|
หัวข้อ: ไหว้พระธาตุวัดเกตุการาม กับตำนานตัว "มอม" สัตว์ในนิยายที่ปรากฏกายตามหน้าบันวิหาร เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 มีนาคม 2556 15:38:46 .
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/81022265967395_1.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/52899279238449_1_1.JPG) วัดเกตุการาม Wat Gategaram ถนนเจริญราษฏร์ ตำบลวัดเกต อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วัดเกตุการาม เดิมชื่อวัดสระเกษ เป็นวัดเก่าแก่ทางฝั่งตะวันออกของริมแม่น้ำปิงหรือเรียกว่าท่าน้ำวัดเกตุ ถ.เจริญราษฎร์ ต.วัดเกต อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ตามศิลาจารึกกล่าวว่าวัดนี้สร้างขึ้นโดยพญาสามฝั่งแกน (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๕๔–๑๙๘๕) กษัตริย์เชียงใหม่ ลำดับที่ ๘ แห่งราชวงศ์มังราย พระราชบิดาของพญาติโลกราช พญาสามฝั่งแกนโปรดฯ ให้พระยาเมือง พระยาคำ และพระยาลือ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๑๙๗๑ ภายในวัดมีพระเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี ซึ่งเป็นที่สักการะของชุมชน เป็นเจดีย์บูชาโดยผู้ที่เกิดในปีของสุนัขตามราศีจีน พระเจดีย์เกศแก้วจุฬามณีเป็นเจดีย์ประธานทรงระฆังแบบล้านนา จำลองจากพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อให้สาธุชนได้สักการะ ฐานเจดีย์เป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบย่อเก็จ มีซุ้มจระนำ ประดิษฐานองค์พระทั้งสี่ทิศ ส่วนบนตั้งแต่ปากระฆังถึงปลียอดประดับด้วยทองจังโกดุนลาย โดยรอบมีเจดีย์บริวารทั้งสี่มุม นอกนั้นมีพระวิหารที่หาดูได้ยาก สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๙ ห้อง มีเสาคู่รองรับหลังคาหน้าจั่วและเสาคู่นอกรับแนวหลังคา ปีกนกย่อเก็จ ๓ ตอน ในแนวตะวันออก–ตะวันตก หน้าบันประดับลวดลายแกะสลักลายพรรณพฤกษา ปิดทองนาคะตัน เป็นไม้แกะสลักลวดลายเครือเถา บัวหัวเสาประดับด้วยแก้วอังวะ ตัวเสามีลายทอง หางหงส์ประดับด้วยไม้เป็นรูปนาคลำยอง ประดับด้วยแก้วอังวะ ลงรักปิดทอง มีประตูทางเข้าสามทาง หลังคาทรงจั่ว เรียงซ้อนกัน ๕ ชั้น ๒ ตับ และเนื่องด้วยชุมชนอยู่ในย่านการค้าเก่าของชาวจีนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง สิ่งก่อสร้างในยุคหลังที่ได้บูรณะขึ้นจึงมีศิลปะจีนปนอยู่ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/44781257957220_3.JPG) พระธาตุเกตการาม พระธาตุประจำปีนักษัตรสุนัข หรือผู้ที่เกิดปีจอ โดยอนุโลมแทนพระธาตุเกตุแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ และพระธาตุอินทร์แขวนในประเทศพม่า พระธาตุเกตุการาม มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลม ฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม ศิลปะล้านนา สร้างเมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๗๑ ปราชญ์ชาวล้านนาได้อนุโลมกำหนดให้เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดในปีจอ แทนพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี และพระธาตุอินทร์แขวน ปราชญ์ล้านนา กำหนดเอาพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดในนักษัตรสุนัข หรือผู้ที่เกิดปีจอ หรือปีเส็ด (ภาษาเหนือ) และกำหนดให้ไปไหว้พระธาตุวัดเกตุการาม จังหวัดเชียงใหม่ เพราะเชื่อว่าพระธาตุวัดเกตุการาม เป็นพระธาตุที่บรรจุเส้นพระเกศาของพระพุทธเจ้า ตามตำนานพระธาตุของล้านนา พระธาตุที่บรรจุเส้นพระเกศาของพระพุทธเจ้านั้น มีอยู่หลายแห่งในดินแดนล้านนา เช่น พระธาตุเกศแก้วจุฬามณี พระธาตุอินทร์แขวน และพระธาตุวัดเกตุการาม ปราชญ์ล้านนากำหนดให้พระธาตุทั้งสามองค์ดังกล่าวเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดในนักษัตรสุนัข หรือผู้ที่เกิดในปีจอ • พระเกศแก้วจุฬามณี เป็นพระธาตุที่อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นที่ประดิษฐานพระเมาฬี (เส้นผม) และพระทันตธาตุเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้า ปรากฏในพระพุทธประวัติและในไตรภูมิตถา ที่กล่าวถึงภูมิต่างๆ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นที่ตั้งของเมืองไตรตรึงษ์ เป็นที่อยู่ของพระอินทร์และเทวสภา (https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/eb/Golden_Rock.JPG/250px-Golden_Rock.JPG) พระธาตุอินทร์แขวน หรือเจดีย์ไจ้ทีโย ภาพจาก : วิกิพีเดีย •พระธาตุอินทร์แขวนหรือเจดีย์ไจ้ทีโย หรือก้อนหินสีทอง เป็นเจดีย์ที่อยู่ระหว่างเส้นทางเมืองบาโก กับเมืองตะโทง ในประเทศพม่า โดยมีเมืองไจ้ทีโยอยู่ตรงระหว่างกลาง เป็นเจดีย์ขนาดเล็กสูงประมาณ ๕.๕ เมตร สร้างขึ้นบนก้อนศิลาก้อนใหญ่ที่เทินค้างอย่างหมิ่นเหม่บนหน้าผา มองดูคล้ายจะกลิ้งตกลงมาได้ทุกเมื่อ แต่ชาวพม่าเชื่อกันว่าหินก้อนนี้ไม่มีวันที่จะกลิ้งตกลงมาจากหินก้อนใหญ่ที่รองรับอยู่ได้เพราะปาฏิหาริย์อันเกิดจากพระเกศาธาตุที่ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์ จะดลบันดาลให้ก้อนศิลาตั้งอยู่คงที่ได้เช่นนั้นตลอดไป และยังมีความเชื่อกันอีกว่าระหว่างหินสองก้อนที่เทินซ้อนกันอยู่นี้สามารถใช้เส้นผมหรือเส้นด้ายสอดลอดผ่านไปได้อย่างอัศจรรย์ คล้ายกับก้อนหินก้อนบนลอยทรงตัวอยู่หรือแขวนลอยบนก้อนหินขนาดใหญ่บนหน้าผา ดุจดั่งพระอินทร์นำมาแขวนไว้ จึงนิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พระธาตุอินทร์แขวน สำหรับพระธาตุเกตุการาม ที่วัดเกตุการาม จังหวัดเชียงใหม่ นั้น ปราชญ์ชาวล้านนาได้อนุโลมกำหนดให้เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดในปีจอ แทนพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีและพระธาตุอินทร์แขวน มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลม ฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม ศิลปะล้านนา สร้างเมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๗๑ ในสมัยพระเมืองเกษเกล้าเคยมีพิธีอุปสมบทอุทกเสมา ดังจารึกที่ใบเสมาที่วัดกล่าวว่า มังนราช่อ กษัตริย์ชาวพม่าที่เคยมาครองเมืองเชียงใหม่ในสมัยพม่ายึดครองเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๑๐๑–๒๓๑๗) ได้บูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุเกตุการาม