘ล้ำเส้น’ รัฐบาลพลเรือน?  ชิงความนิยมบนกระแส ‘รักชาติ’ ข้อกังวลการเมืองไทย จากปมชายแดน
 


<span>กองทัพ ‘ล้ำเส้น’ รัฐบาลพลเรือน?  ชิงความนิยมบนกระแส ‘รักชาติ’ ข้อกังวลการเมืองไทย จากปมชายแดน</span>
<span><span>admin666</span></span>
<span><time datetime="2025-06-06T21:28:18+07:00" title="Friday, June 6, 2025 - 21:28">Fri, 2025-06-06 - 21:28</time>
</span>

            <div class="field field--name-field-byline field--type-text-long field--label-hidden field-item"><p>ทีมข่าวการเมือง</p></div>
     
            <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field-item"><p>สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่ยังไม่ชัดเจนในขณะนี้ แม้ยังไม่ได้เกิดการปะทะกันเพิ่มเติมหลังจากวันที่&nbsp;28 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่เหมือนประเด็นจะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากทางกัมพูชาแสดงท่าทีจะเอาประเด็นพื้นที่พิพาทล่าสุดทั้ง&nbsp;4 จุดขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ‘ศาลโลก’</p><p>แต่กลไกศาลโลกก็เป็นกลไกที่ทางฝ่ายไทยไม่ยอมรับและยืนยันจะใช้กลไกทวิภาคีอย่างคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee - JBC) เพื่อหาข้อยุติในการประชุมวันที่ 14 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาบอกว่าจะไม่เอาพื้นที่พิพาทเข้ามาเป็นวาระการประชุมทำให้ไม่รู้ว่าผลการประชุมจะออกมาเป็นอย่างไร</p><p>ในขณะเดียวกัน กระแสสังคมทวีความไม่พอใจกับท่าทีของรัฐบาลที่ไม่ออกมาตรการ ‘รุนแรง’ ไปกว่าการยืนยันการเจรจากับกัมพูชา กลับกลายเป็นทำให้เริ่มมีคนพูดถึง ‘การปฏิวัติ’ และมีนักวิชาการออกมารับมุขต่อว่ายังมีมาตรา&nbsp;5 (https://www.facebook.com/chaiyan.chaiyaporn/posts/pfbid0ggQx9A3uxrYQBcMNj4mMWeiJsjbYAmMK4TWVYCEybNnyPk5hHkdnJB1gSjoWqx97l?__cft__%5b0%5d=AZUqUMs8VYlir9QUJwuMzLjUnEKrI3UjLEVnGaghSRbYXl9b9jFBjU29_WNi-Ojdm2Sw06GQLsb1L9R51_N0qvXeYlGbB97cyBD0YUgtKNIXPyUYZMWFmyaMXPUGqoJyGsjadUIHP-ONE84mMnpdGnMC&amp;__tn__=%2CO%2CP-R)ของรัฐธรรมนูญ&nbsp;2560 อยู่ ซึ่งเนื้อหาของมาตรานี้เคยอยู่ในมาตรา&nbsp;7 ของรัฐธรรมนูญ&nbsp;2540 และถูกเอามาตีความเพื่อเรียกหา “นายกฯ พระราชทาน” ก่อนจะเกิดรัฐประหารเมื่อปี&nbsp;2549&nbsp;</p><p>บรรยากาศชวนหลอกหลอนเช่นนี้คงไม่เป็นประเด็นเท่าไหร่ ถ้าเมื่อค่ำวานนี้ไม่มีแถลงการณ์ของกองทัพบกที่ออกมาบอกว่าพร้อมใช้กำลังตอบโต้กับกัมพูชาหากมาตรการสันติวิธีที่หลายฝ่ายต้องการไม่บรรลุผล (https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0j3UMZWF54qGSBcexmcBNt8FqiirigCz9q5DvzFEfJDbzwr7xuXG8c2TBVoV9mWpPl&amp;id=61552108634686&amp;__cft__%5b0%5d=AZXef-9OHuJlaTnsyf0VPa5jSuo0eU0HyrNHWyYg8abPwVsP4QWr5XUFxG8RiXhPKhB17lXnTNJ18qG9DkJ8l75_fvk1QKkRXQvEYo6rXZe6iqXp0rE-qcoMnolzJ9iReotGnZYOfs4IJMGMdjdMx30xiCPluWTWsa7NsRQJa9DzPBUubNulf2gQJX5UqaqMQwn78pIm621vgQUgWzXACpIP2R0bji19vbr8DK526NkP1Q&amp;__tn__=%2CO%2CP-y-R)โดยแถลงการณ์นี้ไม่ได้มีสัญญาณจากรัฐบาลพลเรือนมาก่อน เพราะเย็นวันเดียวกันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยเพิ่งจะไปพบปะพูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาหมาดๆ ที่สระแก้วเพื่อยืนยันว่าจะใช้กลไกความร่วมมือที่มีอยู่ในการแก้ปัญหา</p><p>‘สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี’ อดีตสื่อมวลชนและนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการทหารฯ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงบทบาทของกองทัพไทยที่มีต่อปมความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในขณะนี้ว่ากำลัง ‘ล้ำเส้น’ หน้าที่ของรัฐบาลพลเรือนหรือไม่ ซึ่งปรากฏมาตั้งแต่วันแรกๆ ที่เกิดเรื่องจนถึงการแสดงท่าทีล่าสุดเมื่อคืนนี้กำลังส่งสัญญาณอะไร</p><h2>รัฐบาลไม่แข็งแรง ไม่ชัดเจน</h2><p>สุภลักษณ์กล่าวว่า เรื่องนี้ ‘ผิดปกติ’ ตั้งแต่ต้นแล้ว ในส่วนของแนวทางปฏิบัติและการรับมือกับสถานการณ์ บทบาทหน้าที่ของรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพจะต้องมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน รัฐบาลพลเรือนที่รับผิดชอบอาณัติของประชาชนที่ส่งผ่านมาจากการเลือกตั้งได้รับมอบอำนาจมาให้ตัดสินใจอย่างเต็มที่ทั้งเรื่องความมั่นคง การทหาร ต้องเป็นผู้บังคับบัญชาการทางทหาร</p><p>ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุตามแนวชายแดน สิ่งที่กองทัพควรจะทำคือ เมื่อลาดตระเวนแล้วค้นพบการขุดสนามเพลาะที่ขัดกับ&nbsp;MOU43 (ซึ่งเป็นข้อตกลงในการเจรจาปักปันเขตแดน ส่วนที่ยังไม่ได้ปักปันเขต ซึ่งระบุว่าจะต้องไม่มีฝ่ายใดทำการดัดแปลงภูมิประเทศทำให้สภาพแวดล้อมเสียหาย) จะต้องรายงานตามขั้นตอนไปยังผู้บังคับบัญชา มาถึงกระทรวงกลาโหม เข้าสู่คณะรัฐมนตรี เพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศประท้วงไปที่กัมพูชาว่ากำลังทำผิดข้อตกลง นี่เป็นแนวปฏิบัติ</p><p>แต่เมื่อเกิดเหตุปะทะที่ช่องบกมาเช่นนี้ ซึ่งยังคงเป็นเพียงการปะทะทางยุทธวิธี สั้นๆ เพียง&nbsp;10 นาที ยังไม่ใช่การปะทะกันในระดับทางยุทธศาสตร์ เรื่องก็ควรจบและการปะทะกันทางทหารจริงๆ ก็จบไปแล้วตั้งแต่วันที่แม่ทัพภาคไปตกลงกันที่ช่องจอมว่าให้ถอยไปอยู่ในเส้นที่เหมาะสม (ตามที่มีการรรายงานก็คือฝั่งละ&nbsp;200 เมตรจากจุดเกิดเหตุ) หลังจากนี้งานที่ยังเหลืออยู่คือ การใช้กลไกระหว่างประเทศระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลไปเจรจากับกัมพูชาคือระดับรัฐมนตรีไปเจอกัน และที่ผ่านมาเพิ่งมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) ไปส่วนระดับพื้นที่ก็มีแม่ทัพภาคไปคุยกันก็คือคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee - RBC) ก็คุยกันได้บนเงื่อนไข</p><p>อย่างไรก็ตาม สุภลักษณ์เห็นว่า ปัญหาคือแนวทางภายในประเทศไทยเองที่ไม่ชัดเพราะ ‘ความเป็นผู้นำ’ ของรัฐบาลชุดนี้ไม่ค่อยแข็งแรงและกองทัพก็ไม่ค่อยฟัง เพราะฉะนั้น แทนที่กองทัพจะรายงานเรื่องสนามเพลาะไปยังรัฐบาลก่อน กลับเอามาบอกสื่อมวลชนก่อน ปล่อยให้เรื่องนี้อยู่บนโซเชียลมีเดียอยู่เป็นสัปดาห์ หรือเรื่องไฟไหม้ ‘ศาลาตรีมุข’ ที่ตอนแรกก็บอกว่าเป็นเรื่องไฟป่า ตอนหลังก็ออกมาให้ข่าวใหม่ว่าเป็นกัมพูชาเผา ทั้งที่เป็นเรื่องที่ต้องสอบสวนให้ชัดเจนก่อน</p><p>“รัฐบาลใช้เวลานานมากในการในการเข้าไปดูข้อเท็จจริงในพื้นที่ ภูมิธรรมกว่าจะลงไปช่องบกได้ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ที่จริงควรไปตั้งแต่วันแรก ไปยืนยันข้อเท็จจริงให้ได้ก่อนว่าเรื่องมันเกิดจากใครกันแน่ ถ้ามันเกิดจากเขายิง ก่อนก็ประท้วงไป พอรัฐบาลไม่แอ็คชั่น กองทัพเขาก็ได้ที”</p><p>สุภลักษณ์กล่าวว่า ตามหลักการที่พลเรือนเป็นใหญ่ รัฐบาลพลเรือนจะต้องเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ เฉพาะคนที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีอำนาจในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเท่านั้นที่จะพูดได้ เช่น ตำแหน่งโฆษก ส่วนแม่ทัพภาคถ้าจะพูดต้องเป็นปัญหาทางเทคนิก เช่น เรื่องแนวปะทะเกิดตรงไหน ห่างจากเส้นแบ่งเขตเท่าไร</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>ทำไมชายแดนร้อนต่อเนื่อง ! เปิดปมมรดกความขัดแย้งไทย-กัมพูชา บทวิเคราะห์ท่ามกลางพายุ 'ชาตินิยม' (https://prachatai.com/journal/2025/06/113148)</li></ul></div><h2>บทบาท ‘ล้ำหน้า’&nbsp;ของกองทัพ</h2><p>แต่สิ่งที่แม่ทัพภาคที่&nbsp;2 