[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: I WILL BE BACK ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555 02:30:48



หัวข้อ: เจาะลึกเรื่องนิพพาน เมืองพระนิพพาน พุทธภูมิ พุทธเกษตร
เริ่มหัวข้อโดย: I WILL BE BACK ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555 02:30:48
อธิบายดินแดนนิพพานอย่างละเอียดสุดๆ


ในทางพุทธศาสนา จุดมุ่งหมายสูงสุดคือ  ทำให้จิต(สังขาร)ที่ไม่บริสุทธิ์ของมนุษย์ สัตว์ เทพ มาร พรหม อสูร ฯลฯ  ที่มีความโลภโกรธหลง  มีความยึดมั่นถือมั่น อุปทานว่าสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาลมีจริง  กลับกลายเป็นจิตบริสุทธิ์สูงสุด ที่เรียกว่านิพพาน ไม่มีความโลภโกรธหลง  ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีอุปทานว่าสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาล มีจริง

แล้วทำให้จิตไม่บริสุทธิ์ให้เป็นจิตมหาบริสุทธิ์เพื่ออะไรกันล่ะ?  ตอบ  ก็เพื่อย้ายฝั่งที่อยู่จากฝั่งที่ไม่บริสุทธิ์ไปอยู่ฝั่งที่มหาบริสุทธิ์ยังไงล่ะ  แล้วผู้ที่เป็นมหาบริสุทธิ์คือ ฝั่งพระอรหันต์ที่เข้าถึงนิพพานแล้ว  พระอรหันต์ก็ต้องมีอายตนะภายในหรือขันธ์  และมีอายตนะภายภายนอก คือที่อยู่ และมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ตนเองเนรมิตขึ้นมาเหมือนกัน  แต่ไม่เหมือนกับฝังของโลกและจักรวาล ที่ต้องหาเงินและใช้อำนาจไขว่คว้าเอามา

ฝั่งนิพพาน ไม่มีผู้เล่าถึงอย่างละเอียดมากนัก  ผมผู้ได้ปัญญาจากการปฏิบัติ  และสามารถติดต่อกับพระพุทธเจ้าต่างๆ พระมหาโพธิสัตว์ต่างๆ และพระอรหันต์หลายต่อหลายพระองค์  แล้วผมก็ชอบถามพวกท่านด้วย    เมื่อผมรู้แล้ว ถ้าไม่เขียนเล่าเรื่องสูงสูดเหล่านี้ออกไป ก็เป็นการเสียชาติเกิดของผมเปล่าๆ  เพราะผมรู้ในจิตว่า  ผมเกิดมามีนิสัยขี้สงสัย พูดมาก ชอบถามโน่นถามนี่  ผมรู้แล้วว่า ผมเกิดมาเพื่อการบอกความลับของฟ้าโดยเฉพาะ

เอาล่ะ...เข้าเรื่องกันต่อเลย นิพพานก็มี 2 แบบ คือ แบบที่เป็นจิตล้วน กับ แบบที่ป็นกายที่มีจิตอยู่ในร่าง  ขออธิบายดังนี้:

1.  นิพพานแบบที่ไม่มีร่างมีแต่ตัวจิต   เรียกว่า "พระธรรม" สิ่งนี้มหายานเรียกว่า "พุทธภาวะเริ่มแรก  หรือ มหาสุญญตา" พระพุทธเจ้าเรียกไปทางเถรวาทว่า "นิพพาน" เฉยๆ  บางครั้งพระพุทธเจ้าก็เรียกว่า "นิพพานจิต"

 พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสปะว่า   

   "ดูกรกัสสปะ เธอมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง และ นิพพานจิต  ลักษณะที่แท้จริง
    ย่อมไม่มีลักษณะ   เธอพึงรักษาไว้ให้ดี"

สรุป คำว่า นิพพาน...ก็คือนิพพานจิตล้วนๆ  หรือ พระธรรม หรือ พุทธภาวะเริ่มแรก  หรือ มหาสุญญตา

" พระธรรมหรือนิพพานเป็นสิ่งที่ชี้ให้ดูไม่ได้  บางครั้งก็เป็นแสง  บางครั้งก็เป็นความว่างเฉยๆ


2. นิพพานแบบที่มีกายหรือรูปที่เทวาพรหมมนุษย์มองไม่เห็น คือนิพพานที่มีจิตครองและส่งการกาย  จิตจะสั่งการร่าง  มี 2 แบบ คือ

   -  ธรรมกาย หรือกายธรรมอมตะ ตัวนี้คืออายตนะนิพพาน  

พระสารีบุตรก็เคยสงสัยเรื่องธรรมกาย จึงถามพระอวโลกิเตศวร บันทึกอยู่ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรจึงตรัสสอนพระสารีบุตรว่า

" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คือ อายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง

ธรรมกายของพระอรหันต์แต่ละองค์  จะอยู่กับธรรมกายของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในอายตนะนิพพานภายนอกหรือในเมืองพระนิพพาน  เมืองพระนิพพานของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกันเรียกว่า  "พุทธภูมิ"

   -  กายทิพย์บริสุทธิ์อมตะ หรือวิญญาณบริสุทธิ์อมตะ(เรียกแบบศาสนาคริสค์) หรือสัมโภคกาย(เรียกแบบมหายาน) หรือ พุทธนิมิต(เรียกแบบเถรวาท)

กายทิพย์บริสุทธิ์อมตะ หรือ วิญญาณบริสุทธิ์อมตะ หรือสัมโภคกาย หรือพุทธนิมิต สิ่งนี้ก็คือพระโพธิสัตว์อรหันต์ ที่จะอยู่ในพุทธเกษตรนั่นเอง

อธิบายนิพพานลึกไปอีกขั้น

ในพระนิพพาน.... จะมีแต่จิตที่เป็นพระธรรม  ที่เรียกว่า “มหาสุญญตา”ดำรงอยู่ในความว่างสงบอย่างเดียวชั่วกาลนาน ไม่ค่อยมีการคุยหรือสังสรรค์กัน  จะเรียกว่า เข้านิโรธถาวร หรือเข้านิโรธนานมากๆก็ย่อมได้ ไม่น่าเกลียด

ในพุทธภูมิ.... จะมีการสร้างกาย  ที่มีนิพพานจิตสั่งการ เรียกว่าธรรมกาย  แต่กายอรหันต์ต่างๆจะเข้าสมาธิอยู่ในนิโรธ  แต่ยังมีการพูดคุยกันบ้าง  ไปทำธุระบ้าง

ในพุทธเกษตร....คราวนี้ล่ะสบายเลย   เพราะธรรมกายของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ต่างๆ จะนิรมิตพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์  ที่เป็นกายทิพย์หรือสัมโภคกายออกมา  เรียกว่า อรหันต์โพธิสัตว์ หรือ โพธิสัตว์อรหันต์ พวกท่านจะสนธนา หรือจะทำกิจอันใดอันหนึ่งเพื่อช่วยโลกหรือช่วยใคร  หรืออะไร จะเนรมิตอะไร ก็ได้ทั้งนั้น

แล้วคุณรู้ไหม....พุทธภูมิก็อยู่ในพุทธเกษตรนั่นเอง  เมืองพระนิพพานที่เป็นอายตนะนิพพานภายนอกจึงเป็นพุทธเกษตร   พุทธเกษตรของพระศรีศากยมุนี = เมืองพระนิพพานของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุนัน

พุทธเกษตรของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต คือ “ศุทธิไวฑูรย์” ฯลฯ

เอาล่ะพอแล้ว  ขี้เกียจเขียนเจาะลึกลงไปมากกว่านี้