[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 21:10:24



หัวข้อ: อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 21:10:24
(http://www.iloveulove.com/images/naropa.jpg)
 
 
อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ
 
วิจักขณ์ พานิช
 
 
ด้วยเหตุที่ว่าชีวิตที่แท้เปี่ยมไปด้วยความเป็นไปได้ที่ไม่มีขีดจำกัด ในทางกลับกันชีวิตจึงเสี่ยงต่อความโกลาหลที่มากตามไปด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกมองพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่ของจิตเป็นสิ่งที่น่าพึงปรารถนาหรือน่าหวั่นไหว มุมมองแตกต่างที่ว่าจะนำพาให้เราได้ไปพบกับทางเลือกของการพัฒนาศักยภาพแห่งการตื่นรู้ สู่การใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมในทุกลมหายใจเข้าออกเพื่อเผชิญหน้ากับสัจธรรมความเป็นอนิจจังดังกล่าว หรือทางเลือกที่จะ “ควบคุม” ความเป็นไปได้ที่โกลาหลด้วยการไม่ยอมรับสรรพสิ่งตามที่เป็นจริง จากนั้นจึงพยายามปิดกั้นศักยภาพอันไพศาลนั้นออกไปจากชีวิตเสีย การควบคุมดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า อาจด้วยเพราะผลที่เห็นได้ชัดถนัดตา และดูเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุอย่างฉับไว ไม่ว่าจะเป็นระดับสังคมที่เห็นกันได้ดาษดื่นจากผู้มีอำนาจทั้งหลาย เช่น เจ้านายควบคุมลูกน้อง พ่อแม่ควบคุมลูก ครูควบคุมนักเรียน รัฐบาลควบคุมสื่อ รถถังควบคุมประชาชน เป็นต้น
 
แต่การควบคุมที่ว่านั้น กำลังทำให้คนส่วนใหญ่กลายเป็นคนเก็บกด เมื่อคนเราไม่รู้จักที่จะเผชิญหน้ากับแง่มุมที่หลากหลายของชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น ชีวิตในแต่ละวันจึงกำลังถูกควบคุมความเป็นไปได้ที่กว้างใหญ่ จนไม่หลงเหลือพื้นที่ภายในให้กับการเรียนรู้ เราต่างกำลังถูกจองจำในทุกๆ ด้าน ยิ่งเราเลือกที่จะควบคุมชีวิต หรือสยบยอมชีวิตให้กับการควบคุมมากเท่าไหร่ ดูเหมือนความเครียดของผู้คนในโลกสมัยใหม่ก็ดูจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย จึงเป็นคำถามที่ว่าทางออกแห่งการควบคุมและกดทับ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วล่ะหรือ เรารู้สึกปลอดภัยและมั่นคงกับการดำรงชีวิตอยู่มากขึ้น หรือการควบคุมที่ว่านั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ส่งผลดีใดๆนอกเสียจากความจำเป็นที่ต้องเพิ่มดีกรีของการควบคุมให้เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จบ
 
 
 
การแบ่งขั้วระหว่าง “โลก” กับ “ธรรม”
 
ผู้คนจำนวนมากเมื่อตระหนักว่าชีวิตพบกับทางตัน ก็ตัดสินใจเลือกที่จะผละจากปัญหาแล้วหันหน้าเข้าหาวัด แต่กลับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ในปัจจุบัน แม้แต่ในบริบทของศาสนธรรม กลับไม่มีคำสอนที่สามารถช่วยบรรเทาความสับสนของผู้คนให้ลดน้อยลงได้ สิ่งที่เรามักได้ยินได้ฟังจากปากของชาววัดกลับเป็นข้อความในแง่ปฏิยัติหรือปฏิเวธที่ถอดเอามาจากพระคัมภีร์ อย่างไม่มีนัยของความเข้าใจในแนวทางการปฏิบัติของการสร้างสัมพันธ์กับอารมณ์ในชีวิตจริงเอาเสียเลย
 
“เลิกยึดมั่นกับมันเสีย อดีตมันผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง
ปล่อยวางมันซะ แล้วชีวิตจะพบกับความสุขสงบที่แท้”
“โลภ โกรธ หลง เป็นเรื่องบ้า ๆ ของอารมณ์ จงควบคุมสติให้
อยู่กับลมหายใจ อย่ามัวพลัดหลงไปกับอารมณ์ร้ายพวกนั้น”
“ ความสุข ความทุกข์ เป็นเรื่องทางโลก ผู้ที่เข้าใจธรรมะ
มีชีวิตอยู่เหนือสุข เหนือทุกข์”
“อย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ไปเลย สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจัง”
“ความรัก คือ บ่อเกิดของความทุกข์”
...เป็นต้น
 
การยัดเยียดหลักการทางธรรมให้พอกทับหลักการทางโลกนั้น อาจทำให้รู้สึกโล่งใจไปได้สักพัก แต่หากผู้ฟังเลือกที่จะ “เชื่อ” คำสอนเหล่านั้น ชีวิตทางธรรมที่ไปรับเอามาก็ดูจะไม่มีอะไรต่างไปจากชีวิตแบบเดิม ๆ เพราะมันยังคงเป็นชีวิตแห้ง ๆ เต็มไปด้วยหลักการล้านแปด อันปราศจากความชุ่มชื้นแห่งประสบการณ์ตรงของการเดินทางด้านใน แม้จะได้ชื่ออันสวยหรูว่าเป็น “ชีวิตทางธรรม” ก็ตามที
 
