หัวข้อ: มหายาน-หินยาน : มูลเหตุการเกิด ๒ นิกายในพุทธศาสนา เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 เมษายน 2556 18:33:07 .
(http://www.sookjaipic.com/images/7093057918_DSC00349_1_.JPG) พระประธาน ประดิษฐานในวิหาร วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก มหายาน – หินยาน มหายาน เป็นชื่อนิกายหนึ่งในพระพุทธศาสนา พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายไว้ว่า ชื่อนิกายในพระพุทธศาสนาฝ่ายเหนือ ที่ถือกันในทิเบต จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และญวน เป็นต้น นิกายนี้มีชื่อเรียกอื่นอีก ได้แก่ อาจริยวาท (ลัทธิที่ถือตามคติที่อาจารย์ได้สั่งสอนสืบๆ กันมา) และอุตรนิกาย (นิกายฝ่ายเหนือ) พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า ชื่อ “มหายาน” นี้เกิดจากภิกษุกลุ่มหนึ่งที่เห็นว่าการบรรลุธรรมเพียงแค่ให้ได้เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด แต่พวกตนมีเป้าหมายที่สูงกว่านั้นคือ การเป็นพระโพธิสัตว์ และปรารถนาพุทธภาวะเพื่อช่วยขนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นได้มาก จึงเรียกลัทธิของตนว่า “มหายาน” ซึ่งแปลว่า ยานใหญ่ที่สามารถขนสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้คราวละมากๆ และเรียกกลุ่มพระภิกษุที่มีอุดมคติและแนวคิดที่ต่างออกไป คือมุ่งทำตัวเองให้หลุดพ้นก่อนแล้วจึงช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ว่า “หินยาน” ซึ่งมีความหมายว่า ยานที่เล็ก คับแคบ ขนสรรพสัตว์ให้ถึงความหลุดพ้นได้น้อย คำว่า หินยาน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายไว้ว่า ชื่อนิกายพระพุทธศาสนาฝ่ายใต้ที่ถือกันในลังกา พม่า และไทย เป็นต้น ส่วนชื่อเรียกอื่นได้แก่ หีนยาน เถรวาท และทักษิณนิกาย ตามรูปศัพท์คำว่า “เถรวาท” แปลว่า ลัทธิที่ถือตามคติที่พระเถระพุทธสาวกได้ทำสังคายนาไว้ และ “ทักษิณนิกาย” แปลว่า นิกายฝ่ายใต้ ที่มาของคำว่า “เถรวาท” เกิดจากกลุ่มพระภิกษุวัชชีบุตรเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๐๐ พระภิกษุกลุ่มนี้ประพฤติผิดธรรม ผิดวินัย เช่น ฉันอาหารในเวลาบ่าย และรับเงินและทอง เมื่อพระอรหันต์ร่วมกันวินิจฉัยว่าทำผิด ท่านก็ไม่ยอมรับ จึงแยกตัวออกไปตั้งนิกายใหม่ และเรียกกลุ่มพระอรหันต์ที่ยึดมั่นในวาทะของพระเถระว่า “เถรวาท” ส่วนชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของนิกายเถรวาทคือ คำว่า “หีนยาน” นั้นเลิกใช้ไปใน พ.ศ. ๒๔๙๓ ตามมติที่ประชุมในการประชุมองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) ครั้งแรกที่ศรีลังกา และให้ใช้คำว่า เถรวาท แทนในทุกกรณี ที่มา : คอลัมน์ องค์ความรู้ ภาษา-วัฒนธรรม “มหายาน-หินยาน” โดย ราชบัณฑิตยสถาน หน้า ๒๒ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ หัวข้อ: Re: มหายาน-หินยาน : ๒ นิกายในพุทธศาสนา เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 ตุลาคม 2556 12:43:10 .
