หัวข้อ: พุทธปรัชญาเรื่องอนัตตา เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 20:52:43 (http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=31189.0;attach=1610;image) ถ่ายภาพประกอบกระทู้โดย......Sometimeสงวนลิขสิทธิ์ตามกฏหมาย จะเข้าใจว่าอะไรคือ อนัตตา ก็ต้องทำความเข้าใจว่าอะไรคือ อัตตา เสียก่อน อภิปรัชญา ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาได้ให้ความหมายของ อัตตา หรือตัวตน สรุปได้ ๓ นัย คือ........... ๑ ตัวตน หมายถึงศูนย์รวมแห่งความเปลี่ยนแปลง หรือการแปรสภาพและเป็นหลักแห่งการคงเดิม ๒ ตัวตน หมายถึงศูนย์รวมแห่งคุณสมบัติทั้งหลาย ๓ ตัวตน หมายถึงสิ่งที่มีอยู่โดยตัวมันเอง มีบูรณภาพในตัวมันเอง ตามความหมายนัยที่หนึ่ง นักปรัชญาอธิบายโดยยกตัวอย่างว่าสมมติเราเก็บมะม่วงมาลูกหนึ่ง เมื่อสองสามวันก่อน มะม่วงลูกนั้นแก่แล้วแต่ยังไม่สุก มีสีและกลิ่นของผลไม้ดิบอยู่ เราเอามะม่วงมาบ่ม พอถึงวันนี้มะม่วงผลนี้กลับมีสีผิว กลิ่น ต่างไปจากมะม่วงดิบเมื่อสองสามวันก่อน แต่เรา ทราบดีว่ามันเป็นมะม่วงผลเดียวกัน มะม่วงดิบเมื่อสองสามวันกับมะม่วงสุกวันนี้ จึงน่าจะมี อะไรบางสิ่งบางอย่าง อยู่ร่วมกัน อะไรบางอย่าง นี้แหละ คือตัวตนที่แท้จริงของมะม่วงผลนี้ ตัวตนนี้เป็นตัวยืนโรงหรือหลักแห่งการคงเดิมที่ทำให้มะม่วงดิบเมื่อสองสามวันก่อน กับมะม่วงสุกใน วันนี้เป็นผลเดียวกัน แม้คุณสมบัติอื่น ๆ จะเปลี่ยนไปก็ตาม ในความหมายที่สอง ท่านอธิบายโดยยกตัวอย่างว่า เรามีโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวหนึ่ง ต่อมาเราดัดแปลงให้โต๊ะตัวนี้เป็นโต๊ะกลม โต๊ะกลมตัวนี้เรารู้ว่าเป็นตัวเดียวกันกับโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวก่อน แต่คุณสมบัติของมันเปลี่ยนแปลงไป แสดงว่า มีตัวตนที่แท้จริงของโต๊ะ สำหรับรองรับคุณสมบัติของโต๊ะไม่ว่ามันจะเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างใดก็ตาม ตัวตนในความหมายที่สาม คือสิ่งซึ่งมีอยู่โดยตัวของมันเองไม่เกิดจากอะไร แต่มีอยู่และเป็นมาอย่างนั้นโดยตัวเอง มีความสมบูรณ์ในตัวเอง (ขอให้ดูรายละเอียดในหนังสืออนัตตาในพุทธปรัชญา โดย ดร.วิทย์ วิศทเวทย์ ข้อความข้างบนนั้นผมจำฝีปากท่านมา) ตามมติพุทธศาสนา ถือว่าตัวตนทั้ง ๓ นัยข้างต้นนั้นไม่มี เพราะทุกสิ่งเป็นอนัตตาไม่มี อะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นแก่นแท้ของสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นตัวยืนโรง และดำรงอยู่อย่างไม่แปรสภาพ พุทธศาสนาถือว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย เปลี่ยนแปลงและสิ้นสุดลง เพราะหมดเหตุปัจจัย เพื่อความกระจ่าง ขอให้ย้อนไปศึกษาเรื่องไตรลักษณ์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกขัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง ทุกขัง สิ่งนั้นเป็นอนัตตา" นั่นแสดงว่าทั้งสามอย่างนี้คือสิ่งเดียวกัน เมื่อเข้าใจอย่างหนึ่งก็จะเข้าใจอีกอย่างด้วย และวิธีที่จะเข้าใจง่าย ก็เห็นจะต้องเริ่มที่อนิจจัง