แม้แต่ในเรื่องของการฝึกจิตภาวนา บ่อยครั้งก็ยังหนีไม่พ้นกลเกมแห่งการควบคุมอีกเช่นเดียวกัน เทคนิคมากมายที่ถูกนำมาใช้ไปในลักษณะของเป้าหมายสูงสุด เพื่อควบคุมอารมณ์ด้านลบไม่ให้ออกมามีอิทธิพลเหนืออารมณ์ด้านบวก จนถูกมองว่าเป็นกลวิธีการแก้ปัญหาความทุกข์ที่ปลายเหตุอย่างได้ผลทันตา ความสุขสงบจากการภาวนาจึงอาจกลายเป็นสิ่งเสพติดชนิดหนึ่งไปโดยปริยาย เมื่อนั้นการภาวนาก็หาได้เป็นกระบวนการฝึกฝนที่จะทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับทุกแง่มุมของชีวิตได้อย่างปราศจากความกลัว มันได้กลับกลายเป็น “การลาพักร้อนจากชีวิต”หรือ “ทางเบี่ยงจิตวิญญาณ” ซึ่งหากเราฝึกฝนจนมีความชำนาญมากพอ ก็อาจจะค้นพบหนทางที่จะภาวนาแล้วหลีกหนีจากความโกลาหลทางอารมณ์ที่รุมเร้า พักจิตไว้ในฌาณขั้นใดขั้นหนึ่ง แล้วพึงเสพความสุขสงบจนเป็นที่พอใจ หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เราพยายามฝึกนั้น กลับไม่ได้ทำให้เราเติบโตทางจิตวิญญาณ หรือรู้จักชีวิตดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เรากำลังพยายามแยกชีวิตออกเป็นสองส่วน “ชีวิตทางโลก” กับ “ชีวิตทางธรรม” ชีวิตที่แตกแยกส่วนเช่นนั้นยังห่างไกลจากความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ในศักยภาพความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงมากนัก มหาสิทธานาโรปะ ตันตราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของพุทธวัชรยาน ได้ตระหนักรู้ในข้อจำกัดที่ว่านี้ ท่านใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตศึกษาหลักพุทธปรัชญาจนแตกฉาน ชื่อเสียงและความสามารถของท่านเป็นที่เคารพเกรงขาม จนได้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของสถาบันการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียอย่างมหาวิทยาลัยนาลันทา จนมาวันหนึ่งขณะนาโรปะกำลังนั่งอ่านพระคัมภีร์อย่างคร่ำเคร่ง เงามืดได้พาดทอเข้าปกคลุม นาโรปะหันไปพบกับหญิงแก่นางหนึ่ง เดินกะเผลก ๆ ด้วยไม้เท้า สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาดลุ่ยคลุมผิวหนังเหี่ยวย่นอันเหม็นสาบ หญิงแก่มองมาที่นาโรปะ
 
“เจ้ากำลังอ่านอะไร”
“อาตมากำลังอ่านพระคัมภีร์ที่ว่าด้วยหลักพุทธปรัชญาขั้นสูง
ที่อาตมาคงไม่สามารถอธิบายให้หญิงแก่อย่างท่านเข้าใจได้”
หญิงแก่จึงถามต่อว่า
“เจ้าเข้าใจคำทุกคำที่ว่าไว้ในพระคัมภีร์หรือเปล่า”
“แน่นอน อาตมาเข้าใจคำทุกคำตามพระคัมภีร์”
 
หญิงแก่ได้ยินดังนั้น ก็ดีใจยิ่งนัก แย้มยิ้ม หัวเราะ กระโดดโลดเต้น
ควงไม้เท้า ร่ายรำไปรอบ ๆ
นาโรปะเห็นหญิงแก่มีความสุขเช่นนั้น จึงกล่าวต่อไปว่า
“มากไปกว่านั้น อาตมายังเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งทั้งหมดที่แฝง
ไว้ในพระคัมภีร์อีกด้วย”
พอได้ยินดังนั้น หญิงแก่ถึงกับทรุดฮวบลงไปกับพื้น ร้องไห้
ครวญครางด้วยความเศร้าโศก
นาโรปะแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง รีบเข้าไปประคองหญิงแก่
พร้อมถามว่าทำไมถึงต้องโศกเศร้าถึงเพียงนั้น
หญิงแก่จึงตอบนาโรปะว่า
 
“เมื่อข้าเห็นมหาบัณฑิตผู้เลื่องลือสามารถหลอกตัวเองว่าสามารถ
เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งแห่งชีวิต ด้วยการเอาแต่นั่งอ่านพระคัมภีร์ไปวัน ๆ
มันทำให้ข้ารู้สึกโศกเศร้ายิ่งนัก”
 
