[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 22 มีนาคม 2555 19:20:04



หัวข้อ: หญิงนครโสภิณี
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 22 มีนาคม 2555 19:20:04
หญิงโสภิณี
                “โสภิณี”    หรือ    “โสเภณี”        พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕      นิยามไว้ว่า หญิงค้าประเวณี (ย่อมาจาก นครโสภิณี)     ส่วนพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับ พ.ศ. ๒๔๙๓     ให้นิยามว่า  “หญิงงามเมือง.  หญิงคนชั่ว”      ภาษาถิ่นอีสานเรียก "หญิงแม่จ้าง"   และโดยทั่ว ๆ ไปเราจะเข้าใจกันว่ามีความหมายนัยเดียวกับ  นางคณิกา   นั่นเอง  ส่วนภาษาปากเช่นอีตัว ฯลฯ  เราท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จึงไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้
               อาชีพโสเภณีปรากฏมีมาแต่ครั้งสมัยพุทธกาล   ในสมัยนั้นอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพที่มีเกียรติ   สังคมให้การยกย่องอย่างมาก   ผู้ที่จะเป็นโสเภณีได้ต้องได้รับแต่งตั้งจากพระราชาแล้วเท่านั้น       ในพุทธประวัติได้กล่าวถึงนางคณิกาหรือโสเภณีไว้ท่านหนึ่ง    ท่านผู้นี้ได้นางอุตราเป็นกัลยาณมิตร     นางได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   จนสำเร็จเป็นอริยบุคคล   ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล  

(http://www.larnbuddhism.com/atatakka/tere/Bud22.JPG)


                   หญิงโสเภณีที่ปรากฏในพุทธประวัติท่านนั้น  มีชื่อว่านางสิริมา              นางสิริมาอาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธในสมัยนั้น     นางเป็นบุตรสาวของนางสาลวดีผู้ซึ่งเป็นหญิงโสเภณี      และเป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจจ์   (ซึ่งเป็นแพทย์ ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร  และด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์มาก  จึงเป็นเหตุให้มีคนมาบวช เพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษาตัวจำนวนมาก จนหมอชีวก ต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อห้ามมิให้รับบวชคนเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิดฯ)  
                   นางสิริมาเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาสวยงามมาก     นางได้รับการฝึกฝนอบรมศิลปะการเป็นนางคณิกาจากนางสาลวดีผู้เป็นมารดาจนมีความฉลาดชำนาญในการคณิกาศิลป์     จึงมีบุรุษทั้งหลายรับนางไปบำเรอและสมสู่ด้วย    โดยจ่ายทรัพย์ให้แก่นางเป็นค่าตอบแทนถึงคืนละ ๕๐ กหาปณะ     (๑ กหาปณะ  มีค่าเท่ากับ ๒๐ มาสก หรือ ๑ ตำลึง คือ ๔ บาท)........ต่อมา นางสิริมาได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนบรรลุคุณธรรมพิเศษคือโสดาปัตติผล  จึงเลิกอาชีพโสเภณีและประกาศตนเป็นอุบาสิกาผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ  

(http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRpLynPduHVp9YCJ8NWcheSkUao-T_VRuNlRhY9S5hkoHGh8fmjfw)
ย้อนกลับมาที่สังคมไทยกันบ้าง
                  ปัจจุบันอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพผิดกฎหมาย  แต่ถึงกระนั้นโสเภณีก็ยังคงมีอยู่ทั้งแบบขนานแท้และดั้งเดิมคือ  ชนิดอยู่ซ่อง  หรือชนิดนางบังเงา      กับแบบใหม่ซึ่งมาในรูปของการให้บริการ  เช่น นางในร้านอาหาร  หรือบริการ อาบ อบ นวด   หรือนางทางโทรศัพท์       กับแบบศิลปินเดี่ยวไร้สังกัดประกอบอาชีพโดยอาศัยช่องทางความก้าวหน้าของสื่ออินเทอร์เน็ต   เป็นต้น
                   ปรากฏหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดก็ว่าได้ว่าโสเภณีมีมาแล้วแต่ครั้งปลายสมัยกรุงสุโขทัย   ตามหนังสือกฎหมายโบราณ “ลักษณะผัวเมีย”  ซึ่งบัญญัติขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๔    ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑  (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา   หรือเมื่อราว ๖๕๐ ปีล่วงมาแล้ว   ในบทที่ ๖ ว่า
   "มาตราหนึ่ง  ชายใดสู่ขอเอาหญิงคนขับรำเที่ยวขอทานเลี้ยงชีวิต  และหญิงนครโสเภณีมาเลี้ยงเป็นเมีย  ทำชั่วเหนือผัวก็ดี  ผัวรู้ด้วยประการใด ๆ  พิจารณาเป็นสัจไซ้  ท่านให้ผจานหญิงชายนั้นด้วยไถนา     ส่วนหญิงอันร้ายให้เอาเฉลวปะหน้า   ทัดดอกฉะบาทั้งสองหูร้อยดอกฉะบาแดงเป็นมาไลยใส่ศีศะใส่คอแล้วให้เอาหญิงนั้นเข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง   ชายชู้เข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง   ผจานด้วยไถนาสามวัน   ถ้าแลชายผัวมันยังรักเมียมันอยู่มิให้ผจานไซ้   ท่านให้เอาชายผู้ผัวนั้นเข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง  หญิงอยู่ข้างหนึ่ง   อย่าให้ปรับไหมชายชู้นั้นเลย”   
                     อย่างไรก็ตามสันนิษฐานได้ว่าสังคมไทยอาจมีโสเภณีมาก่อนหน้านี้เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วก็ได้ เพียงแต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด    และยังปรากฎจากคำให้การของขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม  ซึ่งเป็นเชลยศึกครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐  ได้ให้การแก่ฝ่ายพม่าไว้    และทางราชสำนักไทยได้ทำการแปลออกเป็นภาษาไทยภายใต้ชื่อ  "คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม"   (จากเอกสารจากหอหลวง  :  คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)  ได้กล่าวถึงหญิงนครโสเภณีในสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า  
                   “……มีตลาดบนบกนอกกำแพงพระนครตามชานพระนครบ้าง ตามฝั่งฟากกรุงบ้าง ติดแต่ในรอบบริเวณขนอนใหญ่ทั้ง ๔ ทิศ รอบกรุงเข้ามาจนฟากฝั่งแม่น้ำตามกรุง แลชานกำแพงกรุงนั้นด้วยรวมเป็น ๓๐ ตลาดคือ…ตลาดบ้านจีนปากคลองขุนละครไชย มีหญิงนครโสเภณีตั้งโรงอยู่ท้ายตลาด ๔ โรงรับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือแลทางบก มีตึกกว้างร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย......”  

