[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => กระบวนการ NEW AGE => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 13 มิถุนายน 2553 15:38:33



หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ตะวันตกกับวัตถุนิยมโลกพัง-แผนของจักรวาล?
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 13 มิถุนายน 2553 15:38:33
(http://www.boisecoop.com/wp-content/uploads/2009/10/revenge_of_gaia.jpg)
 
 
โลกนี้เหมือนความฝันอย่างแท้จริง   อะไรๆ  เท่าที่เรารู้เราเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นเลยล้วนแล้วแต่เป็นเช่นหมอกควันหรือเป็นเช่นความฝันที่ไม่มีส่วนของความจริงแม้แต่น้อย  นั่นคือความจริงแท้ๆ  ที่ละเอียดสุดละเอียดเหนือควอนตัมที่นักฟิสิกส์ส่วนที่ไม่น้อยคิดและเชื่อ  แต่นักวิทยาศาสตร์กายวัตถุนิยมไม่เชื่อ  ไม่อ่าน  ไม่ติดตามงานวิจัยจึงไม่รู้  แถมหรือจ้างให้เราที่เป็นคนทั่วๆ  ไปก็ไม่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกในจักรวาล   (แห่งนี้)  ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมติหรือสมุตติสัจจะ  นักวิทยาศาสตร์ในระยะแรกที่ค้นพบควอนตัมฟิสิกส์ใหม่  รวมทั้งไอน์สไตน์เองยังไม่เชื่อและพูดว่า  "พระเจ้าไม่เล่นการพนันหรอก"  (God  does  not  play  dices)  คนเราเกิดมาสืบเนื่องเปลี่ยนแปลง   แล้วก็ตายไป  ต่างเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น  ซึ่งศาสนาพุทธหรือศาสนาที่ได้มาจากลัทธิพระเวทว่าไว้เหมือนๆ  กัน  หรือแม้แต่ศาสนาใหญ่ๆ  อื่นๆ  ที่กล่าวคล้ายๆ  กัน   หรือแม้ในปัจจุบันวันนี้เราจะมีวิทยาศาสตร์ใหม่แล้ว  มีแต่สัมพัทธภาพกัน  มีควอนตัมเม็คคานิกส์แล้ว  เราที่เป็นคนส่วนใหญ่มากๆ  ก็ยังไม่เชื่อกัน  เพราะว่ามันยากยิ่งจะเชื่อ  เนื่องจากมันขัดกับสามัญสำนึกและขัดกับความเคยชินของเราไปไกลเหลือเกิน   เรายังไปดูหนัง  ดูละคร ดูมหรสพกัน   เราจึงแยกไม่ออกว่าหนังละครที่ว่า  จริงหรือไม่จริง  นั่นเพราะอะไร?  เราไม่เคยฉุกคิดว่า   แท้จริงแล้วสามัญสำนึกก็ดี   ความเคยชินก็ดี  เราได้มาและเชื่อมาอย่างไร?  เราคิดว่ามนุษยชาติใหญ่ที่สุดในโลก  เพราะแม้แต่ช้างหรือปลาวาฬก็ยังแพ้มนุษย์จนเราฆ่ามันจนเกือบเกลี้ยง   เราใหญ่เพราะเราชนะเขาทั้งโลก  รวมทั้งตัวโลกเอง  จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล   แม้เราจะคิดว่ามันคงจะสิ้นสุด  แต่มันก็ใหญ่  แถมพองตัว  (inflation)  ออกไปเรื่อยๆ   เพราะพลังงานมืดอย่างแทบไม่มีที่สิ้นสุดจนเราไม่มีทางรู้จักมันได้   ได้แต่คิดคำนึงจินตนาการกระทั่งระบบสุริยะทั้งหมดทั้งสิ้นเอง   หากเรานำมาเปรียบเทียบกันดูก็จะพบว่าระบบสุริยะจะมีขนาดเท่ากับจุดเล็กๆ  