นาโรปะได้ยินคำของหญิงแก่ ก็ถึงกับหน้ามืด รู้สึกราวกับคำกล่าวนั้นได้ตอกย้ำให้เขาหวนตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตที่แท้ที่เขาไม่เคยได้สัมผัส
 
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น นาโรปะถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาไม่สามารถหลงระเริงอยู่กับเกียรติยศชื่อเสียงจอมปลอมที่คนรอบข้างต่างยกยอสรรเสริญถึงความรอบรู้ของเขาได้อีกต่อไป เขาตัดสินใจสละคราบนักบวช ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วมุ่งหน้าสู่ป่าลึกทางทิศตะวันออก เพื่อตามหาคุรุผู้สามารถสอนหนทางแห่งการสัมผัสคุณค่าของการมีชีวิตที่แท้
 
ชีวิตของนาโรปะเป็นตัวอย่างของบุคคลผู้ซึ่งใช้เวลากว่าค่อนชีวิต ภายใต้เกราะป้องกันทางหลักการที่ล้ำลึก ชื่อเสียง เกียรติยศ สถานภาพ คำสรรเสริญเยินยอจากภายนอก กลับไม่ได้ทำให้ชีวิตภายในของเขาชุ่มชื้นอย่างที่ควรจะเป็น การศึกษาธรรมะโดยไม่รู้จักสร้างความสัมพันธ์กับอารมณ์นอกจากจะทำให้ชีวิตของเรากลายเป็นชีวิตธัมมะธัมโมที่ขาดความชุ่มชื้นแล้ว เรายังไม่สามารถที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับใครได้อีกด้วย เพราะเมื่อเราเลือกที่จะสร้างเกราะมาป้องกันเลือดเนื้อแห่งชีวิต เพื่อที่จะหลีกหนีต่อความทุกข์และความเจ็บปวด เราก็กำลังตัดขาดชีวิตของเราเองออกจากผู้คนรอบข้างไปด้วยพร้อม ๆ กัน แม้อาจจะมีความสัมพันธ์ที่ผิวเผินอยู่บ้าง แต่สายใยเหล่านั้นก็ออกจะตื้นเขินเกินกว่าที่จะเรียกได้ว่าเป็นสายสัมพันธ์ที่ยั่งยืนแท้จริง นั่นคือสาเหตุสำคัญที่ว่าหากเราจะมานั่งจิบน้ำชาถกเถียงกันเรื่องของพุทธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงสังคมกันแล้ว การภาวนาเพื่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึก จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดต่อชีวิตนักต่อสู้ทางสังคมรุ่นใหม่ไฟแรงทั้งหลาย ไม่เช่นนั้นการทำงานเพื่อสังคมกับการฝึกฝนทางจิตวิญญาณก็ยังคงต้องเป็นของแสลงต่อกันราวกับน้ำกับน้ำมันที่แยกชั้น ไม่สามารถผสมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างลงตัวเสียที


หัวข้อ: Re: อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 21:10:44
(http://z.about.com/d/buddhism/1/0/t/1/-/-/Vairochana.jpg)
*ภาพ พระมหาไวโจนะพุทธะ พุทธศิลป์แบบทังก้า ธิเบต
 
 
สัมผัสพลังชีวิตบนจิตว่าง
 
นามธรรมที่เรียกกันว่าอารมณ์เป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกและสัญชาตญาณขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ ที่มีมาก่อนหลักวิธีคิดสูงส่งซับซ้อนที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาในภายหลัง อารมณ์คือพลังชีวิตที่ถูกเร้าด้วยเหตุปัจจัยภายในและภายนอกอันอยู่เหนือการควบคุม จึงง่ายต่อการด่วนสรุปไปว่า อารมณ์คือต้นตอของความโกลาหล สับสน วุ่นวาย อันจะแปลงกลายเป็นปีศาจร้ายที่ชื่อความทุกข์ในที่สุด
 
ความหลงผิดที่ว่าเกิดมาจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างร้ายแรง เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ คือ เหตุปัจจัยภายในและภายนอกที่เลื่อนไหลต่างหาก อารมณ์เป็นเพียงสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ ที่มีเลือดเนื้อและความรู้สึก ในพุทธศาสนานั้นได้สอนไว้อย่างชัดเจนว่าเหตุปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่รายรอบตัวเราต่างก็ไม่จีรังยั่งยืน แปรเปลี่ยนไป คงอยู่ไม่ได้นาน และหาได้มีแก่นสารแห่งตัวตนที่แท้ ดังนั้นหากเราต้องการใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ สิ่งที่เราต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ ก็คือ การสร้างความสัมพันธ์กับความเป็นไปตามธรรมชาติแห่งเหตุปัจจัยที่ว่านั้นอย่างถูกต้อง
 
