[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => กระบวนการ NEW AGE => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 13 มิถุนายน 2553 15:39:49



หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : มันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 13 มิถุนายน 2553 15:39:49
(http://www.saburchill.com/facts/images/230907042.jpg)
 
 
ความแน่นอนกับความไม่แน่นอนนั้น  หากมันยังไม่ได้เคลื่อนไปสู่จุดที่สุดของมันจริง  มันก็มีความหมายไม่แตกต่างกัน  เพราะฉะนั้น  เรื่องของบทความวันนี้จึงตีกันเผื่อเหนียว  ที่พูดว่ามันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้นั้น  หมายถึง  ค.ศ.2012  ที่ผู้เขียนได้ย้ำถึงความเป็นไปได้ของสภาพการณ์สองอย่างสองประการ  อันสำคัญยิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นกับโลกและกับสังคมของมนุษย์ทั่วทั้งโลกเลย  โดยจะไม่มีประชาชนคนใดหรือชุมชนสถานที่ไหนได้รับการยกเว้น  แต่ไม่ใช่โลกแตกอย่างแน่นอน  อาจจะพังไปบางส่วนโดยเฉพาะไบโอสเฟียร์  (biosphere)  จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สุดจะยิ่งใหญ่ที่ดาวเคราะห์โลก   อย่าว่าแต่ไม่เคยเห็น  แต่ทว่าแม้แต่ฝันถึงก็ไม่เคยฝันมาก่อน  อย่างที่เนชันแนลจีโอกราฟิกแมกกาซีน  ฉบับเดือนธันวาคม  2009  นำโฆษณาของไอบีเอ็มมาลง  "สนทนากับดาวเคราะห์โลกผู้ทรงปัญญา"  ว่าต่อไปนี้  "คือบัญชาที่สั่งให้  (ใครสั่ง?  สวรรค์รึ?)  ดาวเคราะห์โลกจะต้องเปลี่ยนแปลง  ซึ่งก็คือบัญชาที่สั่งให้ดาวเคราะห์โลกจะต้องมีปัญญา"  นั่นคือ  บัญชาที่ทำให้ดาวเคราะห์โลกหรือมนุษยชาติ  จำต้องเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนทั้งสองด้าน  คือโลกกายกับจิตมนุษย์  อย่างหนึ่งไม่ดีกับอย่างหนึ่งดี  กายอาจไม่ดี  แต่จิตอาจจะเรียกว่าดีก็ได้  นั่นคือสภาวะล่มสลายทางโลกแห่งรูปกายภาพ  กับการวิวัฒนาการของจิตมนุษย์สู่จิตวิญญาณ  (หรือ  noosphere)  แต่มันก็เป็นเรื่องของดุลยภาพที่เป็นธรรมชาติอย่างปกติ  ซึ่งจะเกิดขึ้น-ในมาตรของโลก-อาจเรียกว่าทันทีทันใดก็ได้  ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าสภาพการณ์ทั้งสองอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ  ก็ได้  นั่น-เพราะว่ามีเหตุผลพร้อมมูลทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์  อย่าลืมว่าในทางปฐพีวิทยานั้น  มนุษยชาติมีความสุขกายสบายใจมานานนักหนา  เพราะว่าเราอยู่ในยุคแห่งอินเตอร์เกลเชียลพีเรียด  เรามีความสนุกสบายกับกายวัตถุนิยมกับความรู้ผิดๆ  ที่คิดว่าถูกคิดว่าจริง  อยู่กับระบบทุกๆ  ระบบที่ได้มาจากความรู้ผิดๆ  นั้น  ไม่ว่าระบบนั้นจะเป็นระบบของสังคม  ระบบการเมือง  ระบบเศรษฐกิจ  ระบบการศึกษา  กระทั่งระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน  ที่มีเงินและบริษัทยาเป็นนายและประชาชนทั้งโลกเป็นทาส

