หัวข้อ: การภาวนาของ พระพุทธะ เข้าไปถึงความหมายของคำว่าสันติ สงบได้ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 27 กรกฎาคม 2553 13:24:52 [ จากบทความเดิมโดย อ.มดเอ็กซ์ ในบอร์ดเก่า ]
(http://www.thummada.com/public_html/images/buddha_death.gif) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย... บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นพระวาจาครั้งสุดท้าย ของเราตถาคต หลวงปู่พุทธอิสระได้นำญาติโยมสวดมนต์ แล้วได้กล่าวได้สอนได้พูดถึงในขณะสวดมนต์ถึงเนื้อหาในปัจฉิมโอวาทนี้มีใจความว่า " ลองสำรวจดูอารมณ์จิตตัวเองสิว่า นอกจากเสียงสวดมนต์ที่จบไปเมื่อครู่นี้แล้วเนี่ย เรามีอารมณ์ใดใดปรากฏอีก มันน้อยหรือมันมาก มันฟุ้งซ่านหงุดหงิดรำคาญ หรือมันทำร้ายทำลายให้เรากลายเป็นบุคคลที่ไม่เป็นตัวตนของตัวเอง หรือสงบ โปร่ง โล่ง เบา แต่ยังไม่ถึงคำว่าสบาย สันติอาจจะยังไม่ถึงคำว่าเป็นสุข แต่ที่แน่ๆพวกเราก็รู้สึกภาคภูมิใจ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตในขณะที่สวดมนต์ เรามีสิทธิจะเข้าไปถึงความหมายของคำว่าสันติ สงบได้ จริงๆแล้ว การภาวนาของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงสอนพวกเรา ไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตา อยู่ในที่ใด สถานที่แห่งไหน เวลาใด ขณะใด ก็สามารถจะทำการภาวนาได้ นี่คือวิธีการภาวนาของพระพุทธะ แต่ถ้าต้องหาเวลา ต้องรอเวลา และต้องใช้เวลา หาโอกาส รอโอกาส และใช้โอกาส หาสถานที่ รอสถานที่ และใช้สถานที่แล้วล่ะก็ มันก็จะไม่ตรงกับคำสอนครั้งสุดท้ายที่พระศาสดาทรงสอนไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงยังประโยขน์ตน และประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด คำว่า ให้ถึงพร้อมก็คือทุกเวลาที่เรามีลมหายใจเข้าและออก คำว่าภิกษุทั้งหลาย ไม่ได้หมายถึงนักบวชโกนหัวแล้วห่มเหลืองอย่างเดียว แต่มันรวมไปถึงภิกษุบริษัทสี่ นั่นคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก แล้วก็อุบาสิกา รวมกันเรียกว่า ภิกษุทั้งหลาย พระศาสดาทรงเตือนเราด้วยความเอื้ออาทรสุดชีวิต ถึงแม้ว่าจะเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต พระองค์ก็ยังอาทรต่อเรา ห่วงเรา กลัวพวกเราจะไม่ได้รับความสุขสบาย กลัวพวกเราจะเมาในวัย เมาในลาภ เมาในยศ เมาในสุข เมาในสรรเสริญ เมาในสิ่งที่เป็นเครื่องรอบๆกายตัวเรา เมาในวัตถุธาตุและสรรพชีวิตสรรพธรรมชาติรอบกาย พระองค์ก็สู้อุตส่าห์เตือนด้วยวจีอันแสนจะสนิทไม่มีพิษสงแล้วแถมยังไพเราะสุดหัวใจกับผู้ได้ยินได้ฟังว่า ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและก็ประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมเถิดด้วยความไม่ประมาท เพราะฉะนั้นความหมายของการที่ว่า ถ้าเรายังรอเวลาอยู่ แสดงว่ามันก็จะค้านกับความหมายของคำว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไป เพราะฉะนั้นโปรดอย่ารอเวลา อย่ารอโอกาส อย่ารอสถานที่ อย่ารอบุคคล อย่ารอสิ่งแวดล้อม แต่จงทำให้ได้ทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่ ทุกบุคคล และทุกสิ่งแวดล้อม แล้วเราก็จะรู้ว่า พระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่พระองค์เป็นพระพุทธะได้อย่างไร แล้วเราก็จะรู้ว่า หลวงปู่เป็นหลวงปู่ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นใช้ทุกเวลาของตนที่มี สร้างสิ่งดีๆเพิ่มสาระให้กับชีวิต เมื่อมีลมหายใจก็มีชีวิตมีพลัง ใช้พลังสร้างสรรสาระ" |