พื้นฐานความเข้าใจในเรื่องของความไม่มีตัวตน เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเข้าไปสัมผัสประสบการณ์ที่ละเอียดอ่อนของการดำเนินชีวิตในแต่ละขณะ ชีวิตที่แท้ประกอบไปด้วยการเลื่อนไหลของพลังงานอย่างเป็นพลวัต ผู้คนในโลกสมัยใหม่มักมีความเข้าใจไปว่า อารมณ์คือผลผลิตของความคิด และสมองคือกองบัญชาการแห่งการควบคุมอารมณ์ แต่หากเราลองเริ่มต้นสังเกตและสัมผัสการเลื่อนไหลของอารมณ์อย่างใกล้ชิด เราจะรู้ได้ทันทีว่า แท้จริงแล้วการเลื่อนไหลของอารมณ์นั้นมีความสัมพันธ์กับร่างกายในทุก ๆ ส่วน อาจจะกล่าวได้ว่า ทุกอณูรูขุมขนของร่างกายมีความสามารถรับรู้ถึงพลังงานชีวิตที่ผุดขึ้นมา ณ วินาทีนั้นได้โดยไม่ต้องอาศัยการถอดความของสมองเลยแม้แต่น้อย


หัวข้อ: Re: อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 21:11:06
(http://i266.photobucket.com/albums/ii248/Sadaruchi/Chakras.jpg)
 
 
แบบฝึกหัดที่ ๑ : อาณาปาณสติกับการตื่นรู้ทางอารมณ์

 
การใช้ลมหายใจช่วยในการฝึกฝนความรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ว่าลมหายใจเป็นสิ่งมหัศจรรย์ลึกลับน่าพิศวง ลมหายใจ ก็คือร่างกายของเรานั่นเอง แต่เป็นร่างกายในลักษณะของการสัมผัสรับรู้การดำรงอยู่ในมิติที่ลึกซึ้งขึ้น

เริ่มต้นด้วยการตามความรู้สึกของลมหายใจที่เลื่อนไหลกระทบปลายจมูก รู้สึกถึงความอุ่นที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อลมค่อย ๆ เข้าสู่ร่างกาย และรับรู้ถึงลมที่ค่อยๆเย็นลงเมื่อออกจากร่างกาย พยายามสูดหายใจให้เต็มปอดเพื่อสร้างความรู้สึกเปิดรับและผ่อนคลาย ค่อย ๆ ตามลมหายใจเข้าออก ด้วยความมีสติอยู่ในทุกปัจจุบันขณะ หากจิตเริ่มฟุ้งด้วยภาพความคิดในอดีตและจินตนาการในอนาคต เราสามารถนำเทคนิคการเตือนสติตนเอง โดยเมื่อรู้ตัวว่าเริ่มคิด ให้บอกกับตัวเองในใจว่า “คิด!” แล้วจึงปล่อยวางการยึดมั่นในความคิดนั้น การเตือนตัวเองเช่นนี้จะทำให้เราสามารถตัดวงล้อแห่งความคิดฟุ้งซ่านแล้วสามารถกลับมามีสติอยู่ที่ลมหายใจได้อีกครั้ง
 
จากการฝึกสติที่ปลายจมูก ค่อย ๆ สังเกตถึงพลังแห่งการตื่นรู้ภายในที่ไหลเวียนอยู่ในทุกส่วนของร่างกาย หากสังเกตให้ดี เราจะรู้ว่าพลังแห่งการตื่นรู้ที่ว่ายังรวมถึงพื้นที่ว่างภายนอกรอบตัวเราอีกด้วย การค้นพบนี้จะนำเราไปสู่คำถามที่ว่า ร่างกายที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ ?
 
ยิ่งเราสามารถผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนได้มากเท่าไหร่ การตามลมหายใจที่ปลายจมูกก็ดูจะส่งผลต่อการสร้างสัมพันธ์กับพลังแห่งการตื่นรู้ในกายได้มากขึ้นเท่านั้น และที่น่าแปลกก็คือ ยิ่งเรามีสติอยู่ที่ลมหายใจมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งค้นพบจุดที่แข็งเกร็งตามส่วนต่าง ๆ ที่ร้องเรียกให้เราได้ปล่อยวางและผ่อนคลาย นั่นคือความหมายของบ่มเพาะการมีสติอยู่กับเนื้อกับตัว
 
แก่นภายในของร่างกายนั้นประกอบด้วยเส้นการไหลวิ่งของพลังงานบริเวณด้านหน้าของกระดูกสันหลัง จากกระดูกสะโพกถึงกระดูกศีรษะส่วนบน เส้นพลังงานที่ว่าจะค่อย ๆ ปรากฏให้เราสัมผัสได้ก็ต่อเมื่อความตึงเครียดค่อย ๆ ถูกปลดปล่อยออกไปทีละน้อย สรีระตามธรรมชาติของการไหลเวียนแห่งพลังงานจะเพิ่มความสำคัญต่อการฝึกมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยการฝึกอานาปาณสติเช่นนี้จะนำผู้ฝึกไปสู่ความผ่อนคลายที่ลึกขึ้นจนคุณรู้สึกราวกับว่าขอบเขตข้อจำกัดทางกายภาพของร่างกายค่อย ๆ อันตรธานไป จนร่างกายกลายเป็น “วัชรกายา” อันแสดงถึง ฐานแห่งความว่างที่ยอมให้สายธารแห่งการตื่นรู้ได้เลื่อนไหล ปมแห่งกรรมภายในค่อย ๆ คลี่คลาย ปลดปล่อยเป็นพลังงานทางความรู้สึกและอารมณ์ที่เทถ่ายในทุกอณู ให้เราได้สัมผัส รับรู้ และปล่อยวาง อย่างเป็นครรลอง