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดยพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) อธิบายความว่า "เถรวาท" แปลว่า วาทะหรือลัทธิของพระเถระ, นิกายพระพุทธศาสนาฝ่ายใต้ ซึ่งถือตามคติที่พระอรหันต์พุทธสาวกได้วางหลักธรรมวินัยเป็นแบบแผนไว้เมื่อครั้งปฐมสังคายนา ได้แก่พระพุทธศาสนาอย่างที่นับถือแพร่หลายในประเทศไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา ส่วน "มหายาน" แปลว่า ยานใหญ่, ชื่อเรียกพระพุทธศาสนานิกายที่มีผู้นับถือมากในประเทศฝ่ายเหนือของทวีปเอเชีย เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ทิเบต และมองโกเลีย บางทีเรียกอุตรนิกาย (นิกายฝ่ายเหนือ) บ้าง อาจารยวาท (ลัทธิของอาจารย์) บ้าง สำหรับคำว่า "หีนยาน" แปลว่ายานเลว, ยานที่ด้อย เป็นคำที่พวกอุตรนิกาย (พุทธศาสนาฝ่ายเหนือ) เรียกพวกทักษิณนิกาย (พุทธศาสนาฝ่ายใต้) ปัจจุบันนิยมเรียกว่าเถรวาท • มูลเหตุแห่งการแยกนิกาย ๒ นิกายใหญ่ของพระพุทธศาสนา คือ "นิกายเถรวาท" (หรือหีนยาน) กับ "นิกายมหายาน" ย้อนไปครั้งหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๓ เดือน พระสาวกผู้ได้เคยสดับคำสั่งสอนของพระพุทธองค์จำนวน ๕๐๐ รูป ประชุมทำสังคายนาครั้งแรก ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา แคว้นมคธ ใช้เวลาสอบทานอยู่ ๗ เดือน จึงประมวลคำสอนได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เรียกว่า ปฐมสังคายนา เป็นบ่อเกิดของพระไตรปิฎก คำสอนที่ลงมติกันไว้ในครั้งนั้นและนับถือกันสืบมา เรียกว่า เถรวาท แปลว่าคำสอนที่วางไว้เป็นหลักการโดยพระเถระ ซึ่งหมายถึงพระเถระผู้ประชุมทำสังคายนา และพระพุทธศาสนาซึ่งถือตามหลักดังกล่าว เรียกว่า นิกายเถรวาท หมายถึงคณะสงฆ์กลุ่มที่ยึดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งถ้อยคำและเนื้อความที่สังคายนาไว้โดยเคร่งครัด แม้แต่ตัวภาษาดั้งเดิมคือภาษาบาลี (http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2010/05/you02240553p2.jpg&width=360&height=360) ในกาลต่อมาเมื่อมีปัญหาขัดแย้ง พระเถระผู้ใหญ่ก็ประชุมขจัดข้อขัดแย้งกัน เกิดการสังคายนาต่อมาอีกหลายครั้ง จนได้พระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทดังที่รู้จักกันทุกวันนี้ ซึ่งถือกันทั่วไปว่าเป็นคำสอนโดยตรงของพระพุทธเจ้าที่นับว่าใกล้เคียงที่สุด อย่างไรก็ตาม การสังคายนาแต่ละครั้งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางความคิดในหมู่สงฆ์ จนก่อให้เกิดการแยกฝ่ายที่มีความคิดเห็นไม่ลงรอยกันในส่วนหลักธรรมและข้อวัตรปฏิบัติ กล่าวกันว่า จากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า "ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ต้องการก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้" พุทธดำรัสดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาในการตีความว่า สิกขาบทไหนเรียกว่าเล็กน้อย เป็นเหตุให้พระภิกษุบางรูปไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับสังคายนามาตั้งแต่ครั้งแรก และเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับการสังคายนาครั้งหลังอีกหลายครั้ง เป็นเหตุให้มีกลุ่มที่แยกตัวทำสังคายนาต่างหาก เป็นการแตกแยกทางลัทธิและนิกาย แต่ก็มิได้ถือว่าเป็นการแบ่งแยกศาสนาแต่ประการใด การสังคายนาครั้งที่ ๒ เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี (หรือ พ.