[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 24 พฤศจิกายน 2568 14:36:47



หัวข้อ: ตำนานการสร้างเมืองหงสาวดี
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 พฤศจิกายน 2568 14:36:47

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/67378656400574_99_Copy_.jpg)
เจดีย์ชเวมอดอ หนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองพะโค

ตำนานการสร้างเมืองหงสาวดี
---------------------

ในครั้งนั้น ยังมีเมืองชื่อ รัมวดี (ว่าอยู่ทางทิศใต้ของเมืองสะเทิม)  มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองพระนามว่า พระเจ้าเสนะคงคา เมืองนั้นมีภูเขาชื่อ แครงนาค แปลว่า หงอนนาค มีพระฤๅษีชื่อ โลมดาบส อาศัยอยู่  วันหนึ่งมีนางนาคแปลงตัวเป็นหญิงสาว ขึ้นมาเที่ยวที่ภูเขาหงอนนาค พอดีมีเพทยาธร บุตรพระเจ้ากลิงคราษฎร์ เที่ยวมาถึงภูเขานั้นได้พบนางนาคและได้อยู่ด้วยกันจนนางนาคมีครรภ์แล้วคลอดบุตรเป็นฟอง  เพทยาธรเห็นฟองรู้ว่านางเป็นชาตินาค ก็หนีไป  นางนาคทิ้งฟองไว้แล้วกลับไปเมืองนาค  ฤๅษีโลมดาบสมาพบฟองจึงเก็บรักษาไว้ถึง ๑๐ เดือนฟองก็แตกออกเป็นกุมารี  ฤๅษีเลี้ยงไว้จนโตเป็นสาว รูปร่างงดงาม พรานป่าคนหนึ่งมาเห็นนางรูปงามก็ไปทูลพระเจ้าเสนะคงคา พระองค์จึงให้ไปขอนางมาตั้งให้เป็นมเหสี มีพระโอรสสององค์ พระกุมารผู้พี่ชื่อ สมลกุมาร ผู้น้องชื่อ วิมลกุมาร  ต่อมารู้กันว่ามเหสีเป็นนาค และพระมเหสีนั้นสิ้นพระชนม์  อำมาตย์ไม่ยอมให้สองกุมารอยู่ในพระนคร ได้นำตัวมามอบให้พระโลมดาบสไว้ ทั้งสองจึงไปถวายตัวอยู่กับพระเจ้าอรินทมราช ณ เมืองสะเทิม

เจ้าสมลกุมารเกิดไปรักกับพระราชธิดาพระเจ้าอรินทมราช พระเจ้าอรินทมราชทราบเหตุ สั่งให้จับกุมารทั้งสองประหารชีวิต  เจ้าพี่น้องทั้งสองรู้ตัวก็รีบหนีมาพระโลมดาบส แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทราบ  พระฤๅษีเห็นว่าภัยจะมีแก่สองกุมาร จึงเล่าเรื่องพุทธทำนายว่าจะมีเมืองหงสาวดี ที่ตรงนั้นไม่มีเจ้าของ ให้สองกุมารไปอยู่จะเป็นสุข  สองกุมารเกลี้ยกล่อมได้สมัครพรรคพวก ๑๗๐ คน ต่อแพ ๑๗ แพ ข้ามจากฝั่งภูเขาแครงนาคไปทางตะวันตก จนถึงที่ที่ฤๅษีบอก แล้วก็ขึ้นตั้งบ้านเรือน ชาวบ้านป่าแถวนั้นรู้ว่าสองกุมารมาอยู่ก็พากันมาตั้งบ้านเรือนอยู่ด้วยประมาณ ๑,๐๐๐ คนเศษ  สองกุมารเห็นคนมาอยู่ด้วยมากก็ปรึกษาพวกคิดจะสร้างพระนครขึ้น

ความดำริของสองกุมารทราบไปถึงสมเด็จพระอมรินทราธิราช ทรงระลึกถึงพุทธทำนายว่าที่นั้นจะเป็นเมืองหงสาวดี จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์นครวัฒกี ลงมาแล้วเข้าไปหาสองกุมาร ถามว่าปรึกษากันด้วยเรื่องอะไร สองกุมารบอกว่าปรึกษากันสร้างพระนคร นายนครวัฒกีจึงบอกว่าจะช่วยสร้างให้ แล้วไปดูที่ที่หงส์ทองจับอยู่  ฝ่ายพวกอำมาตย์สจาตทุโลเมืองพิทยานครที่มาอยู่ก่อน เห็นนายนครวัฒกีมาวัดที่จะสร้างพระนคร จึงห้ามและบอกว่าที่นั้นพระเจ้าบัณฑุราชาได้มาจองไว้ก่อน มีเสาศิลาจารึกศักราชวันเดือนปีไว้เป็นสำคัญ  ครั้งนั้นน้ำทะเลลึก ๑๓ วา  นายนครวัฒกีตอบว่า ถ้าเช่นนั้นก็จองทีหลัง ตนได้จองไว้ก่อนตั้งแต่น้ำทะเลลึก ๒๓ วา มีเสาทองคำจารึกศักราชวันเดือนปีฝังไว้เป็นสำคัญเหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกันจะพิสูจน์ดูว่าใครจองก่อนใครในวันรุ่งขึ้น