หัวข้อ: Re: อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 21:11:25
(http://humanemerging.files.wordpress.com/2008/07/freewill.jpg)
 
 
แบบฝึกหัดที่ ๒: สัมผัสการตื่นรู้ในทุกอณูของร่างกาย
 
 
เริ่มต้นด้วยการนอนราบกับพื้น ชันเขาแล้วใช้ผ้าหรือเข็มขัดรัดบริเวณเหนือหัวเข่า พอให้หัวเข่าสองข้างพอชนกัน เท้าสองข้างแยกออกพอประมาณเพื่อเพิ่มเสถียรภาพ มือสองข้างประสานกันไว้เหนือท้องน้อย จากนั้นให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ค่อย ๆ ถ่ายเทความตึงแน่นไหลผ่านสิบจุดสัมผัสระหว่างร่างกายกับพื้นลงสู่ผืนดินเบื้องล่าง เริ่มจากฝ่าเท้าทั้งสองข้าง ก้น แผ่นหลัง ข้อศอก หัวไหล่ และศีรษะตามลำดับ ใช้เวลาในการผ่อนคลายความเครียดในแต่ละจุดอย่างเต็มที่
 
จากนั้นให้สูดลมหายใจจากรูจมูกยาวไปยังบริเวณท้องน้อย ค่อย ๆ ตามลมหายใจเข้าออกตามการยุบพอง จนสามารถสัมผัสจุดจักราบริเวณใต้สะดือหลังแนวกระดูกสันหลัง ที่ทำหน้าที่เป็นประตูสู่ความว่างอันไร้ขอบเขตได้ จากนั้นจึงพักจิตไว้ในพื้นที่ว่างนั้น ปลดปล่อย และผ่อนคลาย เสมือนตกอยู่ในภาวะดิ่งอิสระ
 
จากนั้นให้ปลดรัดและลดหัวเข้าสู่ท่านอนราบโดยสมบูรณ์ โดยอาจใช้เบาะรองช่วงขาให้สูงขึ้นเล็กน้อย ปล่อยมือทั้งสองไว้ข้างลำตัว การฝึกขั้นนี้จะเป็นการกำหนดจิตเพื่อสูดเอาลมหายใจนำพลังชีวิตหรือปราณไปสู่จุดต่าง ๆ ของร่างกาย เริ่มต้นด้วยหัวแม่เท้าทั้งสองข้าง พยายามปลดปล่อยหลักการความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ในหัวออกไปให้หมด แล้วตั้งจิตสูดลมหายใจจนไปถึงหัวแม่เท้า จากนั้นจึงขยายไปที่นิ้วอื่น ๆ ฝ่าเท้า หน้าแข้ง หัวเข่า น่อง ก้น อวัยวะเพศ ท้องน้อย สะเอว แผ่นหลัง นิ้วมือ แขน ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงกระหม่อมศีรษะ เราอาจจะเริ่มปฏิบัติด้วยการไม่รู้สึกอะไรเลย ทุกอย่างดูจะด้านตายไปหมด แต่เมื่อเราค่อย ๆ ฝึกฝน ตามลมหายใจไปสู่จุดต่าง ๆ ของร่างกายที่ไร้ความรู้สึก ผ่านไปสักระยะหนึ่งร่างกายจะเริ่มแสดงสัญญาณของการกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เราเริ่มสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาตอบสนอง ความตื่นรู้จะค่อย ๆ ปรากฎขึ้นด้วยประสาทสัมผัสที่แจ่มชัด เราจะเริ่มตระหนักได้ว่า แบบแผนตายตัวที่เรามีต่อความบีบคั้นในร่างกาย เกิดขึ้นจากส่วนของจิตใต้สำนึกหรือจิตสำนึกในขั้นต้นของการแข็งเกร็ง เรากำลังเก็บซ่อน ปมหรือแง่มุมบางอย่างของชีวิตไว้ในมุมมืด เป็นส่วนที่เราเพิกเฉย หรือไม่กล้าที่จะเข้าไปสร้างปฏิสัมพันธ์ เมื่อเราฝึกไปเรื่อย ๆ เราจะเริ่มพบว่าในบางบริเวณของความแข็งตึงค่อย ๆ คลายออก ปรากฎให้เรารับรู้ถึงปฏิกิริยาตอบสนอง เผยให้เราเห็นประกายแห่งความมีชีวิตชีวา ยิ่งร่างกายสามารถผ่อนคลายได้มากขึ้น เราก็ยิ่งสามารถสัมผัสถึงความว่างได้มากขึ้นตามไปด้วย ความว่างเป็นผลมาจากการผ่อนคลายและผ่อนพัก อันจะเป็นบาทฐานที่ทำให้เราสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ และความรู้สึก ได้อย่างเต็มที่


หัวข้อ: Re: อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 21:11:51
(http://enjoylivingwater.com/images/water%20drop.JPG)
 