พูดแล้วถูกสื่อเอาไปรายงานย้ำหลายครั้งกลับเป็นเรื่องว่าจะไม่ยอมถอยจากเส้นแนวตามแผนที่ทางการทหาร (แผนที่&nbsp;1 : 50,000) ซึ่งไม่ได้เป็นแผนที่ที่รวมอยู่ใน&nbsp;MOU43 ด้วยซ้ำ และทางกัมพูชาก็ไม่ได้ยอมรับแผนที่ฉบับนี้ การที่แม่ทัพภาคที่&nbsp;2 ยกแผนที่นี้มาอ้างว่าเป็นเขตแดนของไทยจึงผิดหลักของสิ่งที่แม่ทัพควรพูด เรื่องนี้ต้องเป็นกระทรวงการต่างประเทศพูด</p><p>“ถ้าคุณบอกว่าเราจะไม่ถอยจากแนวนี้ของเรา เราถืออย่างของเราอย่างนี้ แล้วถ้าหากวันนึงรัฐบาลบอกว่าเราจะต้องถอยทางยุทธวิธี คุณจะทำไหม ที่แม่ทัพพูดอันนี้เป็นประเด็นนะ คำถามคือว่าถ้ารัฐบาลสั่งให้ถอนทหาร แม่ทัพจะถอนไหม”</p><p>ส่วนเรื่องการประชุมของเหล่าทัพที่จะเกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันนี้(6 มิ.ย.) ซึ่งบางฝ่ายมองว่ากองทัพมีบทบาทแยกขาดจากฝ่ายการเมืองนั้น สุภลักษณ์ยังเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะคงต้องมีการประชุมในหลายระดับภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แต่ระดับแม่ทัพก็ต้องสื่อสารกับรัฐมนตรีเพื่อให้ไปถึงคณะรัฐมนตรี แล้วคณะรัฐมนตรีก็สื่อสารต่อมายังสภาจึงจะเป็นการทำงานที่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยที่ใช้ระบบรัฐสภาและการควบคุมโดยพลเรือน</p><p>สิ่งที่เขามองว่าเป็นปัญหากว่าคือ สิ่งที่กองทัพทำอยู่ ทำให้เห็นปัญหาของสายการบังคับบัญชาที่<strong>ฝ่ายทหารอยู่เหนือความเป็นผู้นำของรัฐบาล</strong>&nbsp;เช่น ปฏิบัติการทางจิตวิทยา ซึ่งกองทัพจะทำกับฝ่ายกัมพูชาก็เป็นเรื่องปกติ แต่กลับมาทำในประเทศเองทั้งที่การสื่อสารภายในประเทศควรเป็นงานของรัฐบาลพลเรือน อย่างการชักชวนประชาชนติดแฮชแท็กแสดงความรักชาติก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องรวมศูนย์กลางต่างๆ เข้ามาที่รัฐบาล หรือกระทั่งภาพของแม่ทัพภาคที่&nbsp;2 ที่กลายเป็นวีรบุรุษเหนือรัฐบาลไปแล้ว ทั้งที่สถานการณ์จริงของการปฏิบัติการทางทหารก็จบไปแล้ว</p><p>ในขณะที่กัมพูชาตอนนี้ปรับเข้าสู่การปฏิบัติการทางการทูตและการใช้กฎหมายระหว่างประเทศตั้งแต่วันแรกๆ ที่หลังเกิดเหตุการณ์ที่ช่องบก คือเมื่อวันที่&nbsp;30 พ.ค. ฮุนเซนเริ่มพูดก่อนและตามมาด้วยลูกชายฮุนมาเนตที่บอกว่าจะเอาเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลกกลายเป็นการเมืองระหว่างประเทศ</p><p>สุภลักษณ์อธิบายว่า เหตุที่กัมพูชาเข้ามาเล่นเกมทางการทูตและการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งการไปศาลโลกหรือจะให้เรื่องเข้าสู่อาเซียน เป็นเพราะทางกัมพูชารู้ว่าความพร้อมรบและแสนยานุภาพของไทยเหนือกว่า แต่ฝั่งไทยกลับยังอยู่ในโหมดการทหารอยู่ กองทัพยังมัวแต่โชว์แสนยานุภาพและความพร้อมรบของตัวเอง และเมื่อรัฐบาลไทยปรับโหมดไม่ทันกัมพูชา ก็ยิ่งทำให้ความเป็นผู้นำของรัฐบาลไม่มีไปด้วย</p><p>“กองทัพต้องพร้อมที่จะรบตลอดเวลา นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ความพร้อมรบของกองทัพไม่ได้อยู่ที่การโชว์ กองทัพที่โชว์ว่าตัวเองพร้อมรบคือกองทัพที่ไม่พร้อมนะในทางจิตวิทยา ถ้าคุณพร้อมคุณไม่โชว์”</p><p>สุภลักษณ์ยังเห็นว่า ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจะต้องยืนยันให้ชัดเจนว่ากองทัพพูดอะไรได้แค่ไหนในสถานการณ์เช่นนี้ไปจนถึงระดมการสนับสนุนก็เป็นเรื่องของรัฐบาล เพราะในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังมีเครื่องมืออีกหลายอย่าง ทั้งจิตวิทยา การทูต เศรษฐกิจที่จะใช้ตามจังหวะต่างๆ เครื่องมือทางการทหารเป็นแค่เครื่องมือหนึ่งในการดำเนินนโยบายต่างประเทศเท่านั้น</p><p>เครื่องมือเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้นำกัมพูชาอย่างฮุนเซนผู้ผ่านมาหลายสงครามรู้เรื่องนี้อย่างดี และเมื่อเขาพูดเรื่องศาลโลกขึ้นมา