[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 13:31:11



หัวข้อ: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 13:31:11
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)

แสดงธรรม ณ ศูนย์วิปัสสนา ตอนที่ 1-4/9 (http://www.youtube.com/watch?v=8SmY4Dcqyhc#)

พระครูเกษมธรรมทัต

สุรศักดิ์ เขมรํสี 11 ธันวาคม 2541

นมัตถุ รตนัตตยัสสะ ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอความผาสุกความเจริญในธรรมจงมีแก่ญาติสัมมา
ปฏิบัติธรรมทั้งหลายต่อไปนี้ก็ใจฟังธรรมะตามหลักคำาสอน (:LOVE:)ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อเป็นเครื่องส่งเสริมสติปัญญา (:88:)
ในแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติวันนี้ก็ป็นวันธรรมสวนะ
ตามความหมายของชื่อวันนีก็เป็นวัน
แห่งการฟังธรรมท่านทั้งหลายซึ่งประกอบด้วยภิกษุสามเณร
อุบาสก - อุบาสิกาก็มาประชุมฟังธรรมส่วนหนึ่งก็มาบวชมา
ถือศีลอยู่ประจำาส่วนหนึ่งก็มาถือศีลอุโบสถเฉพาะวันพระและ
อีกส่วนหนึ่งก็เป็นผู้ที่เข้ากรรมฐานอยู่ ผู้ที่กำาลังทำาความเพียร
เข้ากรรมฐาน....รวมแล้วก็มีจำานวนก็คงจะ..พระทั้งโยมคงจะ
ใกล้ร้อยท่านด้วยกันที่เป็นผู้เข้ากรรมฐานก็ประมาณสามสิบ
กว่าท่านฉะนัั้นในการพูดธรรมะวันนีก็คงจะเน้นไปเรื่องของ
การสอนผู้เข้ากรรมฐานแม้ท่านที่ไม่ได้เข้ากรรมฐานก็ถือว่าได้
ฟังได้เป็นประโยชน์เช่นเดียวกันฉะนั้น (:SLE:)ในขณะที่ฟังธรรมถ้าจะ
ให้ได้ความเข้าใจได้ดีท่านทัง้ หลายก็ต้องปฏิบัติด้วย ให้ได้เป็นผู้
เจริญสติในขณะฟังธรรมะก็ทำาให้การฟังนั้นเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
เพราะว่าเราใช้สมาธิในการฟังใช้สติในการฟังทั้งผู้ฟัง - ผู้พูดแล้ว
ก็ปฏิบัติธรรมไปด้วยกัน (:LOVE:)


หัวข้อ: Re: อัสสาสะ – ปัสสาสะ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 13:35:58
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


 (:88:)ดังนั้นการปฏิบัติธรรมนั้นสามารถจะทำได้ทุกโอกาส
ทุกเวลาแม้ว่าขณะที่เรากำาลังพูดอยู่ หรือในขณะที่ฟังอยู่ก็เป็นช่วง (:BYE:)
ที่เราปฏิบัติธรรมได้ เพียงการที่เราได้เจริญสติให้เกิดขึ้น ระลึกรู้
สภาพธรรมต่าง ๆ ที่กำาลังปรากฏในขณะนี้สภาพธรรมที่ปรากฏ
ทางกายทางจิตใจก็มีอยู่ในส่วนที่เป็นสภาวะส่วนที่เป็นปรมัตถ
ธรรมก็ใช้สติสัมผัสตรง ๆ ไม่ต้องนึกคิด ถ้าหากไปนึกคิดขึ้นมา
มันก็จะเลยไปสู่สมมุติบัญญัติ การระลึกรู้ให้รู้ตรง ๆ สัมผัสตรง
 (:-_-:)หยั่งรู้สังเกตเข้าไปในกายในความรู้สึกรู้ไปทั้งตัวแต่ส่องไปใน (:BR:)
ความรู้สึกสติสัมปชัญญะเหมือนกับเป็นเครื่อง......เอ็กซ์เรย์......ส่อง
เหมือนกับการที่บุคคลเข้าไป....เอ็กซเรย์........ทั้งตัวมันก็มีเครื่องฉายส่อง
ลงไปอันนี้็เหมือนกันใช้สติสัมปชัญญะให้ เอ็กซเรย์ คือ.......ส่อง
ฉายรู้ลงไปในกายทั้งตัวก็ลองทำดูว่าสามารถจะส่องรู้พร้อมทั้ง
ตัวได้ไหม ? แต่ว่าไม่ใช่รู้แบบเป็นรูปร่างสัณฐานถ้ารู้เป็นรูปทรง
สัณฐานรูปร่างกายทั้งหมดอย่างนีเ้รียกว่าส่องไปติดแค่ผิวนอก
ติดเป็นภาพเป็นรูปทรงสัณฐานไม่ลึกซึ้งฉะนั้นการส่องรู้
เข้าไปนั้นต้องทะลุเนื้อหนังแต่ก็ไม่ใช่ทะลุไปเห็นเป็นเนื้อเป็น
กระดูกแต่ว่ารู้ลงไปในความรู้สึก (:SLE:)ส่องฉายสัมผัสไปที่ความรู้สึก
มันก็จะจับได้สัมผัสได้ในความรู้สึกทางกายทุกส่วนของกายว่า
มันมีความรู้สึกความไหว ความกระเพื่อมความตึงหย่อนหรือ
ว่าความรู้สึกของความไม่สบายกายเรียกว่าทุกขเวทนาก็ดีหรือ
สุขเวทนาสบายกายก็ดีอันนีคื้อตัวสภาวะตัวปรมัตถธรรม (:HIT:)


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:24:57
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


แล้วเราจะพบว่าการเข้าไปรู้บางขณะก็ติดค้างเป็นรูปทรง
สัณฐานเป็นรูปร่างอวัยวะของกาย บางทีก็เป็นบางส่วนของกาย
บางทีก็เป็นหมดทั้งตัวก็ให้รู้ว่านี่คือติดค้างอยู่ที่.......สมมุติ (:PL:)
บัญญัติ (:SLE:)บัญญัติแห่งความเป็นรูปทรงสัณฐานบัญญัติรูปร่าง
สัณฐานเรียกว่าอัตถบัญญัติเพราะ...........
ฉะนันให้มีความเข้าใจว่า เวลากำาหนดรู้ลงไปที่จะเป็นวิปัสสนา
นั้นจะต้องไม่ดูเป็นรูปร่างไม่เห็นเป็นสัณฐานของกายไม่มี
ทรวดทรงสัณฐานรูปร่างของกาย (:RL:)แต่ก็ไม่ใช่เป็นความว่างเปล่า
บางคนอาจจะเข้าไปเห็นเป็นความว่างเปล่า ดูลงไปแล้วก็ไม่มี
ร่างกายแขนขาหน้าตา ร่างกายไม่มี อะไรก็ไม่มีมันว่างไปหมด (:QS:)
ไม่มีอะไรเลยอันนี้เป็นสมมุติอีกเช่นเดียวกันเหมือนกับ
การถ่ายภาพไม่ติดอะไรเลยนั่นก็หมายถึงว่าบุคคลนั่นจิต.......มี
สมาธิ มีความสงบ ความรู้สึกทางกายละเอียดก็จับไม่ออกเลย
เข้าไปจับรู้ความรู้สึกละเอียดไม่ออกก็เลยดูว่าไม่มีอะไรว่างเปล่า
ความว่างเปล่านีก้ ็ถือว่าเป็นสมมุติอันหนึ่ง เป็นอารมณ์ที่เป็น
สมมุติ (:SL:)ไม่ใช่ของจริง (:QS:)ไม่ใช่สภาวปรมัตถ์ อยู่ในประเภทความ
หมายความว่างเปล่านั้นก็คือความหมายอย่างหนึ่ง ความหมาย
แห่งความไม่มีอะไรว่างไปหมดก็หมายถึงมันไม่มีอะไรในความ
หมายนัั้นก็ยังเป็นสมมุติอยู่ (:KM:)


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:26:55
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)



 (:6:)สมมุติบัญญัตินี่มันมีทั้งรูปร่างสัณฐานก็เป็นสมมุติ
ความหมายก็เป็นสมมุติ ชื่อภาษาก็เป็นสมมุติ ถ้าเราไม่เข้าใจมันจะไป
อยู่กับสมมุติ จิตใจจะไปรับแต่สมมุติ ไม่เป็นรูปร่างก็เป็นความ
หมายหรือเป็นชื่อเป็นภาษาอยู่อย่างนั้นหาสภาวะไม่เจอ (:-_-:)
ฉะนัน้ ต้องทำาความเข้าใจให้ดีว่าวิปัสสนาต้องงระลึกสัมผัส
ตรงอยู่กับสภาวะ อยู่กับปรมัตถธรรม คำาว่าสภาวะแปลว่าสิ่งที่
มันมีมันเป็นอยู่จริง ๆ ปฏิบัติต้องระลึกรู้ของจริง เพื่อจะได้แจ้ง
ชัดตามความเป็นจริงเราไปดูของปลอมมันก็ไม่มีโอกาสจะรู้
จริงก็รู้ไปตามปลอมฉะนั้นผู้ปฏิบัติก็ต้องมีความเข้าใจมี
ปัญญาในส่วนหนึ่งเพื่อที่จะแยกอารมณ์ได้ว่าอันไหนบัญญัติอัน
ไหน ? ปรมัตถ์ ต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า.......ถ้าเป็นรูปร่างความ
หมายชื่อภาษา (:UU:)เป็นบัญญัติ วิปัสสนาต้องรู้ปรมัตถ์ ต้อง
ระลึกไปสัมผัสที่สภาวะให้ถูกต้องที่กายนั้นก็ไปสัมผัสที่เป็น
ปรมัตถ์ ก็จะมีความรู้สึก ความเย็น รู้สึกร้อน รู้สึกอ่อนแข็ง
หย่อนตึง รู้สึกมันตึงมันไหวมันกระเพื่อม หรือว่ามันสั่น (:HIT:)
สะเทือนหรือมันแข็ง หรือมันรู้สึกเย็น รู้สึกปวดไม่สบายเมื่อย
ชา (:DY:)นี่คือสภาวะเข้าไปรู้ให้จดสภาวะนะการเจริญวิปัสสนานี่ (:8:)


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:28:13
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


