หัวข้อ: สามแพร่ง กับความเชื่อโบราณว่าเป็นทางผีผ่าน เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 พฤษภาคม 2555 11:19:03 (http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQxvbo2EEbPqn_j6PgYTLvG2Bf5RyjyDc2VrrLwoLToynI26bMcMSBONvo) ถ้อยคำ - สำนวน
กิมเล้ง ณ สุขใจ สามแพร่ง กับความเชื่อโบราณว่าเป็นทางผีผ่าน เมื่อกล่าวถึง “สามแพร่ง” หลายคนได้ยินแล้วกลัว เนื่องจากสามแพร่งเป็นเรื่องของโหราศาสตร์หรือฮวงจุ้ยที่บ่งบอกถึงทำเลต้องห้ามต้องหลบหลีก พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ อธิบาย “สามแพร่ง” ไว้ว่า เป็นทางที่แยกเป็น ๓ สาย เกิดจากทางสายหนึ่งมาบรรจบเป็นมุมฉากกับทางอีกสายหนึ่ง โบราณถือว่าเป็นทางผีผ่าน ไม่เป็นมงคล เช่น ไปทำพิธีเซ่นวักเสียกบาลที่ทางสามแพร่ง แต่อีกหลายคนก็จะนึกถึงย่านที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีสถาปัตยกรรมงดงาม ทรงคุณค่า เป็นแหล่งอาหารอันเลื่องชื่อที่สืบทอดกันมาหลายสิบปี ได้แก่ แพร่งสรรพศาสตร์ แพร่งนรา และแพร่งภูธร ซึ่งทั้งสามแพร่งนี้เป็นชื่อของถนนในกรุงเทพมหานคร พจนานุกรมวิสามานยนามไทย : วัด วัง ถนน สะพาน ป้อม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้คำอธิบายคำว่า แพร่งสรรพศาสตร์ ว่าเป็นถนนที่ตัดผ่านวังของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพศาสตรศุภกิจ บริเวณริมถนนบ้านตะนาว ส่วน แพร่งนรา เป็นถนนที่ตัดผ่านวังของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ และแพร่งภูธร เป็นถนนที่ตัดผ่านบริเวณวังของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ ด้านธรณีวิทยา คำว่า สามแพร่ง คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยานำไปใช้ในการบัญญัติศัพท์คำว่า triple junction โดยบัญญัติว่า ทางสามแพร่ง หมายถึงจุดบรรจบของแผ่นธรณีภาค ๓ แผ่น เกิดจากความร้อนพุ่งขึ้นจากชั้นเนื้อโลก ทำให้แผ่นธรณีทวีปเดิมแตกหักแล้วแยกออกเป็นแผ่นธรณีภาคใหม่ ๓ แผ่น มักทำมุมกันประมาณ ๑๒๐ องศา โดยทั่วไปมี ๓ แบบ คือ แบบสัน แบบร่องลึก และแบบรอยเลื่อนแนวระนาบ ที่มา : "องค์ความรู้ภาษาไทย" โดย ราชบัณฑิตยสถาน น. ๒๒ นสพ.เดลินิวส์ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ หัวข้อ: Re: สามแพร่ง กับความเชื่อโบราณว่าเป็นทางผีผ่าน เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 พฤษภาคม 2555 11:37:04 (http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQxvbo2EEbPqn_j6PgYTLvG2Bf5RyjyDc2VrrLwoLToynI26bMcMSBONvo) ถ้อยคำ - สำนวน
กิมเล้ง ณ สุขใจ ประสบการณ์ทางผีผ่าน “ทองอินทร์” เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเส้นทางวิญญาณ (ทางสามแพร่ง) เล่าสืบกันมาว่า “ชาวพวน” อพยพจากเมืองลาว มาตั้งถิ่นฐานที่อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยา ปรากฏหลักฐานจากการก่อตั้งวัดหินปักใหญ่ในปี ๒๓๐๖ โดยชาวพวนเป็นผู้สร้าง ส่วนวัดวังใต้นั้นชาวไทยเวียงที่อพยพตามหลังมา สร้างไว้ในปี ๒๓๐๗ ต่อมากลายเป็นชุมชนใหญ่เมื่อครั้งปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ชาวพวนนับถือศาสนาพุทธและนับถือผีปู่ตากับผีบรรพบุรุษ โดยจะแยกหิ้งพระไว้คนละส่วน ในหมู่บ้านก็มีศาลผีปู่ตาทุกแห่ง นิยมสร้างไว้ตามเนินสูง เช่นตามโคกหรือจอมปลวกใหญ่ ๆ สะดุดตา บางแห่งเรียกว่า “หอบ้าน” ทุก ๆ ปี จะมีพิธีกรรมเลี้ยงผี โดยหมอผีวัยชรา หรือเรียกว่า “เจ้าจ้ำ” เป็นผู้นำชาวบ้านทำพิธีกรรมต่าง ๆ และเชื่อว่าถ้า “เซ่นไหว้ดี-ทำพลีถูกต้อง