เพราะอนิจจังถือว่าเป็นกุญแจที่จะไขให้เข้าใจอีกสองอย่างได้ง่ายขึ้น มีพุทธวจนะบทหนึ่งว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน แปลว่าสังขารทั้งหลายเป็นอนิจจังมีการเกิดขึ้นและเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา สังขาร หมายถึงสิ่งผสมทุกชนิด การเกิดและการเสื่อมสลายเป็นลักษณะที่แท้จริงของสังขาร โปรดสังเกตการใช้คำศัพท์ ท่านใช้ในรูปเป็นปัจจุบัน คือ การเกิด กับ การเสื่อมสลาย เป็นไปพร้อมกันในขณะเดียว พูดให้ชัดก็คือ การเสื่อมสลายมีตั้งแต่วาระแรกที่สิ่งนั้นเกิดหรือการเกิดมีในขณะแรกที่สิ่งนั้นดับ เป็นลักษณะสืบสายต่อเนื่องกันเป็นกระแสโดยสภาวะที่กำลังดับถ่ายโอนพลังเอื้ออำนวยทั้งหมดให้แก่สภาวะที่รับช่วงต่อมา จึงไม่มีแม้แต่ขณะเดียวที่มันจะคงที่ ลักษณะเช่นนี้แหละเรียกอนิจจัง และทุกขัง และเมื่อมันเป็นอย่างนี้มันจึงเป็นอนัตตา คือปราศจากตัวยืนโรง หรือตัวตนที่เป็นศูนย์รวมแห่งการแปรสภาพ ปรัชญาเมธีต่าง ๆ ไม่ว่าตะวันตก ตะวันออก ดูเหมือนจะยอมรับว่าทุกอย่างแปรสภาพไม่คงที่ คือ มองเห็นว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง แต่ยังมีความรู้สึกว่า เบื้องหลังการแปรสภาพนั้นจะต้องมี อะไรบางอย่าง ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นตัวยืนโรงหรือเชื่อมประสาน หาไม่แล้ว มะม่วงดิบเมื่อสองสามวันก่อน มันจะเป็นลูกเดียวกับมะม่วงสุกวันนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่มีสิ่งคอยเชื่อมหรือควบคุมการแปรสภาพ พุทธศาสนาชี้ว่า การที่มะม่วงดิบเมื่อสองสามวันก่อนยังเป็นลูกเดียวกับมะม่วงสุกในวันนี้ เพราะผลแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สืบเนื่องกันเป็นกระแส ที่ถ่ายโอนศักยภาพสืบต่อกันมา พูดแบบนักธรรมะก็คือ เพราะสันติความสืบต่อที่ไม่ขาดสาย เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขของธรรมชาติ ก็ไม่จำเป็นต้องมี ผู้ หรือ สิ่งที่มาบันดาลให้มันเป็นไป หากแต่มันเป็นไปตามเงื่อนไข เมื่อมีเชื้อมีไฟ การลุกไหม้ก็เกิดขึ้น เมื่อหมดเชื้อ ไฟก็ดับ จำเป็นด้วยหรือจะต้องมีผู้ไหม้อยู่เบื้องหลังการไหม้ หรือผู้ดับอยู่เบื้องหลังการดับ ความรู้สึกว่ามีตัวตน คอยควบคุมกลไกอะไรต่าง ๆ อยู่เบื้องหลังนั้น พุทธศาสนาเรียกว่าเป็นความรู้สึกหลอกหรือความเข้าใจผิด ความรู้สึกหลอก นี้เอง เป็นตัวสร้างความคิดว่ามีตัวตนขึ้นมา ปรัชญาเมธีอย่าง เดส์ คาร์ทส์ ก็รู้สึกอย่างนี้ จึงกล่าวยืนยันว่า ฉันคิดเพราะฉะนั้นฉันจึงมี ข้อความข้างต้นได้อธิบายไตรลักษณ์เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ (ผมคิดเอาเองว่าง่าย แต่ท่านผู้อ่านยิ่งอ่าน ยิ่งงง ก็อาจเป็นได้) คราวนี้ขออธิบายอีกแนวหนึ่ง เพื่อสนับสนุนแนวแรกที่กล่าวมาแล้ว พุทธศาสนา ทรรศนะและวิจารณ์ ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต (:LOVE:)กดแล้วฟังได้เลยความยาว 6 นาทีโดยประมาณ (:LOVE:) http://www.4shared.com/embed/1183309662/b449d38c Sometime Home..........http://poerlife.fx.gs/index.php?topic=1075.0 (http://poerlife.fx.gs/index.php?topic=1075.0) |