จุดหนึ่งของโลกเท่านั้น  จักรวาลที่ใหญ่ไพศาลนั้น - เต็มไปด้วยนพลังงานหรือพลังมืด  (ส่วนใหญ่)  กับสสารมืด  (ส่วนน้อย)  โดยมีสสารวัตถุที่เรามองเห็นและรู้จัก  เช่น  กาแล็กซี  ดาว  และเนบูลา  (ส่วนน้อยนิดไม่ถึง  4%) - เทียบกับโลกเราทั้งหมดหรือใหญ่กว่าโลกก็ได้   นั่นคือจักรวาลวิทยาศาสตร์ใหม่ที่เรารู้ในปัจจุบัน  ที่สำคัญสำหรับบทความของวันนี้ก็คือ  ความเป็นตะวันตกหรือตะวันออกที่ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์บ่งบอก  ก็เป็นเช่นสมุตติสัจจะทั้งหลาย  เราเรียกตะวันตกหรือตะวันออกก็เพราะเราดูและมองเห็นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า   และจะขึ้นคนละทางกันเป็นตรงกันข้าม  ดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกเสมอ   แต่นั่นสัมพันธ์กับคนที่มองหรือสังเกตว่ายืนอยู่ที่ตรงไหน?  ในขณะที่ดวงอาทิตย์กับโลกต่างเป็นลูกทรงกลมที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ  ต่างก็ไม่รู้เหนือ  ใต้  ตะวันออก  ตะวันตก  เพราะมันไม่มีจิตรู้หรือสมอง

     ในปัจจุบันนี้ประชาชนทั่วไปในบ้านเราที่เป็นคนส่วนใหญ่มากๆ   ของประเทศ  รวมทั้งคนส่วนมากของประเทศด้อยพัฒนา   กำลังพัฒนาและประเทศที่เพิ่งพัฒนาใหม่ๆ  ในเร็วๆ  นี้  แม้แต่นักวิชาการหรือนักวิทยาศาสตร์เองจำนวนมาก  - ที่ต้องแยกจากคนในประเทศตะวันตก  เช่น   ยุโรปส่วนใหญ่หรือสหรัฐอเมริกา   ซึ่งได้พัฒนาอุตสาหกรรมมาเป็นเวลาช้านานนับเป็นร้อยๆ   ปีแล้ว - มักจะเป็นนักวัตถุนิยมกายภาพ  หรือแมตทีเรียลลิสต์  (materialist)  คือเชื่อในเรื่องของรูปธรรมที่แยกส่วน  เชื่อแต่สิ่งที่อวัยวะสัมผัสบอก  นั่นคือ  สิ่งที่ตามองเห็น  หรือหูได้ยินที่ตั้งอยู่ข้างนอกนั่น   นอกจากนั้นคนส่วนใหญ่มากๆ  ที่ว่านั้น  ยังเชื่อในหลักการแยกส่วนต่างๆ   ตามที่ตามองเห็น  หรือหูได้ยินนั้นๆ  ให้แปลกและแยกออกจากกัน  และแล้วต่างก็ทำงานของมันไปดุจหุ่นยนต์นาฬิกาเครื่องจักรกล   นั่นไม่ได้กล่าวโทษกัน  เพราะวิทยาศาสตร์แบบที่ว่านั้นมีมานานร่วม   500   ปี  หากนับตั้งแต่ที่เรารู้จักการเคลื่อนที่ของระบบสุริยะ  และดาวเคราะห์ต่างๆ   ที่โคเปอร์นิกัสและเคปเลอร์บอกเรา  ซึ่งต่อมานิวตัน   กาลิเลโอพิสูจน์ได้เบ็ดเสร็จทางคณิตศาสตร์   รูปสิ่งไม่มีชีวิตก็เช่นนั้น  ชีวิตกับสังคมก็เช่นนั้น  ทั้งหมดทั้งสิ้นที่พูดมานั้นเรียกว่าวิทยาศาสตร์   ซึ่งก็คือความก้าวหน้าศิวิไลซ์ - ที่มีในประเทศทางตะวันตกก่อนที่จะแพร่ทางตะวันออกนานนัก   ซึ่งวิวัฒนาการของมนุษยชาติของโลกของจักรวาลเป็นมาเช่นนั้นราวกับว่ามันมีแผนการ  (design)  ของจักรวาลให้เป็นเช่นนั้น  เป็นตะวันออกที่จีนกับอินเดีย  