หัวข้อ: "พระสังกัจจายน์ กับ พระศรีอารยเมตไตรย : ความเหมือนที่แตกต่าง" เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 20:51:53 ขอเล่าความเกี่ยวกับที่มาของพระสังกระจายจีน(ซึ่งเป็นพระจีนอ้วนท้วน ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ดูร่าเริง) ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นรูปเคารพ พระศรีอริยเมตตรัยมนุษิโพธิสัตว์ ซึ่งจะเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาจุติประกาศพระสัจจะธรรมพุทธศาสนาต่อจากพระศากยมุนี พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน นั่นเอง
อีกประการหนึ่ง พระรูปเคารพนี้ก็เป็นที่แพร่หลายในบ้านเราอย่างมาก ไม่ว่าวัดพุทธหินนยานหรือวัดพุทธมหายาน แม้แต่ศาลเจ้าซึ่งเป็นส่วนของศาสนาเต๋าก็ไม่เว้น มักจะสร้างรูปเคารพของพระโพธิสัตว์องค์นี้ประดิษฐานเอาไว้เสมอ ชาวจีนถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งมีศรีสุข ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขของครอบครัว ซึ่งเป็นไปตามรูปลักของท่าน บังเอินพระโพธิสัตว์องค์นี้ไปพ้องกับพระอสีติอรหันต์พระองค์หนึ่งในคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาท คือพระพระสังกระจายนะเถรเจ้า มีคติสร้างพระรูปเคารพเป็นพระอ้วนท้วน นั่งสมาธิ ยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วเป็นคนละองค์กัน ในหมู่ชาวพุทธที่เชื่อถือในเรื่องนี้มีความสับสนกันมาก ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าองค์หนึ่งเป็นพระอรหันต์สาวก อีกองค์เป็นพระโพธิสัตว์ ว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลองมาดูประวัติของพระอรหันต์ฝ่ายหินยานเถรวาทพระองค์นี้กันก่อน เดิมทีท่านเป็นกุลบุตรในตระกูลเศรษฐี (บางคัมภีร์ก็ว่าเป็นกุลบุตรในสกุลพราหมณ์เป็นปุโรหิต มีฐานะดี ) บิดามารดามีทรัพย์สินมากในระดับอภิมหาเศรษฐี มีกิจการเชิงพาณิชย์หลายอย่าง แล้วท่านก็เป็นลูกโทนเพียงคนเดียวของครอบครัว เมื่อท่านศรัทธาเข้าบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่นานนักบิดามารดาก็มาอ้อนวอนรบเร้าให้ลาสิกขาบทออกมาช่วยทำมาค้าขาย ช่วยดูแลทรัพย์สินและกิจการของครอบครัวที่มีอยู่มาก ท่านทนการรบเร้าไม่ได้ก็สึกขาบทมา แต่เมื่อสักระยะเวลาหนึ่ง ท่านเห็นเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีแล้ว ก็ออกบวชใหม่อีกครั้ง ต่อมาบิดามารดาก็มาอ้อนวอนรบเร้าให้ลาสิกขาบทอีก อ้างว่าสองตายายชราภาพมากแล้ว ไม่มีใครอยู่ปรนนิบัติดูแล และทรัพย์สินเงินทองมากมายก็ไม่รู้จะยกให้ใครได้ ท่านต้องบวชแล้วลาสิกขาบทอย่างนี้ วนเวียนอยู่ถึง 7 ครั้ง 7 คราจึงได้บรรลุพระอรหันต์ในชั้นที่สุด พระมหากัจจายนะเถรเจ้า ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ที่มีพระสรีระงดงาม สง่าผ่าเผย หลายคัมภีร์พรรณนาความตรงกันว่า มีพระสรีระและพระจริยวัตรทุกกระเบียดนิ้ว คล้ายหรือเรียกว่าเหมือนก็น่าจะได้ กับพระพุทธเจ้ามากที่สุดในบรรดาพระอสีติอรหันต์ทั้ง 80 พระองค์ แม้แต่พระอริยะเจ้าในสมัยเดียวกันซึ่งมีฌานต่ำกว่าท่าน มักจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระบรมศาสดาเจ้า