|
หัวข้อ: ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๖ ตำราเล่นหนังในงานมหรศพ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 11 กันยายน 2568 13:51:30 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/71735671783486_1_Copy_.jpg) ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๖ ตำราเล่นหนังในงานมหรศพ ---------------------------- พิมพ์ครั้งที่ ๒ แจกในงานศพ นายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ (ฟุ้ง สหัสรจินดา) ปีวอก พ.ศ. ๒๔๖๓ ---------------------------- พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร คำนำ มิตรสหายของนายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ (ฟุ้ง สหัสรจินดา) ได้มอบฉันทให้อำมาตย์เอก พระสฤษดิ์พจนกร มาขออนุญาตต่อกรรมการหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร เพื่อจะพิมพ์หนังสือลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ภาคที่ ๖ ซึ่งว่าด้วยตำราเล่นหนังในงานมโหรศพอิกครั้ง ๑ เพื่อจะแรกในการกุศลปลงศพนายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ หนังสือเรื่องนี้ได้พิมพ์ครั้งแรกแจกในงานพระศพพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ ชั้น ๔ พระองค์เจ้าชายโตสินี เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ บัดนี้ก็หาฉบับยากอยู่แล้ว ซึ่งเจ้าภาพในงานศพนายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ มีศรัทธาจะพิมพ์อิกครั้ง ๑ กรรมการหอพระสมุดอนุโมทนาด้วย จึงอนุญาตให้พิมพ์ตามประสงค์. อนึ่งเจ้าภาพได้เรียบเรียงประวัติพระหัดถสารศุภกิจ (ฟุ้ง สหัสรจินดา) ส่งมาขอให้พิมพ์ไว้ได้ในหนังสือนี้ด้วย จึงได้ให้พิมพ์ต่อคำนำนี้ไป ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในส่วนกุศลบุญราษีทักษิณานุปทาน ซึ่งเจ้าภาพได้บำเพ็ญในการปลงศพ นายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ ด้วยอัธยาไศรยไมตรีต่อผู้ซึ่งล่วงลับไป แลได้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันแพร่หลาย เชื่อว่าท่านทั้งหลายที่ได้รับหนังสือเรื่องนี้ไปคงจะอนุโมทนาด้วยทั่วกัน (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/24234623544745_Signed_Prince_Damrong_Rachanup.png) สภานายก หอพระสมุดวชิรญาณ วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ประวัตินายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ นายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ (ฟุ้ง สหัสรจินดา) เปนบุตรขุนธนรัตน์ ฝ่ายพระราชวังบวร ฯ เกิดณวัน ๒ ๓ฯ ๙ ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๒๔๔ ตรงกับวันที่ ๒๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๒๕ ตำแหน่งราชการ แรกเจ้ารับราชการเปนเสมียนที่พระคลังจังหวัดไชยนาท เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ แล้วสับเปลี่ยนตำแหน่งแลเปลี่ยนท้องที่ ๆ รับราชการเปนลำดับมา ถึงวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเปนผู้ช่วยพระคลังจังหวัดนครสวรรค์ แล้วย้ายไปเปนพระคลังจังหวัดสุพรรณบุรี พ.ศ. ๒๔๔๙ เปนผู้รั้งพระคลังมณฑลปราจิณ พ.ศ. ๒๔๕๐ เปนพระคลังมณฑล มณฑลปราจิณนั้นเอง พ.ศ. ๒๔๕๒ ได้ย้ายไปรับราชการในกระทรวงกระลาโหม เปนผู้ช่วยเจ้ากรมคลังเงินทหารบก พ.