ฝั่งไทยก็จะเป็นจะตายกับมันได้ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอในเชิงจิตวิทยาของไทยอย่างมาก เพราะหากไทยจะไม่ไปก็ไม่ต้องไป เพราะในช่องทางกฎหมายระหว่างประเทศกัมพูชาเองก็รู้ว่าช่องทางนี้ทำอะไรได้บ้าง ต่อให้ดำเนินการฝ่ายเดียวไปก็ไม่มีผลอะไรถ้าไทยไม่ยอมรับ ไม่ได้เหมือนกับการไปศาลในประเทศ ที่หากเราไม่ไปจะโดนออกหมายจับ ไทยเองเพียงต้องยืนยันจุดนี้</p><p>สุภลักษณ์เสนอว่าการคุยกันสองฝ่ายสามารถจบได้เร็วกว่า แล้วก็ประนีประนอมยืดหยุ่นกันเพื่อที่จะคุยกันทั้งสองฝ่าย แต่เรื่องนี้ก็เป็นเพราะฝั่งไทยเองไม่มีภาวะผู้นำอยู่ด้วยแล้วก็จะไปใช้เครื่องมือทางการทหารเบ่งกล้ามโชว์อย่างไม่จำเป็น</p><h2>กองทัพกำลังแข่งความนิยมกับรัฐบาล</h2><p>แม้การดำเนินการทางการทูตของไทยจะค่อนข้างช้า แต่ก็เริ่มไปแล้ว ทั้งการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยอย่างภูมิธรรม เวชยชัย ไปเจอกับพลเอก เตีย เสฮา (Tea Seiha) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่สระแก้วเมื่อวานนี้(5 มิ.ย.) เพื่อหารือแนวทางแก้ปัญหาและยังย้ำเรื่องการใช้กลไกทวิภาคีเป็นเครื่องมือหลัก ไปจนถึงกระทรวงการต่างประเทศแถลงยืนยันการใช้กลไกเจบีซี และ อาร์บีซี ต่อไป ซึ่งทำให้เห็นแนวทางหลักว่ารัฐบาลจะใช้การพูดคุยเจรจา แต่กองทัพกลับออกแถลงการณ์แสดงความพร้อมในการตอบโต้ทางทหารกับกัมพูชาตามแผนป้องกันประเทศหากแนวทางสันติที่ทุกฝ่ายต้องการไม่สำเร็จ ไปจนถึงการตั้งแฮชแท็กมาขอกำลังใจไปจนถึงการสื่อสารความพร้อมรบเช่นนี้ กำลังสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพอย่างไร</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>กลาโหม 'ไทย–กัมพูชา' นัดหารือ 'พรรคประชาชน' เสนอรัฐบาล ตอบโต้ทางเศรษฐกิจ-การทูตเชิงรุก (https://prachatai.com/journal/2025/06/113178)</li><li>ไทยแถลงไม่ยอมรับเขตอำนาจ 'ศาลโลก' แก้ข้อพิพาทกัมพูชา กต. ย้ำใช้กลไกประชุม JBC (https://prachatai.com/journal/2025/06/113176)</li></ul></div><p>สุภลักษณ์เห็นว่า ตอนนี้กองทัพเองก็กำลัง<strong>ใช้สถานการณ์ฉวยโอกาสแสดงบทบาทของตัวเองจนเลยเถิดไปกว่าบทบาทของทหารแล้ว</strong>&nbsp;เพราะรัฐบาลตอบสนองช้าและมีนโยบายต่างประเทศที่ไม่ชัดเจน อย่างที่กองทัพบกออกมาพูดว่า ‘ไม่ไปศาลโลก’ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพบก แต่เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่จะไปจ้างทนายความ เป็นภาระรับผิดชอบของรัฐบาล เป็นเรื่องทางกฎหมายที่นักกฎหมายเขาจะคุยกัน</p><p>สุภลักษณ์เพิ่มเติมว่า เรื่องเช่นนี้ควรจะเป็นหน้าที่ของโฆษกรัฐบาล แต่กลายเป็นว่าโฆษกกองทัพบกอย่าง ‘วินธัย สุวารี’ ออกมาพูดแทน เป็นเรื่องผิดขอบเขตหน้าที่ที่กองทัพจะทำในเรื่องการต่างประเทศ กองทัพกัมพูชาเขาก็ไม่ออกมาบอกว่าจะไปศาลโลกเพราะถ้าไปศาลเขาก็คงไม่มาเผชิญหน้ากัน สิ่งที่ทหารจะต้องทำคือตกลงกันว่าแต่ละฝ่ายจะหยุดกันไว้แค่ไหน แล้วจะซ้อมรบแสดงแสนยานุภาพก็ทำไป</p><p>“แต่สิ่งที่ผมเห็นกำลังทำอยู่ก็คือ กองทัพฉวยโอกาสที่จะแสดงตัวตนในพื้นที่ทางการเมืองเพื่อให้ตัวเองมีคะแนนนิยมในหมู่ประชาชน เหมือนการแข่งขันของนักการเมือง ตอนนี้กองทัพแข่งกับรัฐบาลสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองในหมู่ประชาชนอยู่เพื่อที่จะยืนยันว่าประชาชนสนับสนุนกองทัพ และรัฐบาลพลเรือนไร้ความสามารถ ที่สุดมันก็จะนำไปสู่การที่บางคนก็เลยเถิดไปสู่การเรียกร้องการรัฐประหารไปแล้วเรียบร้อย”</p><p>อย่างไรก็ตาม สุภลักษณ์ยังประเมินว่าทางกองทัพคงยังไม่ถึงกับคิดยึดอำนาจ แต่ช่วงนี้กำลังมีการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี&nbsp;2569 กันอยู่ สถานการณ์นี้คงทำให้ไม่มี สส.