หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : สังคมแห่งภาวะฉุกเฉินสุดๆ เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 13 มิถุนายน 2553 16:05:53 (http://www.dogeatdogma.com/images/greenCD.jpg)
บทความที่ผู้เขียนได้เขียนในช่วงหลังๆ มานี้ ว่าเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นจริง จริงๆ แล้วผู้เขียนเชื่อว่ามันจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ภายในทศวรรษที่ 2010-2019 นี้ เพียงมากหรือน้อย ยาวนานเป็นหลายสิบปี หรือสั้นแค่ไม่กี่ปี ขึ้นกับขนาดของมันและความพร้อมของมนุษย์ พูดง่ายๆ ผู้เขียนเชื่อว่าเรากำลังเดินทางเข้าสู่ยุคที่เลวร้ายที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อนภายในสามสี่ปีนี้ หรือจะเขียนว่าเรา-มนุษยชาติ-กำลังย่างเท้าเข้าสู่ภาวะฉุกเฉินที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งหมดนี้ผู้อ่านจะต้องรู้ว่าไม่ใช่ผู้เขียนอยากให้เกิด เพราะความร้ายแรงของเหตุการณ์หรือภาวะฉุกเฉิน ความยากลำบากอย่างเหลือล้นแบบคิดไม่ถึงในครั้งนี้ มันจะกระทบกับประชาชนคนทั่วไปทั่วทั้งโลกก็ว่าได้ ไม่ได้จำกัดที่คนไทย คนทั่วไปที่ไม่ชอบได้ยินได้ฟัง หรือได้สัมผัสกับสิ่งอะไรก็ตามที่เป็นด้านลบของความรู้สึกไม่ชอบใจ ไปถึงสิ่งที่เราคิดว่าอาจไม่ปลอดภัยกับตนเอง น่ารังเกียจหรือน่าเกลียด หรือน่าขยะแขยง เช่น ความสกปรก กลิ่นเหม็น ขยะปฏิกูล ไล่ไปถึงความผิดปกติไปจากความเคยชิน หรือความมืดจนบางทีและบางคนจะพลอยไม่ชอบความดำ เนื่องจากตัวเองเอาไปสัมพันธ์กับความกลัว ความมืดที่มองไม่เห็น เพราะระวังและระแวงว่าตัวตนของตนเองจะไม่ปลอดภัย ความปลอดภัยที่เป็นสัญชาตญาณของสัตว์-ที่รวมมนุษย์ในกระบวนการวิวัฒนาการทางกายภาพหรือชีววิทยา-ที่อยู่กับความสว่างของวันอันสว่างและมองเห็นและเคยชิน คาร์ล จี. จุง ถึงได้พูดว่า "คนเราไม่ชอบยอมรับความจริง" และผู้เขียนอยากขอเสริมเติมต่อไปว่า คนเรามักพอใจแต่สิ่งที่ตนชอบอย่างเดียวในเรื่องของ "หน้าที่และความรับผิดชอบ" นั้น จึงรับแต่ความชอบ แต่ไม่เคยเลยที่จะยอมรับความผิดของตน ส่วนคนที่จำเป็นต้องรับก็จะรับด้วยความไม่เต็มใจ ก่อนหน้านี้ไปสองสามทศวรรษ ผู้เขียนอาจจะคิดเอาเองโดยความรู้สึกว่า โดยผิวเผินคนไทยเรามีนิสัยที่ทำให้มีพฤติกรรมค่อนข้างจะคล้ายๆ คนอเมริกันหลายอย่าง เช่น ชอบสนุก ชอบเที่ยว ชอบเสี่ยง มีเงินไม่ได้ จนเหมือนกันเป็นพิเศษคือ เป็นคนที่อยู่ว่างๆ ไม่เป็น-และถ้าหากมีรถ-ก็ต้องขับรถออกไปนอกบ้านเหมือนถูกใครบังคับ ตอนนั้นคิดว่าเพราะว่าทั้งสองชาติเป็นเสมือนเบ้าที่หล่อหลอมคนต่างเชื้อชาติต่างวัฒนธรรม-คนรุ่นชั่วคนแรกๆ จำนวนมากที่เข้ามาอยู่ใหม่ๆ จึงยังไม่ซาบซึ้งในประวัติศาสตร์ความเป็นชนชาติวัฒนธรรมไทยหรืออเมริกัน จึงย่อมคิดได้แต่การหาเงินและความมั่งคั่งของตนเองก่อน เพราะสังคมนี้ชาตินี้ไม่ได้เป็นชุมชนของกู-กว่าที่ชั่วคนหลังๆ จะเป็นชนชาติเดียวกันและมีวัฒนธรรมผิวเผินเหมือนๆ กัน-มีเทคโนโลยีนิยม เงินนิยม และอดทนอดกลั้นความต่างกันระหว่างวัฒนธรรมที่ล้ำลึกนั้นๆ เหมือนๆ กัน ซึ่งทำให้ทั้งสองชาติสองชนชาติรักความอิสระเหมือนๆ กัน แต่ทุกวันนี้ความเติบโตก้าวหน้าและระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีที่มีเงินเพียงอย่างเดียวคือสรณะเบ็ดเสร็จ คนส่วนใหญ่มากๆ ในทุกๆ ประเทศชาติวัฒนธรรมจึงเดินไปฝันไป และมีแต่ระบบเศรษฐกิจอย่างว่าเพื่อเงินกับเงินและกับเงินเท่านั้น ส่วนระบบนิเวศธรรมชาติก็ช่างมันปะไร! แม้ว่าบัดนี้คนน้อยคนจะรู้อะไรที่เกี่ยวกับโลกธรรมชาติบ้างแล้ว แต่มันก็สายไปมาก และเราส่วนใหญ่มากๆ ก็ยังไม่รู้ตัวว่าอีกไม่กี่ปี หากว่าชาวโลกจะเหลือประชาโลกเพียง 1,000 ล้านคน ก็นับว่าโชคดีมากๆ แล้ว ขอให้เดินไปฝันไปเถิดและจงโชคดี ประชากรของโลกเพิ่งมีครบ 1,000 ล้านคนเมื่อ 170 ปีมานี้เอง และตอนนั้นนักวิชาการเชื่อว่าโลกสามารถรองรับประชากรโลกได้เพียง 1,000 ล้านคนเท่านั้น จึงบางประเทศได้จัดให้มีนโยบายที่จำกัดจำนวนประชากรของประเทศของตนลงมา ตามลัทธิ "มัลธุสอิสม์" ของโรเบิร์ต มัลธุส ที่มีว่าโลกจะต้องมีประชากรไม่เกินนั้น ซึ่งต่อมาเนื่องจากเทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ธัญพืชและปุ๋ยเคมี (green revolution) ได้ทำให้เราจึงมีการเพิ่มของประชาการโลกจนมีการ "ระเบิดของประชากรโลก" ไปแล้วในประมาณกลางศตวรรษยี่สิบหรือราวๆ ห้าสิบปีมานี้เอง ผู้เขียนเชื่อว่าจำนวนประชากรในโลก หรือไบโอสเฟียร์ที่มีความจำกัดในทุกๆ ด้านเป็นเรื่องหนึ่ง ในขณะที่ความพอเพียงพอดีสมภาคสมดุล ที่เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คนเรานั้นโดยวิวัฒนาการทางชีววิทยา มองว่าคนทำอะไรถูกทั้งหมดเพราะเราเก่ง เราฉลาด และเราพร้อมในทุกๆ ด้านกว่าชีวิตทั้งหลายทั้งปวง เราจึงหยิ่งผยองและทะนงตน (anthropocentric) เพราะว่ามีแต่มนุษยชาติเท่านั้นทีมีวิวัฒนาการของอีโก (ego) เหนือกว่าชีวิตใดๆ ทั้งหมด (ซึ่งจะเล่าต่อข้างล่างนี้) ดังนั้นเราจึงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น-โดยระดับจิตที่มีวิวัฒนาการระดับที่เราส่วนใหญ่มีอยู่-เราจึงไม่คิดให้ถ้วนถี่รอบคอบ เป็นต้นว่าเรื่องของธรรมชาติมันก็ย่อมต้องไหลเลื่อนเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเชื่อมโยงกันของทั้งหมด แต่เรามักลืมการเชื่อมโยงติดต่อกันกับทั้งหมด เราเพียงคิดว่าถ้าหากผู้ชายนอนกับผู้หญิงที่ทั้งคู่ถึงวัยแล้วและไม่เป็นหมัน การที่หญิงจะมีท้องและมีลูกต้องเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เราไม่คิดต่อไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างสัมพันธ์กับทั้งหมด มันมีธรรมชาติของโลกที่ขยายไม่ได้พองโตไม่ได้ พอเพียงพอดีสำหรับจำนวนของประชากรในระดับหนึ่ง มันมีธรรมชาติของคนที่ต้องกินต้องใช้ไปตามลำดับ มันมีธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำและอาหารที่พอเพียงพอดีที่หมดได้ มันมีกฎของธรรมชาติที่ควบคุมโลก ควบคุมความพอเพียงพอดีที่ว่านั้น ฯลฯ หากว่าเราทำอะไรตามใจตัวเองเป็นปัจเจก หรือแม้แต่คิดว่าเป็นเรื่องของสังคมประเทศกูชาติของกู มึงไม่เกี่ยว! กฎธรรมชาติในระดับที่สูงกว่าใหญ่กว่าก็ควบคุมไม่ได้ ความพอเพียงพอดีก็เป็นไปไม่ได้ โลกก็พัง จักรวาลก็เดือดร้อน