เป็นตะวันตกที่เมดิเตอร์เรเนียนกับกรีซ   พูดง่ายๆ  คือ  ความรู้ที่ว่านั้นทีแรกไม่ใช่ของประเทศไทยเรา   หรือเป็นของตะวันออกเรา  แต่เป็นของฝรั่งเขา  เป็นของตะวันตกเขา  การเป็นตะวันออกและตะวันตกนั้นเกิดจากหลักการแยกส่วนหรือที่ตามองเห็น  อันเป็นปรัชญาของกรีซและของตะวันตก  ปรัชญาที่เชื่อว่าอะไรก็ตามที่ตาของมนุษย์มองเห็น   หูได้ยินหรือที่อวัยวะประสาทสัมผัสรับรู้บอกแก่มนุษย์เรานั้น  ถูกต้อง  เหมาะสม  และเป็นความจริงที่แท้จริง  100  เปอร์เซ็นต์เต็ม  ซึ่งแตกต่างกันที่ปรัชญาตะวันออกบอกเรา  และเราเคยเชื่อมานานเป็นตรงกันข้าม  แต่ในตอนนั้น   เรา - ที่เป็นชาวตะวันออกกลับไปมองเห็นว่าฝรั่งดีกว่าเรา  จึงพร้อมใจกันโยนทิ้งของเก่าของเราที่เชื่อมานาน   เห็นปรัชญาของกรีซของฝรั่งตะวันตกดีและงาม  เห็นว่าฝรั่งทั้งฉลาดและเก่งกว่า  เราที่อยากดีอยากงามทั้งยังอยากฉลาดอยากเก่ง  จึงพร้อมใจกันเอาอย่างฝรั่งเขาบ้าง  ความดีความงามและความฉลาดความเก่งถูกเราคิดว่าเป็นอารยธรรมความเจริญศิวิไลซ์เยี่ยงฝรั่ง   ซึ่งเป็นเป้าหมายของประเทศชาติ  หรือของสังคมตะวันออกทุกๆ  สังคมตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

     วิทยาศาสตร์นั้นคลี่ขยายวิวัฒนาการเช่นความรู้อื่นๆ  คือ  จากน้อยและเรียบง่ายไปสู่ความมากและซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  ตามลูกศรแห่งเวลา  (arrow  of  time)  ก่อนหน้านั้น  มนุษย์ที่ชอบคิดคำนึงจินตนาการล้วนแล้วแต่เป็นนักปรัชญาที่พยายามจะอธิบายธรรมชาติที่อยู่รอบตัวและในตัว  คือ  ทั้งภายนอกและภายใน  ทำให้เกิดมีความแตกต่างกันของนักคิดนักปรัชญาระหว่างตะวันตกกับตะวันออก  นักคิดนักปรัชญาตะวันตกจะสนใจเฉพาะสิ่งที่ตั้งอยู่ภายนอก  คือ  สิ่งที่ตามองเห็น  หูได้ยิน  หรือรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง  5  เป็นส่วนใหญ่  กับสิ่งที่ประสาทสัมผัสภายในตัวอีกหนึ่งที่ได้จากการรับรู้จากจิตรู้หรือจิตสำนึกประกอบเป็นความคิดจากการระลึกความจำจากภายใน  และคิดว่าทั้งหมดเป็นความจริงที่มีหนึ่งเดียวเท่านั้น  (monism)  นักคิดนักปรัชญาเหล่านี้จึงกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์   และนักจิตวิทยากับนักการศึกษา  ส่วนนักคิดนักปรัชญาของตะวันตกที่สนใจเรื่องของจิตรู้หรือความคิดจิตสำนึกบ้าง   ก็กลายเป็นนักเทววิทยาและนักศาสนาที่มีความเชื่อศรัทธาแทบจะเป็นประการเดียว  แต่นักคิดนักปรัชญาทางตะวันออกผิดจากนั้นเป็นตรงกันข้าม  ชาวตะวันออกจะถูกสอนว่าสิ่งที่ตามองเห็น   หูได้ยิน  หรือสิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรู้บอกเรานั้น   ไม่ใช่ความจริงที่แท้จริง  