คนไหนกล้าไปตัดงบของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นงบส่วนที่ไม่จำเป็นแค่ไหนก็ตาม และก็คงมีคนมาสนับสนุนด้วยการอ้างถึงสถานการณ์ที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานตอนนี้แน่ ซึ่งจะทำให้การบริหารงบประมาณประเทศยากขึ้น ไปจนถึงการปล่อยข่าวว่าจะปลดแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้งที่อีกแค่&nbsp;3 เดือนก็จะเกษียณอยู่แล้ว การปล่อยข่าวลักษณะนี้ออกมาก็เพื่อทำให้คนเห็นว่ารัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ</p><p>สุภลักษณ์ยังยกตัวอย่างประเด็นเรื่องข้อเสนอให้ปิดด่านชายแดนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทหารจะตัดสินใจ รัฐบาลต้องเป็นคนตัดสินใจ แต่เรื่องนี้ก็ถูกปล่อยออกมานอกวงก่อนที่จะเสนอรัฐบาล ทำให้กลายเป็นปัญหาว่าตกลงแล้วใครมีอำนาจหน้าที่กันแน่ บางคนก็ยกเรื่องกฎอัยการศึกมาอ้างว่าแม่ทัพสั่งปิดด่านได้ ซึ่งก็ปิดด่านได้ในทางยุทธวิธี แต่ข้อเสนอให้ปิดด่านเป็นการปิดด่านในเชิงยุทธศาสตร์แต่ที่ย้อนแย้งก็คือจุดที่จะให้ปิดคือ ‘ช่องอานม้า’ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ที่เป็นเพียงแค่จุดผ่อนปรนเพื่อการค้าที่เปิดอยู่แค่&nbsp;2 วันต่อสัปดาห์อยู่แล้ว ดังนั้น จะปิดหรือไม่ปิดก็มีค่าเท่ากัน ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้ไปทำไม</p><p>“แต่สิ่งที่พูดนี้ทำให้ประชาชนที่เขาทำมาหากินขายของป่าไม่ได้ ปิดด่านเพื่อไม่ให้ของป่าออกมา ผมนึกไม่ออกว่าจะส่งผลกระทบทางทหารอย่างไร อย่างมากประชาชนก็ไม่ได้หาเห็ด ไม่ได้ซื้อของป่าจากฝั่งโน้น หรือมาซื้อสบู่ยาสีฟันไม่ได้ แล้วมันทำประเทศไทย ‘เป็นต่อ’ กัมพูชายังไง กดดันกัมพูชาอะไรได้ นึกไม่ออกจริงๆ”</p><p>สุภลักษณ์เห็นว่าเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีปัญหามากในการบังคับบัญชาเพื่อที่จะบริหารงานแก้ไขความขัดแย้ง เพราะเมื่อเทียบกับกรณีที่ฝั่งพม่าส่งเครื่องบินรบผ่านเข้ามาก็ยืดหยุ่นกว่ามาก แล้วก็บอกว่าแค่เดินผ่านสนามหญ้าไม่เป็นไร แต่พอเป็นกรณีกัมพูชาล้ำเข้ามาแค่&nbsp;200 เมตรกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไปจนถึงการรายงานของสื่อมวลชนเองก็มีเรื่องเล่าและอารมณ์ที่ต่างออกไปมาก กัมพูชาแย่อย่างนั้นอย่างนี้ กำลังรุกล้ำจะเข้ามายึดดินแดน ทั้งที่กัมพูชาก็เป็นประเทศเล็ก ประชากรก็น้อยกว่า อำนาจทางเศรษฐกิจก็น้อยกว่า เป็นเรื่องที่สุภลักษณ์เองก็นึกไม่ออกว่าเรื่องกัมพูชาจะมาแย่งดินแดนจะเป็นไปได้อย่างไร</p><h2>MOU43&nbsp;เป็นประโยชน์กับทางกัมพูชาด้วย</h2><p>ในขณะที่ไทยยังคงยืนยันจะใช้&nbsp;MOU43 เป็นกรอบเจรจากับกัมพูชาในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) วันที่&nbsp;14 มิ.ย.นี้ แต่ทางกัมพูชาแสดงท่าทีว่าจะไม่เอาพื้นที่พิพาทเข้าทั้ง&nbsp;4 จุดเข้าที่ประชุมนี้แล้วพาเรื่องไปศาลโลกแทน จะกลายเป็นปิดช่องทางการทูตที่ไทยจะใช้เจรจาไปด้วยหรือไม่ แล้วไทยจะเหลือช่องทางการทูตอะไรอีกบ้างนั้น</p><p>สุภลักษณ์เห็นว่า ถ้าทางกัมพูชาพยายามปิดช่องทางเจรจา ฝ่ายไทยก็ต้องพยายามเปิดขึ้นมา อย่างไรก็ตาม การประชุมในวันที่&nbsp;14 มิ.ย. ปัจจุบันยังไม่ถูกยกเลิกเพียงแต่ทางกัมพูชาบอกว่าจะไม่บรรจุประเด็น&nbsp;4 พื้นที่ (ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควายและสามเหลี่ยมมรกต) เข้ามาอยู่ในวาระการประชุม แต่จริงๆ แล้ววาระการประชุมของเจบีซีจะต้องทบทวนสิ่งที่ผ่านมาก่อนว่า ที่ผ่านมา&nbsp;25 ปีมีอะไรบ้างและในการประชุมครั้งก่อนมีเรื่องอะไรอยู่บ้าง</p><p>“เป็นความเข้าใจผิดโดยทั่วไปว่าเจบีซีมันจะแก้ไขปัญหา มันไม่ใช่ยาวิเศษหรอก แต่ว่ามันเป็นที่ให้ทั้ง&nbsp;2 ฝ่ายมาแลกเปลี่ยนความเห็นและทำงานร่วมกันในเรื่องเขตแดนเพราะมันเคยทำงานร่วมกันมาแล้ว 25 ปี แล้วก็สำรวจ จัดทำหลักเขตแดน ซึ่งทำไปได้ประมาณ&nbsp;60% ของหลักเขตที่มีอยู่แล้ว ปกติเวลาเกิดเรื่องก็เหมือนกรณีพระวิหาร