 
๑) พลังวัชระ (พลังปัญญาสีน้ำเงิน)
 
วัชระนั้นเป็นอาวุธที่แข็งยิ่งกว่าเพชร เป็นที่รู้กันดีว่าไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถทำลายวัชระได้ เอกลักษณ์ของพลังวัชระ คือ ความแกร่งที่สามารถตัดสิ่งต่าง ๆได้อย่างเฉียบคม พลังการตื่นรู้แบบวัชระเป็นพลังแห่งความเฉียบขาด ทิ่มแทงอย่างตรงจุด ตัดในส่วนที่เกินความจำเป็นได้อย่างหมดจด อีกทั้งยังสามารถตระหนักรู้ถึงความเป็นไปรอบด้านอย่างแจ่มชัดอีกด้วย
 
พลังวัชระแสดงถึงความสามารถในการคิดวินิจฉัยใคร่ครวญได้อย่างลึกซึ้ง มีความหลักแหลมเฉียบคมทางปัญญา ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบถี่ถ้วน วิเคราะห์เหตุปัจจัย ผลลัพธ์ความเป็นไปได้อย่างตรงจุด

แต่ในทางกลับกัน หากพลังวัชระตั้งอยู่โดยปราศจากความว่าง ข้อจำกัดแห่งตัวตนก็จะพลิกผันคุณสมบัติด้านบวกไปสู่ความบ้าคลั่งในแบบวัชระ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความโกรธ และการตัดสินผู้อื่นอย่างเสีย ๆ หาย ๆ ความแหลมคมในการวิเคราะห์วินิจฉัยก็จะกลับกลายเป็นความยึดมั่นในหลักการของตนกลายเป็นความหยาบกระด้างและแข็งทื่อ อย่างที่ไม่ยอมเปิดรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ส่วนความโกรธในแบบวัชระนั้น เปรียบได้กับน้ำแข็งที่เย็นจนบาดเข้าไปถึงเนื้อ เป็นความแหลมคมที่ไปทิ่มแทงผู้อื่นอย่างเย็นชา
 
วัชระสัมพันธ์โดยตรงกับธาตุน้ำ น้ำที่ใสและนิ่งแสดงถึงธรรมชาติของความชัดเจน แน่วแน่ สะท้อนสรรพสิ่งตามที่เป็นจริงได้อย่างชัดเจน แต่น้ำที่ขุ่นและปั่นป่วน ก็แสดงถึงกลไกปกป้องตนเอง การเอาแต่ตนเองเป็นที่ตั้ง และความขุ่นมัวเย็นชา


หัวข้อ: Re: อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 21:12:13
(http://images4.lussori.com/ProductImages/Jewelry/Ring/Zoom/MCT_x84645976_Z.jpg)
 
๒) พลังรัตนะ (พลังปัญญาสีเหลือง)
 
คุณสมบัติของพลังรัตนะ คือ ความโอบอุ้ม ดูแล เผื่อแผ่ และหล่อเลี้ยง มีความสัมพันธ์โดยตรงกับธาตุดิน เป็นพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์และความงอกงาม พลังรัตนะจะมีคุณลักษณะของความอ่อนโยน และการให้อย่างไม่มีข้อแม้ จิตรัตนะจะคิดถึงแต่ผู้อื่นและหมั่นหล่อเลี้ยงมิตรภาพและความสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้างอยู่เสมอ ความกว้างในแบบรัตนะจะให้ความรู้สึกของการโอบอุ้มและความอบอุ่นราวกับอ้อมแขนของแม่ ปัญญาแห่งรัตนะแสดงถึงความรุ่มรวยที่ออกมาจากความเต็มเปี่ยมภายใน ก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจแห่งการให้ และการเผื่อแผ่แบ่งปันสู่ผู้อื่นอย่างเป็นธรรมชาติ
 
อัตตาที่บ้าคลั่งในแบบรัตนะจะแสดงออกด้วยการเปิดขยายอย่างหมกมุ่น จนเป็นความเยิ่นเย้อ ความเกินพอดี ความสุรุ่ยสุร่าย “ให้จนเสียคน” หรือ ความ “เว่อร์” เป็นต้น ความกว้างโดยปราศจากพื้นที่ว่างภายในอาจพลิกกลับกลายเป็นความตระหนี่ หรือความตะกละได้เช่นกัน นั่นคือความต้องการที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง จนกลายเป็น “ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ” เหมือนผืนทะเลทรายที่แห้งแล้ง หรือธรณีสูบนั่นเอง


หัวข้อ: Re: อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 21:12:34
(http://www.antinopolis.org/bloodlotus.jpg)
 
๓) พลังปัทมะ (พลังปัญญาสีแดง)
 
ปัทมะ แสดงถึงการเปิดกว้าง คลี่บานอันงดงามของดอกบัว การเปิดในแบบปัทมะเป็นไปในลักษณะของความสัมพันธ์ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และแรงดึงดูดที่รุนแรง พลังตื่นรู้ในด้านนี้มีเสน่ห์ ร้อนแรง น่าหลงใหล และยังสามารถสัมผัสได้ถึงความสดชื่นและมีชีวิตชีวายามที่ได้เข้าใกล้ การสัมผัสพลังปัทมะเหมือนกับการได้แช่ในอ่างที่หอมหวลไปด้วยสมุนไพรและพฤกษานานาพันธุ์

