[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ใต้เงาไม้ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 29 มิถุนายน 2555 14:41:18



หัวข้อ: สุนทรภู่ ๕ "นิราศเมืองแกลง"
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 มิถุนายน 2555 14:41:18
(:88:)

งานของสุนทรภู่

ประเภทนิราศ - นิราศเมืองแกลง

นิราศเมืองแกลง เป็นผลงานกลอนประพันธ์ นิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่  แต่งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๔๙  พรรณาการเดินทางโดยเรือไปยังเมืองแกลง  หลังจากสุนทรภู่ถูกปล่อยตัวจากการถูกจองจำ อันเนื่องจากการลอบรักใคร่กับสาวชาววังชื่อ “จัน”  เลยถูกกริ้วต้องเวรจำทั้งชายหญิง  เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๙  จึงพ้นโทษถูกปล่อยเป็นอิสระ   แล้วเดินทางไปหาบิดาที่เมืองแกลง    เป้าหมายการเดินทางของสุนทรภู่ไม่ปรากฏแน่ชัด  บ้างว่าท่านต้องการไปบวชกับบิดา  บ้างว่าเดินทางไปขอเงินเพื่อกลับมาแต่งงานกับแม่จัน    นักวิชาการยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าสุนทรภู่กลับไปทำไม   แต่ทางจังหวัดระยองได้นำเรื่องราวของการเดินทางในช่วงนั้นไปสร้างเป็นอนุสาวรีย์สุนทรภู่ที่เมืองแกลง
 
ผู้ร่วมทางของสุนทรภู่ในการเดินทางคราวนี้ ได้แก่ นายแสง เป็นผู้นำทาง และน้อยกับพุ่ม ศิษย์น้องสองคน ทั้งหมดล่องเรือไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ลัดเลาะคลองบางนาไปออกแม่น้ำบางปะกงแล้วลงสู่ทะเล เลียบริมทะเลไปขึ้นฝั่งที่บริเวณหาดบางแสน จากนั้นจึงเดินเท้าต่อ สุนทรภู่ได้แวะพักที่บ้านขุนรามอยู่หลายวัน ก่อนจะออกเดินทางต่อไปเมืองแกลง ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่ในป่าทึบ  หนทางจะไปถึงนั้นแสนทุรกันดารและเต็มไปด้วยอันตราย  ทั้งคณะเดินทางกันต่อจนไปถึงเมืองระยอง ถึงตรงนี้ นายแสงมิได้ร่วมเดินทางต่อไปด้วย
 
สุนทรภู่กับน้องทั้งสองเดินทางต่อไปอีกจนถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง ได้พบบิดาของตนซึ่งบวชเป็นพระมาตลอดนับแต่สุนทรภู่เกิด สุนทรภู่ได้ถือศีลกินเจอยู่กับบิดาพักหนึ่ง แล้วเกิดล้มป่วยเป็นไข้ ต้องพักรักษาตัวอยู่นานหลายเดือนกว่าจะเดินทางกลับมาถึงพระนคร


          ๑.
โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย
ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา
            ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า
            ไม่เหมือนเราภุมรินทร์ถวิลหา
            จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา
            ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน



          ๒.
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาสดิ์
จึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจร
ไปดงดอนแดนป่าพนาวัน



                    ๓.
ถึงบางสมัครเหมือนพี่รักสมัครมาด
มาแคล้วคลาดมิได้อยู่เป็นคู่สม
ถึงยามนอนนอนเดียวเปลี่ยวอารมณ์
จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ
            แสนกันดารบ้านเมืองไม่แลเห็น
            ยะเยือกเย็นหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
            โอ้คลองเปลี่ยวพี่ก็เปล่าเศร้าฤทัย
            จะถึงไหนก็ไม่แจ้งแห่งสำคัญ           



          ๔.
ถึงหย่อมย่านบ้านกร่ำพอค่ำพลบ
ประสบพบเผ่าพงศ์พวกวงศา
ขึ้นกุฎีที่สถิตย์ท่านบิดา
กลืนน้ำตาก็ไม่ฟังเฝ้าพรั่งพราย
            ศิโรราบกราบเท้าให้เปล่าจิต
            รำคาญคิดอาลัยมิใคร่หาย
            ชรอยกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราย
            จึงแยกย้ายบิตุราชญาติกา
มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่
ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา
ชนนีอยู่ศรีอยุธยา
บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร
            ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศ
            ข้ามประเทศทุ่งท่าชลาศัย
            เดินกันดารปานปิ่มจะบรรลัย
            จึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว
ท่านชูช่วยอวยพรให้ผ่องแผ้ว
ดังฉัตรแก้วกางกั้นไว้เหนือหัว
อุตส่าห์ฝนไพลทารักษาตัว
ค่อยยังชั่วมึนเมื่อยที่เหนื่อยกาย



          ๕.
อยู่บ้านกร่ำทำบุญกับบิตุเรศ
ถึงเดือนเศษโศกซูบจนรูปผอม
ทุกคืนค่ำกำสรดสู้อดออม
ประณตน้อมพุทธคุณกรุณา
            ทั้งถือศีลกินเพลเหมือนเช่นบวช
            เย็นเย็นสวดศักราชพระศาสนา
            พยายามตามติดด้วยบิดา
            เป็นฐานานุประเทศอธิบดี
จอมกษัตริย์มัสการขนานนาม
เจ้าอารามอรัญธรรมรังสี
เจริญพรตยศยิ่งมิ่งโมลี
กำหนดยี่สิบวสาสถาวร


          ๖.
กระแสชลวนเชี่ยวเรือเลี้ยวลด
ดูค้อมคดขอบคุ้งคาคาไหล
แต่สายชลเจียวยังวนเป็นวงไป
นี่หรือใจที่จะตรงอย่าสงกา

          ๗.
พี่เล็งแลดูกระแสสายสมุทร
ละลิ่วสุดสายตาเห็นฟ้าขวาง
เป็นฟองฟุ้งรุ่งเรืองอยู่รางราง
กระเด็นพร่างพรายพราวราวกับพลอย


          ๘.
คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่ง
เขาว่าลิงจองหองมันพองขน
ทำหลุกหลิกเหลือกลานพานลุกลน
เขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง

          ๙.
ถึงทับนางวังเวงฤทัยวับ
เห็นแต่ทับชาวนาอยู่อาศัย
นางชาวนาก็ไม่น่าจะชื่นใจ
คราบขี้ไคลคร่ำคร่าดังทาคราม  (:88:)





.