สติ.....ต้องจดสภาวะคือไปให้ตรง - ตรงตัวของปรมัตถธรรม
ตรงลักษณะของปรมัตถธรรม ส่องเข้าไปที่กายนี่ ไปสัมผัสสัมพันธ์
กับความรู้สึก แต่ไม่มีรูปร่างกาย มีสภาวะความรู้สึกปรากฏให้รู้
อยู่อย่างนีแ้หละจะเป็นวิปัสสนา (:LOVE:)
สภาวะนั้นก็ไม่ใช่จะมีเฉพาะที่ทางกายมีทางด้านจิตใจ
ด้วยฉะนั้นการระลึกรู้ต้องรู้พร้อมไปทั้งความรู้สึกทางจิตใจ (:LOVE:)
ด้วย ไม่รู้เฉพาะทางกายเท่านั้น ต้องรู้พร้อมทั้ง จิตทั้งกายกายรู้
อยู่เฉพาะในความรู้สึกทางจิตใจก็รู้ที่สภาพรู้หรืออาการใน
สภาพรู้ที่กำาลังปรากฏ ทางกายดูความรู้สึก พอทางจิตก็ยิ่งมี
ความละเอียดมากขึ้นอีกเพราะว่ามันเป็นนามธรรม มันไม่มีรูป
ร่างสัณฐานจิตใจนี่เป็นอสรีระ ไม่มีรูปร่าง เวลากำาหนดรู้จิต
อย่าไปค้นหาแบบหารูปร่างหาร่างหาเป็นแท่งเป็นก้อน แล้ว
หาไม่เจอ ต้องเข้าใจว่าจิตนัน้ เป็นเพียงสภาพรู้ คือรับรู้อารมณ์
รับรู้อารมณ์ รู้อารมณ์นัน้ รู้อารมณ์นี้แวบไป - แวบมา นึกคิดนี้
เรียกว่าจิต จิต หรือใจ หรือ มโนหรือวิญญาณเป็นธาตุรู้ เป็น
สภาพรับรู้ให้หาให้เจอ กำหนดรู้ให้เจอ คือรู้ลักษณะ (:NOY:)
สภาพรู้ ไม่ใช่ไปหาเป็นรูปร่างจิตไม่ใช่เกิดขึ้นมาตามลำพัง
จิตนั้นก็จะมีธรรมชาติที่ประกอบร่วมด้วยหลายชนิดเรียกว่า
เจตสิก มันเกิดร่วมกับจิต เข้าไปแสดงเป็นอาการใน จิตเป็น
ปฏิกิริยาในจิต เช่น เกิดความรู้สึกพอใจไม่พอใจ เกิดสงบไม่
สงบ เกิดขุ่นมัวผ่องใส เกิดความสงสัย เกิดฟุ้ง รำาคาญใจ เหล่านี้
เกิดปีติ เกิดศรัทธา เกิดเมตตากรุณา จะเข้าไปปรุงแต่งในจิตใจ
นีเ้ป็นเรื่องของเจตสิก การปฏิบัติก็จะต้องศึกษาสังเกตอาการ
ในจิตว่า มันมีสภาพธรรมเหล่านี้ปรากฏต่าง ๆ เข้าไปรู้ในลักษณะในอาการในจิต


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:30:00
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


จิต.....นั้นเหมือนกับน้ำใส ๆ เปล่า ๆ เจตสิกก็เหมือนกับ
เครื่องแกงที่ผสมอยู่ในน้ำเครื่องแกง ก็มีหลายชนิดแล้วแต่
ว่าอันไหนมันมากมันก็ปรากฏรสชาดของมันมาก ใส่พริก หอม
กระเทียม กะปิ น้ำาปลา อะไรเหล่านี้ ถ้าอันไหนมันมากมันก็มีผลลักษณะโดดเด่นขึ้นมา
คนที่ชิมน้ำแกงก็ใช้ความสังเกต (:SLE:)
สังเกตก็จะบอกว่ามันเป็นรสชาดของอะไร บางอย่างมันก็
ปรากฏน้อยกว่า สังเกตไปแต่ละชนิดก็มีหลายอย่าง ในจิตก็
เหมือนกันเมื่อเข้าไประลึกรู้แล้วก็สังเกตอาการต่าง ๆในจิตใจว่า
ในจิตใจนี้บ้างขณะรู้สึกพอใจ บางครัง้ ก็ไม่พอใจ บางครัง้ ก็สงสัย
บางครั้ง รู้สึกสงบ บางทีก็ไม่สงบ หงุดหงิด รำาคาญ หรือเอิบอิ่ม
หรือเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ สบายใจ บางทีไม่สบายใจ ท่านเรียก
ว่ากำหนดถึงอาการในจิต ดูในรสชาดในความรู้สึกที่ในจิตใจ
เหมือนกับดื่มน้ำาแล้วก็สังเกตในรสชาดในน้ำานัั้น มีความรู้สึก
ต่าง ๆ ดูไปที่จิตก็จะสังเกตอาการต่าง ๆ ของจิต อย่างนีเ้ขาเรียก
ว่าเป็นการได้กำาหนดรู้สภาวะ จิตก็เป็นสภาวะ เจตสิกก็เป็น
สภาวะ...............คือเป็นธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอยู่จริง ๆ ถ้าได้กำาหนดอย่าง
นีมั้นก็จะเป็นวิปัสสนาขึ้น


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:31:03
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


