[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ อนามัย => ข้อความที่เริ่มโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 07 กรกฎาคม 2553 17:41:10



หัวข้อ: จิตวิทยาเชิงบวก คิดบวก ชีวิตบวก
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 07 กรกฎาคม 2553 17:41:10
ว่าด้วยเรื่องของจิตวิทยาเชิงบวก

บทความนี้ไม่มีเนื้อหาเกี่ยว กับเกมนะครับ ผมไม่ได้เขียนในฐานะจีเอ็ม แต่ผมเขียนในฐานะนักอ่าน ที่อ่านหนังสือแนวนี้มาระยะเวลาหนึ่ง

และต้องการอยากให้หลายๆคนได้ ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความรู้ด้านนี้ ดังนั้นผมจะพูดถึงจิตวิทยาเชิงบวก

ถ้าหากใครเผลอเปิดมาแบบไม่ตั้งใจ ผมแนะนำให้กดปิดกากบาทปิดมันทิ้งซะ แต่ถ้าคุณเข้ามาเพื่ออยากรู้ว่ามันคือ

อะไร หรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม คุณอาจจะเสียเวลาในการอ่านบทความนี้ประมาณ 5 - 10 นาที แต่ก็คงจะได้

ประโยชน์จากมันไม่มากก็น้อยครับ ระหว่างนี้ถ้าใครอ่านแล้วเบื่อๆ ไม่ประทับใจสามารถคลิกกากบาทมุมขวาบน

หรือ กด Alt+F4 ปิดหน้านี้ทิ้งก็ได้เลยครับ

ทำไม ถึงต้องเขียนบทความนี้ขึ้นมา ??

เพราะ จิตวิทยาเชิงบวก หรือ Positive Psycholygy เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยวิทยาศาสตร์ของความสุข

ความ สุขเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง นอกจากสมองจะได้รับอาหารที่มีประโยชน์แล้วยังส่งผลให้อายุยืนยาว

อีก ด้วย เป็นเรื่องที่น่าแปลกแต่ก็เป็นเรื่องจริง ที่คนเรานั้นศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับจิตวิทยาเชิงลบ เพราะว่าสมัยนี้คน

เรา มองโลกในแง่ลบมากขึ้นทุกวัน มีสถิติ (อ้างจากหนังสือ อัจฉริยะสร้างสุข ของ หนูดี วนิษา เรซ) เขียนไว้ว่า

"ตั้งแต่ปี 2510 - 2543 นั้นมีการทำวิจัยเรื่องเกี่ยวกับความโกรธ 5,584 ชิ้น เรื่องความเครียดความกังวล 41,416

ชิ้น เรื่องภาวะซึมเศร้า 54,040 ชิ้น ในทางตรงกันข้าม มีการทำวิจัยเรื่องความสดชื่นเพียง 415 ชิ้น เรื่องความสุข

1,710 ชิ้น เรื่องความพึงพอใจในชีวิตเพียง 2,582 ชิ้น เท่านั้น" จากข้อมูลดังกล่าวเมื่อนำมาเทียบเป็นอัตราส่วน

งาน วิจัยเชิงลบกับงานวิจัยเชิงบวก อัตราส่วนจะอยู่ที่ 21 ต่อ 1 สาเหตุที่คนเราวิจัยกันแต่จิตวิทยาเชิงลบเพื่อนำไป

รักษาคนไข้ ดังเช่นที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ได้ทำ แต่ ระยะหลังนั้นได้มีการศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาเชิงบวกกันมากขึ้น

โดย มีแนวคิดที่ว่า คนเรามักจะเอาเวลาส่วนใหญ่ของตัวเอง ไปแก้ไขด้านลบของตัวเอง คือใช้เวลามากมายในการ

แก้ไข แต่สุดท้ายจาก ด้านลบ ก็จะกลับมาสู่เลข 0 นั่นคือทำได้อย่างมากสุดก็แค่เราพอใจ แต่ถ้าหากคนเราเอาเวลา

ไปศึกษาเกี่ยวกับด้านดีๆ หรือด้านความสุขของตัวเองนั้น มันก็จะยิ่งสร้างจุดเด่นให้กับตัวเราและก้าวข้ามสิ่งร้ายๆที่