ศ. ๒๔๕๖ เปนผู้ช่วยปลัดบาญชีกระทรวงกระลาโหม พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้เปนตุลาการสำรองในศาลทหารบกกลาง เพิ่มจากน่าที่เดิมอิกตำแหน่งหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๖๐ เลื่อนขึ้นเปนเจ้ากรมคลังเงินทหารบก แลคงรับราชการอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดมาจนถึงแก่กรรม ยศ ยศในฝ่ายพลเรือนไม่ปรากฎในสมุดประวัติของนายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ ว่าได้รับพระราชทานชั้นใด อาจเปนเพราะย้ายไปรับราชการในกระทรวงกระลาโหมเสียก่อนมีพระราชบัญญัติกำหนดยศข้าราชการพลเรือนให้เปนยุติก็ได้ แต่ยศในทางทหารนั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ เปนว่าที่นายพันตรี พ.ศ. ๒๔๕๔ ได้รับพระราชทานยศเปนนายพันตรี พ.ศ. ๒๔๕๙ เปนนายพันโท พ.ศ. ๒๔๖๑ เปนนายพันเอกบันดาศักดิ์ พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้รับประทวนเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เปนขุนโกษานครสวรรค์ ถือศักดินา ๔๐๐ ไร่พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรบันดาศักดิ์เปนหลวงประสิทธิ์สมบัติ ถือศักดินา ๖๐๐ ไร่ พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเปนพระหัดถสารศุภกิจ ถือศักดินา ๑๐๐๐ ไร่ เครื่องราชอิศริยาภรณ์แลเหรียญ พระหัดถสารศุภกิจได้รับพระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์ แลเหรียญ คือ เหรียญรัชมงคล เหรียญรัชมังคลาภิเศก เหรียญบรมราชาภิเศก เบญจมาภรณ์ ช้างเผือก จตุรถาภรณ์ มงกฎสยามนายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจป่วยเปนอหิวาตกโรคถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ อายุได้ ๓๙ ปี นายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ ผู้มีความอุสาหะต่อราชการทั้งเปนผู้มีใจฅอกว้างขวางหนักแน่น มีความอารีต่อญาติแลมิตรสหายเปนอย่างดีผู้หนึ่ง เมื่อมาถึงแก่กรรมลง จึงเปนที่เสียดายแลเศร้าโศกแก่ญาติมิตรโดยมาก ได้พร้อมกันจัดการศพเท่าที่สามารถจะพึงทำได้ ขอขอบคุณที่มา : ห้องสมุด ดิจิทัล วัชรญาณ หัวข้อ: Re: ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๖ ตำราเล่นหนังในงานมหรศพ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 11 กันยายน 2568 13:58:56 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/11166761774155_2_Copy_.jpg) เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๖ ตำราเล่นหนังในงานมหรศพ --------------------------- เรื่องหนังที่เล่นในงานมโหรศพ ๏ บัดนี้จะได้อธิบายด้วยเรื่องหนังซึ่งเปนเครื่องเล่นอย่างหนึ่งของชาวเรา ก็หนังนี้ถ้ามีงานมโหรศพเมื่อใด ก็จำที่จะต้องตั้งจอขึ้นเล่นเมื่อนั้น เพราะเหตุใตเล่า ฯ เหตุที่ทำให้ครึกครื้นเอิกเกริกในงานอย่างหนึ่ง ทำให้เหิมเกริมในที่ประชุมชนที่มาดูงานได้อย่างหนึ่ง ด้วยการที่เล่นนั้นอาไศรยเรื่องนารายน์สิบปาง ๆ ที่สิบ ที่เรียกว่าเรื่องรามเกียรดิ์เอามาจับเล่นเปนตอน ๆ ไป แลสลักแผ่นหนังขึ้นไว้เปนรูปภาพตามท้องเรื่อง มีรูปพระราม พระลักษณ์ ทศกรรฐ์ นางสีดา เปนต้น เอาขึ้นเชิดชูทาบเข้ากับจอให้แสงไฟขาวส่องสว่างออกมาเห็นรูปภาพนั้น แล้วพากย์เจรจากันแลติดตลก พลางตีพิณพาทย์ระนาดฆ้องกลองตะโพนบันฦๅลั่น สนั่นเสียงกรับโกร่งโหม่งม้าล่อแซ่เซ็งไป การที่เล่นดังนี้จึงได้ครึกครื้นสนุกสนาน ชักให้คนอันมากมาประชุมดู เพราะฉนั้นงานมโหรศพจึงได้เล่นหนังแทบทุก ๆ งาน จะเว้นบ้างก็น้อย ด้วยการเล่นหนังนี้ เปนเครื่องทำให้ครึกครื้นในงานอย่างยิ่ง. ว่าด้วยวิธีทำตัวหนัง จะขอกล่าวอธิบายถึงวิธีทำตัวหนังแลวิธีทำจอ แลการที่จะเล่นหนังนี้ก่อน แล้วจึงจะกล่าวถึงผลประโยชน์ของการเล่นหนังนี้ต่อไปก็วิธีซึ่งจะทำเปนตัวหนังขึ้นนั้น เอาหนังโคมาแช่น้ำให้อ่อนแล้ว ขึงผึ่งแดดไว้จนแห้งแล้วเอาเหล็กขูด ๆ ให้บาง ดูจนสม่ำเสมอเรียบร้อยจึงเอาเขม่าก้นหม้อ ฤๅกาบมะพร้าวเผาก็ได้ละลายด้วยน้ำเข้าเช็ด ทาผืนหนังนั้นให้ทั่วทั้งสองด้าน ดูพอดำดีแล้วตากไว้ให้แห้ง เมื่อแห้งจึงถูด้วยใบฝักเข้าประสงค์จะให้เปนมัน แล้วจึงหาช่างเขียนที่ฝีมือดีมาเขียนรูปภาพต่าง ๆ ตามความต้องการของเจ้าของนั้น เมื่อเขียนแล้วตรวจดูช่องไฟไม่ขัดขวางจึงลงมือสลัก เครื่องมือสลักนั้นมีสิ่วฉากอย่างหนึ่ง สิ่วเล็บมืออย่างหนึ่ง มุกใหญ่, มุกกลาง, มุกยอดอย่างหนึ่ง มุกนี้สำหรับกัดตามเส้นรูปภาพ ถ้าสลักตามลวดลายฤๅกนกแล้ว ต้องใช้สิ่วเล็บมือฤๅสิ่วฉากใหญ่เล็กตามสมควร ครั้นสลักเสร็จแล้วจึงย้อมให้เปนสีต่าง ๆ บ้างเล็กน้อยตามความต้องการ ถ้าจะให้สีขาวเอาเหล็กขูด ๆ ที่หนังให้หมดสีดำที่ทาเขม่าไว้ก็เปนสีขาว ถ้าจะให้เปนสีเขียว เอาจุณสีฝนกับน้ำมะนาวทาก็เปนสีเขียว ถ้าจะให้เปนสีแดงเอาน้ำฝางกับสารส้มทาก็เปนสีแดง ถ้าจะให้เปนสีเหลืองเอาน้ำฝางทาแล้วเขาน้ำมะนาวถู ๆ เข้าก็เปนสีเหลือง แต่หนังตัวนางนั้นถ้าจะให้แลดูเปนขาว ก็สลักเอาพื้นตัวออกเสีย เมื่อเชิดทาบเข้ากับจอ พื้นจอส่องออกมาก็เห็นเปนขาว หนังสลักเอาพื้นตัวพื้่นหน้าออกเช่นนี้เรียกกันว่า “นางหน้าแขวะ” ครั้นเมื่อย้อมสีต่าง ๆ สำเร็จแล้ว จึงเอาไม้มาสี่ซีกขนาบเข้าสองข้าง สำหรับที่จะได้ถือจับเชิดไปเชิดมา แต่หนังที่สลักสำเร็จเปนตัวขึ้นแล้วนั้นก็บัญญัติชื่อต่าง ๆ กัน หนังที่เปนรูปเดินไม่ว่ายักษ์, ลิง, มนุษย, นาง, สุดแต่เปนรูปเดินแล้วเรียกชื่อวา “คเนจร” หนังที่เปนรูปท่าเหาะไม่ว่า ยักษ์, ลิง, สุดแต่ท่าเหาะแล้วเรียกชื่อว่า “ง่า” หนังที่เปนสุมพลสำหรับยกทัพ ไม่ว่ายักษ์, ลิง, สุดแต่เปนสุมพลแล้ว เรียกชื่อว่า “เขน” หนังที่เปนรูปลิงขาวมัดลิงดำมาหาฤๅษีนั้น เรียกชื่อว่า “เตียว” หนังที่เปนรูปตลกนั้น เรียกชื่อว่า “จำอวด” หนังจับสามนั้น เรียกชื่อว่า “จับหนึ่ง, จับสอง, จับสาม,” แล้วยังมีหนังฉากหนี ๑ ฉากไล่ ๑ ลากชาย ๑ หนังโก่ง ๑ หนังแผลง ๑ หนังไหว้ ๑ หนังรถ ๑ หนังเมือง ๑ หนังพลับพลา ๑ หนังปราสาทพูด ๑ หนังปราสาทโลม ๑ รวมชื่อของหนังที่สมมตเรียกกันนั้นต่าง ๆ นักเหลือที่จะพรรณา อนึ่งหนังสำคัญอิกสามตัวที่ผู้เล่นเคารพนับถือกันนักนั้น คือรูปพระแผลงสองตัว รูปฤๅษีตัวหนึ่ง รวมสามตัวนี้เรียกชื่อว่า “หนังเจ้า” หนังเจ้านี้เมื่อจะทำขึ้นได้ก็ดูเปนการลำบากสักหน่อย คือรูปพระแผลงสองตัวนั้น ต้องหาหนังโคตายพรายมาทำ หนังรูปฤๅษีนั้น ต้องหาหนังเสือฤๅหนังหมีก็ได้ เอามาทำจึงจะถือกันขลัง หนังเจ้าทั้งสามนั้น เมื่อจะเขียนจะสลักคนเขียนคนสลักต้องนุ่งขาวห่มขาว แล้วรีบเขียนรีบสลักให้แล้วในวันเดียว อย่าให้การข้ามขวบค้างคืนได้ อนึ่งเมื่อเวลาจะเขียนจะสลักนั้น ต้องมีสิ่งของที่สำหรับคำนับครู คือบายศรีปากชาม ๑ เครื่องกระยาบวช ๑ ศีศะสุกร ๑ เงินติดเทียนด้วย ๖ บาท ของเหล่านี้เมื่อบูชาครูเสร็จแล้ว ก็เปนผลประโยชน์ของผู้เขียนผู้สลัก ครั้นสลักเสร็จจึงระบายสีเจ้าทั้งสามตัว รูปพระแผลงสองตัวระบายสีเขียวตัวหนึ่ง สมมตเปนรูปพระนารายน์ ระบายสีเหลืองอ่อนฤๅปิดทองก็ได้ตัวหนึ่ง สมมตเปนรูปพระอิศวร รูปหนังเจ้าทั้งสามองค์ใช้ระบายสีต่าง ๆ ตามลายผ้านุ่งแลกนก ผิดกับหนังตามธรรมดา เพราะเอามาใช้ตั้งเบิกหน้าพระแต่เวลายังไม่ค่ำ ว่าด้วยวิธีทำจอ วิธีซึ่งทำจอหนังนั้น เอาผ้าขาวบางอย่างหยาบมาตัดเพลาะกันเข้าพอควร ใช้คำที่กลางผืนจอเพื่อจะให้สว่างเห็นตัวหนังชัด ที่ด้านมืดสองข้างใช้ผ้าขาวดิบอย่างหนา ประสงค์จะให้เงามืดแฝงตัวหนังออกมาเหมือนที่ออกฉาก ริมจอทั้งสี่ด้านนั้นใช้ผ้าแดงผ้าเขียวคราม เพราะติดกันสองผืนเย็บวงรอบกับจอไป ประสงค์จะสอดสีกันแลดูงาม แล้วเอาเชือกตัดเปนตอน ๆ ตามด้านยาวสองด้านสมมตเรียกว่า “หนวดพราหมณ์” สำหรับจะได้ผูกเหนี่ยวกับคร่าวบนคร่าวล่างผ้าที่สำหรับวงหลังจอซึ่งเรียกว่าบังคับเพลิงนั้น แต่ก่อนใช้ผ้าใบสาคูเช่นทำใบเรือ แต่ปัตยุบันนี้ใช้ผ้าขาวดิบ ขนาดของจอนั้น ถ้าจอยาวตามธรรมดาใช้ยาว ๗ วา ๒ ศอกเศษ ถ้าเปนงานที่เล่นประชันกันฤๅงานใหญ่ ๆ เจ้าภาพแขงแรง ก็ใช้จอยาวถึง ๙ วาก็มี ๑๑ วาก็มี ตามท้องไชยภูมิ์จะสมควร ระบายห้อยน่าจอนั้นใช้ผ้าแดงบ้าง เขียวบ้าง ดำบ้างสลับกันสองชั้น แล้วเอาทองอังกฤษฤๅอังกฤษย่น ฤๅกระดาษน้ำตะโกสลักเข้าเปนลวดลายต่าง ๆ ติดเข้ากับระบายจอ บ้างก็เอากระจกเงาเข้าติดเปนเนื่องไป แล้วห้อยแขวนด้วยลูกรุ่ยตามชายระบายจอนั้น ประสงค์จะให้แลดูงามแปลบปลาบในตา. จออย่างหนึ่งที่เรียกว่าจอแขวะนั้น แต่บุราณมาก็มิได้มี พึ่งจะมาเกิดขึ้นประมาณ ๒๕ ปี ๒๖ ปีนี้ จอแขวะนั้นเจาะที่ผ้าดิบสองข้างจอ เปนช่องประตูออกมาแล้วทำเปนซุ้มประตูเช่นประตูเมืองทั้งสองต้าน ที่จอด้านหนึ่งเขียนแผนที่เมืองลงกา ด้านหนึ่งเขียนแผนที่พลับพลาของพระราม แล้วเขียนรูปนางเมขลารูปรามสูรเหาะล่อแก้วกันอยู่ มีดวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ อยู่เบื้องบนข้างละด้านแลดูก็เรียบร้อยไม่ ขัดตาชอบกลอยู่ ด้วยจอแขวะนี้มีผู้คิดยักย้ายทำขึ้นก็เห็นว่าดีกว่าเก่า เพราะประกอบความงดงามแล้วทำให้คนเชิคคนเจรจาเข้าออกสบาย ไม่ต้องก้มดังชั้นหลัง ๆ มาสมัยนี้ยิ่งประกอบความคิดในการที่จะตกแต่งประดับประดาจอยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมควรกับความเจริญของบ้านเมือง. ว่าด้วยวิธีตั้งจอ วิธีที่จะตั้งจอหนังนั้นถ้าผืนจอกว้างเจ็ดศอกเศษ กำหนดใช้เสาจอยาวสามวา ถ้าผืนจอกว้างออกไปยาวออกไปก็ต้องใช้เสายาวออกไปตามส่วนของจอนั้น เสาจอนี้ใช้ ๔ ต้นกล่อมเสียให้กลมเรียบร้อย แล้วมีเม็ดรูปต่าง ๆ ตามแต่จะชอบใจของเจ้าของติดปลายเสาทุก ๆ ต้น แล้วเจาะที่ปลายเสาต่ำลงมาประมาณศอกหนึ่งติดลูกรอกสำหรับที่จะได้ชักรอกเอาคร่าวที่ขึงผืนจอขึ้นไป ปลายเสาทั้ง ๔ ต้นนั้น ปักหางนกยุงมัดเปนกำใหญ่ ยอดหางนกยุงนั้นเสียบธงแดงบ้าง ธงตราช้างบ้าง เมื่อลมพัดมาสบัดธงไหว ๆ แลดูสง่างามยิ่งนัก.ยังเสาสำหรับผ้าบังเพลิง ที่อ้อมวงหลังจอนั้น ใช้ ๖ ต้นมีธงแดงเสียบปลายเสาแต่ ๔ ต้น สองต้นนั้นไม่ต้องเสียบธง เพราะเหนี่ยวมาผูกติดไว้กับจอจนไม่แลเห็น แล้วมีเชือกแดงสองเส้นผูกเข้าตะกรุดเบ็ดไว้ที่คร่าวข้างบนข้างละเส้น สำหรับเหนี่ยวรั้งเอาเสาบังเพลิงมาผูกไว้กับจอให้แน่น แล้วโยงถ่างไปข้างน่าข้างหลังด้านละสองสายเพื่อจะมิให้จอล้ม เสาบังเพลิงอิก ๔ ต้นที่เสียบธงนั้นก็มีเชือกเหนี่ยวโยงไปข้างหลัง เพื่อจะมิให้ล้มซวนเซไปเหมือนกัน การที่จะปักเสาจอนั้น เมื่อถึงวันกำหนดงานเจ้าของหนังก็ขนเอาเครื่องจอไป แล้วถามเจ้าของงานว่าจะตั้งที่ตรงไหน เจ้าของงานต้องมาชี้ที่ให้ เมื่อชี้ที่ให้แล้วก็ขุดหลุมลงยกเสาทั้ง ๔ ต้นขึ้นชักรอกเอาผืนจอขึ้นไปขึงให้ตึงเรียบร้อย แล้วติดบังเพลิงด้านหลังเหนี่ยวรั้งเชือกที่โยงให้แน่นหนา มีแผงเชิงจอผืน ๆ เขียนลวดลายต่าง ๆ ยกมาตั้งบังเข้าที่น่าจอเฉภาะแต่ที่ตรงสว่าง ที่มืดสองด้านนั้นไม่บังแผง เพื่อจะเปิดไว้เปนทางเดินให้คนเชิดเจรจาเข้าออก. ส่วนข้างในจอนั้นก็ปักหลักแป้นไว้กลางจอสำหรับใส่ไต้ จะได้ส่องสว่างออกมาเห็นตัวหนัง แล้วตระเตรียมเอาโกร่งกรับสำหรับตีมาทอดวางไว้เสร็จ เมื่อเวลาเล่นจะได้เคาะประโคม เปนเครื่องเอิกเกริก การที่พรรณามานี้อย่างแบบโบราณ ถ้าการสมัยประจุบันนี้การที่ตกแต่งจอก็คิดพลิกแพลงยักย้ายงดงามขึ้นกว่าเก่าหลายเท่า คือใช้จอแขวะมีประตูเข้าออกดังพรรณามาแล้วนั้น แล้วที่น่าจอก็ยกพื้นเลียบกระดานปูเสื่อมีรั้วลูกกรงล้อมรอบเปนเขตรแดนกั้นไว้มิให้คนดูรุกเข้ามากีดที่ในการที่จะเล่นหนังได้ แลตามรั้วลูกกรงนั้นก็มีหลักรายเปนจังหวะ สำหรับที่จะตั้งโคมไฟให้ส่องแสงสว่างเห็นทั่ว ๆ บางทีถ้างานใหญ่ ๆ ก็สานแผงผูกโครงทำเปนภูเขาเข้าที่น่าจอ แล้วปลูกต้นไม้ใหญ่เล็กประดับประดาด้วยดอกผลกล่นเกลื่อนดูไสวแล้ว ก็มีกุฏิ์ฤๅษีที่เชิงเขาปานประหนึ่งว่าเปนจริง บ้างก็ยกเสามุงหลังคาทำเปนโรงคร่อมจอหนังเข้าอิกชั้นหนึ่ง แล้วก็ประดับตกแต่งโรงนั้นโดยวิจิตรต่าง ๆ เหลือที่จะร่ำพรรณาให้สิ้นสุดได้ การที่ตกแต่งโรงหนังนี้ก็คงจะสมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตามกาลคามสมัย ว่าด้วยวิธีเล่นหนัง วิธีที่จะเล่นหนังนั้นพอตั้งเสาปักจอเสร็จแล้ว นายหนังก็สั่งให้คนขนตัวหนังมาทอดไว้ในจอโดยระเบียบเรียบร้อยแล้วขนเครื่องพิณพาทย์ แลสิ่งที่จะต้องใช้ในการเล่นนั้นมาพร้อมเพรียง พอถึงเวลาจวนย่ำค่ำพวกคนเชิดคนเจรจาแลตลก กับพวกพิณพาทย์ก็มาพร้อมกันที่จอหนัง พอได้เวลาก็เชิญหนังเจ้าทั้งสามองค์ออกมาตั้งที่น่าจอ เจ้าที่เปนรูปอิศวรนารายน์นั้นตั้งหันหน้าเข้าหากัน เจ้าฤๅษีนั้นตั้งกลาง แต่เจ้าสามองค์นี้เมื่อเชิญออกมาก็ไม่ได้ลอดจอ ต้องเชิญอ้อมออกมาข้างหลังจอ เพราะนับถือว่าเปนเจ้าจะลอดจอไม่ได้ ครั้นตั้งหนังเสร็จแล้วได้เวลาย่ำค่ำ เจ้าของงานก็เอาเทียน ๓ เล่มกับเงินกำนนสองสลึงเฟื้องมาให้แก่นายหนัง นายหนังก็เอาเทียนไปให้เเก่พวกพิณพาทย์เล่มหนึ่ง พวกพิณพาทย์รับเทียนมาจุดที่ตะโพนแล้ว ก็ทำเพลงโหมโรงขึ้นพร้อมกัน เพลงโหมโรงนั้นตั้งเพลงสาธุการขึ้นก่อนแล้วออกตระ รัวสามลา เข้าม่าน ลา เสมอ เปนหกเพลงด้วยกัน แล้วพิณพาทย์ก็หยุด คนเจรจาจึงจุดเทียนมาติดบูชาที่เจ้าหนังทั้ง ๒ องค์ ส่วนคนที่อยู่ในจอก็โห่ขึ้น ๓ หน คนเชิดก็ชูเจ้าที่เปนรูปอิศวรนารายน์ขึ้นที่น่าจอ พวกพิณพาทย์ก็ทำเพลงเชิดต่อไป แต่รูปที่เปนฤๅษีนั้นเชิญกลับเข้าจอไว้ คนเจรจานั้นครั้นบูชาเจ้าแล้วก็กลับเข้าไปยืนอยู่ในจอ แล้วยกมือขึ้นปะที่จอห้ามพิณพาทย์ พวกพิณพาทย์ก็หยุด คนเจรจา ๒ คนก็พากย์กันคนละที เรียกว่า “พากย์สามตระ”พากย์สามตระอย่างบุราณ
เพียงนี้เรียกจบว่าทวย ๑ พิณพาทย์ก็ทบเพลงเชิดอิก คนเจรจายกมือขึ้นห้ามพิณพาทย์ แล้วพากย์ทวย ๒ ต่อไป
จบทวย ๒ พิณพาทย์ก็ทำเพลงเชิดเหมือนครั้งก่อน คนเจรจาก็ยกมือขึ้นห้ามพิณพาทย์หยุด แล้วก็พากย์ทวย ๓ ต่อไป
ขอขอบคุณที่มา : ห้องสมุด ดิจิทัล วัชรญาณ หัวข้อ: Re: ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๖ ตำราเล่นหนังในงานมหรศพ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 11 กันยายน 2568 14:34:22 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/11166761774155_2_Copy_.jpg) เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๖ ตำราเล่นหนังในงานมหรศพ --------------------------- เรื่องหนังที่เล่นในงานมโหรศพ ส่วนนายไต้ที่คอยอยู่ในจอถือไต้จุดไฟไว้สามลำก็เอาไต้ขึ้นวนบนแป้นสามรอบ แล้วเอาวางลงบนแป้นที่กองไต้ไว้ ไฟก็ติดลุกโพลงขึ้น พวกพิณพาพย์ก็ทำเพลงเชิดขึ้นพร้อมกัน ฝ่ายคนเจรจาก็ออกมาดับเทียนที่จุดบูชาหนัง แล้วก็จุดเจิมเศก ๆ เป่า ๆ ตามวิธีของเขาที่ได้ร่ำเรียนกันมา คนเชิดก็เชิดหนังเจ้ากลับเข้าจอ เท่านี้แหละเปนวิธีที่เรียกกันว่าเบิกหน้าพระ ก็วิธีเบิกหน้าพระแลพิณพาทย์ทำเพลงโหมโรงดังว่ามานั้น ถ้าเปนส่วนเล่นในราชการหลวงแล้ว ก็มิได้เบิกหน้าพระแลโหมโรงเลย ใช้ปล่อยลิงหัวค่ำทีเดียว ที่ต้องเบิกหน้าพระแลพิณพาทย์ทำเพลงโหมโรงนั้น ต่อเล่นงานของราษฎรจึงใช้. เมื่อเบิกหน้าพระเสร็จแล้วจึงปล่อยลิงหัวค่ำ ออกลิงหัวค่ำนั้นคือเชิดง่าลิงขาวกับลิงดำออกจับกัน เมื่อเชิดลิงขาวกับลิงดำจับกันนั้น พิณพาทย์ทำเพลงเชิด ครั้นง่าสองตัวเข้า