ฉะนั้น...............ต้องมีการหยั่งรู้มีการสังเกตสังกามีการพิจารณา
ก็จะเห็นสภาวะในจิตใจต่าง ๆ เห็นสภาพของเวทนาในจิต เห็น
สัญญาความจำได้หมายรู้ เห็นสังขารมันปรุงแต่งในจิตใจ คิดนึก
วิพากษ์วิจารณ์ พอใจ - ไม่พอใจ เป็นต้น เห็นสภาพของจิตที่กวัด
แกว่ง ที่ซัดส่าย ที่รับรู้อารมณ์ มันเป็นสิ่งที่ละเอียด รู้ได้ยาก ที่
จะดูรู้เท่าทันจิตใจนี่มันเป็นเรื่องละเอียด (:10:)แต่มันก็ไม่เกินวิสัย
ของผู้ปฏิบัติใช้การพิจารณาอย่างแยบคายสัมผัสสัมพันธ์ใน
กายในจิตพร้อม ๆ กันไป และก็ให้ทำาอย่างเป็นปรกติการ
เข้าไปรับรู้ให้พอดี ๆ เบา ๆ ไม่ได้ไปเพ่งหรือจดจ้องบังคับ มี
การที่จะปรับผ่อนให้มันเป็นปรกติอยู่ เรียกว่าให้มีการปล่อยวาง
อยู่พร้อมกับการเข้าไปรับรู้ อย่าคิดว่าเราจะรู้อะไรก็จะรู้ให้มัน
ชัดทันที ให้มันเห็นเป็นอย่างนัน้ ทันที มันไม่ได้ ต้องรู้ละผ่าน
ไป รู้ละผ่านไป รู้ผ่านไป หมดไป ถ้าทำ - จะทำให้
อยู่กับปัจจุบัน คือไปแจ่มแจ้งกันในครั้งต่อ ๆ ไป ถึงคราวที่ สติ
ปัญญามันมีกำาลังมันก็จะเห็นสภาวะชัดเจนขึ้นไม่ใช่เราจะไป
ทำาให้มันเห็นชัดทันที เอาแค่ว่าให้รู้ทันผ่านไปรู้ทันผ่านไปรู้
ใหม่ ๆ ก็จะเห็นว่ามันมั่ว เหมือนมีอะไรต่าง ๆ หลายอย่างหลาย
ชนิดดูไม่ชัดไม่ทันแต่ก็ต้องรู้แล้วก็ผ่านไป ใครที่รู้สึกว่าแหม.............................. (:PL:)


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:32:51
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


กำหนดไม่ทันมันมามากมายก็ต้องใช้ความฉลาดรู้ไปทั้งหมด
เหมือนกับว่าเขาโยนของมาให้ โยนกันมาหลายชิ้นเหลือเกินเรา
ก็มีหน้าที่จะต้องรับก็ต้องรับไว้ทั้งหมดโยนมากมายก็รับ รับไว้
แล้วก็ผ่านไป รับวางลงไป รับวางลง ถ้าไม่วางก็รับอันใหม่ไม่ได้
รับวางไป รับวางไป มันหลายชิ้นมันก็แยกไม่ออกว่าอะไรเป็น
อะไร แต่ก็รับรู้ไว้ ส่งมา - ส่งมารับรู้ เมื่อรับรู้มันมีกำาลังขึ้น
ก็จะค่อยแยกแยะได้เอง แยกแยะสภาวะต่าง ๆที่มันมีมากมายที่
รวดเร็วนัน้ คือจะเห็นสภาวะนัน้ มันมีต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน แล้ว
ก็เกิดหมดไปดับไป สลับของมันอยู่มากมายในปัญญาของผู้ปฏิบัติวิปัสสนานั้น
เมื่อเกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมันจะเห็นสภาวะที่ปรากฏให้รับรู้นี่มากมายแตกดับ (:NOY:)
ปรากฏหมดไปต่าง ๆ รูปต่าง ๆ นามต่าง ๆ ที่นีใ้หม่ ๆ มันบอก
ไม่ถูกว่าอะไรเป็นอะไร แต่มันเห็นอยู่ เห็นสิ่งที่ปรากฏแตกดับ
เปลี่ยนแปลงรวดเร็วอยู่ ก็รู้ไป ๆ ผ่านไป ๆ ที่ปล่อยให้มันผ่าน
ไป มันก็จะรู้อันใหม่ ทำาให้.....สติสัมปชัญญะ......มันทันต่อปัจจุบันไว้
ไม่ใหลหลงไปตามอดีต ถ้าบุคคลไม่ปล่อยไม่วาง มันก็จะคิดตาม
สิ่งที่ผ่านไปแล้ว พอรับรู้อารมณ์อันใดมันก็คิดตามวิพากษ์
วิจารณ์อารมณ์สภาวะอันใหม่ที่ส่งต่อมามันก็รู้ไม่ได้ เพราะ
จิตไปเกาะในสิ่งที่ผ่านไป ก็เรียกว่าหลงคิดหลงเพลินต่อความ
คิดไปสมมุติบัญญัติก็เกิดขึ้นฉะนั้นผู้ปฏิบัติอย่าหลงเพลิน (:LOVE:)............................ (:-_-:)


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:35:52
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