เป็นเพียงมายาหรือภาพลวงตาจากความเป็นทวิลักษณ์  หรือความเป็นสอง  (dualism)  แต่ความจริงที่แท้จริงซึ่งอยู่ล้ำลึกยิ่งกว่านั้น  ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อธรรมดาๆ   ได้ยินด้วยหูธรรมดาๆ  หรือรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสภายนอก   หรือแม้แต่ภายในเป็นความคิดจิตรู้  หรือความคิดจิตสำนึก  ซึ่งก็คือมโนทัศน์  (concept)  เพราะตามองไม่เห็น   หูไม่ได้ยิน  รับรู้ด้วยประสาทสัมผัส  "รู้"  ด้วยจิตตื่นรู้อันเป็นความคิดต่างๆ  ดังนั้นบางทีและบางคนจึงใช้การรับรู้ด้วยกระบวนการภายในที่ไม่ต้องใช้ประสาทสัมผัสรับประสบการณ์ตรง   นั่นคือการติดต่อทางจิตไร้สำนึก - ระหว่างปัจเจกบุคคลกับจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาล  หรือการติดต่อระหว่างจิตกับจิต - ซึ่งมนุษย์เราส่วนใหญ่มากไม่รู้กัน  โดยเฉพาะชาวตะวันตกที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้   แต่ปัจจุบันมีหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์แท้ๆ  ได้พิสูจน์ - โดยการวิจัยที่ยาวนานกว่า   30  ปี  (Dean  Radin  :  The  Conscious  Universe, 1997  ;  The  Entangled  Mind, 2007)  อย่างสิ้นข้อสงสัยกังขา  ซึ่งมีวิธีปฏิบัติด้วยวิธีปฏิบัติสมาธิต่างๆ  ตามศาสนาทุกศาสนาที่อุบัติขึ้นมาทางตะวันออกตั้งแต่กว่า  3,000  ปีมาแล้ว   ตะวันออกจึงแตกต่างจากตะวันตกเหมือนเป็นการมีแบบ  (design)  ให้เป็นตรงกันข้ามกัน  - คือต่างกันระหว่างภายในหรือจิตไร้สำนึกที่มองไม่เห็น  ซึ่งรวมทั้งการใช้อุปกรณ์ช่วยในการมองเห็นนั้น  กับภายนอกหรือกายวัตถุและจิตสำนึกที่มองเห็นหรือจำและระลึกได้  ซึ่งควอนตัมฟิสิกส์พิสูจน์ได้ทั้งหมด   ทั้งทางคณิตศาสตร์และภายในห้องทดลองและทำซ้ำได้  แถมยังแม่นยำกว่าคลาสสิคัลฟิสิกส์ที่เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพเก่าของนิวตันเป็นร้อยเป็นพันเท่า

     การเชื่อแต่รูปธรรมกายวัตถุหรือภายนอกเท่านั้นว่าเป็นความจริง   การเชื่อแต่วิทยาศาสตร์กายภาพเก่าๆ  และเทคโนโลยีที่หยาบกระด้าง  แม้จะมีส่วนจริงตามที่ตามองเห็น  หรือหูได้ยิน   ซึ่งเป็นสภาวะของสัตว์โลกธรรมดาๆ  ซึ่งการเชื่อวิทยาศาสตร์เก่าๆ  และเทคโนโลยีแบบที่ว่า - ที่ยาวนานหลายร้อยปีย่อมจะสร้างจิตรู้หรือจิตสำนึกใหม่ให้เปลี่ยนไป  - เป็นความเคยชินใหม่  เป็นสามัญสำนึกใหม่ที่ด้านชาต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ  ที่ต่ำกว่า  หรือน้อยกว่าความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจอย่างสุดแสนสาหัส  มนุษยชาติทั้งผองจะต้องลิ้มรสทุกๆ  ความเจ็บปวดที่จะต้องเกิดขึ้นกับโลกเราภายในระยะใกล้ๆ   นี้อย่างแน่นอน  เป็นไปได้ที่จะเกิดภายในปลายปี   2012  และต้นปี  2013  นี้  ดังที่ศาสนาเกือบทุกศาสนา  และแม้ทางวิทยาศาสตร์ก็บอกไว้คล้ายๆ   กันว่าภาวะโลกร้อน  "ประดุจนรก"  นั้นจะเกิดขึ้นและต้องเกิดขึ้นอย่างไร้ทางหลีกหนีใดๆ   ไม่ว่าเราจะป้องกันอย่างไร?   