แต่ในความบ้าคลั่งแบบปัทมะ เราจะเริ่มรู้สึกถึงความร้อนของราคะที่เผาไหม้ การขาดพื้นที่ว่างทำให้พลังปัทมะรุนแรงจนทำเอาเราหายใจไม่ออก ไร้ซึ่งพื้นที่แห่งการสื่อสารปฏิสัมพันธ์ จนกลายเป็นความลุ่มหลงเกินพอดี แน่นอนว่าธาตุที่สัมพันธ์กับพลังปัทมะ ก็คือ ธาตุไฟนั่นเอง โดยปกตินั้นไฟให้อบอุ่นและแสงสว่าง และการพลิ้วไหวโชดช่วงของไฟนั้นดึงดูดสายตาให้จดจ้องอย่างไม่อาจละวางได้ ประกายและความร้อนของไฟยังปลุกให้เราตื่นจากอวิชชาความง่วงเหงา แต่กระนั้นหากไฟลุกโหมอย่างบ้าคลั่ง ก็จะเข้าเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างไม่เลือก


หัวข้อ: Re: อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 21:12:54
(http://imagecache2.allposters.com/images/pic/RIC/2400-1879~Forest-Creek-Posters.jpg)
 
๔) พลังกรรมะ (พลังปัญญาสีเขียว)
 
กรรม ในที่นี่หมายถึงการกระทำ อันแสดงถึง การเลื่อนไหลดั่งสายธารของพลังทางปัญญา โดยพลังในรูปแบบกรรมะ แสดงถึงความกระตือรือล้นและแรงดลใจอันจะนำไปสู่การกระทำอย่างมีประสิทธิผล พลังกรรมะจะไม่เคยหยุดอยู่นิ่ง ชอบคิดประดิษฐ์ สรรค์สร้างสิ่งละอันพันละน้อยอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังสามารถทำไปได้เรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน และไม่รู้จักเหนื่อยอีกด้วย แม้แต่ในสถานการณ์คับขัน พลังกรรมะก็ยังสามารถพัดผ่านนำเอาความชุ่มชื้นมาให้ ความตื่นรู้ในลักษณะนี้จะมองเห็นความเป็นไปได้ที่ซ่อนอยู่ในทุก ๆ สถานการณ์ แล้วจึงแสดงออกมาในรูปแบบของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเหมาะสมอยู่เสมอ กรรมะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับธาตุลมนั่นเอง

ความบ้าคลั่งแบบกรรมะ ก็คือ ความจู้จี้จุกจิก ความเจ้ากี้เจ้าการ ความดันทุรัง การทำอะไรไปเรื่อย ๆ ตามสิ่งเร้าอย่างไม่บันยะบันยัง เอาแต่ใจตัวเอง ขี้ใจน้อย ฉุนเฉียว และขี้อิจฉา ด้วยแนวโน้มของการทำอะไรตามแบบแผนคุ้นชิน และการพัดพาเอาแต่ความต้องการของตนเองเป็นที่ตั้ง


หัวข้อ: Re: อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 21:13:17
(http://farm4.static.flickr.com/3225/2834095421_546fec5a10.jpg?v=0)
 
 
๕) พลังพุทธะ (พลังปัญญาสีขาว)
 
พลังพุทธะสัมพันธ์กับธรรมชาติแห่งการตื่นรู้อันไพศาล หรืออากาศธาตุ พุทธปัญญา คือพลังพื้นฐานของจิตที่แผ่ออกมาจากพื้นที่ภายในอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต พลังพื้นฐานที่ว่านี้มีความสำคัญต่อการโผล่ปรากฏ ไหลเลื่อน หมุนวนของพลังปัญญาสีอื่น ๆ พลังพุทธะมีคุณลักษณะของการใคร่ครวญพิจารณาหาคุณค่าและความหมายของสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา เป็นความใจกว้างในเชิงจิตวิญญาณที่รองรับความเป็นไปได้ในแบบต่าง ๆ อย่างไม่ตัดสิน
 
ความพลิกผันของพลังพุทธะ คือ ความเฉื่อยชาและน่าเบื่อ สามารถอยู่เฉย ๆ ได้ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร ชอบที่จะปิดตัวเองอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ ความเงียบก็จะบูดเป็นความเย็นชาจนกลายเป็นความเหงา และความง่วงในที่สุด ความหงุดหงิดในแบบพุทธะอีกอย่างหนึ่งก็คือ การไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร และไม่ต้องการให้ใครมายุ่ง อีกทั้งยังขี้อาย และไม่กล้าลองทำอะไรใหม่ ๆ

 
 
