หัวข้อ: อานิสงส์วิหารทาน ในอดีตชาติพระอานนท์เคยสร้างมหาวิหารถวายเป็นสังฆทานแด่คณะสงฆ์นับแสนรู เริ่มหัวข้อโดย: Compatable ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 12:27:10 อานิสงส์วิหารทาน ในอดีตชาติพระอานนท์เถระยอดพุทธอุปัฏฐาก ได้เคยสร้างมหาวิหารถวายเป็นสังฆทานแด่คณะสงฆ์นับแสนรูป (http://www.happy4night.com/wp-content/uploads/2012/04/r1.jpg) การถวายวิหารเป็นสังฆาราม เป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งพระบรม ศาสดาทรง มีพุทธานุญาต ตามคำกราบทูลขอของท่าน ราชคหเศรษฐี เนื่องจาก ทรงเล็งเห็นประโยชน์ว่า เป็นสิ่งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้สงฆ์ได้บำเพ็ญ สมณธรรม ขจัดขัดเกลากิเลสอาสวะในใจให้หมดสิ้นไป ดังนั้นวิหารทาน จึงเป็นมหาทานที่มีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ ส่งผลทำให้มีความสุขในทุกที่ ทุกสถาน และสมบูรณ์ด้วยมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ กระทั่งนิพพานสมบัติ ดังเรื่องราวในอดีตชาติของพระอานนท์เถระ ยอดพุทธอุปัฏฐาก ที่ได้เคยสร้างมหาวิหารถวายเป็นสังฆทานแด่คณะสงฆ์นับแสนรูปทำให้ท่านได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ ส่งผลให้ความปรารถนาของท่านเต็มเปี่ยมในภพชาติสุดท้ายจนมาเป็นบุคคลผู้ใกล้ชิดกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากที่สุด มีโอกาสได้ฟังธรรมและสอบถามธรรมะ ในสำนักของพระบรมศาสดา จนกระทั่งได้รับการยกย่องว่าเป็น "ยอดของภิกษุผู้เป็นพุทธอุปัฏฐาก" และเป็น "ยอดของภิกษุผู้เป็นพหูสูต"อีกด้วย ดังเรื่องราวในอดีตชาติดังต่อไปนี้ ในแสนกัปนับแต่ภัทรกัปนี้ พระบรมศาสดา ทรงพระนามว่า "ปทุมุตตระ"ได้อุบัติขึ้นแล้วในโลก แต่เดิมพระองค์ทรงมีพระนามว่า"อุตตรกุมาร" เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอานันทะ แห่งนครหังสวดี ด้วยบุญบารมีที่ได้ทรงสั่งสมมาจนเต็มเปี่ยมแล้ว ทำให้ทุกครั้งที่ทรงยกพระบาทเพื่อจะเหยียบลงบนแผ่นดินดอกบัวหลวงดอกใหญ่ก็ชำแรกแผ่นดิน ขึ้นมา กลีบดอกบัว วัดได้ ๙๐ ศอก เกสร ๓๐ ศอก ฝัก ๑๒ ศอก มีละอองเกสรประมาณ ๙ หม้อ ส่วนพระบรมศาสดา ทรงมีความสูง ๕๘ ศอก ระหว่างพระพาหาทั้งสองวัดได้ ๑๘ ศอก พระนลาต ๕ ศอก พระหัตถ์และพระบาทยาว ๑๑ ศอก เมื่อพระองค์ทรงเหยียบดอกบัว ละอองเกสรที่มีประมาณ ๙ หม้อ ก็ฟุ้งขึ้น กลิ่นหอมกระจายไปทั่วทุกสารทิศ จึงทำให้พระองค์ทรงมีพระนามเช่นนั้น หัวข้อ: Re: อานิสงส์วิหารทาน ในอดีตชาติพระอานนท์เคยสร้างมหาวิหารถวายเป็นสังฆทานแด่คณะสงฆ์นับแสนร เริ่มหัวข้อโดย: Compatable ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 12:48:55 สุมนกุมารปรารถนาตำแหน่งภิกษุผู้ใกล้ชิด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงมีพระเชฏฐภาดา คือ น้องชายร่วมบิดา ชื่อสุมนกุมารแม้จะไม่ได้เสด็จออกผนวชตามพระเจ้าพี่ แต่ก็มีความเคารพเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา เมื่อว่างเว้นจากกรณียกิจก็หาโอกาสไปฟังธรรมจากพระบรมศาสดาเป็นประจำมิได้ขาด ทุกครั้งที่เสด็จไปเฝ้าพระเจ้าพี่นั้น สุมนกุมารสังเกตเห็นว่า พระเถระชื่อสุมนะ เป็นที่โปรดปราน ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพิเศษ เวลาจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ต้องขออนุญาตจากพระเถระรูปนี้ก่อน เพราะท่านจะรู้เวลาอันควรหรือไม่ควร ทำให้พระกุมารอยากได้รับตำแหน่งของภิกษุผู้ใกล้ชิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง จึงปรารภกับพระพุทธองค์ พระบรมศาสดาทรงแนะนำให้สุมนกุมารเริ่มทำทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถศีล จึงจะเป็น ที่โปรดปรานของพระองค์ จากนั้นทรงรับสั่งให้ พระกุมารสร้างมหาวิหารขนาดใหญ่ เพื่อรองรับภิกษุถึง ๑แสนรูปที่จะมาฉันภัตตาหารในพระราชวัง สุมนกุมารจึงซื้ออุทยานของกุฎุมพีโสภะ ในราคา ๑ แสนกหาปณะ อีกทั้งทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ อีก ๑ แสนกหาปณะ เพื่อสร้างมหาวิหารทันที ทรง รับสั่งให้สร้างพระคันธกุฎีสำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้สร้างกุฎีและมณฑปเพื่อเป็นที่พักสำหรับ ภิกษุสงฆ์ เมื่อสร้างเสร็จแล้วได้อาราธนาภิกษุสงฆ์ ๑ แสนรูป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานมา ฉันภัตตาหาร แล้วกล่าวคำน้อมถวายมหาวิหารว่า "ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์จงทรงรับอุทยานชื่อโสภนะ ที่ข้าพระองค์ทรงสร้างเป็นมหาวิหารสำหรับภิกษุสงฆ์ ด้วยเถิด" พระกุมารทรงถวายมหาทานตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ทรงถวายผ้าไตรจีวรแด่ภิกษุ ๑ แสนรูป แล้วทูลขอพรว่า "ข้าพระองค์ได้สร้างวิหารถวายแด่ภิกษุสงฆ์ครั้งนี้ มิได้กระทำบุญเพราะหวังสมบัติ คือ ความเป็นท้าวสักกเทวราชทั้งมิได้กระทำเพราะหวังพรหมโลกเลย แต่ทำเพราะปรารถนาความเป็นพุทธอุปัฏฐาก อยากเป็นที่โปรดปรานเหมือนพระสุมนอุปัฏฐากของพระองค์ ในอนาคตกาล ด้วยเถิด" สุมนกุมารสร้างวิหารแล้วถวายมหาทานตลอด ๗ วัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูว่า "ความคิดอันยิ่งใหญ่ของพระกุมารนี้ จักสำเร็จหรือเปล่าหนอ ทรงทราบว่า ในกัปที่หนึ่งแสนนับจากภัทรกัปนี้ไป พระโคดมพุทธเจ้าจักอุบัติขึ้น และพระกุมารนี้จักได้เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงตรัสให้พรว่า "ขอให้สิ่งที่ทรงประสงค์ ทรงปรารถนาแล้วทั้งหมด จงเป็นผลสัมฤทธิ์ ขอให้พระดำริทั้งปวงจงเต็มรอบ เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญฉะนั้น"พระกุมารได้ทรงสดับแล้ว ทรงพระดำริว่า"ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่มีพระวาจา เป็นสอง" นับตั้งแต่นั้นมาสุมนกุมารจึงตั้งใจทำ ความดีตลอดแสนปี เมื่อละจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่านเวียนวนอยู่แต่ในสุคติภูมิอย่างเดียวภพชาติสุดท้ายทรงถือกำเนิดเป็นพระโอรสของพระเจ้า อมิโตทนะและได้เป็นสหชาติ คือ ประสูติในเวลาเดียวกันกับพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา เมื่อท่านเสด็จออกผนวชก็ได้รับแต่งตั้งเป็นยอดเอตทัคคะในด้านพหูสูตรวมถึงเป็นยอดพุทธอุปัฏฐาก ผู้เป็นที่โปรดปรานของพระบรมศาสดา นอกจากนี้ท่านได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าในบรรดาภิกษุ ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากในภัทรกัปนี้ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติแล้วถึง ๓ พระองค์ พระอานนท์ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ที่สุด การสั่งสมบุญนำความสุขมาให้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า จะเห็นว่า การ ที่พระอานนท์ได้ตำแหน่งอันเลิศนี้มา อีกทั้งเป็นผู้แจ่มแจ้งในคำสอนของพระ บรมศาสดา ก็เพราะอานิสงส์ที่ เคยถวายมหาวิหารเป็นสังฆทานและตั้งความปรารถนาไว้เช่นนั้น เพราะฉะนั้นอานิสงส์ในการสร้างมหาวิหาร จึงไม่ใช่เรื่องพอ ดีพอร้าย เป็นบุญใหญ่ที่บังเกิดขึ้นได้ยาก ต้องอาศัยกำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้ทำบุญสร้างวิหารแด่พระสงฆ์ ก็ให้รีบขวนขวาย อย่าปล่อยให้โอกาสทองในชีวิตของเราผ่านไป อย่างน่าเสียดาย เฉกเช่นเดียวกับ การสร้าง "มหารัตนวิหารคต"ซึ่งเป็นโอกาสทองของผู้มีบุญทุกคน ที่จะได้มีส่วนร่วมสร้างศาสนสถานอันยิ่งใหญ่ เพื่อรองรับพุทธบุตร จากทั่วโลกหลายแสนรูป ที่จะมาเจริญสมาธิภาวนา และบำเพ็ญศาสนกิจต่างๆ ร่วมกันในวันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยอยกพระพุทธศาสนาให้สูงเด่น และเพื่อสืบทอดอายุของพระพุทธศาสนาไปอีกนานนับพันปี จึงนับเป็นบุญลาภอันประเสริฐของพวกเราทุกคนที่จะได้มีโอกาสสร้าง"มหาวิหารทาน" ดุจเดียวกับผู้มีบุญในกาลก่อน บัดนี้ มหา รัตนวิหารคดใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว คงเหลือเพียงการก่อสร้าง"หลังคา" ชั้นที่ ๒ รวม๓๐๐,๐๐๐ ตารางเมตร ซึ่งจะใช้เป็นพื้นที่สำหรับถวายการต้อนรับคณะสงฆ์ได้ถึงคราวละหลายแสนรูป ช่วยอำนวยความสะดวกในการบำเพ็ญสมณธรรมเพื่อผลแห่งการฟื้นฟูพระธรรมคำสอนดั้งเดิมให้หวนกลับคืนมาอีกครั้งดั่งสมัยพุทธกาล จึงนับเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้มีส่วนร่วมสร้างซึ่งบุญนี้จะคอยเกื้อหนุนเราทุกคน ให้มีความสุขความสำเร็จไปทุกภพทุกชาติเพราะความปรารถนาทุกอย่างของมนุษย์จะเป็นจริงได้ ล้วนต้องอาศัยบุญเป็นหลักทั้งสิ้นเมื่อสั่งสมบุญจนเต็มเปี่ยมแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ตั้งใจไว้ย่อมสำเร็จสมความปรารถนาทุกประการ ดังนั้น พระพุทธองค์ จึงทรงสอนให้คนเราพึงข่มความตระหนี่ แล้วนำทรัพย์ออกให้ทานเพราะบุญเป็นเพียงที่พึ่งเดียวของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ในอันนสูตรว่า "บุคคลพึงนำความตระหนี่ออกไปเสีย พึ่งข่มความตระหนี่ ซึ่งเป็นตัวมลทิน แล้วพึงให้ทานเถิด เพราะบุญทั้งหลาย เป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า" ที่มา dharma.exteen.com/20070812/entry |