[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 20:17:40



หัวข้อ: อะไรที่อยู่ในรัศมีของดวงอาทิตย์ดวงนี้?:อภิธรรมตอบ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 20:17:40
อะไรที่อยู่ในรัศมีของดวงอาทิตย์ดวงนี้?
 
ท่านทั้งหลายเมื่อผมได้แยกเรื่องปรมาณูให้ท่านได้ฟังแล้ว เดี๋ยวนี้ก็มีรูปสองอย่างคือ รูปหยาบที่สะท้อนแสงทำให้เห็นได้ และรูปละเอียดมากไม่สะท้อนแสงทำให้เห็นไม่ได้
 
ยกตัวอย่างรูปละเอียด เช่น ลมที่พัดไปพัดมานี้เราเห็นได้หรือ ลมมีตัวตนไหม ลมพัดมาโดนเราก็ได้ ลมพัดเอาบ้านพังก็ได้ แต่ถึงกระนั้นเราก็มองไม่เห็นลมเลยแม้แต่น้อย ทำไมเล่า? ก็เพราะมันละเอียดมากนั่นเอง
 
คลื่นของแสงจากดวงอาทิตย์ทำให้โลกมีความสว่าง ทำให้เรามองเห็นอะไรๆ ได้ แต่เรามองเห็นคลื่นของแสงไม่ได้ แม้มันจะมีแต่มันก็ละเอียดจนเกินไป
 
แม้คลื่นของเสียงที่มากระทบหูทำให้ได้ยิน เราก็ได้ยินกันอยู่ทุกๆ วัน แต่เราก็เห็นมันไม่ได้ หรือเชื้อโรคบางชนิดเราก็ต้องขยายด้วยกล้องตั้งมามกายจึงมองเห็นมันได้
 
ผีสางเทวดาที่เกิดมามีร่างกายละเอียดมาก เพราะเป็นการประชุมของรูปปรมาณูโดยอำนาจของกัมมชรูป จึงสามารถทะลุทะลวงเข้าไปในกำแพงก็ได้ เข้าไปอยู่ในคนก็ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงขอแสดงเฉพาะรูปปรมาณู


หัวข้อ: Re: อะไรที่อยู่ในรัศมีของดวงอาทิตย์ดวงนี้?:อภิธรรมตอบ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 20:18:04
(http://picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/11275-2.jpg?n)
 
 
จากภาพก็จะเห็นเป็นเส้นรอบวง เรียกว่าภูเขากั้นจักรวาล ภูเขากั้นจักรวาลเป็นรูปปรมาณู แล้วก็มีภูเขาอื่นอีกหลายยอดเรียกว่าสัตตบรรพต แปลว่ามีเจ็ดยอดกั้นอยู่เป็นชั้นๆ ส่วนตรงกลางที่จุดศูนย์กลางเรียกว่า ภูเขาสิเนรุ เป็นภูเขาสูงใหญ่อยู่ท่ามกลางจักรวาล ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นรูปปรมาณูทั้งสิ้น
 
 
โลกของเราคือโลกที่เราอาศัยอยู่นี้(เป็นรูปหยาบภายในจักรวาลนี้) อยู่ทางใต้เรียกว่า ชมพูทวีป แล้วยังมีอีก ๓ โลก คือปุพพวิเทหะอยู่ทางตะวันออก อปรโคยานะอยู่ทางตะวันตก และอุตตรกุรุทวีปอยู่ทางเหนือ
 

ทั้ง ๔ โลกนี้เป็นรูปหยาบที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ แล้วมีดวงอาทิตย์พร้อมด้วยดาวพระเคราะห์เป็นอันมากแวดล้อมอยู่ หมุนเวียนรอบๆ อยู่ทั่วไปอีกมากมายเป็นชั้นๆ ไป
 

ท่านทั้งหลาย จากจุดศูนย์กลางนั้นคือภูเขาสิเนรุอันสูงใหญ่ เพราะเป็นภูเขาของจักรวาลมาจนถึงขอบจักรวาล จะมีภูเขา ต้นไม้ ลำธาร แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร เหมือนอย่างโลกของเรานี้ แต่เป็นรูปปรมาณูทั้งหมด
 