ผีปู่ตาจะคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข" นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรม “เลี้ยงผี” โดยการทำบุญสารทหรือเทศกาลทำบุญสิ้นเดือนสิบ ซึ่งเทศกาลดังกล่าวของชาวพวนจะตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ส่วนสารทลาวถือเอาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ แต่สารทไทยช้ากว่าเพื่อน คือวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เหตุการณ์ชวนขนหัวลุก หลังเสร็จสิ้นพิธีสงฆ์การทำบุญสารทที่วัดใกล้บ้านคราวหนึ่ง ชาวบ้านต่างล้อมวงกินอาหาร เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงภูตผีปีศาจ รวมทั้งสัมภเวสี ผีเร่ร่อน ให้ได้รับส่วนบุญด้วย ซึ่งชาวบ้านนิยมทำเป็นประเพณี โดยห่อข้าว อาหารคาวหวาน หมากพลู บุหรี่ ห่อด้วยใบตองเป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วนำไปวางตรงทางสามแพร่ง เพราะเชื่อว่าเป็นทางผีผ่าน ซึ่งไม่ว่าไทยหรือพวนก็เชื่อเรื่องทางสามแพร่งตรงกัน คือเชื่อว่าเป็นทำเลอัปมงคล สิ่งชั่วร้ายหรือภูตผีจะมาสิงสู่อยู่กันที่นั่น จึงได้หลีกเลี่ยงการปลูกบ้านในทำเลเช่นนั้น ยกเว้นแต่จะจนปัญญาจริง ๆ เพราะหาที่ทางไม่ได้แล้ว และที่เชื่อตรงกันอีกอย่างก็คือภูตผีย่อมมีความหิวโหยเหมือนผู้คนทั้งหลาย จึงได้มีการเอาอาหารเซ่นผีตั้งแต่ยังไม่ได้เผา หลังจากนั้นก็ยังทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผี รวมทั้งผีไม่มีญาติอีกด้วย วันนั้น หลังจากจัดการแจกข้าวให้ผีแล้วก็พากันกลับ น้องชายของ “ทองอินทร์” อายุราว ๗-๘ ขวบ เดินไป พลางหันไปมองข้างหลังบ่อย ๆ จนแม่ของเด็กถามว่ามองอะไรหรือ? คำตอบของเด็กเล่นเอาผู้ใหญ่ต้องหยุดกึกไปตาม ๆ กัน “ใครไม่รู้ มาแย่งกันกินข้าวห่อกันใหญ่เลย....” น้องชายไม่ได้พูดเฉย ๆ แต่ชี้มือให้ดู ทุกคนหันขวับไปมอง นอกจากเสียงลมพัดคร่ำครวญ เมฆหนาบดบังแสงแดดจนร่มครึ้มแล้ว เราก็ไม่เห็นอะไรเลย แต่ทำไมขนหัวลุกก็ไม่รู้ ?! ที่มา : - ย่อ-สรุปความโดยกิมเล้ง จากคอลัมภ์ “ขนหัวลุก” โดยใบหนาด หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ หัวข้อ: Re: สามแพร่ง กับความเชื่อโบราณว่าเป็นทางผีผ่าน เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 10 พฤษภาคม 2555 23:58:56 พูดถึงทางสามแพร่ง และการเอาอาหารมาเซ่นผี เคยได้อ่าน และศึกษามาจากหลาย ๆ แห่ง ท่านว่าถ้าเทพเทวา จะสามารถบันดาลอาหารที่เป็นทิพย์ หรืออิ่มอยู่ในสภาวะทิพย์ได้ แต่ในทางกลับกันวิญญาณชั้นที่ต่ำลงมา หรือบรรดาสัมภเวสีผีเร่ร่อนต่าง ๆ จะไม่สามารถรับอาหารที่เป็นทิพย์ได้ หรือบางพวกก็ไม่สามารถรับส่วนบุญส่วนกุศลได้ ดังนั้นการที่เราจำต้องใช้อาหารที่มีรูปก็เปรียบได้ดั่งการอาศัยสภาวะทิพย์จากอาหารที่ประกอบด้วยธาตุ 4 หรือพูดอีกอย่างคือใช้รูปนำร่อง เพื่อให้เขาได้กินอาหารได้ เพราะเขาเหล่านั้นไม่ได้ประกอบขึ้นด้วยขันธ์ 5 และ ธาตุ 4 เหมือนเรา และถ้าจำไม่ผิดถ้าจะกินในสภาวะที่ไม่เป็นทิพย์ คือกินของได้โดยไม่ต้องเป็นทิพย์ ก็มีจำพวกเปรต เพราะเคยอ่านเจอว่ามีเปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินซากศพคนหรือสัตว์ เป็นอาหาร บ้างก็กินอุจจาระเป็นอาหาร ดังนั้นความเข้าใจของน้าแม๊ค คือถ้าเป็นพวกสัมภเวสี จะไม่สามารถกินของที่เป็นรูปขันธ์ได้ น่าจะเป็นในลักษณะของทิพย์ที่ยืมรูปมาใช้ ที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวจากที่ได้อ่านและศึกษาผ่าน ๆ มาบ้าง น้าแม๊คความรู้ยังน้อยแค่หางอึ่ง ผิดถูกประการใดต้องขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วย |