หัวข้อ: เพลงร้องสรรเสริญวัดเวฬุวันมหาวิหาร (วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา) เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 21 สิงหาคม 2555 19:04:12 .
(http://upic.me/i/lp/msgu2.jpg) ภาพจาก : phuketdata.net เพลงร้องสรรเสริญเวฬุวันมหาวิหาร (วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา) พระเจ้าพิมพิสารมหาราช ผู้เป็นอัครศาสนูปถัมภ์แห่งพุทธศาสนา ทรงมีความโสมนัสและปรีดาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ทรงได้ยินและได้เห็นพวกพสกนิกรของพระองค์และต่างแคว้น ต่างได้ดื่มรสอมตธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาดังที่พระองค์ได้ทรงปรารถนาไว้ แต่ก็ทรงที่จะอดน้อยพระทัยมิได้ ในเมื่อนึกถึงพระนางเขมาอัครมเหสีผู้เป็นที่รักยิ่งของพระองค์ที่ยังทรงลุ่มหลงแต่ในรูปกายของตนว่างาม แต่ไม่ยอมติดตามพระองค์ไปเฝ้าพระบรมศาสดาเยี่ยงคนอื่นบ้าง ครั้นดำรินี้แล้ว พระองค์จึงทรงสั่งให้นักกวีเอกประจำพระราชสำนักแต่งเพลงสรรเสริญความงามของพระราชอุทยานเวฬุวัน เสร็จแล้วทรงรับสั่งให้จัดสรรหานักร้องชั้นยอดมาร้อง ณ สถานที่ใกล้กับปราสาทที่พระนางเขมาเทวีบรรทม ผู้ใดมิได้เห็นพระมหาวิหารเวฬุวันอันน่ารื่นรมย์ ซึ่งเป็นสถานที่ประทับของพระสุคตเจ้าและเหล่าพระอริยสาวก เขาผู้นั้นชื่อว่าไม่ได้เห็นสวนนันทวัน (ของท้าวอมรินทร์สักกเทวราช) ส่วนผู้ใดได้เห็นพระมหาวิหารเวฬุวัน อันเป็นสวนนันทวันที่น่าเพลิดเพลินของนรชน (ไซร้) ผู้นั้นชื่อว่าได้เห็นสวนนันทวันของท้าวอัมรินทร์สักกเทวราช พวกทวยเทพพากันทอดทิ้งสวนนันทวันลงมายังพื้นดิน พากันชมพระมหาวิหารเวฬุวันอันน่ารื่นรมย์ เพลินชมกันอย่างไม่รู้เบื่อ พระมหาวิหารเวฬุวันอันเกิดขึ้นด้วยบุญของพระราชา อันงามสง่าด้วยเดชานุภาพของพระบรมศาสดา ใครเล่าจักกล้าพรรณนาความงามนั้นให้ครบครันลงได้ ครั้นได้ทรงสดับเสียงเพลงสรรเสริญพระราชอุทยานเวฬุวันซึ่งไพเราะและเพราะพริ้งเช่นนั้น พระนางก็ทรงเกิดความปรารถนาจะไปชมบ้าง ครั้นทรงพระดำริในพระทัยดังนี้แล้ว พระนางก็เสด็จไปกราบทูลพระราชสวามีให้ทรงทราบถึงความประสงค์ของพระนางทุกประการ พระเจ้าพิมพิสารมหาราชทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับคำจากพระโอษฐ์ของน้องหญิงผู้เป็นที่รักกราบทูลเช่นนั้น พลันตรัสอนุญาตให้พระนางเสด็จไปได้ตามที่พระนางปรารถนา แต่ก่อนจะเสด็จไปได้ทรงเตือนพระสติว่า “ควรจะไปเฝ้าพระบรมศาสดาก่อนแล้วจึงค่อยเสด็จกลับ” พระนางไม่ทรงตอบรับและปฏิเสธประการใด เพราะเหตุดังนี้ พระราชาจึงได้ทรงสั่งสำทับกับข้าราชบริพารผู้ตามเสด็จไปด้วยอีกต่อหนึ่งว่า “ถ้าพระอัครมเหสีไม่ทรงยอมพบพระบรมศาสดา จงกราบทูลเธอว่า นี่เป็นพระราชอาญาจากล้นเกล้าฯ ครั้นแล้วพระนางเขมาพร้อมด้วยข้าราชบริพารก็ได้เสด็จไปเที่ยวชมพระราชอุทยานในตอนเช้าของวันนั้น (http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcT1Ken9hFW5HWhLO8F5UmqNqxSXbNkNVsZoWsqeqADNOaPLBcp_TQ) วัดเวฬุวนารามมหาสังคยิกาวาส ประเทศอินเดีย ภาพจาก : phuketdata.net เวฬุวันที่พระนางเขมาทรงเห็น ณ วันนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จไปบิณฑบาตตั้งแต่ตอนเช้า และเที่ยวเทศนาสั่งสอนประชาชนผู้มีศรัทธาและเลื่อมใส กว่าจะเสด็จกลับมาถึงเวฬุวันได้ก็บ่ายเย็น ฝ่ายพระนางเขมาก็เสด็จชมพระราชอุทยานสวนสวรรค์ที่อยู่บนพื้นดินเกือบตลอดทั้งวัน พระนางได้ทอดพระเนตรเห็นความงามของต้นไม้และพรรณไม้ดอกนานาชนิด ซึ่งกำลังออกดอกและออกผลจนทั่วบริเวณ ทรงเห็นหมู่แมลงผึ้งและแมลงภู่พากันมาชม และลิ้มรสแห่งเกสรอยู่เป็นหมู่ ๆ ได้ยินเสียงร้องของนกดุเหว่าส่งเสียงร้องอยู่เจื้อยแจ้วบนต้นไม้สูง เห็นนกยูงรำแพนอยู่เป็นคู่ ๆ ดูแล้วทำให้ใจเบิกบาน พระนางได้พบสถานที่อันเงียบสงัดและงดงามไปด้วยที่เดินจงกรม ทรงเห็นอาศรมและปะรำซึ่งเป็นที่อยู่ของพระภิกษุสงฆ์ที่สร้างไว้อย่างมีระเบียบเรียบร้อยเป็นจำนวนมาก ตั้งอยู่เป็นทิวแถวใกล้กอไผ่ ครั้นทอดพระเนตรไปยังโคนต้นไม้ พระนางได้ทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุหนุ่มกำลังนั่งสมาธิ พลางดำริในพระทัยว่า การนั่งสมาธิเพ่งธรรมอยู่เช่นนี้ น่าจะเหมาะแก่พวกคฤหัสถ์ผู้ที่มีความสุขทางโลกีย์มากเพียงพอแล้วจึงควรบำเพ็ญ หรือมิเช่นนั้นก็ควรจะทำในยามแก่ พระนางได้เสด็จชมพระราชอุทยานเวฬุวัน โดยทำนองนี้เกือบตลอดวันไม่ทรงรู้สึกเบื่อพระทัย แต่พอเห็นเวลาบ่ายมากพระนางก็ทรงปรารภกับพวกข้าราชบริพารว่า จะเสด็จกลับสู่พระราชวัง พวกข้าราชบริพารครั้นได้ฟังพระราชเสาวนีย์จากพระนางดังนั้น จึงทูลอัญเชิญเสด็จไปเฝ้าพระบรมศาสดาตามพระราชโองการ และในเวลาเย็นวันนั้น ตามประวัติกล่าวว่า พระบรมศาสดาทรงทราบว่าพระนางเขมาเทวีผู้ซึ่งเป็นพระมเหสีที่รักของพระเจ้าพิมพิสารเสด็จมา พระองค์ทรงกระทำประหนึ่งว่ากำลังนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท นิรมิตนางอัปสรกำลังนั่งถือพัดวีไปมาอยู่ข้าง