เรามอง ว่าเป็นด้านลบของจิตใจตัวเองไปทั้งหมด และทำให้ชีวิตเรามีความสุขครับ

คุณ เป็นคนมีความคิดด้านบวก คุณตื่นเช้ามา คุณไปทำงาน พร้อมกับหน้าตาที่สดใส (เพราะนอนมาเยอะตลอดคืน)

รอรถเตรียมไปทำงาน คุณเดินขึ้นไปบนรถป้ายแรก คนไม่มีได้นั่งสบายแฮ ถัดจากนั้นอีก 2 ป้ายมี รถเริ่มแน่น มี

คนแก่ขึ้นมาบนรถ...คุณลุกขึ้นยืนแล้วบอก เชิญครับ ให้เขานั่ง แน่นอนครับ คนข้างๆ จะมองคุณ 2 แบบ

ถ้าเป็นความคิดเชิงลบ

  -โง่ว่ะ นั่งอยู่ดีๆจะลุกทำไม

ถ้าเป็นความคิดเชิงบวก

  -โห เด็กคนนั้นมีน้ำใจจริงๆ มีลูก มีหลานต้องสอนแบบนี้

แต่ที่แน่ๆ คุณจะดูดึขึ้นจากเดิมอีก 50% หรือ 100% แล้วแต่คุณเลือกละกัน(ถึงแม้หน้าตาคุณไม่หล่อก็ตาม แต่จังหวะนั้นคุณจะหล่อที่สุดในรถเมล์คันนั้นแล้วล่ะ)

นอกจากจะดูดี ขึ้นแล้วยังมีคนชื่นชมว่ามีน้ำใจเอื้อเฟื้อแก่คน ชราอีกด้วย คุณจะอมยิ้ม และหล่อได้ทั้งวัน ^^

แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ตรงกันข้ามล่ะ

คุณ เป็นคนที่มีความคิดด้านลบ คุณตื่นเช้ามา ด้วยอาการเบื่อๆ นอนไม่หลับ (เพราะบ่นหัวหน้า บ่นเพื่อนร่วมงานทั้งคืน)

พร้อมกับคิดว่า โห วันจันทร์อีกแล้ว เซ็งว่ะ แล้วก็รอรถเตรียมไปทำงานคุณทำหน้าบึ้งตึงตลอดเวลา และ...

คุณเดินขึ้นไปบนรถป้ายแรกคนไม่มี ได้นั่งสบายแฮ คุณเตรียมจะนอนต่อ เพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ

ถัดจากนั้นอีก 2 ป้ายมี รถเริ่มแน่น มีคนแก่ขึ้นมาบนรถ...คุณชำเลืองมองแล้วเนียนหลับต่อ

คนข้างๆ จะมองคุณได้แบบเดียวเท่านั้น คือ แm'ง เห็นแก้ตัว chip หาย คงบ่นและด่าสาดเทสาดเสียคุณไปตลอดทาง

อ้อ อีกแบบนึงคือ เขาจะมองว่า สงสัยคุณจะป่วย เลยไม่ลุกให้คนชรา แต่ผมว่าคงยากเกินไป

ถ้าหากคุณเป็นคนที่นั่งอ่านบทความนี้อยู่ ผมขอถามว่า คุณอยากเป็นเพื่อนกับคนไหน??

มีเพื่อนรุ่นพี่คนนึงของผม เป็นหัวหน้างาน มีลูกน้อง และลูกน้องตั้งหัวเอ็มว่า "หัวหน้ามันแย่ว่ะ หัวหน้ามันโคตรกดดัน หัวหน้ามันโน่น หัวหน้ามันนี่ หัวหน้าบลาๆ "

ตั้ง ด่าหัวหน้าตัวเองแบบไม่เกรงใจ ก็หัวหน้ามันแหละนั่งอ่านอยู่ทุกวัน แล้วมันก็ตั้งแบบนี้ทุกวัน คุณเป็นหัวหน้า คุณอยากจ้างลูกน้องแบบนี้ไหม ??