การประชุมเจบีซีทำได้แค่มาเจอหน้ากัน แล้วต่างฝ่ายก็จะชี้หน้าใส่กัน แต่เวทีนี้ยังคงอยู่ไม่ได้ยกเลิกไป”</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>กัมพูชาแถลงยื่นเรื่องต่อ 'ศาลโลก' พื้นที่ขัดแย้งกับไทย ไม่อยู่ในการประชุม JBC (https://prachatai.com/journal/2025/06/113177)</li><li>&nbsp;</li></ul></div><p>&nbsp;</p><p>นอกจากนั้น สุภลักษณ์เห็นว่ากัมพูชาเองก็ได้ประโยชน์จาก&nbsp;MOU43 เมื่อต้องเข้าที่ประชุมเจบีซีหรือศาลโลกเพราะ&nbsp;MOU43 รวมเอาเอกสารทุกอย่างที่ฝรั่งเศสทำไว้ให้ทั้งสัญญาและแผนที่ อีกทั้งที่กัมพูชาแถลงก็ไม่ได้บอกว่าจะเลิกการประชุม แต่เขาจะมาขอความร่วมมือจากไทยไปศาลโลกเพราะตลอด&nbsp;25 ปีที่ผ่านมาคุยกันไม่ได้ ไม่มีใครยอมใคร ฉะนั้นไปหาคนที่มีอำนาจมากกว่าแล้วทั้ง&nbsp;2 ฝ่ายและเชื่อถือได้มาไกล่เกลี่ยให้ดีกว่า</p><p>อย่างไรก็ตาม สุภลักษณ์เห็นว่าฝ่ายไทยเองก็หวาดระแวงเรื่องศาลโลก ทั้งกระทรวงการต่างประเทศหรือรัฐบาลเองก็ไม่กล้ารับข้อเสนอนี้ของทางกัมพูชา เมื่อเป็นเช่นนี้การประชุมเจบีซีจึงเป็นกลไกที่มีอยู่สำหรับการจัดการเรื่องเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา เพราะจีบีซีและอาร์บีซีเป็นกลไกแก้ปัญหาอื่นที่ไม่ใช่เรื่องเขตแดน</p><p>แม้ว่าในความเป็นจริงช่องทางทางการทูตยังมีช่องทางอื่นๆ อยู่นอกจากการเจรจาทวิภาคี เช่น อาเซียน หรือ สหประชาชาติ และกัมพูชาก็ค่อนข้างเก่งในเรื่องนี้ ขณะที่ไทยยังยึดติดกับวาทกรรมเสียดินแดน และเรื่องเขาพระวิหารยังหลอกหลอนฝั่งไทยเช่นนี้ทำให้ไทยไม่กล้าเลือกใช้ตัวเลือกทางการทูตอื่นๆ</p><h2>ไทยกล้าให้คนที่สามเข้ามาตรวจสอบหรือเปล่า?</h2><p>สุภลักษณ์ย้อนกลับไปความขัดแย้งรอบก่อน ว่าด้วยข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหารที่ศาลโลกรับเรื่องไว้แล้วออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวให้ทั้งสองประเทศถอนทหารออก พร้อมกับให้อาเซียนเข้ามาสังเกตการณ์ ซึ่งทางอินโดนีเซียเป็นตัวตั้งตัวตีในการส่งผู้สังเกตการณ์มาดูไม่ให้ทั้งสองฝ่ายรุกล้ำกัน เรื่องนี้ทางกัมพูชาเองฉลาดมากเพราะรู้ว่ากำลังทางทหารสู้ไทยไม่ได้ เลยให้คนที่สามเข้ามาสังเกตการณ์ว่าที่บอกถอนทหารแล้ว ถอนแค่ไหน ทำจริงหรือเปล่า</p><p>“กัมพูชาเขาแฟร์มากนะที่เขากล้าให้บุคคลที่สามเข้ามาดู ทหารไทยต่างหากที่ไม่แฟร์ คุณโทษแต่เขมรว่าไม่ซื่อสัตย์ คุณบอกว่าคุณถอนทหารแล้ว คุณซื่อสัตย์กับคำพูดของคุณ แต่คุณกลับไม่กล้าให้คนอื่นเข้ามาตรวจสอบด้วยซ้ำไป”</p><p>เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กัมพูชาเรียนรู้จากครั้งนั้นในการหาบุคคลที่สามเข้ามาจัดการปัญหา เพราะถ้าตกลงกันว่าให้ถอนทหาร แต่หากจุดไหนมีปัญหาก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูอยู่ดี ฉะนั้นหากไทยยืนยันว่าโปร่งใสจริง คำถามคือจะกล้าให้คนที่สามเข้าไปดูหรือไม่</p><p>“เครื่องมือทางการทูตไม่ได้มีเฉพาะเจบีซีหรอก มีหลายอย่าง ทีนี้มันขึ้นอยู่กับว่าไทยพยายามจะปิดช่องทางที่เป็นพหุภาคีให้หมด เหลือทวิภาคีเท่านั้น เพราะเราเชื่อว่าถ้าเราอยู่ทวิภาคี เราข่มเขมรได้ แล้วเขมรเขาก็รู้จุดอ่อนว่า ถ้าเขาอยู่ทวิภาคีเขาจะถูกไทยข่ม”</p><p>สุภลักษณ์เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเกมทางการทูต ซึ่งสามารถเล่นเกมนี้กันไปได้ จะเป็น&nbsp;20 ปี&nbsp;30 ปีไม่มีปัญหา แต่ไม่ต้องเร่งกำลังทหารใส่กัน โดยที่ไม่เกิดประโยชน์อะไร</p><h2>มาตรการทางเศรษฐกิจจะใช้ต้องแม่นยำ</h2><p>ตอนนี้ฝ่ายต่างๆ เสนอมาตรการมาหลายอย่าง ทั้งทางการทูต ทางเศรษฐกิจ และบางส่วนก็ไปไกลถึงใช้กำลังทหาร แต่มาตรการต่างๆ ก่อนจะไปถึงขั้นใช้กำลังก็ยังมีความหนักเบาแตกต่างกันออกไปอีก</p><p>สุภลักษณ์อธิบายว่า มาตรการทางการทูตเป็นมาตรการแรกที่ต้องใช้ก่อน แม้แต่การตอบโต้กันด้วยวาจาก็ทำได้ มาตรการทางเศรษฐกิจเป็นมาตรการที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังแล้ว อย่างการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ในทางสากลการใช้เรื่องนี้ต้องพยายามกระทำต่อหน่วยหรือบุคคลที่ก่อให้เกิดปัญหาจริงๆ หรือที่เรียกว่า ‘สมาร์ทแซงชั่น’ เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหวและต้องใช้โดยระมัดระวังให้แม่นยำที่สุด</p><p>“ถ้าเราแซงชั่นแบบเป็นการทั่วไปเช่น ปิดด่าน คำถามคือว่าปิดด่านไหน ปิดอะไร ยังไง แค่คุณพูดว่าจะปิดด่านเนี่ยผู้ค้าเนี่ยเขามีปัญหาแล้วนะ ฝ่ายหนึ่งก็จะว่าเฮ้ยเรากล้าสั่งของล็อตต่อไปปะ ถ้าสั่งจากเขมรแล้วมันปิดสมมุติว่าของมันเสียหายง่ายอย่างเป็นปลาแล้วมันปิดกัน&nbsp;3 วันปลาตายพอดี”</p><p>เขายกอีกตัวอย่างที่พรรคฝ่ายค้านเสนอให้ตัดไฟฟ้าตัดเน็ตว่า ไทยขายไฟให้เกาะกงจริง แต่ว่าไฟฟ้าก็ยังถูกเอาไปใช้ในพื้นที่อื่นด้วย ไม่ใช่แค่พื้นที่คอลเซ็นเตอร์หรือคาสิโนเท่านั้น แต่เมื่อตัดไฟแล้วไม่สามารถเลือกตัดบางที่ได้ ถ้าจะตัดบางที่ก็ต้องให้ทางกัมพูชาเป็นฝ่ายตัด แต่ในเมื่อทางกัมพูชาก็ให้ความร่วมมือในการปราบคอลเซ็นเตอร์มาเป็นระยะแล้ว ไทยจะไปตัดไฟเพื่อกดดันให้ถอนทหารมันไม่สัมพันธ์กับสิ่งที่ได้รับความร่วมมือ ดังนั้น การจะตัดไฟก็ต้องระวังโดยต้องทำอย่างฉับพลันและแม่นยำเหมือนกัน</p><p>สุภลักษณ์เล่าด้วยว่า การที่ฝ่ายไทยบอกว่าเดี๋ยวจะ ‘ปิด-ไม่ปิด’ ด่านแบบนี้ทำให้ภาพรวมเดือดร้อน และสถานการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนเช่นนี้ก็ทำให้เกิดความกังวลในพื้นที่ จนคนเฒ่าคนแก่ก็เริ่มย้ายไปอยู่บ้านญาติ คนกรีดยางตอนเช้าก็ไม่กล้าไปกรีดแล้วในบางหมู่บ้าน ทำให้วิถีชีวิตคนในพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย และยิ่งสถานการณ์ยืดยาวออกไปก็ยิ่งไม่เป็นผลดีกับทั้งไทยและกัมพูชา</p><p>“ระบบเศรษฐกิจของเราซับซ้อนกว่ากัมพูชาเยอะเลย ไม่ใช่ว่าเราทำอย่างนี้แล้วคนอื่นเขาจะเจ็บนะ บางมาตรการคือการยิงปืนใส่หัวแม่เท้าตัวเอง เรื่องปิดด่านผมว่ายิงปืนใส่หัวแม่เท้าตัวเองชัดๆ เพราะว่าเราได้ผลประโยชน์มากในทางเศรษฐกิจมันเป็นแสนล้าน”</p><p>สุภลักษณ์อธิบายต่อว่า กัมพูชาในเวลานี้ก็มีทางเลือกทางเศรษฐกิจมากกว่าเดิม คือมีสินค้าจากเวียดนามและจีนเข้าไปเยอะขึ้น ไม่ได้พึ่งพาจากไทยอย่างเดียว ทำให้บางมาตรการที่จะใช้อาจะไม่ได้ทำร้ายฝ่ายตรงข้าม หรืออาจไปทำร้ายแค่ประชาชนทั่วไปที่อาจเป็นแค่คนหาเห็ดมาขาย พอด่านปิดเห็ดก็เน่าไป แต่มันไม่กระทบกับรายใหญ่ที่ทนรอสถานการณ์ได้มากกว่าโดยไม่เดือดร้อน</p><p>ดังนั้น เขาเห็นว่า รัฐบาลต้องตัดสินใจบนข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ไม่พูดไปตามอารมณ์ มาตรการที่จะใช้ต้องจากเบาไปหาหนักและต้องหวังผลได้</p><h2>วนกลับมาเรียกทหารปฏิวัติ</h2><p>ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเกิดขึ้นหลังจากประเด็น ‘เกาะกูด’ ซาลงไปเมื่อ&nbsp;5-6 เดือนก่อน กระแสชาตินิยมที่กรุ่นอยู่ถูกปลุกขึ้นมาอีกรอบอย่างง่ายดาย และเมื่อผนวกกับกระแสความไม่พอใจรัฐบาลที่เพิ่มมากขึ้น ครั้งนี้จึงเริ่มมีคนถามหาการปฏิวัติรัฐประหารโดยกองทัพกันอีกรอบ หรือการเสนอนมาตรา&nbsp;5 ที่เคยเป็นปมขัดแย้งใหญ่ว่าด้วยระบอบประชาธิปไตยเมื่อสองทศวรรษก่อน</p><p>สุภลักษณ์ประเมินว่า สภาพการณ์นี้เกิดในภาวะที่รัฐบาลมีความอ่อนแอภายในการบังคับบัญชาหน่วยงานรัฐเอง ประกอบกับการปลุกเร้ากระแสของฝ่ายขวาที่มีความเกลียดชังรัฐบาลอยู่แต่เดิม เสริมด้วยวาทกรรมอย่าง ‘กองทัพบริหารประเทศดีกว่า เข้มแข็งกว่า’ แม้เราจะรู้ว่าการรัฐประหารทุกครั้งสร้างความเสียหายใหญ่ทางเศรษฐกิจของไทยจนถึงขั้นติดลบอย่างในสมัยรัฐบาลทหารของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม</p><p>“รัฐบาลต้องรีบพูดว่ามันไม่ได้ ฝ่ายค้านก็ต้องรีบพูด