ในคืนวันนั้น พระอินทร์นครวัฒกีก็จัดแจงนิรมิตเสาทองคำจารึกวันเดือนปีให้มีขึ้น ลึกลงไปใต้เสาหลักศิลาของแขก ๑๐ วา ครั้นรุ่งขึ้นทั้งสองฝ่ายก็มาประชุมกัน พวกแขกสจาตทุโลขุดลงไปได้เสาศิลาขึ้นมา แล้วนายนครวัฒกีก็ให้พวกมอญขุดลึกลงไปอีก ได้เสาทองคำขึ้นมาให้พวกแขกสจาตทุโลดู  พวกแขกก็ต้องแพ้ แล้วต้องอพยพออกจากที่นั้นไป  จากนั้นพระอินทร์นครวัฒกีก็กำหนดเอาที่ตรงที่หงส์ทองทั้งคู่เคยจับอยู่นั้นเป็นอินทจักรกลางเมือง เอาเชือกวัดออกไปรอบให้เป็นเขตที่จะสร้างพระนคร เสร็จแล้วออกจากที่นั้นไป  สองกุมารก็ให้ไพร่พลสร้างกำแพงค่ายคูประตูหอรบ ตลอดจนปราสาทราชมณเฑียรขึ้น แล้วเจ้าสมลกุมารก็ได้ราชาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

พระนครที่สร้างใหม่นี้ มีชื่อเป็นสองชื่อ ชื่อหนึ่งเรียกว่า พะโค เป็นภาษามอญ แปลว่า “ชนะด้วยกลอุบาย” ชื่อนี้หมายถึงพระอินทร์มาช่วยให้ชนะแขก เป็นชื่อที่มอญพม่าเรียกกันเป็นสามัญทั่วไป อีกชื่อหนึ่งก็คือ หงสวดี หรือ หงสาวดี เป็นชื่อตามพุทธพยากรณ์  เนื่องมาจากหงส์ทองสองตัวเคยมาเล่นน้ำนั้น ปีสร้างเมืองได้กำหนดไว้เป็นหลักฐานด้วยว่า พระพุทธศาสนาล่วงแล้วได้ ๑,๑๑๖ ปี เรื่องที่ถือกันว่าเป็นพงศาวดารมอญเป็นหลักฐาน มีเรื่องนายร้อยปมนำ แล้วก็นับเอาการสร้างเมืองหงสาวดี มีเจ้าสมลกุมารได้ครองราชสมบัติเมื่อพุทธศาสนาได้ ๑,๑๑๖ ปี หรือเป็นปี พ.ศ.๑๑๑๖ นี้เป็นตั้งต้น คล้ายกับพงศาวดารไทยที่มีเรื่องนายแสนปมนำ แล้วนับเอาพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา ได้ครองราชย์สมบัติในปี พ.ศ.๑๘๙๓ เป็นตั้งต้นฉะนั้น

เจ้าสมลกุมารได้ครองเมืองหงสาวดีเมื่อปี พ.ศ.๑๑๑๖ ใช้พระนามว่า พระเจ้าสักรทัต หรือ สัทธทัต นับเป็นปฐมกษัตริย์  แล้วเจ้าวิมลผู้น้องได้รับราชสมบัติต่อมา ทรงพระนามว่าพระเจ้าสักรทัตที่ ๒ จากนี้ก็มีกษัตริย์ครองเมืองหงสาวดีสืบมา ๑๕ พระองค์ มีปีเสวยราชย์แน่นอนทุกองค์ มาถึงองค์ที่ ๑๗ ทรงพระนามว่า พระเจ้าดิศราชา หรือ ติสสะ ได้ทรงราชย์เมื่อ พ.ศ.๑๓๐๔ ครองราชย์อยู่ ๒๐ ปีสวรรคต ไม่มีโอรสสืบราชสมบัติ  ตามพงศาวดารเมืองหงสาวดีว่า จากนี้ไปเป็นอันสิ้นวงศ์กษัตริย์มอญ เมืองหงสาวดีร้างไป จะมีใครได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกหรือไม่ ไม่ปรากฏ   ล่วงมาอีก ๒๗๐ ปีก็ถึงสมัยพระเจ้าอนุรุธกษัตริย์พม่ามาตี ได้เมืองสะเทิมตามที่เล่ามาแล้ว  เมืองหงสาวดีก็คงจะต้องตกเป็นของพระเจ้าอนุรุธด้วย หมดสมัยเมืองพะโคหรือหงสาวดีดึกดำบรรพ์นี้แล้ว ก็มาถึงสมัยที่ไทยเรารู้จักกันดีคือ “ราชาธิราช”


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/34069223039679_222_Copy_.jpg)
เจ้าเมืองพะโครับทูต (คริสต์ศตวรรษที่ ๑๗)