เมื่อปีพุทธศักราช ๒๑๒๑ จึงนิยมเรียกว่าเจดีย์วัดเกตุ และมีเรื่องพิสดารที่ควรสังเกตคือ ในการบูรณะพระธาตุแห่งนี้ ปรากฏว่ายอดแหลมของพระธาตุวัดเกตุมีลักษณะเอียงและโค้งงอ ไม่ตรงเสียทีเดียว ซึ่งปราชญ์ชาวล้านนาได้สันนิษฐานว่าไม่ต้องการจะให้ยอดของพระธาตุชี้ขึ้นไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันเป็นสถานที่ประดิษฐานพระเกตุแก้วจุฬามณี เพราะถือเป็นการลบหลู่หรือไม่บังควร ดังนั้นช่างจึงเจตนาสร้างให้ยอดพระธาตุวัดเกตุเอียงงอ ไม่ให้ตรง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/37318601210911_2.JPG) สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๒ ในยุคที่เรียก วัดเกตุการาม ปัจจุบันในชื่อของวัดสระเกษ โดยจีนอินทร์ ซิ้มกิมฮั่วเซ้ง และนางจีบ ภริยา เพื่อใช้เป็นโรงเรียนสอนนักธรรม บาลี ปริยัติธรรม จนคนเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรงเรียนปริยัติธรรมวัดสระเกษ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/59519640935791_7.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/80840496636099_3.JPG) โรงเรียนนักธรรม วัดเกตุการาม เชียงใหม่ อาคารโรงเรียนนักธรรม ต่อมาภายหลังไม่มีการเรียนการสอนนักธรรม บาลี จึงใช้เป็นกุฏิพระสงฆ์ สามเณร พักอาศัยแทน สำหรับจีนอินทร์หรือพ่ออินทร์ ซิ้มกิมฮั่วเซ้ง นั้น ท่านเป็นคนมาจากที่อื่น เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บ้านวัดเกตุด้วยการแต่งงานกับแม่จีบ มีบ้านตั้งอยู่ที่ปัจจุบัน คือที่จอดรถข้างๆ บ้านเลขที่ ๘๙ ถนนเจริญราษฎร์ ติดกับสะพานจันทร์สมทางทิศใต้ พ่ออินทร์ท่านเป็นพ่อค้าขายของโชวห่วยใหญ่โตที่บ้านวัดเกตุ ท่านไม่มีลูกสืบตระกูล แม่จีบนั้น ท่านเป็นหลานของหม่อมลมัย สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ ๘๙ ถนนเจริญราษฎร์ นั่นเอง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/55343422624799_1.JPG) พระประธาน ในพระวิหารวัดเกตุการาม (http://www.sookjaipic.com/images_upload/94978946157627_2.JPG) พระวิหาร (http://www.sookjaipic.com/images_upload/53419073836670_3.JPG) ธรรมาสน์หลวง ทำจากไม้เนื้อแข็ง แกะสลักลวดลายสวยงามมาก ความสูงของธรรมาสน์จรดเพดานพระวิหาร (น่าจะเกิน ๖ เมตร) เท่าที่สังเกต พระวิหารแถบล้านนามักจะมีธรรมาสน์หลวงประดิษฐานไว้แทบทุกแห่ง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/86620920482608_4.JPG) เทวดาประจำทั้งสี่ทิศ ประดับธรรมาสน์หลวง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/24711003402868_5.JPG) ฐานธรรมาสน์ เป็นชั้นลดหลั่นฝีมือปราณีตงดงาม ประดับลายเขียนสี เทวดาแกะสลัก พรรณพฤกษา ฯลฯ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/84558441614111_4.JPG) ข้าวมธุปายาส ทำพิธีกวนและแจกทาน เมื่อวันมาฆบูชา (วันจันทร์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/53820619483788_5.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/83606989971465_2.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/71891412759820_6.