                 จึงเป็นอันยืนยันได้ว่า เมืองไทยเรามีหญิงโสเภณีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยแล้วอย่างแน่นอน  และได้มีตลอดเรื่อยมาจนถึงในสมัยกรุงศรีอยุธยา  กรุงธนบุรี  และกรุงรัตนโกสินทร์  
                          ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์    สุนทรภู่ซึ่งเกิดหลังจากตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ ๔ ปี  และต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นกวีในราชสำนักพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย   เมื่อสิ้นรัชกาลได้ออกบวชเป็นเวลา  ๒๐ พรรษา   ท่านได้กล่าวถึงหญิงโสเภณีไว้ในนิราศภูเขาทองซึ่งแต่งขณะบวชเป็นพระภิกษุ  และขณะเดินทางไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองที่กรุงเก่า (จังหวัดพระนคร
ศรีอยุธยาในปัจจุบัน)  เมื่อเดือนสิบเอ็ด ปีชวด  (พ.ศ. ๒๓๗๑)  ความว่า
                        มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม         ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
                        บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ         ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
                        บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ               ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
                       โคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง         เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
   
                เหตุเพราะในสมัยนั้นซ่องส่วนมากมักจะแขวนโคมสีเขียวไว้เป็นสัญลักษณ์ที่หน้าซ่องให้เป็นที่สังเกตของเหล่านักเที่ยวหญิง     และอีกประการสำเพ็งเป็นแหล่งของโรงหญิงโสเภณีในครั้งอดีต   จนกลายเป็นที่มาของชื่อ “ผู้หญิงสำเพ็ง”   หรือ “หญิงหยำฉ่า”   ซึ่งใช้เป็นคำแสลงเรียกหญิงโสเภณีจนถึงทุกวันนี้
               ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ หญิงโสเภณีสมัยนั้นชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเรียกว่า “หญิงคนชั่ว”   เป็นส่วนมาก     แต่บางทีก็เรียกว่า  “หญิงโคมเขียว”   ส่วนซ่องก็เรียกว่า “โรงหญิงคนชั่ว”  หรือ “โรงหญิงโคมเขียว”
              เมื่อพูดถึงโคมเขียว  ก็ขออธิบายลักษณะของโคมไว้เสียด้วยว่า    ตัวโคมก็มีรูปร่างเหมือนโคมธรรมดานี่เอง  แต่ทาสีเขียวหรือใช้กระจกสีเขียว  ข้างในมีหลอดไฟฟ้าหรือบางแห่งที่ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าก็ใ     ช้ตะเกียงแทน  พอตกค่ำเปิดไฟฟ้าหรือจุดตะเกียงให้แสงเพื่อให้ไฟเป็นที่สังเกตของบรรดานักเที่ยวทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลาย
ขุนวิจิตรมาตรา  หรือ “กาญจนาคพันธ์”   ได้บรรยายถึงสภาพผู้หญิงโคมเขียวที่ตรอกเต๊าในยุคสมัยนั้นไว้ดังนี้        
                      “ในตรอกเต๊านี้ เป็นห้องแถวยาวติดต่อกันไปตลอดตรอก ทุกห้องแขวนโคมเขียวไว้หน้าห้องเป็นแถว และเวลาก่อนค่ำ จะเห็นพวกโสเภณีเขาจุดธูปราว กำมือหนึ่ง (ราวสัก ๒๐ ดอก) มาลนที่ใต้โคมเขียวหน้าห้อง ข้าพเจ้าเคยถามเขาว่าลนทำไม เขาบอกว่าลนให้มีแขกเข้ามามากๆ พวกนี้ราคาอยู่ใน ๖ สลึงหรือสองบาท”     
             ส่วนค่าบริการมีหลายอัตราเช่นเดียวกับสมัยนี้คือ   ราคาต่ำสุดชนิดกระจอกงอกง่อยก็เพียง ๒ สลึงเท่านั้น   และราคาอย่างสูงก็เพียง ๑ บาท       ราคาที่บอกไว้นี้เป็นอัตราของหญิงคนชั่วไทยและจีน   หากเป็นหญิงคนชั่วฝรั่งและญี่ปุ่นราคาบริการก็สูงขึ้นไปอีกคือชั่วคราว ๒ บาท  เหมาตลอดคืน ๔ บาท