พุทธบริษัทสี่ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เมื่อเห็นพระมหากัจจายนะเถรเจ้า ก็ให้เข้าใจว่าเป็นพระพุทธองค์ทุกครั้งไป บรรดาสาวกแก่แม่หม้ายที่มักมากในกิเลสกามคุณ ครั้งได้พบเห็นพระอรหันต์องค์นี้ ต่างก็เกิดกระสันสิเน่หาดุจดังมีใครเอาไม้ไปกวนตะกอนนอนก้นของน้ำที่ใสอยู่ ให้ขุ่นข้นขึ้นมาฉับพลัน ไม่สามารถระงับกามราคะไว้ได้ใคร่จะได้สัมผัสจับต้องพระวรกายในทุกๆที่ที่เสด็จโปรดสัตว์ บางก็สำเร็จความใคร่ในอารมณ์ด้วยจินตนาการว่าถ้าตนมีสามีงดงามดั้งนี้ ก็จะปรนนิบัติกามกิเลสกันสุดชีวิตทีเดียว เล่ากันว่า บ่อยครั้งมักมีหญิงสาวระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้ โผเข้าสวมกอดพระวรกายของท่าน ด้วยเหตุผลที่พรรณนามาเป็นสังเขปนี้ ย่อมเป็นเหตุหรืออุปสรรคอย่างยิ่ง ต่อการรักษาพรหมจรรย์ของพระอรหันต์ และเป็นเหตุให้พระบารมีต้องด่างพร้อย ด้วยความเข้าใจผิดของพุทธบริษัท อันนำพระองค์ไปเสมอด้วยพระบรมศาสดาเจ้าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งไม่บังควรและไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง คร้งหนึ่ง ท่านได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเจ้า แล้วทูลความทั้งหมดให้ทรงทราบ ก็แล้วพระมหากัจจายนะเถรเจ้าจึงทูลขอพระบรมพุทธานุญาต สำแดงฤทธิ์ด้วยอำนาจแห่งพระฌานของอรหันต์ ให้พระสรีระ (ร่างกาย กายเนื้อ ) แปรเปลี่ยนไป จากความงดงามอันน่าสิเน่หา ให้ร่างกายอ้วนพองเจ้าเนื้อขาดซึ่งความน่ารื่นรมย์เสียสิ้น จึงปรากฏพระสรีระดังที่เห็นกันในรูปเคารพปัจจุบัน ลองมาดูประวัติความเป็นมาของรูปเคารพพระสังกัจายน์จีน (พระศรีอริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ ) กันบ้าง (คติที่ว่า พระมานุษิโพธิสัตว์พระองค์นี้จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อไป) มาจากอินเดียด้วย มีการสร้างพระรูปเคารพบูชาองค์พระศรีอารยเมตตรัย ซึ่งนิยมสร้างเป็น รูปวีระบุรุษที่มีความสง่างามขนาดใหญ่ ในยุคนั้น ตามความเชื่อที่ว่าพระศรีอาริย์จะเป็นบุรุษร่างใหญ่ สง่างาม ขี่ม้าขาวเป็นพาหนะ เสด็จมาโปรดมนุษย์โลกให้พ้นจากยุคเข็ญ แผ่นดินจีนระสำระสายอย่างหนัก นั่นเป็นสมัยสามก๊กตอนปลาย (ภาคไต้ของจีนเป็นแดนปกครองของก๊กซุนกวน ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก) มีการรบพุ่งฆ่าฟันกันและขาดแคลนอาหารกันอย่างหนัก เรียกได้ว่าเข้าขั้นกลียุค ผู้คนล้มตายกันเป็นอันมาก แผ่นดินลุกเป็นไฟ ทั้งจากสงคราม ปล้นชิงวิ่งราว ขาดแคลนอาหารและอุปโภคบริโภค โรคภัยไขเจ็บ ภัยพิบัติตามธรรมชาติ ผู้คนล้มตายกันเป็นผักปลา ฯลฯ จนผู้คนจำนวนมากพากันเชื่อว่า นี่คือปรากฏการณ์สุดท้ายแห่งธรรม เป็นการสิ้นสุดโดยสิ้นเชิงของยุคพระศากยมุนี (ตามความในคัมภีร์ทั้งของหินยานและมหายาน) แล้วก็เฝ้ารอคอยการเสด็จมาอุบัติของพระศรีอริยเมตตรัย เพื่อชำระพระธรรมให้สะอาดหมดจดอีกวาระหนึ่ง เพื่อเปิดศักราชโลกใหม่นำความร่มเย็นเป็นสุข นำสันติภาพมาสู่มวลพุทธศาสนิกชนอีกครั้ง แต่กาลเวลาได้ผ่านพ้นมาเนิ่นนาน ความเชื่อในการเสด็จมาโปรดของพระศรีอาริยเมตตรัย ก็ค่อยๆเลือนลางลง และการเคารพบูชาวีรบุรุษผู้มีม้าขาวเป็นพาหนะที่ว่า ก็ค่อยๆผ่อนคลายลงตามกาลเวลา ในที่สุดรูปเคารพพระศรีอารยเมตตรัยก็ขาดหายไป