 (:88:)...........................จนเผลอคิดแม้ว่าจะคิดไปในเรื่องของธรรมะ คิดไปในเรื่องรูป
เรื่องนาม เรื่องขันธ์ห้า เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา เกิดแก่เจ็บตาย
ก็ตาม พอมันคิดไปแล้วมันก็จะเป็นสมมุติ ตกจากสภาวะที่เป็น
ปัจจุบัน สภาวะที่มันจะเกิดสืบต่อกันมามันก็จะไม่รู้ มัวไปคิดถึง
สิ่งที่ผ่านไปแล้ว เป็นเรื่องเป็นราวเป็นความหมายเป็นมโนภาพ
นี่เรียกว่าตกจากปัจจุบันผู้ปฎิบัติจะต้องฉุกรู้ให้จิตใจ (:LOVE:)
มันฉุกรู้ตัวมันเอง เห็นเกิดการระลึกรู้ตัวขึ้น รู้ความคิด รู้ความ
ตรึกนึก ถ้ารู้ความตรึกนึกได้มันก็จะสลัดอดีตอนาคตกลับมารู้
สภาวะปัจจุบันขึ้น เห็นให้มันรู้สึกตัวขึ้น จิตใจนี่ จิตจะรู้จักตัวมัน
เองได้ก็ต้องรู้สึกตัวของมันเองการดูจิตไม่ใช่ไปดูที่อื่น (:BH:)
ไม่ต้องไปหาที่อื่นแต่หาที่ตัวของมันเองคือสภาพรู้หาที่ตัวรู้ของมันเอง
เอารู้มาดูรู้แหละจะดูรู้ก็ต้องทวนเข้ามาสภาพรู้
นัน้ ทวนกระแสของมันเอง แล้วมันก็รู้ตัวมันเอง - รู้ที่รู้ -  รู้ในรู้
รู้สิ่งที่ถูกรู้ รู้ที่รู้ ก็หมายถึงรู้จิตลักษณะของจิตโดยตรง ดูสภาพ
ของจิตที่มันมีกิริยาในการรับรู้ รับรู้อารมณ์ รู้ในรู้ก็คือเข้าไป
สังเกตอาการในจิตว่ามีอาการอย่างไร ผ่องใส สงบ เอิบอิ่ม ปีติ
ชอบ ไม่ชอบ สงสัย เหล่านีเ้ป็นต้น รู้ที่ถูกรู้ก็คือรู้อารมณ์
ต่าง ๆ (:HIT:)


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:37:56
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


 (:SR:)........มีที่ใจก็มีแต่ให้เป็นเฉพาะปรมัตถ์เพราะอารมณ์ที่
เป็นบัญญัติก็มีคัดออกเมื่อ...........สติ......สัมผัสต่อปรมัตถธรรมที่กาย
มั่นคงดีสมมุติมันจะอันตรธานไปในขณะสมมุติอันตรธานนั้น
ผู้ปฎิบัติใหม่ ๆ ก็จะรู้สึกตกใจเกิดความกลัว เพราะว่าเหมือนกับ
ร่างกายมันไม่มีไปแล้วไม่มีแขนขาร่างกาย บางคนก็มัวไป
ค้นหา......เอ๊ะ.......ขาไปไหน แขนไปไหน พยายามจะหาดู พยายามจะ
ขยับดูอย่างนี้ถือว่าเท่ากับเราพยายามจะย้อนเข้าไปหา
สมมุติความจริงจิตมันทิ้งจากสมมุติไปได้ถือว่าเป็นการได้
พัฒนาขึ้นมาแล้วระดับหนึ่งที่จิต มันทิ้งจากสมมุติที่เคยติดอยู่
เมื่อไม่เข้าใจมันก็จะเข้าไปหาไปค้นหาฉะนั้นต้องให้เข้าใจว่า
เมื่อ จิต มันมีสติตรงอยู่กับปรมัตถ์หรือมีสมาธิร่วมมันก็จะทิ้ง
สมมุติก็ไม่ต้องไปค้นหา ให้ร่างกายมันหายไป เพราะมันไม่มี
จริงอยู่แล้วไปสร้างขึ้นมานึกขึ้นมาจำาขึ้นมาพอมันไม่จำไม่นึก
ไม่ปรุงแต่ง มันก็ไม่มี เหมือนกับความฝันเราจำว่ามันเป็นจริง
ที่จริงมันไม่จริง มันไม่มีความจริงอยู่แล้วเราไปจำขึ้นมาเอง
ร่างกายสัณฐานของกายเป็นสมมุติฉะนั้นมันหายไปก็ดีแล้ว
แต่ไม่ใช่ว่าหายไปแล้วก็ไปรู้ว่างเปล่า มันก็ไปสู่สมมุติอีกอย่าง
หนึ่งร่างกายมันหายไปในความรู้สึกก็ให้จับรู้ที่ความรู้สึก
ความรู้สึกในกายที่มันเป็นความไหว ความเบา ความกระเพื่อม
หรือรู้ จิต รู้จิตที่มันเป็นตัวรู้อยู่ รู้สึกก็จะรู้สึกของการหายใจที่
เบาลงน้อยลง จิตใจ ที่มีตัวรู้ให้มันน้อยลง ๆ นิดลง ๆ ก็ดูจับ
ความรู้สึก วางจิตใจให้เป็นปรกติ ไม่กลัวไม่หวั่นไหวคนที่
ปฎิบัติเข้าไปสัมผัสอย่างนีใ้หม่ ๆ เขาตกใจกลัวตายความ
จริงแล้วการปฎิบัติได้พัฒนาขึ้นมาเราจะต้องพยายามทำ....................... (:SR:)


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:40:30
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