(http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ4NipP3t62ukoLPJFOBUfKyg48W3RrXBUmTiLtyQ18h1xvXUru9Q)
 

               สำหรับโรงหญิงคนชั่วสมัยโน้นที่มีชื่อคนชอบไปเที่ยวกันมาก ก็ได้แก่ที่ ตรอกเต๊า    โรงคุณแม่แฟง   โรงคุณแม่กลีบ  โรงคุณแม่เต๊า   ตรอกเจ้าสัวเนียม   ตรอกเว็จขี้หรือตรอกอาจม  ตรอกโรงโคม   หลังวัดสามจีน
                กล่าวถึงคุณยายแฟง      หลายท่านต้องได้เคยคุ้นหูและได้รู้ประวัติของแกมาบ้างแล้วพอสมควร   แกมีเงินที่ได้จากอาชีพเจ้าสำนักหญิงคนชั่วเป็นจำนวนมาก  จึงเอาเงินที่ได้มาไปสร้างวัด    ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “วัดใหม่ยายแฟง”    เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ     ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  (รัชกาลที่ ๔)  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  พระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า  “วัดคณิกาผล”   มีความหมายว่า   วัดที่สร้างจากผลของนางคณิกา       ไว้โอกาสต่อไปจะรวบรวมเรื่องราวของแกมาเล่าสู่กันฟัง
 
              ทีนี้มาพูดถึงโรคภัยไข้เจ็บที่ได้จากการไปเที่ยวหญิงคนชั่ว   ปรากฏว่าคนสมัยนั้นเป็นกามโรคกันมาก ยาสมัยใหม่ไม่มีรักษา   เป็นกันทีก็ต้มยากินกันเป็นสิบ ๆ หม้อ   หรือเป็นปีบ ๆ   โรคก็ไม่หายกลายเป็นโรคเรื้อรังติดลูกติดเมียกันงอมแงม  นับว่าเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงมากในสมัยนั้น      ตามสถิติของกรมสุขาภิบาลกระทรวงมหาดไทย  เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๖    ปรากฎพวกผู้ชายในพระนครเป็นกามโรคกันมากถึงร้อยละ ๗๕   ทีเดียว


ขอบคุณที่กรุณาติดตาม โอกาสหน้าจะรวบรวมสาระน่ารู้มาฝาก   พบกันใหม่ค่ะ   (:6:)  (:6:)






ที่มา :   - เทพชู  ทับทอง. “กรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ ๒๐๐ ปี”  กรุงเทพฯ.  
           - พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕
           - พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ :  พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)   พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
           - สุนทรภู่ : นิราศภูเขาทอง
           - http://www.larnbuddhism.com/atatakka/tere/tere26.html (http://www.larnbuddhism.com/atatakka/tere/tere26.html)
           - http://www.oknation.net/blog/print.php?id=307948 (http://www.oknation.net/blog/print.php?id=307948)
           - (Wikipedia®) สารานุกรมเสรี


หัวข้อ: Re: หญิงนครโสภิณี
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 22 มีนาคม 2555 19:36:13
ขออภัยท่านผู้อ่านกระทู้เป็นอย่างสูง  กิมเล้งยังไม่ชำนาญในการตรวจสอบข้อความจากหน้าต่างแสดงตัวอย่าง   รบกวนนาย Mckaforce.  ตรวจสอบและปรับปรุงให้แม่แกด้วย ..... แต่ขณะนี้นายMckaforce  ไปทำธุรเกี่ยวกับกิจการของแกที่ กทม. พรุ่งนี้น่าจะกลับเน้อ


หัวข้อ: Re: หญิงนครโสภิณี
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 24 มีนาคม 2555 20:44:07
ขออภัยท่านผู้อ่านกระทู้เป็นอย่างสูง  กิมเล้งยังไม่ชำนาญในการตรวจสอบข้อความจากหน้าต่างแสดงตัวอย่าง   รบกวนนาย Mckaforce.  ตรวจสอบและปรับปรุงให้แม่แกด้วย ..... แต่ขณะนี้นายMckaforce  ไปทำธุรเกี่ยวกับกิจการของแกที่ กทม. พรุ่งนี้น่าจะกลับเน้อ

ดำเนินการตามบัญชาแล้วครับสเด็จแม่

 ;D ;D ;D