ต่อมาในแผ่นดินรัชสมัยของราชวงค์ซ่ง รูปเคารพของพระศรีอาริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ ก็กลับมาปรากฏเป็นที่นิยมอีกครั้ง แต่พระรูปเคารพที่พบในรัชสมัยนี้ ไม่เหมือนในยุคก่อน และได้กลายเป็นต้นแบบพระรูปเคารพของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ มาจนถึงยุคปัจจุบัน นั่นคือพระอ้วนท้วนพุงพลุ้ย ยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ้มปากกว้างอย่างอารมณ์ดี มือถือเส้นประคำพาดหัวเข่า ซึ่งยกชัน มือซ้ายพาดหน้าตัก บ้างก็ถือย่ามป่าน ฯลฯ เหตุที่พระรูปเคารพแปรเปลี่ยนไปอย่างนั้น เล่ากันว่ามีพระภิกษุมหายานรูปหนึ่งเป็นชาวเมืองเฉ้อเจียง รูปร่างเป็นคนอ้วนท้วน พุงพลุ้ย ยิ้มร่าเริงอารมณ์ดีอยู่เสมอ ท่านมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการเช่น สามารถพยากรณ์ อากาศได้ราวตาเห็น ฝนจะตกแดดจะออก จะมีพายุหมุน จะมีพายุหิมะ น้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว ไฟจะไหม้ป่าหรืออื่นๆอีกหลายประการ ชนิดที่กรมอุตุนิยมวิทยาอเมริกาอายม้วนทีเดียวว่ากันว่ามีความแม่นยำร้อนเปอร์เซ็นต์ (การพยากรณ์อากาศถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งกับสังคมเกษตร โดยเฉพาะในสมัยยุคพันปีที่แล้ว ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือหรือวิทยาการเกี่ยวกับการตรวจวัดภูมิอากาศ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากธรรมชาติประเภทนี้ได้เลย ทำให้ภัยจากธรรมชาติเป็นภัยที่ใหญ่หลวงเกินประมาณ การพยากรณ์อากาศที่แม่นยำจึงสำคัญมาก) มีผู้คนพบเห็นพระภิกษุท่านนี้ลงไปสรงน้ำในแม่น้ำ ว่าท่านมี 3 ตา โดยตาที่ 3 อยู่กลางแผ่นหลังนั่นเอง ส่วนย่ามป่านนั้นท่านมักจะหยิบขนมหรือของเล่นต่างๆแจกจ่ายให้เด็กๆ ซึ่งมักจะเดินตามท่านเป็นกลุ่มใหญ่อยู่เสมอ ว่ากันว่าแม้จะหยิบสักเท่าไรก็ไม่เคยหมดย่ามเสียที ทำนองเดียวกับกระเป๋าโดเรมอนการ์ตูนญี่ปุ่นยอดนิยมฮิตของช่อง 9 นั่นแหละครับ ผู้คนพากันเลื่อมใสและด้วยคติที่มีความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์มาก่อน จึงเชื่อว่าพระภิกษุรูปนี้คือ พระศรีอารยเมตรัยโพธิสัตว์ ต่างพากันสร้างรูปเคารพโดยยึดเอารูปลักษณ์พระภิกษุองค์นี้ เป็นต้นแบบ โดยนัยว่า ผู้ใดมีพระรูปเคารพไว้สักการะบูชาแล้ว ย่อมมีความมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีวันหมด เช่นข้าวของในย่ามของท่าน อุดมสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะท่านอ้วนพุงพลุ้ย แปลว่ามีกินมีใช้ไม่ขาดปากขาดมือ เด็กๆชอบห้อมล้อมหน้าหลังเนืองๆ ก็หมายความว่ามีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ไม่ขาดเชื้อสายสืบวงศ์สกุล นั่นคือตำนานที่มาของพระรูปเคารพ พระศรีอาริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ (หรือที่ชาวบ้านเข้าใจและเรียกว่าพระสังกัจจายน์จีนนั่นเหละครับ) (http://www.amulet.in.th/forums/images/1918.jpg) สรุปจุดสังเกตุ: 1. พระสังกัจจายน์มีขมวดผมแบบเม็ดพระศกบนศรีษะ ส่วนพระศรีอารยเมตไตรยไม่มีเม็ดพระศก (พระเศียรเกลี้ยง) 2. พระสังกัจจายน์ห่มจีวรเฉียง มีสังฆาฏิพาดไหล่แบบเดียวกับพระพุทธรูปในนิกายเถรวาท ส่วนพระศรีอาริย์ครองจีวรเปิดด้านหน้า |