ๆ พระราชเทวี เมื่อเสด็จเข้าไปเห็นเข้าเช่นนั้น จึงทรงดำริติตนเองในใจว่า “เราเข้าใจผิดถนัดหญิงรูปสวยประดุจนางเทพอัปสรเช่นนี้ยังมี มายืนและนั่งใกล้ถือพัดวีไปมาอยู่ข้าง ๆ พระพุทธองค์ หากจะยกเอาตัวเราเข้าเปรียบแม้จะเทียบกับสาวใช้ของเธอก็ไม่ได้ ตัวเราได้คิดผิดไปเสียนานที่ได้แต่นั่งนึกนอนนึกฝันหวานอย่างผิด ๆ ว่า ตัวเราสวยอย่างหาผู้เปรียบมิได้” ในขณะที่พระนางดำริอยู่และจ้องพระเนตรดูหญิงนั้นอยู่ พระทรงธรรม์ก็ทรงนิรมิตให้หญิงนั้นจากวันรุ่นสาวเปลี่ยนเป็นวัยกลางคน จากวัยกลางคนไปเป็นวัยชรา มีหน้าเหี่ยวย่นตลอดทั่วสรรพางค์กาย ผมหงอกฟันหลุด และในที่สุดพระองค์ก็ทรงนิรมิตให้หญิงนั้นกลิ้งล้มทิ้งพัดต่อหน้าพระพักตร์ของพระนาง ครั้นพระนางได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยตาตนเองเช่นนั้น จิตของพระนางก็พลันสลดได้พระสติว่า “รูปกายของคนเรานี้ถึงจะมีอย่างต่างกัน (คือจะสวยน้อยสวยมาก) ก็ตาม (ในที่สุด) ก็ย่อมถึงซึ่งความวิบัติ (แก่ ตาย) อย่างเดียวกัน ถึงแม้รูปกายของเรานั้นก็จักเป็นเหมือนอย่างนี้ในที่สุด” ในขณะที่พระนางทรงพิจารณาเห็นความไม่แน่นอนของสังขารอยู่นั่นเอง พระพุทธองค์จึงตรัสพระคาถาสอนพระนางว่า เย ราครตฺตานุปตนฺติ โสตํ สยํ กตํ มกฺกโฏว ชาลํ เอตมฺปิ เฉตฺวาน วชนฺติ ธีรา อนเปกฺขิโน สพฺพทุกฺขํ ปหาย แปลว่า “บุคคลใดก็ตามที่ถูกความรักใคร่ผูกมัด เขาเหล่านั้นย่อมจัดว่าตกอยู่ในกระแสแห่งความอยากเหมือนกับแมงมุมที่กำลังติดใยตนเอง ส่วนคนผู้มีปัญญา ขจัดความอยากนั้น ไม่ติดใจในมันอีกต่อไป ย่อมละความทุกข์ทั้งหมดได้เที่ยวไป (อย่างเสรี)”ในที่สุดแห่งพระคาถา พระนางเขมาเทวีก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล หมดความกังวลในเรื่องโลกีย์อีกต่อไป ครั้นแล้วพระนางก็ทรงกราบทูลลาพระบรมศาสดากลับสู่พระราชนิเวศน์ แล้วทรงแจ้งเหตุทุก ๆ ประการที่พระนางได้รับจากพระราชอุทยานเวฬุวัน ณ วันนั้น เสร็จแล้วพระนางจึงทูลขออนุญาตออกบรรพชาต่อพระราชสวามี ครั้นได้ทรงสดับดังนั้น พระเจ้าพิมพิสารทรงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงให้เจ้าหน้าที่จัดเสลี่ยงทองคำแห่พระนางไปยังสำนักพระภิกษุณี ที่มา : คอลัมน์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ "วัดเวฬุวนาราม วัดแรกในพระพุทธศาสนา" วารสาร สายตรงศาสนา ประจำเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ จัดพิมพ์เผยแพร่โดย กระทรวงวัฒนธรรม |