ลองคิดดูสิว่าจากจุดศูนย์กลางคือภูเขาสิเนรุไปจนถึงขอบจักรวาลซึ่งผ่านป่า ผ่านภูเขา ผ่านทะเลนั้นจะไกลแสนไกลสักเท่าใด ในที่บางแห่งมีแสดงไว้ว่าปลาบางตัวมีตัวยาวตั้งโยชน์ คนอ่านก็ร้องว่าเป็นไปไม่ได้เขาแต่งขึ้นมาเอง หารู้ไม่ว่าเป็นปลาเป็นรูปปรมาณู แต่มิได้อยู่ในมหาสมุทรของโลก หากแต่อยู่ในมหาสมุทรของจักรวาลที่เป็นรูปปรมาณู แล้วอยู่ในจักรวาล
 

ในมหาสมุทรของโลกเรานี้เองก็กว้างใหญ่มิใช่น้อย จะมีแต่ปลาซิว ปลาสร้อยได้อย่างไร จึงมีปลาใหญ่ คือปลาวาฬตัวยาวตั้ง ๑๕๐ ฟิตอาศัยอยู่จึงเหมาะสมกับความใหญ่โตของมหาสมุทร แล้วในมหาสมุทรของจักรวาลซึ่งเป็นรูปปรมาณูอันกว้างใหญ่ไพศาลนับคำนวณไม่ได้ จะให้มีปลารูปปรมาณูตัวยาว ๑๕๐ ฟิตเท่ากับปลาวาฬของโลกเราจะได้หรือ


หัวข้อ: Re: อะไรที่อยู่ในรัศมีของดวงอาทิตย์ดวงนี้?:อภิธรรมตอบ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 20:18:20
เวลาที่เราทำงานรักษาคนป่วยอยู่ก็เหมือนกัน มีผีสางเทวดามาเข้าคน แต่มีบางคนพญาครุฑมาเข้าก็ได้เวลาพูดทำปากแหลมๆ ทำปากจู๋ เสียงเจ๋วๆ เขาก็บอกว่าเขาไม่ใช่คนเป็นนกเป็นพญาครุฑ เพราะฉะนั้นการสะกดจิต การทำสมาธิ การเข้าทรงก็ย่อมรู้เห็นหมด ตรงกันกับที่มีแสดงอยู่ในพระไตรปิฎก
 
 
เรื่องเปรต อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานที่มีกายละเอียดมากมาย แม้พญานาค พญาครุฑ ตลอดจนยักษ์ที่ใครๆหาว่า เป็นเรื่องโคมลอย เป็นเรื่องเพ้อฝันของคนโบราณเป็นเรื่องแต่งขึ้น เป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์ก็แล้วแต่จะคิด ก็พูดไปเพราะเขามิได้ศึกษาพระอภิธรรม และมิได้มีประสบการณ์มาเลยแม้แต่น้อย จึงได้ตัดสินใจเอาง่าย ซึ่งทำให้พุทธศาสนาเสียหาย
 

เรื่องไม่น่าเชื่อมีอีกมากมาย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงเอาไว้ เพราะผู้ศึกษาเข้าไปยังไม่ถึง ไม่ยอมศึกษาพระอภิธรรมหรือศึกษาเข้าไปไม่ไหวก็กล่าวหาว่าไม่ใช่เป็นพุทธพจน์เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาในภายหลัง หรือบางท่านก็ศึกษาเข้าไปไม่ไหวเพราะเห็นว่ามีตัวเลขมากมายแล้วก็ท้อใจ
 

แล้วนอกจากนี้ประสบการณ์ก็น้อยจนเกินไป จึงได้ตัดสินเอาง่ายๆ แต่กล้าหาญชาญชัยวิพากษ์วิจารณ์ตำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ รวมกับว่าตนเองนั้นเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒
 

ผู้มิได้อวดดื้อถือดี ยอมศึกษาพระอภิธรรมเสียบ้างพอให้เข้าใจ เขาก็จะไม่กล้าปฏิเสธเรื่องเหลือเชื่อที่แสดงอยู่ในพระไตรปิฎก เพราะจะได้เหตุผลข้อเท็จจริง จะได้บทพิสูจน์พร้อมบริบูรณ์ แล้วก็จะเห็นว่าพระอภิธรรมนั้นเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของชีวิตจิตใจ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะแสดงได้
 

ถ้าต่างคนต่างคิดต่างก็ตีความเอาเองแล้ว ไม่ช้าไม่นานพระพุทธศาสนาก็จะต้องสลายตัวไป ตามความคิดเห็นของแต่ละคน แล้วผ้าเหลืองน้อยก็จะห้อย