     ผู้เขียนได้พูดได้เขียนเรื่องของปี  2012  มานานร่วม  10  ปีแล้ว  และที่เขียนเพราะมีเหตุผลที่เป็นความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์  ทั้งทางศาสนา  ทั้งหมดไม่ใช่ว่ามีเจตนามองโลกในแง่ร้าย  เพราะว่าจริงๆ  แล้วการที่มองโลกด้านหนึ่งด้านใดโดดๆ  เพียงด้านเดียวนั้นไม่มี  มันจะมีสองด้านเสมอ  เป็นดีกับชั่ว  เป็นซ้ายหรือเป็นขวา  เป็นข้างบนหรือล่าง  เป็นหน้าหรือหลัง  สองขั้วสุดโต่งเสมอไป  ดุลยภาพหรือมัชฌิมาปฏิปทาคือชีวิต  ฉะนั้นเอง  ความทุกข์ทรมานไม่ชอบใจกับความสุขความพอใจ-ในความเห็นส่วนตัว-เป็นเรื่องที่มีผ้าคลุมบางๆ  กั้นขวางไว้เท่านั้นเอง  ทำไมชีวิตถึงจะต้องสนุกอย่างเดียว?  ประเด็นคือ  มันมีเหตุผลที่เป็นภาพรวมของชีวิตและมนุษยชาติจริงๆ  คิดดูให้ดีๆ  ที่ผู้เขียนจำเรื่อง  2012  ได้แม่น  ส่วนหนึ่งเพราะเป็นผู้เขียนเองที่แปลวิทยานิพนธ์ของซูซาน  แคนนอน  ตอนที่เธอทำปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย  และหนังสือพิมพ์  ครับ-อนาคตที่เป็นบวก  (Yes! The  Positive  Future,  2000)  เอาธีสิสของเธอ  (ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม)  มาลง  วิทยานิพนธ์ของเธอได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมและอารยธรรมโลก  "สมัยใหม่"  ที่จะเกิดขึ้นและจำต้องเกิดขึ้นในศตวรรษที่  21  นี้  ในรูปแบบหนึ่งรูปแบบใดในสี่รูปแบบ  ซึ่งเธอได้เสนอไว้ในวิทยานิพนธ์ของเธอนั้น  ซึ่งสังคมอารยธรรมที่เรามีเราใช้กันอยู่มาช้านาน  จนถึงในขณะนี้นั้นมันจะจบสิ้นลง-ขึ้นกับสถานภาพของชุมชน  สังคมของประเทศที่จะลุกลามไปทั่วทั้งโลก  กับสภาพการณ์ของระบบยุติธรรมและจิตสำนึกโดยรวมของประชาชน  (law  and  level  of  mind)  ในขณะนั้นๆ  ซึ่งในทั้งสี่รูปแบของสังคมหรือประเทศต่างๆ  ที่จะค่อยๆ  ลุกลามไปทั่วโลก  ถ้าว่ากันจริงๆ  แล้วซูซาน  แคนนอน  ดูจะเขียนไปในทำนองว่า  น่าจะเป็นรูปแบบของสังคม  อนารยธรรมและความป่าเถื่อน  (anarchy)  มากกว่ารูปแบบใด  ทั้งนี้ก็เพราะว่าซูซาน  แคนนอน  คงจะเอาจิตใจของคนในสังคมขณะนี้  กับสภาพของระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลและของประชาชนในเมือง-นครใหญ่ๆ  ของประเทศตะวันตก  เช่น  อเมริกา  หรือยุโรปเป็นบันทัดฐาน  (รัฐบาลก็ไม่มีคนอยากเป็น  เพราะไม่มีเกียรติและต้องรับผิดชอบสูง  แถมไม่มีเงินเพราะเอาเงินไปช่วยประชาชนที่เดือดร้อนจากภัยธรรมชาติหมด)  ในธีสิสของซูซาน  แคนนอน  นั่นเองที่ผู้เขียนได้ความคิดเรื่องปี  2012  ของพวกนิวเอจ  ที่ประชากรจำนวนไม่น้อยกวาหนึ่งในสามของโลกเชื่อ  (the crash  of  2012!)

