[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ 15 มิถุนายน 2553 08:01:17



หัวข้อ: "โรคเซ็งเรื้อรัง" สังเกตดีๆ คนในบ้านคุณเป็นหรือเปล่า?
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 15 มิถุนายน 2553 08:01:17
"โรคเซ็งเรื้อรัง" สังเกตดีๆ คนในบ้านคุณเป็นหรือเปล่า?
Life & Family - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2553 15:18 น.
 
 
 
 
วันนี้ดูเหมือนไปที่ไหนๆ ก็จะพบผู้คนที่ยิ้มแห้งๆ และบอกว่า "เซ็งว่ะ" โดยเป็นที่รู้กันว่า คำว่า "เซ็ง" กินขอบเขตไปถึงเรื่องอะไรบ้าง แต่ในความหมายของโรคเซ็งเรื้อรังที่มีการพูดถึงมากในวงการแพทย์ขณะนี้คือ กลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง หรือ Chronic fatigue syndrome (CFS) ซึ่งในที่นี้ขอเรียกว่า "โรคเซ็งเรื้อรัง" เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย

ในเรื่องนี้ นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ เปิดเผยว่า ผู้ที่ป่วยด้วยกลุ่มอาการ "เซ็งเรื้อรัง" ที่ว่านี้ จะมีอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยอ่อนอยู่เป็นระยะเวลานานอาจเป็นเดือน หลายเดือน หรือเป็นปี ภายหลังจากที่ต้องพบกับภาวะเครียดอย่างรุนแรง หรือภายหลังการเจ็บป่วย เช่น ไข้หวัดใหญ่ ท้องเดินอย่างแรง เป็นต้น อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของคนปกติมักจะหายไปภายหลังการได้พักหรือนอนหลับให้เต็มที่สัก 2-3 วัน แต่ผู้ที่เป็นโรคเซ็งเรื้อรัง ไม่ว่าจะพักผ่อนขนาดไหนหรือบำรุงร่างกายมากเพียงใดก็ยังมีอาการอ่อนเพลียอย่างมากอยู่ โดยที่ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติใดๆ ได้

โรคเซ็งเรื้อรัง หรือ CFS นี้ มีผู้รายงานในชื่อของอาการอื่นมานานกว่า 1 ศตวรรษ โดยในปี ค.ศ. 1860 นพ.จอร์จ เบียร์ด เรียกชื่อกลุ่มโรคนี้ว่า Neurasthenia โดยเชื่อว่าเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่งที่มีอาการอ่อนเปลี้ย เหนื่อยง่ายโดยไม่พบสาเหตุ แพทย์อีกหลายคนวินิจฉัยผู้มีอาการเหล่านี้ว่าเป็นโรคโลหิตจางบ้าง หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ บางครั้งเลยไปถึงคิดว่าเป็นโรคเชื้อราแคนดิดาทั้งตัวก็มี

ต่อเมื่อวิวัฒนาการทางการแพทย์เจริญขึ้น ในกลางทศวรรษที่ 1980 โรคนี้ถูกขนานนามว่าเป็น "Chronic EBV" โดยเชื่อว่าเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอ็บสไตน์ บาร์ (Epstein-Barr) แต่ในปัจจุบันทฤษฎีนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก เพราะเราสามารถตรวจพบระดับแอนติบอดีของไวรัสอีบีวีที่เพิ่มขึ้นทั้งในผู้มีอาการและคนปกติ และในทางกลับกัน ผู้ที่มีอาการกลับไม่พบระดับของไวรัสอีบีวี แอนติบอดี หรือไม่เคยติดเชื้อไวรัสอีบีวีเลย

ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเซ็งเรื้อรัง มักจะมีอาการอย่างรวดเร็ว เริ่มต้นโดยอาการปวดศีรษะ เจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลือง ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย และขาดสมาธิ เป็นอาการที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ แต่คงจะอยู่นานกว่า ส่วนใหญ่จะมีอาการภายหลังการเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย เช่น ไข้หวัด หลอดลมอักเสบ ตับอักเสบ

 
   
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
 
 
ขณะที่บางรายอาจเกิดขึ้นหลังจากมีอาการของโมโนนิวคลีโอลิส (Mononucleosis) หรือโรคจูบ (Kissing disease) ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้พละกำลังของวัยรุ่นถดถอยลงไปชั่วระยะหนึ่ง ในบางรายอาการจะค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ผู้ป่วยบางรายบอกว่า เริ่มมีอาการหลังจากพบกับความเครียดมากๆ

น่าแปลกที่ว่า โรคเซ็งเรื้อรังหรือ CFS นี้จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2-4 เท่า อย่างไรก็ตาม แพทย์ทั่วไปยังคิดถึงโรคนี้น้อยกว่าที่ควร เนื่องจากการวินิจฉัยค่อนข้างยาก เพราะมีอาการที่อาจเป็นได้หลายโรค แพทย์ต้องวินิจฉัยแยกโรคทางกายที่มีอาการอ่อนเพลียคล้ายๆ กันไปก่อน เช่น Lupus หรือ Multiple Sclerosis ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นว่า โรคเซ็งเรื้อรังอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของโรคที่เป็นติดต่อกันโดยมีภาวะอ่อนเพลียเป็นอาการสำคัญ

โรคเซ็งเรื้อรังยังไม่มีการรักษาที่เฉพาะลงไปได้ มีการให้ยาต้านไวรัส ยาต้านอารมณ์เศร้า ยาเพิ่มภูมคุ้มกัน รวมทั้งการให้อิมมูโนโกลบินในขนาดสูงๆ บางรายใช้ยาสงบประสาทพวก Benzodiazepine ร่วมด้วย เพื่อลดอาการวิตกกังวลและช่วยให้หลับ นอกจากนี้ ยังใช้ยาเพื่อรักษาอาการ เช่น ยาระงับปวดหรือยาแก้โรคภูมิแพ้

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า ผู้ที่มีอาการเรื้อรังควรพยายามรักษาสุขภาพของตนเอง กินอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายพอสมควรที่จะไม่ก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลียอีก ผู้ป่วยควรรู้จักที่จะดูแลตนเองให้เหมาะทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา เพราะความเครียดจะทำให้มีอาการมากขึ้น

ในยุคที่ชีวิตแวดล้อมด้วยเรื่อง "ชวนเซ็ง" อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ การรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง และชวนคนรอบตัวหันไปมองเรื่องดีๆ ที่ให้กำลังใจ ประกอบกับศึกษาหลักความเป็นธรรมดาของโลก น่าจะเป็นวัคซีนที่ดีที่สุดในการป้องกันตนเองและคนรอบตัวให้ปลอดภัยจากโรคที่ไม่มียารักษา แต่มีอานุภาพบั่นทอนสุขภาพได้อย่างรุนแรง

เหนือขึ้นไปกว่านั้น การคิดและทำในสิ่งที่ดีบนหลักของการไม่เบียดเบียน และให้ความเคารพต่อเพื่อนร่วมสังคมอยู่เสมอ จะช่วยสร้างภูมิต้านทานการแพร่ระบาดของ "โรคเซ็งเรื้อรัง" ให้แก่สังคมไทยของเราทุกคน