หัวข้อ: Re: อะไรที่อยู่ในรัศมีของดวงอาทิตย์ดวงนี้?:อภิธรรมตอบ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 มิถุนายน 2553 20:18:46
ผมยกตัวอย่างเรื่องพระเทวทัตที่ต้องธรณีสูบลงไปสู่นรก ใครๆ พากันพูดว่า เขาขุดลงไปใต้ตินลึกสักเท่าใดๆ ก็ไม่เห็นเจาะเจอนรกสักที แม้สวรรค์ก็ตาม จรวดและดาวเทียมก็ขึ้นไปท่องอยู่ในอวกาศก็ยังไม่มีผู้ใดพบสวรรค์เลยสักครั้ง สวรรค์ก็อยู่แค่ในอก นรกก็อยู่แค่ในใจเท่านั้นเอง มัวหลงละเมอเพ้อฝันกันไปได้
 
 
 
ความจริงนรกสวรรค์มิได้อยู่บนดินหรืออยู่บนฟ้าดังที่บางคนเข้าใจแล้วเผยแพร่กันออกไป นรกและสวรรค์อยู่ท่ามกลางของจักรวาลที่ภูเขาสิเนรุ และเป็นรูปปรมาณูทั้งสิ้น ส่วนเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานที่มีรูปกายเป็นปรมาณูแล้วอาศัยอยู่ในโลกของเรานี้มีเป็นส่วนน้อยเท่านั้น เพราะมิได้เป็นแม่ประเทศ
 
 

ด้วยเหตุดังนี้เอง ธรณีจะสูบพระเทวทัตลงไปใต้ดินก็คงจะลงนรกไม่ได้ เพราะอยู่ภายในโลกนี้ และร่างกายหยาบๆ ของมนุษย์แม้จะอยู่ในนรกก็รับโทษทัณฑ์อะไรไม่ได้เหมือนกัน เพราะไฟกรดในนรกก็มิใช่ไฟที่เราใช้หุงข้าว หาไม่แล้วเปรตบางชนิดที่ไฟท่วมตัวแลวอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ ขึ้นบ้านโน้น ขึ้นบ้านนี้ ก็คงเผาบ้านใครๆ วอดวายไปหมดแล้ว แต่ไม่เห็นไฟไหม้บ้านใครสักที)
 
 

ผู้ที่เขาได้ฌานชั้นสูงแล้วมีอภิญญา(ความรู้พิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดา) เข้าฌานดูจึงได้ทราบว่า พระเทวทัตไปลงนรกแล้วพระเทวทัตเมื่อตายแล้วก็มีร่างกายเป็นรูปปรมาณูจึงตกนรกได้ ซึ่งอยู่ภายใต้ภูเขาสิเนรุ
 
 

การเวียนว่ายตายเกิดเป็นผีสางเทวดา นรกและสวรรค์นั้น นับว่าเป็นเรื่องเล็กของผู้ศึกษาพระอภิธรรมที่มีความเข้าใจดี เพราะมีข้อเท็จจริงและมีบทพิสูจน์ให้อยู่ตลอดเวลาของการศึกษา เพียงแต่จิตหรือวิญญาณจะเกิดขึ้นมาได้จะต้องอาศัยเหตุ อาศัยปัจจัย คือตัวการที่ทำให้จิตเกิดถึง ๗๓ มีทั้งเหตุปัจจัยในอดีตคือในชาติก่อนมาร่วมด้วย หาไม่แล้วจิตหรือวิญญาณจะเกิดขึ้นมาไม่ได้เลยเด็ดขาด ผู้ศึกษาจนเข้าใจก็จะไม่มีความสงสัยในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเลยแม้แต่น้อย
 
 

การปฏิบัติวิปัสสนาแม้เพียงได้ญาณที่ ๒ ที่เรียกว่า ปัจจยปริคหญาณ เท่านั้น ความสงสัยต่างๆ ก็หายไปจากจิตใจ เพราะอวิชชาเข้ามากั้นไม่ได้ ญาณปัญญาเกิดขึ้นปรากฏอยู่ต่อหน้า ผู้ปฏิบัติจะทราบว่ารูป-นาม เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีอดีตคือมีตัณหา อุปาทาน กรรมจากในอดีตชาติประการใดบ้างแล้ว ความสงสัยเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดก็สลายตัวไปจากจิตใจ
โดย อาจารย์บุญมี เมธางกูร