ทั้งหมดก็เดือดร้อน ดังที่เรากำลังประสบอยู่เดี๋ยวนี้ และจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นต่อๆ ไปเช่นบทความของวันนี้ เรื่องของอีโกอหังการที่ติดค้างผู้อ่านไว้ จะขอนำมาเล่าเพียงคร่าวๆ ซึ่งเป็นดังที่นักวิจัย ฌอง เปียเจต์ ได้ค้นพบและถือว่าเป็นดุจตำราของการศึกษา เรา-ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ อายุแค่สองถึงสามขวบจึงค่อยๆ ยกตนแยกส่วนเป็นตัวตนของตนเอง (self) ออกจากสิ่งอื่นหรือธรรมชาติทั้งหมด เป็น "ผู้อื่น" จนกระทั่งสามารถมีวิวัฒนาการของจิตรู้และอารมณ์ สามารถแยกตัวตนออกจากชีวิตอื่นๆ ได้ อีโกอหังการจึงได้โผล่ปรากฏออกมา ผู้เขียนคิดว่าอหังการหรืออีโกนั้น เกิดขึ้นหลังจากจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาลที่มีหนึ่งเดียว (จิตหนึ่ง) ได้เข้ามาอยู่ในสมองแล้ว ตัวตน (self) ถึงได้อุบัติขึ้น ความสำคัญของตัวตนของตัวเองคือความสำคัญของความเป็นปัจเจก (individuality) ซึ่งผู้เขียนคิดเอาเอง โดยเชื่อว่าจิต-ความเป็นของคนปัจเจกนั้น ประกอบขึ้นด้วยหรือมีที่มาจากสองแหล่ง คือ หนึ่ง-จากจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาล (จิตหนึ่ง) กับสอง-จากจิตรู้หรือจิตสำนึก-ผลิตผลของการบริหารหรือวิวัฒนาการที่สมอง หรือจิตปัจเจกก่อนตายของผู้ที่ตายไปนั้นๆ ที่มีกฎแห่งกรรมโดยแรงกรรม (พลังงานจิต) เป็นตัวขับเคลื่อน-ก่อนที่ตัวตนของเด็ก (ใหม่) จะมีอีโกอหังการ-ช้าหรือเร็วไม่เหมือนกัน หรือใช้อายุเวลาไม่เท่ากัน-และสมองได้มีวิวัฒนาการแล้ว จนสามารถบริหารจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาลได้เป็นจิตใจ (จิตรู้หรือจิตสำนึก) ได้แล้ว และมีอารมณ์สามารถแยกแยะสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่ไม่ใช่ชีวิตกับธรรมชาติที่มีชีวิตได้แล้ว ภาวะฉุกเฉินสุดๆ ที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงภายในทศวรรษนี้ (ค.ศ.) หรือใกล้ๆ นี้-ไม่ว่าประชากรโลกจะเหลือน้อยประมาณไม่ถึง 20% อย่างที่เจมส์ ลัฟล็อก นักวิทยาศาสตร์ใหญ่ของโลกบอกหรือไม่-มันก็ต้องมีประชากรทั้งหมด 1,000 ล้านคนขึ้นไป ไม่มากก็น้อย หรือประชากรโลกใกล้ๆ ปี 1900 ซึ่งไม่ว่าอย่างไร ผู้ที่มีวิวัฒนาการสู่ระดับจิตวิญญาณแล้ว ที่ต่อให้ผู้ที่ใกล้จะหลุดพ้นแล้วไม่ตายในความล่มสลายหายนะในครั้งนี้ ประชากรที่มีระดับจิตวิญญาณสูงๆ นี้คงมีไม่ถึง 100 ล้านคน ส่วนที่เหลือราวๆ เกือบ 1,000 ล้านคน หรือมากน้อยกว่านั้น จำต้องรอคอยให้มีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ (noosphere) เสียก่อน ดังที่เขียนลงที่นี่เมื่อเร็วๆ นี้ เพราะประชากรโลกพวกนี้เองที่กำลังรอจิตวิวัฒนาการให้ได้-นั่นคือสาระ -พลังงาน:- เนื่องจากมนุษยชาติเรากว่าจะรู้ กว่าจะตื่น และหาพลังงานทดแทน หรือพลังงานทางเลือก มันก็สายไปเสียแล้ว ขอบอกตามตรงไม่ว่าเราจะทำอะไร รณรงค์แค่ไหน ออกรายการโทรทัศน์-หนังสือพิมพ์ยังไง มันก็สายไปทั้งนั้น ถ้าหากเป็นสิบกว่าปีก่อนเราตื่นเช่นวันนี้ แม้จะสายไปก็ยังช่วยได้บ้าง แต่ตอนนี้...ไม่ช่วยเลย แต่เราจำต้องทำเพราะมนุษย์เมื่อรู้แล้วต้องพยายามที่จะทำไม่อย่างหนึ่งก็อย่างใด ช่วยได้หรือช่วยไม่ได้เป็นคนละประเด็น ที่ผู้เขียนบอกว่าไม่ว่าเราจะทำอย่างไรก็ไม่ช่วยนั้น ก็เพราะมันไม่ทันการณ์ คิดดูเรารู้ว่าน้ำมันจะหมดตลาดมากว่ายี่สิบปีแล้ว แต่แม้ปีนี้ปีหน้าปีหน้าโน้นกว่า 95% ของรถยนต์ เรือ หรือเครื่องบินที่ผลิตทั่วทั้งโลกก็ยังใช้น้ำมันหรือก๊าซ เรารู้โดยหลักการว่า พลังงานสามารถได้มาด้วยแสงแดด ด้วยพลังลม น้ำ คลื่น ฯ มาตั้งแต่ปีมะโว้ แต่ถึงวันนี้แม้แต่เดนมาร์ก อินเดีย ญี่ปุ่น เยอรมนี ฯลฯ ก็ใช้พลังงานทางเลือกไม่ถึง 1% ของทั้งหมดของประเทศ และตอนนี้ทั้งโตโยต้าและฮอนด้า ก็ยังเรียกคืนรถยนด์ไฮบริดกันเป็นพัลวัน อย่าลืมว่าเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษยชาติมีความสุข (กาย) สนุกสะดวกสบายแต่เพียงเผ่าพันธุ์เดียว ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยพลังงานทั้งนั้น เราจะรอถึงไหนหรือกี่ปีไม่ทราบ? เราอยู่กับความหวังและบนบานว่าธรรมชาติคงจะรอเรา? -การเมือง:- คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ที่ประเทศต่างๆ จะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ-เป็นภูมิภาค โดยรัฐบาล ทหารหรือตำรวจ และข้าราชการทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ก็เพราะประชาชนทุกๆ คน ทุกๆ อาชีพต่างก็เดือดร้อน และเรียกร้องความยุติธรรมไม่มีโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญคือภาษีเก็บไม่ได้และเงินหมดคลัง -เศรษฐกิจ:- ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี เอื้อให้คนรวย-ชุมชนที่รวย-ประเทศชาติที่รวย-ได้เปรียบได้โอกาส จะพังและพังและพังไม่เหลือแม้แต่เงา ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆ งวดเข้าและงวดเข้า กับเล็กลงและเล็กลง-ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ-BAU หรือ business as usual จะไม่มีอย่างเด็ดขาด ทั้งหมดจะค่อยเป็นค่อยไป โดยขึ้นกับพลังงานก๊าซและน้ำมันที่จะน้อยลงๆ ไปเรื่อยๆ อย่าลืมว่าเทคโนโลยีแทบทุกประเภทนั้นใช้พลังงานทั้งนั้น ที่สุดทุกประเทศก็ต้องพึ่งการผลิตอุตสาหกรรมผลิตอาหารเพียงอย่างเดียว -สังคม:- เมืองหรือนครใหญ่ๆ จะหายไปทั้งหมด แต่การหายไปจะค่อยๆ เป็นไปที่จะขึ้นกับงาน การขนส่ง และสาธารณูปโภคต่างๆ ที่จะน้อยลงและเล็กลง ประชาชนจะมีความขัดแย้งแตกแยกมากขึ้น เพราะความไม่เป็นธรรมที่จะค่อยๆ ไม่มีไปเรื่อยๆ และความอิจฉาตาร้อนกัน ความอดอยากหิวโหยจะขับไล่ให้คนไปชนบทและทำงานเกษตรมากขึ้น จะมีสงครามแย่งน้ำแย่งอาหารกัน ทั้งภายในระหว่างท้องถิ่นภูมิภาค หรือระหว่างประเทศไปถึงกลุ่มประเทศ และสงครามนิวเคลียร์จึงเป็นไปได้ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เป็นเรื่องของการดำรงชีวิตของมนุษย์ที่อยู่กับรูปกายวัตถุที่มองเห็นแล้วเอามาแยกส่วนทั้งหมด ต่อไปนี้เราต้องอยู่กับจิตหรือจิตวิญญาณที่ชี้นำพฤติกรรมทางกายและจิตรู้ของเรา ต่อไปนี้เราจะมีจิตวิวัฒน์เพี่อให้มีจิตสำนึกใหม่และความเป็นทั้งหมดที่เชื่อมโยงกันเสียที. http://www.thaipost.net/sunday/140210/17902 (http://www.thaipost.net/sunday/140210/17902) |