คุณ เป็นลูกน้อง ถ้าใส่อารมณ์ขนาดต้องไปตั้งหัวเอ็มแบบนั้น แสดงว่าคงทำงานไม่มีความสุข แล้วจะทำงานไปทำไม มันอยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น

ถ้า หากคนเราไม่เปลี่ยนตัวเอง มีแต่ความคิดด้านลบๆเต็มหัว อย่างกรณีลูกน้องกับหัวหน้างานที่ผมบอกไป

อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ครับไม่ว่าจะย้ายงานใหม่อีกกี่ครั้ง สิ่งที่ต้องเปลี่ยนไม่ใช่สภาพแวดล้อมแต่มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองทั้งนั้น

แต่ ถ้าหากเอาจิตวิทยาเชิงบวกมาช่วย มองโลกในแง่ดีมากขึ้น (แต่ไม่ควรมองทุกอย่างแง่ดีเกินไป อันนี้ก็ไม่ใช่) แล้วชีวิตคุณจะมีความสุขครับ ผมยืนยัน

นี่แหละครับเป็นตัวอย่างที่ผม ยกมาให้ฟังเกี่ยวกับความคิดเชิงบวกและความคิดเชิงลบ ซึ่งเปรียบเทียบให้เห็นจะๆ ถึงข้อดีและข้อเสียของมัน

ความคิดด้านบวก ทำให้คนเรามีความสุข คนที่มีความสุขนั้นเมื่อได้รับเรื่องทุกข์ๆ ไม่ว่าจะร้ายแรงเพียงใด เขาจะไม่ถามว่าทำไม แต่เขาจะหาวิธีรักษาตัวเองและจะใช้เวลาไม่นานในการรักษาตัวเอง

ให้ กลับมาอยู่ในสภาพเดิมหรือดีกว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก

แต่สำหรับคนที่ ยึดถึอความคิดด้านลบเป็นหลัก หากคุณมีอะไรมากระทบจิตใจนิดนึง คุณจะไม่มีกำลังใจในการต่อสู้ และโทษชีวิตตัวเองว่าทำไมเราถึงต้องเจออะไรแบบนี้ ทำไมถึง... ทำไม....

ทำไม และ ทำไม และพลอยทำตัวเป็นปัญหา และเกิดปัญหาขึ้นภายในสังคม

อย่าคิด ว่าเราไม่เก่ง อย่าคิดว่าเราไม่มีดี แต่ทั้งหมดอยู่ที่ความพยายาม หากคุณมีความพยายาม ไม่ล้มเลิก ไม่ท้อถอย พระเจ้าไม่มีสิทธิ์มอบอย่างอื่นให้คุณได้นอกจากความสำเร็จ

คนฉลาด เลือกทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนธรรมดา

ส่วนคนที่ทำในสิ่งที่คนฉลาดคิด ว่าทำไม่ได้ นั่นคืออัจฉริยะ

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ครับ แต่คนเราเลือกที่จะเป็นได้ อย่าเฝ้าถามว่าทำไม แต่จงเฝ้ามองตัวเองและค้นพบวิธีที่จะทำให้ตัวเราเองมีความสุขที่ได้เกิดมาบน โลกนี้และใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ใช้ชีวิต

อย่างคุ้มค่าใช้ยังไง พระอาจารย์ ว.วชิรเมธีกล่าวไว้ว่า "ก็ใช้ชีวิตแบบที่เราคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่บนโลกใบนี้สิ" แล้วคุณจะใช้ชีวิตได้คุ้มค่าในทุกๆวันครับ

"นาฬิกาแห่งชีวิตถูกไขลานไว้เพียงรอบเดียวและไม่มีมนุษย์คนไหนมี อำนาจจะบอกว่าเข็มหยุดเดินเมื่อไหร่ จะช้าหรือเร็ว

ปัจจุบันขณะเท่า นั้นที่คุณเป็นเจ้าของ ใช้ชีวิตดำรงรัก และทำงานหนักอย่างมีเป้าหมาย อย่าเชื่อว่าเวลาจะคงอยู่ตลอดไป เพราะเข็มอาจหยุดเดินในไม่ช้า"

ขอบ คุณพี่ๆทั้งสองที่ผมนับถือ ที่ได้แนะนำหนังสือดีๆมาให้อ่านครับ




อ้าง อิงจาก : หนังสืออัจฉริยะ สร้างสุข ผู้แต่ง หนูดิ วนิษา เรซ
               บทความของพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี

ที่มา : Click !!! (http://www.zone-it.com/158206)