ปัญญาทั้งห้าสี คือ พลังการเรียนรู้ที่มีชีวิต การบ่มเพาะพลังทั้งห้าในด้านของปัญญาจำเป็นจะต้องมีพื้นที่ว่างให้กับการเลื่อนไหล และเกิดดับตามธรรมดาสภาวะ เราจะต้องละเลิกความเคยชินของการควบคุมและกดทับ แล้วฝึกฝนเปิดใจให้อยู่ในภาวะของการผ่อนพักตระหนักรู้โดยสมบูรณ์ นั่นคือความหมายที่แท้ของการภาวนาในฐานะกระบวนการเรียนรู้และการสร้างความสัมพันธ์ บนรากฐานของการปล่อยวางและศิโรราบ
 
หากเมื่อใดที่ความว่างถูกแปรเปลี่ยนเป็นความบีบคั้น อันเป็นแรงต่อต้านต่อการเลื่อนไหลของเหตุปัจจัยภายนอก ความตื่นตระหนกก็จะนำไปสู่กลไกการควบคุม เพิ่มความเครียด และความแข็งเกร็งให้กับทุกกล้ามเนื้อและทุกรูขุมขนของร่างกาย ปฏิกิริยานี้ส่งต่อไปยังสมองให้เร่งคิดที่จะควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยด่วน การบีบคั้นเช่นนั้น ก่อให้เกิดการพลิกกลับของความสัมพันธ์ต่อประสบการณ์ที่เกิดขึ้น พื้นที่ว่างอันไร้ขีดจำกัดถูกมองเป็นภยันต์อันตราย ศักยภาพที่กว้างใหญ่ถูกมองกลับไปเป็นความโกลาหล และความกลัวก่อให้เกิดการสร้างขอบเขตของพื้นที่ว่างของจิตเพื่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ขอบเขตที่ว่าคือสิ่งที่เรียกว่าอัตตาตัวตนนั่นเอง ในขอบเขตที่จำกัดของอัตตา พลังตื่นรู้ทางปัญญาก็จะพลิกผันกลายเป็นพลังอัตตาที่บ้าคลั่ง ด้วยความหลงผิดไปว่าการควบคุมจะนำมาซึ่งพื้นที่ว่าง “ของเรา”ที่ขยายกว้างและปลอดภัยมากขึ้น


หัวข้อ: Re: อารมณ ์: รากฐานแห่งตันตระ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 15 มิถุนายน 2553 21:13:40
(http://2.bp.blogspot.com/_WsigvaSjN2g/RrSebDvzOgI/AAAAAAAAAQs/4m5sJ5vlzus/s320/buddha_sky_water.jpg)
 
บทส่งท้าย:
 
การภาวนาบนฐานการตื่นรู้ในกาย คือ หนทางแห่งการสร้างความสัมพันธ์กับอารมณ์และความรู้สึกอย่างถูกต้อง เมื่อเราได้ฝึกฝนอย่างจริงจัง ณ จุดหนึ่งเราอาจจะรู้สึกราวกับว่าแต่ละส่วนของร่างกายค่อย ๆ เปิดกว้างราวกับดอกไม้กำลังแง้มบานขานรับแสงอาทิตย์ยามเช้า เรารู้สึกถึงพลังชีวิตได้ถูกปลุกให้ตื่น กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่ละส่วนของร่างกายดูจะมีพลังแห่งการตื่นรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของมันเอง ที่เราสามารถจะเข้าไปสร้างความสัมพันธ์ สื่อสารแลกเปลี่ยนเพื่อการเรียนรู้ข้อความที่ร่างกายส่วนนั้นต้องการจะสื่อสารกับเรา
 
การฝึกฝนทางจิตวิญญาณ นอกจากจะคือการบ่มเพาะพลังแห่งการตื่นรู้ในกาย และการผ่อนพักใจให้ดำรงอยู่ในพื้นที่ว่างแห่งการเรียนรู้ภายในแล้ว เรายังต้องเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพลังงานแห่งอารมณ์ที่ผุดบังเกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา อารมณ์เป็นเฉดสีของพลังงานที่ไหลเลื่อน โผล่ปรากฎหมุนวนเป็นพลวัต เราทุกคนต่างก็มีศักยภาพที่จะเปิดรับ สัมผัสพลังงานเหล่านั้นกันได้อย่างเต็มที่ เพราะแท้จริงแล้วพลังงานเหล่านี้ ก็คือ กระแสธารที่ประกอบกันขึ้นเป็นประสบการณ์ที่เรามักหลงผิดคิดไปว่าเป็น “ตัวเรา”นั่นเอง
 
แต่ทั้งนี้การทำความรู้จักและสร้างความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับอารมณ์ ท้ายที่สุดแล้วก็จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ของการรู้จักตัวเองได้จริง ๆ การภาวนากับอารมณ์เป็นการเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับศักยภาพภายใน สาดแสงไฟแห่งการตื่นรู้ สู่การเรียนรู้ทุกแง่มุมของชีวิต จนสามารถค้นพบศักยภาพแท้จริงที่เต็มเปี่ยมในแบบของเราเอง สู่การเหาะเหินเดินเท้าดำดิน ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมดื่มกินไปกับเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั่วทุกหกภพภูมิด้วยพื้นฐานของจิตใจที่ง่ายงามตามเส้นทางแห่งการฝึกฝนตนเองในทุก ๆ ย่างก้าว
 


๏ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ปาจารยสาร