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/16169163170787_20.JPG) "มอม" หน้าบันพระอุโบสถวัดเกตุการาม โดดเด่นสะดุดตามากกว่าวัดอื่นที่เคยไปมา จึงนำข้อมูลเกี่ยวกับ "มอม" มาเสริมความรู้ มอม มอมเป็นสัตว์ในนิยาย ปรากฏตามลวดลายประดับให้เห็นตามหน้าบัน หรือตามภาพแกะสลักที่บานประตูหน้าต่างของโบสถ์วิหาร และรูปปูนปั้นตามซุ้มประตูโบสถ์วิหาร และโบสถ์วิหารหลายแห่ง มีรูปเทวดายืนบนหลังมอม หรือยืนเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนหัว หรือหลังของมอม ทำให้คิดกันว่า เทวดาองค์นั้นอาจหมายถึงปัชชุนนะเทวบุตร ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งฝน ตัวมอมนี้เป็นชื่อเรียกกันโดยทั่วไป แต่มีอยู่บ้างที่มีคนเรียกสิงห์มอม ซึ่งมีลักษณะทั่วไปคล้ายกับลูกเสือหรือสิงโต แต่ก็มีส่วนที่คล้ายแมวอยู่มาก ดังที่มักพรรณนากันว่ามอมคล้ายกับแมว แต่มีขายาวกว่า กล่าวโดยเชิงวัฒนธรรม นอกจากจะปรากฏตัวมอมในฐานะลวดลายประดับแล้ว ยังจัดให้มอมเป็นสัตว์ที่เกี่ยวพันกับเทวดาที่ชื่อปัชชุนนะ คือเป็นสัตว์ที่คอยรับใช้หรือเป็นสัตว์พาหนะ จึงมีพิธีแห่มอมเพื่อขอให้ฝนตก การขอฝนต่อปัชชุนนะเทวบุตรโดยผ่านทางสัตว์พาหนะคือมอม ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งโดยเชื่อกันว่ามอมซึ่งเป็นสัตว์รับใช้จะนำเอาความเดือดร้อนและการวิงวอนขอของมนุษย์ไปรายงานให้แก่ผู้เป็นนายทราบ เพื่อจะได้บันดาลให้ฝนตกตามความประสงค์ของผู้ขอ มอมที่ใช้ขอฝน แกะสลักด้วยไม้ ส่วนใหญ่เป็นไม้สัก ลงรักทาชาด มีอยู่ตามวัดแถบล้านนาเกือบทุกแห่ง อาจอยู่ตามฐานล่างของแท่นแก้วในวิหารหรือตั้งอยู่ตามซุ้มของเจดีย์ มีขนาดเท่ากับแมวตัวเล็กๆ หรือแมวตัวใหญ่สุด นอกจากนี้ยังพบมอมที่ทำด้วยกระเบื้องดินเผาที่วัดทรายมูล อำเภอเมืองเชียงใหม่ และกล่าวกันว่า เจ้าแก้วนวรัฐ ซึ่งเป็นเจ้าหลวงองค์สุดท้ายของเชียงใหม่ เป็นผู้ถวาย ประเพณีการแห่มอม เมื่อถึงต้นฤดูการทำนา หรือช่วงเดือน ๘ ถึงเดือน ๑๐ ถ้าฝนฟ้ายังไม่ตกต้องตามฤดูกาลจนทำให้เกิดการแห้งแล้งผิดปกติ ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านจะชักชวนกันทำคานหามซึ่งมีลักษณะคล้ายครัวทาน หรือชองอ้อย (อ่าน “จองอ้อย”) คือกระบะที่ใช้บรรจุเครื่องไทยทาน นำมอมทำด้วยไม้มาตั้งไว้กลางชองอ้อย จุดธูปเทียนรอบคานหาม มีผู้ร่วมขบวนแห่ ส่วนมากมักจะเป็นผู้ชาย บางคนใช้ดินหม้อทาหน้าเป็นดั่งตัวตลก บางคนจะนำผ้าซิ่นของผู้หญิงมานุ่ง มีการแห่ด้วยฆ้อง กลองเล็ก ที่เรียกว่า กลองสิ้งหม้อง ขบวนแห่จะเริ่มจากในวัดออกไปตามถนนในหมู่บ้านจากหัวบ้านล่องไปท้ายหมู่บ้าน ระหว่างที่แห่ไปนั้นจะมีคนประพรมน้ำให้ตกไปที่คานหามมอม และตกไล่ขบวนไปตลอดทาง ชาวบ้านที่ไม่ได้ร่วมขบวนก็จะคอยดักดูตามรายทาง เชื่อว่าได้กระทำดังนี้แล้วเทวดาจะร้อนใจและบันดาลให้ฝนตกลงมา สมัยต่อมา ตัวมอมที่เป็นไม้สูญหายไป เนื่องจากถูกไฟไหม้บ้าง หรือมีคนที่หาซื้อของวัตถุโบราณหลอกซื้อไปบ้าง มอมจึงหายไปจากวัด ฝ่ายชาวบ้านเมื่อจะทำการขอฝนจึงใช้แมวมาแห่ขอฝนแทนมอม โดยการจับแมวมาแต่งหน้าทาปาก นุ่งเสื้อนุ่งผ้าให้แมว ขังแมวในตะกร้า เอาตะกร้าใส่บนคานหามอีกทีหนึ่ง แล้วจึงแห่แมวเหมือนกับการแห่มอม เมื่อแห่ไปแมวก็ดิ้นหาทางออก คงเป็นเพราะตื่นคนและเสียงฆ้องกลองนั่นเอง...สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ เล่ม ๑๐ หน้า ๕๐๘๒–๕๐๘๓ มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทยฯ จัดพิมพ์เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/70594698935747_1.JPG) มอมประดับพระวิหาร วัดเกตุการาม เชียงใหม่ พจนานุกรมล้านนาไทย ฉบับที่เขียนโดย อุดม รุ่งเรืองศรี อธิบายว่า "มอม" เป็นสัตว์ในจินตนาการ ซึ่งชาวล้านนานิยมปั้นประดับตามสิ่งก่อสร้างทางศาสนา โดยมีความเชื่อเกี่ยวกับมอมว่า เป็นสัตว์หิมพานต์ รูปร่างคล้ายสิงโตและมีส่วนคล้ายแมว ตำนานทางภาคเหนือเชื่อกันว่ามอมเป็นสัตว์พาหนะของ "ปัชชุนนเทวบุตร" เทพเจ้าแห่งฟ้าฝน และเป็นเทวบริวารของพระวรุณ สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา สมัยก่อนวัดทางเหนือจะแกะตัวมอมจากไม้แล้วลงรักทาด้วยชาดอย่างสวยงาม เมื่อใดที่ฝนแล้งชาวล้านนาจะมีประเพณีขอฝน โดยนำตัวมอมขึ้นเสลี่ยงแห่ไปตามท้องถนน ระหว่างทางชาวบ้านจะร่วมประพรมน้ำให้กับมอมและคนที่ร่วมในพิธี ตามความเชื่อว่าหากชาวบ้านเซ่นไหว้มอมแล้ว มอมจะนำความเดือดร้อนของชาวบ้านไปบอกกล่าวแก่ปัชชุนนเทวบุตร เพื่อบันดาลให้ฝนฟ้าตกลงมาให้ความชุ่มฉ่ำ การแห่มอมดังกล่าวอาจเป็นต้นเค้าของการแห่นางแมวในปัจจุบัน เนื่องจากแมวมีลักษณะใกล้เคียงกับมอมมาก ด้วยเหตุที่มอมเป็นสัตว์ป่าหิมพานต์ ที่มีรูปลักษณ์องอาจผึ่งผายราวราชสีห์ แข็งแกร่งดังเสือ นิ่มนวลเหมือนแมว และคล่องแคล่วดุจลิง จึงมีผู้นำมาผูกกับอักขระเลขยันต์เพื่อให้ส่งผลด้านคงกระพัน สังเกตได้จากกลุ่มลาวพุงดำ ที่กระจายตัวอยู่ทางภาคเหนือ นิยมสักรูปมอมไว้ตามท้องและต้นขา โดยเชื่อว่าจะทำให้เกิดความน่าเกรงขามแก่ผู้อื่น มอมในความเชื่อของชาวอีสานเรียกกันว่า "สิงห์มอม" เป็นสัตว์ที่ทรงฤทธานุภาพ แข็งแรง ทรงกำลังมหาศาล เมื่อลงมายังมนุษย์โลกก็แสดงอำนาจไปทั่ว กิเลสดังกล่าวทำให้มอมไม่สามารถกลับขึ้นไปยังสวรรค์อันเป็นที่สถิตของเทวบุตรได้ เทพปัชชุนนฯ จึงสั่งให้มาเฝ้าพุทธสถานเพื่อรับฟังพระธรรมคำสอนเป็นเนืองนิจ จนกว่าจะละกิเลสคือความทะนงตน และเข้าใจในพระธรรมจึงจะกลับไปสถิตเป็นเทพพาหนะบนวิมานชั้นฟ้าต่อไป พุทธสถานในประเทศไทยพบเห็นตัวมอมได้หลายแห่ง อาทิ วิหารและหอมณเฑียรธรรม วัดบุพพาราม จ.เชียงใหม่ หรือบนลายปิดทองล่องชาดของวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ มักมีคนสับสนคิดว่า "ตัวมอม" เป็นสัตว์ชนิดเดียวกับ "ตัวมกร" หรือ"เหรา" ที่เฝ้าอยู่ตรงราวบันไดศาสนสถาน แต่จริงๆ แล้วเป็นสัตว์ต่างชนิดกัน ที่มา : เว็บไซต์หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด ข้อมูลเกี่ยวข้อง พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดเกตุการาม เพชรเม็ดงามที่ส่องประกายร่องรอยประวัติศาสตร์ล้านนา กดอ่านที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษสีเทาด้านล่าง http://www.sookjai.com/index.php?topic=59159.msg87963#msg87963 (http://www.sookjai.com/index.php?topic=59159.msg87963#msg87963) |