 (:VA:)จิตใจเป็นปรกติเฉย ๆ รับรู้ในความรู้สึกที่มีตัวรู้มีความรู้สึก
อยู่มีความสงบมีความสุขใจอยู่เพราะจิตมันอยู่ในระดับนีมั้น (:LOVE:)
มีความสุขที่เราไม่เคยสุขมาก่อน จะเอิบอิ่มจะผ่องใสเป็นสุข
เราก็จับรู้ความรู้สึกไว้ สติ ไปเกาะรู้ที่ความอิ่มเอิบความผ่องใส
ความสบายจะสังเกตว่ามีตัวรู้อยู่ มีนึกมีคิดไหม มีพอใจไหม ?
หรือมีความสงสัยเอะใจหรือกลัวก็กำาหนดรู้ สิ่งเหล่านีเ้ป็น
ปรมัตถธรรม เมื่อฝึกอย่างนีดู้อย่างนีจ้ นเคยชินแล้วมันก็ไม่
กลัวอะไร ? เป็นธรรมดากำาหนดไปสู่ความรู้สึกร่างกายไม่มี
แขนขาไม่มี ก็ไปรับแต่ความรู้สึก ดูในความรู้สึกทางกาย ดู
ความรู้สึกทางจิตใจคนเรานัน้ มันมีอุปาทานยึดไว้ เป็นตัวเป็นตนไว้มันยังพ้น
ทุกข์ไม่ได้ เพราะเราคอยจะหาความเป็นตัวเป็นตน จิตที่มันจะ
ปล่อยจากความเป็นตัวเป็นตน แต่เราก็กลัว คอยจะคว้าเป็นตัว -
เป็นตน การปฎิบัติมันก็เลยไปไม่ได้ ฉะนั้นผู้ปฎิบัตินัน้ต้อง
กล้า ต้องยอม ยอมตายได้ ไม่กลัวตาย ตายก็ตาย คนเราจะ
ตายอยู่ในการปฎิบัติมันก็ยิ่งดี ถ้าเราสามารถตายในขณะ
ปฎิบัติได้มันก็ไปดีถ้าเราไปกลัวตายมันก็..... การปฎิบัติมัน
ก็ผ่านไม่ได้ ถ้าไม่กลัวมันก็จะวาง จิตใจเป็นปรกติ รู้ไปเรื่อย รู้
สภาวะละเอียดไปเรื่อย แต่มันก็ไม่เคยตาย ไม่มีใครตาย ความ
รู้สึกบางคนใหม่ ๆ ก็เหมือนจะตาย อะไร.....ทุกอย่างมันไม่เคยมา
ก่อนลมหายใจมันก็น้อยลง หรือไม่รู้สึกมีลมหายใจ กายก็ไม่มี
จิตใจก็เหลือน้อย ก็ต้องรับรู้สิ่งเหล่านัน้ ด้วยความที่ไม่กลัว แต่
บางคนนัน้ ก็มีทุกขเวทนามากก็ให้เข้าใจ เป็นเรื่องธรรมดา เรา
ปฏิบัติเราจะสามารถผ่านไปได้มันจะต้องเจอทุกข์ ทุกข์บีบคั้น
แสนสาหัส บางคนเหมือนกับจะจมน้ำจะขาดใจ ถ้าเรา
กลัวเสียแล้ว เราถอยหลังไป ถอยหลังก็ไปไม่ได้ มันจะทุกข์
ขนาดไหน มันจะบีบขนาดไหนมันจะ.... ก็ดูนิ่ง ๆ ยอมสภาพนั้น
รับสภาพนัน้ อย่างดุษณีภาพ มันทุกข์มันแน่นมันเหมือนกับ
มันจะหายใจไม่ออก เราก็ไม่ต้องไปดิ้นรนไม่ต้องไปดิ้นรน (:4:)
กระวนกระวาย พยายามสะกดความรู้สึก หยุดดู หยุดรู้อย่างนิ่ง ๆ
แล้วทุกอย่างจะคืนสภาพ (:BYE:)...........................


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:42:00
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


