หัวข้อ: วัดโลกโมฬี Wat Lokmolee เชียงใหม่ : วัดโบราณที่มีความงดงามแบบล้านนา เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 14 มกราคม 2556 16:25:40 .
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/68981611728668_2.JPG) วัดโลกโมฬี (Wat Lokmolee) ถนนมณีนพรัตน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วัดโบราณที่มีความงดงาม แบบล้านนา วัดโลกโมฬี เป็นวัดเก่าแก่ของเชียงใหม่ มีความหมายว่าเป็นวัดสูงสุดของโลก มีเนื้อที่ ๔ ไร่ ๑ งาน ๓๗ ตารางวา ตั้งอยู่นอกคูเมืองและกำแพงโบราณด้านทิศเหนือ ห่างจากประตูหัวเวียง (ช้างเผือก) ไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๔๐๐ เมตร บนถนนมณีนพรัตน์ ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สันนิษฐานว่าวัดนี้สร้างในสมัยพญากือนา (King Kuena) กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์มังราย ช่วงปี พ.ศ. ๑๙๑๐-๑๙๓๑ (ค.ศ. ๑๓๖๗-๑๓๘๘) ส่วนองค์พระเจดีย์ซึ่งตั้งตระห ง่านเด่นสง่าเป็นจุดเด่นของวัดนี้ น่าจะสร้างขึ้นในภายหลัง วัดโลกโมฬี สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองเชียงใหม่และถูกทอดทิ้งให้เป็นวัดร้างอยู่บ่อยครั้ง ช่วงที่เป็นวัดร้างปี พ.ศ. ๒๓๑๘-๒๓๓๙ ก่อนที่พญากาวิละ (King Kawila) จะกลับมาฟื้นฟูเมือง บริเวณที่แห่งนี้ยังเป็นป่าดิบ ขาดผู้คนอยู่อาศัย เป็นที่อยู่ของสัตว์ร้ายนานาชนิด มีเสือและช้างป่า เป็นต้น วัดโลกโมฬีช่วงนั้นถูกทอดทิ้งปล่อยให้องค์พระเจดีย์ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางป่าพนาสัณฑ์ ต่อมาในสมัยเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ (Chao Intawarorose Suriyawongse) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ ๘ (ช่วงปี พ.ศ. ๒๔๔๐-๒๔๕๒) และเจ้าแก้วนวรัฐ (Chao Keo Nawarat) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ ๙ (ช่วงปี พ.ศ. ๒๔๕๒-๒๔๘๒) วัดโลกโมฬีได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และในสมัยของพระองค์วัดโลกโมฬีมีเจ้าอาวาสติดต่อกัน ๔ รูป คือ ตุ๊เจ้าพวง ตุ๊เจ้าคำ ตุ๊เจ้าแดง และตุ๊เจ้าตื้อ หลังจากเจ้าอาวาสทั้ง ๔ รูปนี้แล้ว วัดโลกโมฬีก็กลับกลายเป็นวัดร้างอีก (http://www.sookjaipic.com/images_upload/91201477332247_6.JPG) ผู้ฟื้นฟูวัดโลกโมฬีคนแรก ในอดีต กษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายหลายพระองค์ เข้ามาทำนุบำรุงวัดโลกโมฬีอยู่ตลอด พญาเมืองเกศเกล้า หรือ พญาเกศเชษฐราช (King Muangketklow or Phaya Ket Chetharaj) กษัตริย์องค์ที่ ๑๒ หรือ ๑๔ แห่งราชวงศ์มังราย (ครองราชย์ ๒ ครั้ง) ก็เป็นอีกพระองค์หนึ่งที่เข้ามาดูแลเอาใจใส่วัดโลกโมฬีมากเป็นพิเศษ โดยพระองค์ได้ทรงเจริญรอยตามวิถีทางแห่งบูรพกษัตริย์อย่างต่อเนื่องในการพัฒนาส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้มั่นคง โดยเฉพาะวัดโลกโมฬี พญาเกศเชษฐราช ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๐๖๘ จากนั้นไม่นาน พระองค์ก็ขึ้นไปบูรณะองค์พระธาตุดอยสุเทพ โดยขยายให้ใหญ่ขึ้นคือจากเดิม เป็นสูง ๑๑ วา กว้าง ๖ วา ดังปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวันนี้ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๐๖๙ พระองค์ได้สร้างพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ๑ องค์ ตั้งชื่อว่า พระเจ้าล้านทอง (Phrachao Lanthong) ปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระเจ้าล้านทอง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนั้นในปี พ.ศ.๒๐๗๐ พระองค์ได้ยกมอบบ้านหัวเวียงให้เป็นบริเวณส่วนหนึ่งของวัดโลกโมฬี และในปีต่อมา พ.ศ. ๒๐๗๑ พระองค์ได้สร้างมหาเจดีย์และวิหารขึ้นในวัดโลกโมฬีอีก ด้วยเหตุดังกล่าวจึงสรุปได้ว่าพระองค์เป็นผู้ฟื้นฟูวัดโลกโมฬีเป็นคนแรก พญาเกศเชษฐราช เป็นพระอนุชาของพญาเมืองแก้ว กษัตริย์องค์ที่ ๑๑ แห่งราชวงศ์มังราย และทั้ง ๒ พระองค์ต่างก็เป็นพระโอรสของพญายอดเชียงราย กษัตริย์องค์ที่ ๑๐ พญาเกศเชษฐราช ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ล้านนาองค์ที่ ๑๒ ในปี พ.ศ. ๒๐๖๘ (ค.ศ. ๑๕๒๕) พระองค์มีพระโอรส ๑ พระองค์ พระธิดา ๓ พระองค์ ดังต่อไปนี้ ๑. พระนางยอดคำทิพย์ เป็นมเหสีของพระเจ้าโพธิสาราช แห่งล้านช้าง (หลวงพระบาง) พระโอรสของพระองค์ชื่อว่า ไชยเชษฐา กษัตริย์ล้านนา องค์ที่ ๑๖ (ช่วงปี พ.ศ. ๒๐๘๙-๒๐๙๐) ๒. พระนางจิรประภา กษัตรีย์แห่งล้านนา องค์ที่ ๑๕ (ช่วงปี พ.ศ. ๒๐๘๘-๒๐๘๙) และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์วัดโลกโมฬี ๓. ท้าวทรายคำ กษัตริย์แห่งล้านนา องค์ที่ ๑๓ ขึ้นครองราชย์ด้วยการก่อกบฏต่อพระราชบิดา ๔. พระนางวิสุทธิเทวี เป็นมเหสีของพระเจ้าบุเรงนอง แห่งตองอู และต่อมาได้เป็นกษัตรีย์ องค์ที่ ๑๘ แห่งราชวงศ์มังราย (ช่วงปี พ.ศ. ๒๑๐๗-๒๑๒๑) และเป็นองค์สุดท้าย ผู้สร้างวัดโลกโมฬี ในอดีตไม่ได้มีการบันทึกเรื่องราวของวัดโลกโมฬีโดยละเอียดเป็นการเฉพาะไว้ จึงไม่มีหลักฐานแสดงชัดเจนว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างในสมัยใด แต่ก็สันนิษฐานว่าวัดโลกโมฬีนี้ สร้างในยุคราชวงศ์มังราย โดยมีเหตุผลประกอบการสันนิษฐานไว้ดังนี้ ในปี พ.ศ. ๑๙๑๐ พญากือนา กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์มังราย ทรงประสงค์จะฟื้นฟูและปรับปรุงพระพุทธศาสนาในล้านนาให้เจริญและมั่นคง พระองค์จึงได้ส่งผู้แทนไปยังเมืองพัน ประเทศมอญ (ปัจจุบันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศพม่า) เพื่อขอนิมนต์พระมหาอุทุมพร บุปผมหาสวามี ผู้เชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก เพื่อให้มาช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในล้านนา เนื่องจากพระมหาอุทุมพร บุปผมหาสวามีชราภาพมากแล้ว ท่านจึงได้ส่งพระอนันตเถระ พร้อมกับพระลูกศิษย์อีก ๑๐ รูป มายังล้านนา (เชียงใหม่) พญากือนาจึงได้จัดวัดโลกโมฬีไว้รับรองแขกเมือง เนื่องจากวัดโลกโมฬีตั้งอยู่ใกล้วัง จึงสะดวกสบายและง่ายต่อการดูแลปรนนิบัติมวลพระเถระเหล่านั้น ส่วนอีกประการหนึ่งคือในช่วงสมัยของพญาติโลกราช กษัตริย์ราชวงศ์มังราย องค์ที่ ๙ พระองค์ได้จัดประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกของโลก ครั้งที่ ๘ ที่วัดโพธารามมหาวิหาร (วัดเจ็ดยอด) ในปี พ.ศ. ๒๐๒๐ โดยได้นิมนต์พระเถระที่แตกฉานในพระไตรปิฎกจากวัดต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศมาเข้าร่วมประชุม ซึ่งต้องใช้เวลาประชุมและแก้ไขประมาณ ๑ ปีเศษ จึงแล้วเสร็จ พญาติโลกราช ได้จัดให้บรรดาพระเถระที่มาร่วมประชุมครั้งนั้น พักอยู่ที่วัดโลกโมฬี (http://www.sookjaipic.com/images_upload/73708184229003_3.JPG) วัดโลกโมฬีเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม นักท่องเที่ยวที่มาเชียงใหม่จะถือโอกาสแวะเข้ามาชมองค์พระเจดีย์รูปทรงระฆัง ที่สวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมล้านนามีอายุกว่า ๖๐๐ ปี และยังเชื่อว่าวัดนี้ถูกทอดทิ้งมานานตั้งแต่สมัยอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า แม้ในระยะหลังพญากาวิละจะได้มาฟื้นฟูแต่ก็พัฒนาได้ไม่มากนัก เพราะภาวะเศรษฐกิจในยุคนั้นยังไม่เอื้ออำนวยให้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/19617162520686_8.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/56125043456753_7.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/65004319697618_11.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/54137510102656_23.JPG) พระอุโบสถวัดโลกโมฬี ก่อสร้างจากไม้แกะสลักเกือบทั้งหลัง มีเพียงพื้นที่ทำจากอิฐปูน เป็นงานฝีมืออันปราณีตของช่างล้านนา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/19527568875087_4.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/58869377813405_5.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/76676863514714_10_2_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/87647376582026_9.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/61819461236397_10.JPG) |