     นั่น-เสริมเติมคำทำนายของศาสนาทุกศาสนา  กับความคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าโลกจะร้อน  "ดุจนรก"  หรือน้ำท่วมโลก  หรือยุคน้ำแข็งใหม่  หรือการย้ายขั้วโลก  อุกกาบาตและอื่นๆ  ที่ผู้เขียนค้นหามาเขียนเล่าว่า  ทั้งหมดอาจจะเกิดขึ้นได้ในเร็วๆ  วันนี้  หรือวันที่  21  December  2012  เมื่อดวงอาทิตย์โคจรมาตรงกับจุดศูน์กลางของกาแล็กซี  (Jose  Arguelles:  Galactic  Research  Institute,  www.lawoftime.org (http://"http://www.lawoftime.org");  and  Major  Jenkins:  Galactic  Alignment,  According  to  Mayans,  Egyptians,  Vedas  Tradition,  2006)  โดย  ดร.โฮเซ  อาร์กีเลส  กล่าวว่า  "วันที่   21  เดือนธันวาคม  ค.ศ.2012  คือวันที่ดวงอาทิตย์ของเราจะเคลื่อนมาทับกับจุดศูนย์กลางของกาแล็กซีของเราพอดี  (ระบบสุริยะจะโคจรไปรอบๆ  จุดศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกได้ครบหนึ่งรอบ  โดยใช้เวลา  250  ล้านปี)  ซึ่งวันนั้นคือวันสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของจักรวาลจากกายมาสู่จิต  (โลกได้ผ่านวิวัฒนาการของ  physicoshere-biosphere  มาแล้ว  ต่อไปนี้จะเป็นเวลาของ  biosphere-nosphere  transition-ตามที่  เตยา เดอ  ชาดัง  ศรีอรพินโธ  และวลาดิเมีย  เวอนาดสกี  มองเห็นในสมาธิ  ต่างกรรมต่างวาระกัน)-สำหรับประชาชนส่วนที่รอดพ้นธรณีประตู  (ของความตายและความล่มสลายระดับโลกมาได้)"  นัน-โฮเซ  อะกีเลส  บอกว่าโลกไม่ได้แตก  แต่หากเป็นการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของโลกของจักรวาล  จากสิ่งไม่มีชีวิต  (physicosphere)  มาเป็นวิวัฒนาการของชีววิทยา  หรือสิ่งมีชีวิตในอดีต  (biosphere)  ซึ่งโฮเซ  อะกีเลส  ได้บอกว่าวิวัฒนาการทางชีววิทยาได้ก้าวมาถึงจุดจบแล้ว-และโฮเซ  อะกีเลส  ก็กล่าวว่า  "ความสำเร็จของเทคโนโลยี  (ที่โฮเซ  อะกีเลส  เรียกว่า  technosphere  อันเป็นส่วนของ  biosphere-ที่ข้อมูล  (information)  ซึ่งข้อมูลนั้นก็คือความหมาย  (meaning)  ที่จะต้องแปลด้วยจิตรู้หรือจิตสำนึกซึ่งได้เปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการสู่จิตวิญญาณ  (spirituality)  ตามเสปกตรัมของจิตไปเรียบร้อยแล้ว  (spectrum  of  consciousness)  ถึงจะแปลความหมายได้ถูกต้องตามเจตนาของจักรวาล  เพราะฉะนั้นปี  2013  เป็นต้นไป  จะเป็นปีที่จะมีวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณหรือธรรมจิต  (spirituality  คือการเริ่มต้นของ  noosphere) ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิวัฒนาการของโลกแห่งชีวิต  ซึ่งมีจิตของมนุษยชาติเป็นจุดหมายปลายทางนั่นเอง  (physicosphere-biosphere-noosphere)  ถามว่ารู้ได้อย่างว่าจิตมนุษย์คือจุดหมายปลายทางของวิวัฒนาการของจักรวาล   หรือถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าวิวัฒนาการมีแค่สาม  spheres  เท่านั้นเองหรือ?  แล้วโลกพัง  และประชาชนจำนวนมากยิ่งกว่ามากที่ตายด้วยภัยธรรมชาติหลากหลายที่ว่านั่น  มันเกี่ยวข้องกับจักรวาลอย่างไร?  คำตอบที่ถามทั้งหมดนั้นได้อธิบายไว้แล้วในพารากราฟนี้  กรุณาอ่านซ้ำๆ  หลายๆ  หน  เพราะว่าอาจจะเป็นที่ผู้เขียนเองเขียนไม่กระจ่างพอก็ได้ 

     ไล่มาตั้งแต่โลกได้มีชีวิตเกิดขึ้นมา  จนกระทั่งมีมนุษยชาติเมื่อประมาณสองแสนปีที่แล้ว  มนุษยชาติในภาพรวมเพิ่งจะย่างเท้าเข้าสูวัยรุ่น  ไม่เคยทำอะไรถูกต้องธรรมชาติเลย  หากว่าสิ่งที่ผู้เขียนคิด  วิเคราะห์  เชื่อมั่น  ตามที่ได้เขียนเล่ามาในบทความต่างๆ  ซึ่งผู้เขียนได้มาจาก-น้อยหรือมาก-ศาสดา  ปราชญ์  นักวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงมาทั้งหมด  ล้วนแสดงภาพใหญ่และภาพรวมของวิวัฒนาการ  (ของจักรวาล  ของโลกมนุษยชาติกับสังคม)  อย่างน่าสนใจยิ่ง  คือแสดงภาพลักษณ์ที่สอดคล้องต้องกันกับการวิวัฒนาการ  และการเจริญเติบโตของเด็กหรือมนุษย์แต่ละคนเป็นปัจเจกอย่างใดก็อย่างนั้น  (ดูญอง  เปียเจต์  และโจเซฟ  ซี. เพียร์ซ  ด้วย)  ในความเห็นของผู้เขียน  มนุษยชาติยังเป็นเด็กที่เพิ่งย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น  ความรู้เรื่องของโลกรอบๆ  ตัวและตัวตนของตัวเอง  ส่วนใหญ่ที่ได้มาจากประสบการณ์ตรงตั้งแต่ครบ  3  ขวบบริบูรณ์มาในช่วงการเจริญเติบโตระหว่างนั้น  ทำให้ตัวเองมั่นใจว่า  ตนเองได้เรียนรู้โลกรอบๆ  ตัวที่สำคัญต่อ  "การอยู่รอด"  กับเรียนรู้ตัวตนของตัวเองได้ทั้งหมดแลัว  เพราะไม่รู้ว่าที่ตัวเองคิดอย่างมั่นใจว่า  ที่คิดนั้นเป็นแต่เพียงได้เรียนรู้เฉพาะที่สำคัญๆ  ของหนึ่งการเรียนรู้  ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดถึงสามการเรียนรู้-รู้รอด  รู้เพื่อรู้  (intellectual  การเข้าโรงเรียน)  และรู้แจ้ง-ดังนั้นเด็กวัยรุ่น  (ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้วยฮอร์โมนเพศ)  จึงทะนงตน  "ข้าใหญ่"  ไปตามเพศนั้นๆ  นั่นคือธรรมชาติของวิวัฒนาการ  ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจะต้องเป็นไปตามนั้น