นักการเมืองทั้งหลายแหล่อยู่ในสภาต้องรีบพูดบอกว่าทหารทำหน้าที่ของเขาดีแล้ว ชอบแล้ว ถูกต้องแล้วในการปกป้องประเทศ แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมาก้าวก่ายงานบริหารนโยบายทางการเมืองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อันนี้ไม่ใช่งานของกองทัพ แต่เป็นงานของรัฐบาล”</p><p>เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องจับตาก็คือ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ความขัดแย้งตามแนวชายแดนมักถูกใช้เป็นข้ออ้างในการสร้างความนิยมให้ทหาร เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูกรณีเขาพระวิหาร แม้จะเริ่มต้นมาตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ประมาณช่วงปี&nbsp;2551-2552 แต่เมื่อคดีขึ้นศาลโลกในปี&nbsp;2554 มีคำตัดสินในปี&nbsp;2556 แล้วจึงเกิดการรัฐประหารในปีถัดมาคือ&nbsp;2557</p><p>แม้การรัฐประหารครั้งล่าสุดจะเกิดจากปัจจัยภายในประเทศอย่างเรื่องนิรโทษกรรม ไม่ใช่ความขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชา แต่ประเด็นความขัดแย้งเรื่องชายแดนก็ทำให้เกิดการสะสมอารมณ์ความรู้สึก ทำให้ทหารได้พื้นที่ทางการเมืองมากขึ้นจนการรัฐประหารไม่มีใครต่อต้านได้</p><p>“อันนี้เป็นหมากของของพวกชนชั้นนำไทย ทำไว้ตั้งนานแล้ว เขาจะสร้างการทะเลาะกับกัมพูชาเป็นปฏิบัติการอันแรกๆ ที่ไฮไลท์บทบาทของทหารได้เสมอ ทั้งที่รบกันจริงอาจจะสู้เขมรไม่ได้ก็ได้ แต่เขาไม่เคยรบกัน เขาแค่เบ่งกล้ามใส่กัน”</p><p>สุภลักษณ์มองว่า ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในการรับรู้ของคนจะทำให้รู้สึกว่าประเทศของเราต้องปกครองด้วยทหารแล้ว ไม่อย่างนั้นกัมพูชาจะย่ามใจ เรื่องทำนองนี้จะออกมามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งอาจปูไปสู่ความชอบธรรมในการยึดอำนาจ</p><p>อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ฮุนเซนเองก็รู้ว่าศักยภาพทางทหารของกัมพูชาไม่ใช่จุดแข็งเขาจึงเปลี่ยนมาใช้เกมทางการทูตแทน</p><p>สุภลักษณ์มองว่า ฝ่ายขวาของไทยอาจอยากให้ทหารกลับมามีบทบาทอีกครั้ง จึงตั้งใจให้สถานการณ์ความขัดแย้งออกมาในรูปแบบที่เป็นอยู่ ส่วนฝ่ายก้าวหน้าของไทยก็อาจจะไม่ทันเกม แล้วหลงประเด็นตามเกมนั้น คิดว่าเรากำลังจะมีสงครามกับกัมพูชาทั้งที่ไม่ได้มีสงครามจริงๆ เพราะพื้นที่ในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาส่วนใหญ่มีการค้าขายระหว่างกันเป็นแสนล้านบาท และมีแรงงานเข้ามาเป็นหลักแสนคน แล้วด่านทั้งหมดก็ยังเปิดอยู่ตามปกติ</p><p>“มีแต่วาทกรรมทางการเมืองเท่านั้นที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มมีปัญหาและขัดแย้งกัน และมันก็จะนำพาไปสู่เรื่องอื่นๆ ความเกลียดชังจะตามมา ตอกย้ำสิ่งที่มันเคยเป็นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่&nbsp;20 เรื่อยมา”</p><p>สุดท้ายสุภลักษณ์ย้ำว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำให้สังคมตระหนักรู้ก็คือ กองทัพ</p><p>ไทยกำลังจะล้ำเส้น กองทัพจะตัดสินใจเรื่องนี้เองโดยพลการไม่ได้ แม้กระทั่งการจะลั่นกระสุนนัดแรกก็ต้องอธิบายได้ว่า ลั่นทำไม</p><p>“การลั่นกระสุนนัดแรก ไม่ว่าใครเป็นคนลั่นก่อนก็ตาม จะพาให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายไปได้ เมื่อสถานการณ์คุมไม่อยู่ ถึงวันนั้นกองทัพจะไม่รับผิดชอบ รัฐบาลต้องเป็นคนรับผิดชอบ แพทองธารรับผิดชอบเต็มๆ ภูมิธรรมรับผิดชอบเต็มๆ ถ้าเกิดว่าประชาชนลุกฮือกันไป แล้วเกิดจลาจลต่อต้านไปเผาสถานทูตกัมพูชากันบ้าง กองทัพรับผิดชอบไหม กองทัพไม่รับผิดชอบนะ เหมือนกรณีที่ประชาชนกัมพูชาไปเผาสถานทูตไทย กองทัพกัมพูชาไม่รับผิดชอบ รัฐบาลฮุนเซนต้องวิ่งบากหน้ามาง้อขอทักษิณ นี่คือภาระทางการเมืองซึ่งรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบ ก