เชิดหนังจับหนึ่งออกสมมตเปนทีลิงขาวจับลิงดำสองตัวนั้นกำลังจับกันอยู่ เรียกว่า “จับหนึ่ง” พิณพาทย์ทำเพลงเชิดเหมือนกัน แต่ฆ้องกับระนาดมิได้ตี ใช้เป่าแต่ปี่คันเดียว กลองก็ตีกลองเล็กให้เสียงดังตุ๋งขึ้น เรียกว่า “เชิดนอก” เพลงเชิดนอกนี้ปี่ต้องเป่าให้สำเนียงปี่ชัดว่า “จับให้ตัดให้ตาย” จึงจะชมกันว่าปี่ดี แล้วจึงจับหนึ่งเข้า เชิดง่าสองตัวออกมาอิกสมมตเปนลิงสองตัวนั้นจับกันหลุดออกไป แล้วก็เข้าจับกันอิกเรียกว่า “จับสอง” แล้ว หลุดออกไปกลับเข้าจับกันอิกเรียกว่า “จับสาม” พอหนังจับสามเข้า ก็เชิดหนังลิงขาวมัดลิงดำแลหนังรูปฤๅษีออก พิณพาทย์ก็ทำเพลงเตียวแล้วก็หยุด สมมตเปนลิงขาวชนะลิงดำแล้วมัดลิงดำมาพอพบฤๅษีเข้าฤๅษีขอให้ปล่อย ที่ตรงนี้คนเจรจาออกมาเจรจากันตามเรื่องทำเสียงเปนชาวเหนือกลาย ๆ เมื่อเจรจากันแล้วก็เชิดเตียวกลับ หนังบางโรงเมื่อเบิกหน้าพระแล้ว ก็เชิดบ้องตันแทงเสือออกแทนลิงหัวค่ำก็มี แต่น้อยนักนาน ๆ จึงจะได้เห็นครั้งหนึ่ง เมื่อปล่อยลิงหัวค่ำฤๅบ้องตันแทงเสือแล้ว จึงจับเรื่องในรามเกียรดิ์ต่อไปตามแต่จะเล่นเมื่อตอนไหนไม่กำหนด สุดแล้วแต่จะเตี้ยมตกลงกัน ว่าด้วยเรื่องที่เล่นหนัง ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงเรื่องเล่นหนังอย่างบุราณก่อน ทราบว่าแต่บุราณนั้น ชอบเล่นเมื่อทูตขรตรีเศียร พอเล่นไปถึงสองยามพอถึงทูตขรตาย จึงได้เรียกกันว่า “ขรล้ม” .แต่คนที่ดูนั้นมากลับเรียกเสียว่า “ล้มขร” พอขรล้มแล้วก็หยุดพักเลี้ยงกันเสียทีหนึ่ง แล้วก็นอนอย่ที่ในจอนั้นเรียกว่า “หนังยับ” คือเอาหนังพักไว้ที่จอก่อน ครั้นตีสิบเอ็ดทุ่มจวนจะสว่าง ก็ปลุกกันลุกขึ้นเล่นหนังไปอิกพักหนึ่ง ต่อสว่างจึงได้เลิก ข้าพเจ้าทราบว่าบุราณเขาเล่นกันดังนี้จึงได้เรียกว่า “เล่นหนังยังรุ่ง” คือจวนจะรุ่งต้องเล่นอีกคราวหนึ่ง แต่ประจุบันเดี๋ยวนี้ก็กำหนดเล่นกันเพียงครึ่งคืน ต่อสองยามฤๅเจ็ดทุ่มก็เลิก.อนึ่งได้ทราบว่าบุราณแต่ก่อนนั้น พิณพาทย์ทสำหรับเล่นกับหนังก็มีแต่ปี่, ฉิ่ง, กลอง, ตะโพน, เท่านั้น หามีฆ้องวง, ระนาด, ไม่ แล้วมีผู้คิดเติมฆ้องวง, ระนาด, ขึ้นเปนหกสิ่ง ภายหลังมาปัตยุบันนี้ก็ใช้พิณพาทย์เครื่องใหญ่ทีเดียว คือมี ปี่สองเลา, ระนาดเอกไม้, ระนาดทุ้มไม้, ระนาดเอกทอง, ระนาดทุ้มเหล็ก, ฆ้องวงใหญ่, ฆ้องวงเล็ก, ฆ้องโหม่ง, ฉิ่ง, ตะโพน, กลองเล็กคู่หนึ่ง, กลองทัดใหญ่คู่หนึ่งฤๅสองคู่ตามแต่จะใช้ บางทีก็ใช้กลองแขกเข้าด้วย กลองแขกนั้นใช้ตีเมื่อโลมฤๅเมื่อรับร้องลำต่าง ๆ บางทีเมื่อง่าพระกับยักษ์ออกรบกันก็ตีเพลงส่าระหม่าแลแปลงเช่นรำกระบี่กระบอง แต่หนังบุราณนั้นมิได้ใช้กลองแขกเลย. อนึ่งที่เรียกว่าหนังจับระบำน่าจออย่างบุราณนั้น คือเล่นตั้งแต่เวลาบ่าย ใช้หนังที่เรียกชื่อว่าคเนจรพระ, คเนจรนาง, ตัวหนังนั้นระบายสีตัดเส้นเขียนโดยงดงาม เพราะแลเห็นแต่วัน. คนเชิดหนังระบำนั้นนุ่งผ้ายกฤๅผ้าเกี้ยวสวมเสื้ออย่างน้อยคาดเข็มขัดโพกผ้าขลิบ แล้วเชิดพระกับนางเปนคู่ ๆ กันไป คนร้องก็ร้องบทระบำ คือลำพระทอง, บาหลิ่ม, เบ้าหลุด, สระบุโหร่ง, คนเชิดก็ทำท่าทางต่าง ๆ ไปตามบท แล้วก็เชิดหนังนางเมขลา, รามสูร, อรชุน, ออกมาเล่นตามเรื่องของระบำ พอเวลาค่ำจึ่งจับเล่นเรื่องต่อไป. ครั้นมาภายหลังมีผู้คิดเอาคนตัวระบำแต่งตัวเหมือนลครออกมาเล่นทีเดียว บางทีก็เล่นเปนเรื่องลครแทนระบำไปกว่าจะค่ำ พอค่ำแล้วจึงปล่อยตัวหนังออกมาเล่น บางทีเมื่อเล่นถึงบทที่ดีเพราะก็ปล่อยตัวโขนออกมาเล่นบ้าง แล้วปล่อยตัวหนังออกแกมกันไปจนเลิก เรียกว่า “หนังติดตัวโขน” แต่ประจุบันเดี๋ยวนี้มักจะเล่นปล่อยตัวโขนไปแต่เย็นตลอดกลางคืนจนเลิกทีเดียว เพราะตัวโขนเปนตัวคนชักให้คนดูสนุกสนานมากขึ้น