     ฉันใดฉันนั้น  มนุษยชาติโดยเผ่าพันธุ์ก็ต้องเป็นเช่นนั้น  ตามที่  ปิแอร์  เดอ  ชาดัง  ศรีอรพินโธ  วลาดิเมีย  เวอนาดสกี  และนักจิตวิทยาแทบจะทุกคนรวมทั้ง  เคน  วิลเบอร์  (spectrum  of  consciousness)  จะมองเรื่องของวิวัฒนาการไม่ว่าของสิ่งใด  มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต  รวมทั้งจักรวาลกับโลก  หรือมนุษยชาติกับสังคมของมนุษย์ล้วนคิดไปทำนองนั้น  นั่นคือ  physicosphere-biosphere-noosphere  ที่กล่าวมาข้างต้น  ซึ่งก็คือหัวใจของอิทัปปัจจยตา  การคลี่ขยายเป็นวัฏจักรอันไม่มีที่สิ้นสุดที่วิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบ  (non-linear  dynamicity)

     เพราะฉะนั้น  ผู้เขียนจึงคิดว่าครั้งนี้  "มันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้"  มัน-ในที่นี้คือสองอย่างสองประการที่ได้อ้างถึง-ความล่มสลายบางส่วนที่อาจเป็นส่วนใหญ่ของโลกแห่งรูปกาย  กับการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ  (biosphere  to  noosphere)-ซึ่งหมายความว่าต่อไปนี้มนุษยชาติและสังคมของมนุษย์  โดยรวมจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสุดใหญ่หลวง  จนเราไม่อาจมองเห็นหรือคาดเดาอย่างไรได้แม้แต่น้อย  เพราะว่ามันไม่เคยมีมาก่อน  ประเทศไทยจะไม่มีหรือมีน้อยในปัญหาและวิกฤติต่างๆ  การขัดแย้งแตกแยก  ปัญหาแยกดินแดน  ปัญหาข้าราชการกับนักการเมืองคอรัปชั่น  กระทั่งปัญหาเศรษฐกิจ  การศึกษา  ยาเสพติด  ฯลฯ  จะน้อยลงๆ   ครั้งแรกที่  physicosphere  เปลี่ยนเป็น  biosphere  หรือวงจรแห่งชีวิตนั้นเกิดขึ้นเมื่อร่วม  3,500-4,000  ล้านปีมาแล้ว  และโลกก็ไม่แตกด้วย  ในทางวิทยาศาสตร์คาดกันว่า  มีการเคลื่อนย้ายของแผ่นเปลือกโลกขนานใหญ่   มีดาวหางอุกกาบาตวิ่งมาชนโลก  มีการย้ายขั้วโลกหรือบางส่วนมาแล้ว-เฉกเช่นครั้งนี้-ทั้งนั้น

     ทั้งหมดจึงมากกว่าเป็นไปได้  อย่าลืมว่าการอธิบายปฏิทินของชาวมายา  โฮปี  อียิปต์และฮินดูโบราณนั้น  ล้วนเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ที่บุคคลเขียนขึ้นมากนัก  ความล่มสลายโลกในครั้งนี้  หากจริงคงจะได้พิสูจน์เสียทีว่า  ระหว่างบังเอิญและกายวัตถุนิยม  กับจิตและจิตวิญญาณนั้น  อันไหนคือความจริงแท้กว่ากัน.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/271209/15580 (http://www.thaipost.net/sunday/271209/15580)