หรือหาพลังงานทดแทน  ปลูกป่าหาคาร์บอนมาทดแทนทันหรือไม่?   สภาพโลกที่ว่ามันก็ต้องเกิด  เพราะว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศจะสลายไปทั้งหมดก็ต้องใช้เวลานานนับเป็นพันๆ   ปี  โลกและมนุษยชาติจะพากันย่อยยับจากภาวะโลกร้อน  ซึ่งจะร้อน  "ประดุจนรก"  ราวๆ  ปี  2020-2040  ซึ่งก่อนหน้านั้นนานนัก  (James  Lovelock  :  Revenge  of  Gaia,  2007)  ที่น่าแปลกคือ  เจมส์  ลัฟล็อก  กล่าวว่า  มนุษยชาติโดยเผ่าพันธุ์ที่เหลือน้อยเต็มทีจะมีอยู่แถบขั้วโลกเท่านั้น  ที่แปลกก็คือ   หนังสือของชาร์ลส์  แฮปกูด  (ที่อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  เขียนคำนำก่อนตายไปกว่า   1  ปี - อ้างแล้ว)  บอกว่าแผ่นเปลือกโลก  หรือขั้วโลกเหนือได้เริ่มย้ายมาหากรีนแลนด์ตั้งแต่ที่มีการวัดกันทีแรกในปี  1900  ต่อมาถึงปี  1968  มันย้ายเพียง  20  เมตร  และตั้งแต่นั้นมาขั้วโลกเหนือจะย้ายที่อยู่เรื่อยๆ   ปีหนึ่งๆ  ประมาณ  10  เซนต่อปี  และย้ายมากขึ้นเรื่อยๆ  จนขณะนี้ย้ายทุกวันไปทางกรีนแลนด์  อีกหน่อยก็ถึงไซบีเรีย  จีนและไทยเรา  ดังที่บริการการเคลื่อนที่ของขั้วโลกเหนือนานาชาติ  (IMPS)  บอกที่อธิบายการอ่อนไหวของเปลือกโลก  อธิบายแผ่นดินไหว  ภูเขาไฟระเบิดที่มีบ่อยและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

     จากที่ได้อ่าน  ได้คิดและเขียนมา  กับจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้มาและสะสมมากขึ้นตามวัยด้วยลูกศรของเวลา  ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะคิดย้อนกลับไปเมื่อยังเป็นเด็กที่เล็กมากๆ  และแม่บอกว่าที่เรามองเห็นหรือความจริงที่ประสบอยู่ทุกวันในชีวิตนั้นไม่ใช่ความจริงที่แท้จริง   เป็นแต่ภาพลวงตา   เป็นมายา  แม่บอกว่าความจริงที่แท้จริงนั้นมี  แต่ต้องหา  คนเราเกิดมาต้องหาความจริงแท้สำหรับตัวเองกันทั้งนั้น  แต่ถ้าเราไปติดกับดักของสังคมตามที่ตาเห็น  เราติดกับของละคร  ติดกับความแปลกแยก  คนคนนั้นก็ต้องอยู่กับสังคมที่แปลกแยกไปเรื่อยๆ  จนเคยชินเป็นสันดาน  ตะวันออก-ตะวันตกมาแต่นั้น  ระบบทุกๆ  ระบบของสังคมมาจากนั้น  หรือการมีตะวันตก  มีวิทยาศาสตร์กายภาพ  มีทฤษฎีควอนตัมที่บอกว่าตะวันออก - ถูกแต่โลกพังไปแล้ว  นั่นเป็นแผนของจักรวาลรึ?.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/201209/15247 (http://www.thaipost.net/sunday/201209/15247)