ถ้าหนังโรงใดเล่นแต่ตัวหนังแล้วดูเหมือนจะกร่อย ๆ ไปสู้ติดตัวโขนหาได้ไม่ ส่วนจอนั้นก็ปักไว้พอพิธี ๆ ว่าเล่นหนังเท่านั้น การที่เล่นหนังฤๅโขนน่าจอนี้ ถ้าเล่นโดยแขงแรงสนุกสนาน คือคนดูชอบใจเสียงฮาลั่นบ่อย ๆ แล้วท่านเจ้าของงานก็ตกรางวัลบ่อย ๆ ตามที่เสียงคนฮา ถ้าเล่นกร่อย ๆ ไม่ค่อยมีเสียงคนฮาแล้วก็ไม่ได้รางวัล อนึ่งเมื่อกำลังหนังเล่นอยู่นั้น ถ้าเปนงานของราษฎร พอจุดดอกไม้เพลิง หนังก็ต้องหยุดไม่เล่น ต่อจุดดอกไม้เพลิงแล้วจึงจะเล่นต่อไป ถ้าเจ้าของงานบังคับไม่ให้หยุดก็หยุดไม่ได้ การที่หนังต้องหยุดเมื่อเวลาจุดดอกไม้นั้น ชะรอยจะเห็นว่าคนดูผินหน้าไปดูดอกไม้เสียหมด แล้วก็พูดกันเสียงจ้อก ๆ แจ้ก ๆ ให้กลบเสียงพากย์แลเจรจาไม่ตั้งตาดูหนังในการที่จะเล่นหนังนั้น ครั้นจะเล่นไปก็กลัวโคม ๆ เพราะไม่มีคนดู อิกประการหนึ่งจะเห็นว่าเสียงดอกไม้เพลิงคือดอกไม้กระถาง, ระทา, พลุ, ดังกึกก้องนัก กลบเสียงคนพากย์แลเจรจาจะมิได้ยิน จึงได้หยุดไว้ ต่อเสียงดอกไม้เพลิงสงบแล้วจึ่งให้เล่นต่อไป จะเปนด้วยเหตุดังนี้ฤๅยังไรไม่ทราบ แต่เล่นหนังในส่วนราชการนั้นก็มิได้หยุดเลย. อนึ่งการเล่นหนังนั้น เมื่อจะเลิกพิณพาทย์ต้องทำเพลง ว้า คือเพลงกราวรำชั้นเดียวนี้เอง ธรรมเนียมมาแต่บุราณจนกาลบัดนี้ ว่าด้วยราคาหาหนังไปเล่น ราคาหาหนังไปเล่นนั้นไม่เท่ากัน บุราณแต่ก่อนหากันไปเล่น ถ้าหนังเปล่าคืนหนึ่งราคาสิบบาท เงินงานสิบบาทนี้ได้แก่เจ้าของหนัง กำนนอิกสองสลึงเฟื้องได้แก่นายหนัง เข้าสารหนึ่งถัง, ปลาหางหนึ่งหาง, เยื่อเคย, พริก, หอม, กะเทียม, ของเหล่านี้สำหรับให้เลี้ยงกันในพวกที่เล่นหนังนั้น เปนแบบธรรมเนียมมาแต่บุราณดังนี้อนึ่งถ้าจะให้เล่นหนังจับระบำน่าจอแต่เวลาบ่ายไป ราคาคืนหนึ่งสิบหกบาท ถ้าปล่อยตัวโขนแต่เย็นกลางคืนปล่อยตัวหนังบ้างแกมกันราคาคืนหนึ่งยี่สิบบาท แต่เงินกำนนสองสลึงเฟื้องกับของสำหรับเลี้ยงกันก็คงได้ตามเดิม ข้าพเจ้าทราบว่าหนังบุราณแต่ก่อน เขาหากันไปเล่นเปนราคาตามอัตราเพียงเท่านี้ แต่ปัตยุบันเดี๋ยวนี้ราคาหนังนั้นมากขึ้นไป คือถ้าหากันไปเล่นแต่หนังเปล่าไม่ติดตัวโขน คืนหนึ่งราคายี่สิบบาท ถ้าติดตัวโขนแต่เวลากลางคืนไม่ต้องเล่นแต่เย็นไป คืนหนึ่งราคาสี่สิบบาท ติดตัวโขนแต่บ่ายไปจนเวลากลางคืน ๆ หนึ่งราคาหกสิบบาท ถ้ายกพื้นน่าจอตกแต่งโดยวิจิตร แล้วเล่นแต่ตัวโขนไปตั้งแต่เวลาบ่ายจนกลางคืนคืนหนึ่งราคาแปดสิบบาทก็มี ร้อยบาทก็มี ร้อยยี่สิบบาทก็มี จะกำหนดแน่ไม่ได้ ตามแต่ผู้หากับเจ้าของหนังจะตกลงกัน แต่กำนนนั้นหกสลึง เงินเบี้ยเลี้ยงแทนสิ่งของสิบสลึง ราคาของหนังในปัตยุบันนี้ขึ้นไปแพงกว่าแต่ก่อนดังนี้ อนึ่งราคาของหนังนั้น ถ้าหากันไปเล่นข้ามหัวเมือง เจ้าของหนังก็คิดราคาขึ้นไปอิก คือถ้าข้ามหัวเมือง ๆ หนึ่ง ก็ขึ้นเงินนานอิกเท่าหนึ่ง ถ้าข้ามสองหัวเมืองสามหัวเมือง ก็ขึ้นเงินงานอิกสองเท่าสามเท่าตามลำดับหัวเมืองไป แต่ถ้าเปนเมืองใกล้กับกรุงเทพ ฯ เช่นเมืองประทุมธานี, เมืองนครเขื่อนขันธ์, สองเมืองนี้ก็คิดเอาแต่ครึ่งงาน ซึ่งคิดเงินงานตามหัวเมืองนี้ ก็คิดได้แต่คืนเดียวที่เล่นวันแรก ต่อมาวันที่สองที่สามก็คิดเอาตามอัตราเดิมเท่านั้น ว่าด้วยผลประโยชน์ของผู้ที่เล่นหนัง การผลประโยชน์ในเงินที่เล่นหนังได้นี้ ใช่ว่าเจ้าของจะได้แต่ผู้เดียวก็หาไม่ ถ้าได้เงินงานไปแล้วก็ต้องจำหน่ายจ่ายแจกแก่กันแลกัน ตามบรรดาที่คนไปเล่นนั้น คือถ้าเล่นแต่หนังเปล่าคืนหนึ่งแจกคนเจรจาคนละหนึ่งบาท ตลกคนละหนึ่งบาท คนเชิดคนละสลึงเฟื้อง คนตีโกร่งคนละหนึ่งสลึง พิณพากย์คนละสองสลึง คนปี่หนึ่งบาท นี้เปนอัตราแจกในงานเล่นหนังเปล่าถ้าเล่นโขนน่าจอไปตั้งแต่บ่ายจนกลางคืน คืนหนึ่งแจกคนเจรจาคนละหกสลึง ตลกคนละหกสลึง คนตีกรับคนละหนึ่งสลึง ตัวโขนตัวดีคนละกึ่งตำลึง ตัวกลางคนละหกสลึง ตัวเลวคนละหนึ่งบาท พิณพาทย์คนละสามสลึง คนปี่คนละหกสลึง นี้เปนอัตราแจกเล่นโขนน่าจอ ส่วนเสียค่าภาษีนั้น ถ้าเปนหนังเปล่าคืนหนึ่งเสียสองสลึง ถ้าติดตัวโขนเล่นแต่เวลากลางคืน คืนหนึ่งเสียสิบสลึง ถ้าติดตัวโขนตั้งแต่เวลาบ่ายไปจนกลางคืน คืนหนึ่งเสียสี่บาทสองสลึง นี้เปนอัตราเสียค่าภาษี แต่ถ้าเล่นในส่วนราชการที่เปนหนังหมายแล้ว เงินภาษีก็ไม่ต้องเสีย เงินงานที่เล่นได้ในการหนังนี้ ถ้าเหลือจากเสียภาษีแลแจกคนบรรดาที่เล่นแล้ว ก็ผลประโยชน์ของท่านเจ้าของหนังทั้งสิ้น แต่ถ้าเจ้าของมีผู้คนของตัวเอง คือคนเจรจา, ตลก, พิณพาทย์, แลตัวโขนเปนบ่าวทาษไม่ต้องหาผู้อื่นเขามาแล้ว ผลประโยชน์ก็ได้มากออกไป ผลประโยชน์ของผู้ซึ่งมีหนังแล้วออกเล่นงานนั้น ถ้าจะกะประมาณรายหนึ่ง ๆ ปีหนึ่งคงอยู่ในสามสิบชั่ง ฤๅกว่าขึ้นไป แต่จะกำหนดเอาเปนแน่ทีเดียวก็ไม่ได้ ด้วยผลประโยชน์ในการเล่นหนังนี้สุดแล้วแต่งานจะชุกชุมฤๅไม่ชุกชุม ถ้างานศพชุกชุมฤๅเขามีการฉลองพระฉลองวัดแลแก้สินบนอะไร ๆ ชุมแล้วเขาก็หาหนังไปเล่นบ่อย ๆ ตามซึ่งมีงานนั้น เพราะเช่นนั้นส่วนเงินผลประโยชน์ในงานหนังนี้ จึงจะกำหนดเอาเปนแน่ไม่ได้ แต่ซึ่งได้ไปเล่นงานนั้นคงได้เล่นในฤดูแล้งมากกว่าฤดูฝน คือตั้งแต่เดือนสาม, เดือนสี่, เดือนห้า, พอย่างเข้าเดือนหกข้างแรมก็ซาไปไม่สู้หาหนังไปเล่น เพราะเดือนหก, เดือนเจ็ด, เดือนแปด, เดือนเก้า, เดือนสิบ, เดือนสิบเอ็ด, เดือนสิบสอง, ยังเปนระหว่างฝนตกอยู่ครั้นจะมีงานมีการเล่นหนัง จุดดอกไม้ก็กลัวจะเปนที่เปียกปอนเปื้อนเปรอะฉำแฉะทำให้เสียประโยชน์ไป ในระหว่างฤดูฝนจึงไม่ค่อยจะได้ไปเล่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้เล่นในฤดูฝนบ้างรายละสองหนสามหน แต่ต้องมีสัญญาเปนธรรมเนียมกันมาแต่เดิมว่า ถ้าปล่อยลิงหัวค่ำแล้วจะจับเรื่องเล่นไป แม้นฝนตกลงมาหนังก็ต้องเลิก เจ้าของงานต้องเสียเงินงาน ให้แก่เจ้าของหนังเต็มอัตรา ถ้ายังไม่ได้ปล่อยลิงหัวค่ำฤๅกำลังปล่อยลิงหัวค่ำอยู่แต่ยังไม่ได้เล่าเรื่อง ถ้าฝนตกลงมากำลังนั้นหนังก็ต้องเลิกอยู่เอง เจ้าของหนังจะคิดเอาเงินงานไม่ได้เลย ถ้าฝนตกหยุดแล้วเล่นหนังต่อไปจึงจะคิดเอาเงินได้ ถ้าฝนไม่หยุดก็เปนต้องเลิกกันในคืนวันนั้น ตกเปนภัพของเจ้าของหนังที่ต้องขาดทุน ในการที่ตั้งจอแลขนเครื่องขึ้นไปแลเล่นจนถึงปล่อยลิงหัวค่ำแล้วยังไม่ได้เงิน แต่ดูเหมือนจะยังชั่วแก่เจ้าของงานที่ต้องเสียเงินเต็มอัตรา เมื่อหนังยังไม่ทันจับเรื่องฝนตกลงมาหนังเลิกเสีย เจ้าของงานมักบ่นว่า “ได้ดูแต่จับลิงหัวค่ำนิดเดียวฤๅยังไม่ทันดู แล้วก็ยังหัวค่ำอยู่แท้ ๆ ไม่ดึกดื่นอะไรเลยไม่สมควรที่จะเลิก แต่จนใจด้วยฝนมาแกล้งพวกหนังเขาย่อมเล่นไม่ได้อยู่เอง” การที่ฝนมาตกลงระหว่างนี้ ก็เปนภัพของเจ้าของงานโดยแท้ ด้วยเงินต้องเสียเต็มอัตรา แต่ถ้าเจ้าของงานพูดจาอ่อนน้อมกับเจ้าของหนัง ขอลดลาวาศอกแต่ครึ่งหนึ่ง ด้วยมิได้เล่นเหน็จเหนื่อยอะไร ถ้าเจ้าของหนังผ่อนผันตามโดยอัธยาไศรยแล้ว การจึงจะตกลงลดราคาเสียแต่ครึ่งหนึ่งได้ ถ้าเจ้าของหนังไม่ยอมตกลง ก็ต้องเสียราคาเดิมที่ได้หากันไว้ นี่แหละการผลประโยชน์ของผู้ซึ่งมีหนังนี้ จะเล่นแต่หนังเปล่าฤๅโขนน่าจอก็ตาม ศิริรวมปีหนึ่ง ๆ คงได้เงินส่วนที่เล่นนี้ประมาณสามสิบชั่งฤๅกว่าขึ้นไป ตามที่ได้เล่นมากเล่นน้อยเปนธรรมดาของหนังอยู่เช่นนั้น ข้าพเจ้าเรียบเรียงมาด้วยเรื่องหนัง ว่าด้วยเหตุที่ต้องเล่นหนัง, แลวิธีทำตัวหนัง, วิธีทำจอ, วิธีตั้งจอ, วิธีเล่น, ราคาหาไปเล่น, ผลประโยชน์ในการเล่นหนัง, ยุติโดยสังเขปแต่เท่านี้ ๚ ---------------------------- ขอขอบคุณที่มา : ห้องสมุด ดิจิทัล วัชรญาณ |