 (an!)เนื่องจากว่าการปฏิบัติบางครั้งมันก็ต้องเจอทุกข์หนักบีบ
คั้นเพื่อให้ จิตมันจะได้เห็นทุกข์เห็นโทษเห็นภัยของชีวิตของ
สังขารว่าสังขารนี่เป็นทุกข์จริง ๆ มันจึงเบื่อหน่ายจิตถ้ามันไม่
เห็นทุกข์มันไม่เบื่อหน่ายเพราะว่าเห็นทุกข์เห็นภัยของสังขาร
จิตใจเบื่อหน่ายความเบื่อหน่ายมันจะทำาให้เกิดคลายกำาหนัด
มันคลายกำาหนัดจิตก็จะหลุดพ้น (:BH:)จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น
ถ้าเราไม่เห็นทุกข์เห็นโทษของชีวิตของสังขารนี้ มันก็ยังหลงอยู่
เพลิดเพลินอยู่ ต้องเห็นทุกข์ ฉะนัน้ ก็อย่าไปรังเกียจทุกข์
ความทุกข์นัน่ น่ะจะสอนให้เรา ทุกข์ครั้งนี้ยอมทุกข์ครั้งนี้แต่
เราก็จะได้พ้นทุกข์ - แล้วคนกลัวเจ็บ - กลัวเจ็บกลัวปวด - กลัวทุกข์
ก็ไม่อยากทำา ถ้าไม่ทำาอยู่เฉย ๆ มันก็ไม่ทุกข์อะไร แต่มันจะ
ทุกข์ระยะยาว ถึงคราวที่มันบังคับให้ทุกข์ก็จะทนไม่ได้เลย
อุปมาเหมือนกับคนป่วย เรามีโรคร้ายแรงอยู่ในตัว เราจะ
ต้องการให้หายเราต้องรักษา หมอเขาจะต้องฉีดยา แต่บางคนก็
ต้องผ่าตัด แน่นอนขณะที่รักษาจะต้องเจ็บ ยิ่งผ่าตัดนี่ยิ่งบาด
เจ็บ ถ้าเรากลัวเจ็บไม่ยอมรักษามันก็ไม่หาย อยู่เฉย ๆ ไม่ผ่าก็
ดูว่ามันสบายกว่า ถ้าเรากลัวเจ็บไม่ทำาอะไรก็ดูว่ามันไม่บาดเจ็บ
แต่โรคมันก็รุมอยู่ภายใน หนักเข้า ๆ มันก็บังคับให้ต้องเจ็บ
อยู่ดี เจ็บตอนนัั้้น หมอก็ช่วยไม่ได้ คนที่เวลาถึงคราวมันทุกข์
บีบคัน้ ตามสภาพของสังขาร เมื่อแก่เมื่อป่วยเมื่อเจ็บมันก็ต้อง
หนีไม่พ้น ตอนนั้นก็จะทำใจไม่ได้ฉะนั้นเราทำให้ได้เสียตอน
นี้ ตอนที่ยังมีโอกาสพักผ่อน ถ้าถึงคราวที่มันโรคภัยบีบคั้นจริง
ๆ ตอนนั้นหนีไม่พ้นหรอก ต้องยอมรับสภาพ ถ้าเราไม่เคยฝึก
จิตใจเราก็จะแย่ โดยเฉพาะว่าชีวิตที่ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลสก็
จะต้องมีอย่างนี้ร่ำไป ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้อง
ทุกข์อย่างนี้เรื่อยไป ชีวิตของการเวียนว่ายตายเกิด เราไม่
กลัวหรือกับการที่จะต้องเกิดซ้ำ ๆ แก่ซ้ำ ๆ ตายซ้ำ ๆ ทุกข์อยู่ซ้ำ ๆ
ถ้าเรายอมทุกข์เสียตอนนี้ ยอมผ่าตัดเยียวยา มันจะบาด
เจ็บแต่มันเป็นการที่แลกเปลี่ยนกับการทำลายกิเลส มันก็เป็น
ความทุกข์ที่คุ้มค่า เราปฏิบัตินี่มันต้องลงทุน เอาความทุกข์
ยากลงทุน (:SLE:)ไม่มีใครหลุดพ้นทุกข์ด้วยความสบายพระพุทธเจ้า........... (:UU:)


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:43:21
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


ไม่ได้พ้นทุกข์ด้วยความสบาย (:SHOCK:)
ต้องออกมาจากวังมาอยู่โคนไม้อยู่
ป่าทำความพากเพียรด้วยความยากลำาบากเราฟังประวัติแม้
ครั้งสุดท้ายคืนที่ ตรัสรู้ ยังเกือบจะลุกมีมารมาผจญเขาจึงปั้น
พระพุทธรูปเป็นปางมารวิชัย ปางชนะมาร หรือเรียกว่าสะดุ้ง
มาร ตามประวัติแล้ว พระพุทธเจ้าก็เกือบจะเผลอตัวลุก แต่
ก็ได้สติมือก็เลยเคลื่อนจากการนั่งสมาธิมือก็ไปกดพระเพลาไว้
กดตักไว้ เรียกว่ามารต่าง ๆ มาผจญ ถ้าโดยธรรมาธิษฐานก็คือ
กิเลสต่าง ๆ ทุกข์ต่าง ๆ บีบคั้นในจิตใจ - กาย - จิต มันจะ
หวนระลึกไปถึงชายา พระโอรส บิดา มารดา นึกถึงตนเองทำไม ?
จะต้องมาอยู่ลำาบากอย่างนี้ น่าจะอยู่นอนสุขสบายในนั้นบ้าง
ครั้งปฏิบัติไปมันก็เป็นอย่างนั้นเราก็เหมือนกันมันจะหวน
นึกถึงว่าเราทำาไมต้องมาทำาอยู่จะได้อะไร ทำไมต้องมาหนาวมา
ทุกข์มาเมื่อย เราไปกินนอนไปสุขเสวยไม่ดีกว่าหรือ ถ้ารู้
ไม่ทัน มันก็อาจจะไปตามกิเลส กิเลสมารมันจ้องคอยท่าอยู่
หรือว่าพอเผชิญกับความทุกข์ต่าง ๆ ทนไม่ไหวแล้ว ก็เป็นมาร
เป็นขันธมาร อยู่ธรรมดาไม่ปฏิบัติก็ไม่ค่อยเป็นอะไร พอ
ปฏิบัติทำาไมมันปวดมันเจ็บ เดี๋ยวไม่สบาย ทุกข์ นี่ขันธมาร มาร
คือขันธ์ คอยขัดขวาง ถ้าเรารู้ไม่ทันเราก็..... เรานี่ทำไปเดี๋ยวจะ
ป่วยมาก เดี๋ยวจะเจ็บมาก เดี๋ยวจะตายเสียก่อน ถ้ายอมไปก็เลย
สบาย มารชอบ ถ้าเรารู้ทันแล้ว ไม่ได้เราถึงจะป่วยจะเจ็บก็เจ็บ
กันแค่นี้จะได้ไม่ต้องไปเจ็บกันต่อไป (:3:)


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:45:26
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


พระพุทธเจ้าก็ต้องอาศัยอธิษฐานจิต มั่นคงแน่วแน่จึงได้
เอาชนะมารจึงได้หลุดพ้นจากอาสวกิเลส การนั่งครั้งนี้ถ้าไม่
ประสบความสำเร็จก็จะไม่ลุกจากที่นั่ง (:-_-:)ถ้าเลือดเนื้อจะเหือดแห้ง
เหลือแต่เอ็นกระดูก พระพุทธเจ้าอธิษฐานอย่างนั้น นั่งไป
ปวดเข้ามาเกือบจะลุกขึ้นมาท่านก็มีสติรู้ทัน (:PL:)นึกถึงบารมีที่
บำเพ็ญมาต่าง ๆ บารมีสามสิบทัศน์ก็เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อ
จะละกิเลส เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้ออกจากทุกข์ ก็ทำให้สะกด
ควบคุมไว้ได้เราก็เหมือนกันเราก็ต้องนึกถึงว่า เราก็ต้องนึกถึงกุศล
บารมีต่าง ๆ ความดีที่เราทำเราจะปล่อยตามกิเลสไป เราก็จะ
ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก ไม่รู้จักจบ หรือเราจะเอาชนะกิเลสบ้าง
เสี่ยงสู้กัน แต่เราไม่ใช่สู้ด้วยเอาแต่กำลัง สู้ด้วยปัญญา มี (:FR:)
ปัญญามีชัน้ เชิงของการต่อสู้ พระพุทธเจ้าก็ให้อุบายวิธีต่าง ๆ
ไว้แล้ว เราไม่ได้สู้แบบเคร่งเครียด (:-_-:)ในลักษณะของการเจริญ
วิปัสสนา (:SLE:)มีความเพียรต่อเนื่องสม่ำเสมอ แต่ว่าก็ไม่ได้คร่ำาเคร่ง
พยายามที่จะปรับผ่อนเป็นปรกติอยู่เสมอ แต่บางครั้งกิเลสมัน
โจมตีบางอย่างเราก็อาจจะต้องใช้อาวุธบางอย่าง ถ้าเกิดราคะขึ้น
มากลุ้มรุม ถ้าสติระลึกรู้ไม่ทันพ่ายแพ้ก็อาจจะต้องใช้การ
พิจารณาอสุภะบ้าง พิจารณาอาการสามสิบสองในร่างกายของ
เราให้เห็นเป็นของไม่สะอาดเป็นปฏิกูล ให้เห็นว่าตัวเรามัน
สกปรกไม่สะอาด คนอื่นก็เหมือนกัน จริงอยู่แม้ตรงนีจ้ ะไม่ใช่
วิปัสสนา แต่บางครั้ง ก็เหมาะสมที่จะเอามาแก้กิเลสบางตัว
หรือว่าบางครั้งเราฟุ้งซ่านกำหนดไม่ทันเผลอไปคิดเสียมากเลย
ฟุ้งกำหนดไปก็ยิ่งฟุ้งซ่าน  (:-_-:)ดูไปก็ยิ่งเครียด เราก็ปรับปรุงใหม่
ลืมตาปฏิบัติกำาหนดดูธรรมชาติ ทำาความรู้สึกธรรมดาปรกติ............................ (:11:)


หัวข้อ: Re: เอ็กซเรย์สภาวธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 11 มกราคม 2553 14:49:13
(http://img193.imageshack.us/img193/5147/49406890.jpg)


ลุกขึ้นมาเดินจงกรม (:88:)เดินให้มากเดินมันก็ช่วยผ่อนคลายความ (^^)
ฟุ้งซ่าน ทำสติใหม่ ประคับประคองใหม่ ทำาแล้วก็ต้องปรับปรุง
พลิกแพลงของเราเรื่อยไป แต่ให้รู้ว่าเวลาที่จะเข้าสู่วิปัสสนาจริง ๆ
นั้นก็จะต้องรู้ปรมัตถ์ เป็นปรกติ ไม่บังคับไม่กดข่ม มีจุดยืนที่
ถูกต้อง นอกจากจะระลึกรู้ตรงต่อสภาวะ ก็ต้องรู้ให้มันถูกต้อง
พอดีไม่ยินดียินร้ายต่อสภาวะเป็นคำแนะนำส่วนหนึ่งที่จะไปประกอบส่วนใหญ่
ก็เป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายจะต้องทำเอง รู้เอง ฝึกเองพิจารณาเอง
ทดสอบ - ทดลอง ความสามารถทั้งหลายนั้นจะต้องอยู่ที่กำลัง
ของผู้ปฏิบัติ (:PL:)คนอื่นก็เป็นเพียงส่วนน้อยที่จะเป็นผู้ชี้ทางบอก
ทางเท่านั้น เราก็ต้องเป็นผู้ตัดสินเองพิจารณาเอง ก็ไม่ต้อง
เชื่อทันที เอาไปพิสูจน์พิจารณาจนกว่าเราจะเห็นเองรู้เอง ก็ไม่
ต้องเชื่อใคร เชื่อด้วยตัวของตัวเองที่รู้แจ้ง ประสบผลสำเร็จแล้ว
ก็เป็นอันว่าเราก็มีที่พึ่งให้ตัวเราเอง


(:LOVE:)วันนี้ก็คงจะพอสมควรแก่เวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ขอความสุขความเจริญในธรรมจงมีแก่ทุกท่าน.............เทอญ (:LOVE:)