ศ. ๑๐๐) ที่วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี สืบเนื่องจาก พระยสะ กากัณฑกบุตร พบเห็นข้อปฏิบัติย่อหย่อน ๑๐ ประการทางพระวินัยของภิกษุวัชชีบุตร เช่น ควรเก็บเกลือไว้ในเขาสัตว์เพื่อรับประทานได้ ควรฉันอาหารยามวิกาลได้ ควรรับเงินทองได้ เป็นต้น จึงชวนพระเถระผู้ใหญ่เข้าร่วมทำสังคายนาวินิจฉัยแก้ความถือผิด ได้แก่ พระสัพพกามี พระสาฬหะ พระอุชชโสภิตะ พระวาสภคามิกะ (๔ รูปนี้เป็นชาวปาจีนกะ) พระเรวตะ พระสัมภูตะ สาณวาสี พระยสะ กากัณฑกบุตร และพระสุมนะ (๔ รูปนี้เป็นชาวปาฐา) การทำสังคายนา ครั้งนี้มีพระสงฆ์ประชุมร่วมกัน ๗๐๐ รูป ดำเนินการ ๘ เดือน จึงเสร็จสิ้น ผลที่ตามมาคือการแบ่งแยกเป็นนิกายต่างๆ ๑๘ นิกาย เนื่องจากมีทรรศนะ อุดมคติ การตีความหลักธรรม และวัตรปฏิบัติที่แตกต่างกัน ในที่ประชุมสังคายนามีมติให้กำจัดข้อบัญญัติ ๑๐ ประการเหล่านั้นออกไป ด้วยเห็นว่าข้อวัตรของภิกษุฝ่ายตะวันออกไม่ถูกต้องตามพระวินัย ไม่ลงรอยกับพระปาฏิโมกข์ บ่อนทำลายความมั่นคงของพระพุทธศาสนา แต่พระวัชชีบุตร ภิกษุชาวเมืองเวสาลี ไม่เห็นชอบด้วย จึงได้จัดทำสังคายนาขึ้นเองต่างหาก เรียกว่า มหาสังคีติ และพระภิกษุฝ่ายนี้ เรียกว่า มหาสังฆิกะ ส่วนภิกษุฝ่ายตะวันตกได้นามว่า เถรวาทิน กระทั่งราวพุทธศตวรรษที่ ๕ จึงได้เกิดกลุ่มคณะสงฆ์และคฤหัสถ์ที่เรียกตนเองว่า มหายาน ขึ้น แม้จะมีที่มาไม่แน่ชัด แต่สันนิษฐานได้ว่าพัฒนาจากนิกายมหาสังฆิกะ ผสมผสานกับปรัชญาของนิกายพุทธศาสนาอื่นทั้ง ๑๘ นิกาย รวมทั้งนิกายเถรวาทด้วย ก่อกำเนิดเป็นลัทธิมหายาน (http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2010/05/you02250553p1.jpg&width=360&height=360) แม้ไม่อาจกำหนดให้แน่ชัดลงไปได้ว่า พระพุทธศาสนานิกายมหายานเริ่มถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แต่ที่แน่ชัดคือ พระเจ้ากนิษกะมหาราช กษัตริย์องค์ที่ ๗ แห่งราชวงศ์กุษาณะ (ศตวรรษที่ ๑ แห่งคริสต์ศักราช) ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกพระองค์แรกของนิกายมหายาน ได้ทรงปลูกฝังพระพุทธศาสนามหายานอย่างมั่นคงในราชอาณาจักรของพระองค์ และทรงส่งธรรมทูตออกเผยแพร่ยังนานาประเทศ เปรียบได้กับพระเจ้าอโศกมหาราชของฝ่ายเถรวาท • และต่อไปนี้คือการเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างนิกายมหายานกับนิกายเถรวาทมหายาน ๑. มหายานสอนให้ทุกคนมุ่งโพธิญาณด้วยการปฏิบัติตามทศบารมีเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ เถรวาทสอนให้มุ่งอรหัตตผลเพื่อพ้นทุกข์โดยเน้นหลักอริยสัจสี่ ๒. มหายานมุ่งพัฒนาปริมาณผู้ศรัทธาเข้ามานับถือศาสนาก่อนการพัฒนาด้านคุณภาพ เถรวาทมุ่งพัฒนาคุณภาพผู้เข้ามานับถือศาสนาเป็นสำคัญ ๓. มหายานมุ่งประโยชน์สูงสุด (โพธิจิต) เป็นใหญ่ แม้ต้องกระทำผิดวินัย (เช่นการฆ่า) ถ้าจำเป็น เถรวาทมุ่งผลสูงสุดที่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติอันถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย ๔. มหายานมีการปรับปรุงพิธีกรรมและใช้ธรรมสังคีตเป็นเครื่องมือประกอบการประกาศพระศาสนา เถรวาทไม่ถือว่าพิธีกรรมเป็นเรื่องสำคัญและไม่นิยมใช้ธรรมสังคีตประกอบการเผยแผ่ศาสนา ๕. มหายานมีการอธิบายขยายเพิ่มเติมพระพุทธวจนะออกไปอย่างกว้างขวาง เถรวาทยึดถือพระพุทธวจนะเดิมอย่างเคร่งครัด ๖. มหายานมีการแต่งพระสูตรใหม่ๆ เพิ่มเติมอย่างมากโดยมิได้ยึดถือพระพุทธวจนะเป็นหลัก เถรวาทมีการแต่งเพิ่มเติมบ้างแต่น้อยและยึดถือพระพุทธวจนะเป็นสำคัญ ๗. มหายานเป็นศาสนาเทวนิยม นับถือและให้ความสำคัญแด่พระพุทธเจ้าหลายองค์ซึ่งไม่ใช่พระสมณโคดม เถรวาทเป็นศาสนาอเทวนิยม นับถือและให้ความสำคัญแด่พระพุทธเจ้าองค์ที่มีพระนามว่าพระสมณโคดมสูงสุด ๘. มหายานเน้นความช่วยเหลือที่จะได้รับจากพระเจ้าด้วยความศรัทธาและภักดีต่อพระองค์ เถรวาทเน้นให้พึ่งตนเองและเชื่อกฎแห่งธรรม ๙. มหายานถือว่านิพพานของพระพุทธเจ้ามิใช่การดับสูญโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการเสด็จจากโลกมนุษย์กลับสู่สวรรค์ (โลกุตระ) เมื่อใดโลกเกิดยุคเข็ญจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ (โพธิสัตว์) เพื่อชี้ทางพ้นทุกข์แก่สัตว์โลกอีก เถรวาทถือว่านิพพานของพระพุทธเจ้ามิใช่เป็นการดับสูญตามอายุขัยของมนุษย์ธรรมดา แต่เป็นการดับสูญโดยสิ้นเชิง ไม่หวนกลับมาเกิดอีก ๑๐. พระไตรปิฎกของมหายานจารึกบนแผ่นทองด้วยภาษาสันสกฤต พระไตรปิฎกของเถรวาทจารึกบนใบลานด้วยภาษาบาลี จาก : หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด |