[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 07 สิงหาคม 2556 11:36:17



หัวข้อ: นานาทัศนะ เกี่ยวกับประวัติพุทธศาสนา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 07 สิงหาคม 2556 11:36:17
.

(http://www.trueplookpanya.com/userfiles/5081.jpg)

เจ้าชายสิทธัตถะ
มิได้หนีออกบวชกลางคืนกับนายฉันนะ
หากออกบวชกลางวัน
ต่อหน้าพระราชบิดาและพระราชมารดา

ผมเคยพูดกับเพื่อนๆ หลายคนว่า คนที่ศึกษาพุทธศาสนา ถ้ามีภูมิหลังเป็นนักประวัติศาสตร์แล้วจะศึกษาได้ลึกซึ้งและกว้างขวางกว่าคนที่บวชเรียนนักธรรมบาลีโดยตรงอย่างผมแน่นอน

เหตุผลหรือครับ ศาสดาใดก็ตาม จะบัญญัติหลักคำสอนหรือคิดค้นเทคนิคการสอนไปในแนวไหน อย่างไร แบ๊กกราวนด์ของศาสดานั้นมีส่วนในการกำหนดไม่น้อย

ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ตั้งคณะสงฆ์ขึ้นแล้ว พระองค์มอบอำนาจทางการปกครองให้พระสงฆ์จัดการกันเอง การตัดสินปัญหาต่างๆ พระพุทธองค์มิได้เป็นผู้บงการหรือชี้นำ พระสงฆ์ตัดสินกันเองโดยระบบ “ถือเสียงข้างมาก” หรือที่เรียกว่า เยภุยยสิกา

สังฆกรรมของสงฆ์จึงดำเนินไปโดยระบบประชาธิปไตย ไม่มีอภิสิทธิ์ ไม่มีเผด็จการ  เช่น ใครจะเข้ามาบวช อุปัชฌาย์ จะใช้สิทธิ์รับเข้ามาเอง โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระสงฆ์ทั้งหมดไม่ได้

ผู้ที่ไม่สนใจประวัติศาสตร์อินเดียโบราณ ก็จะสรุปเอาง่ายๆ ว่า พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นวิธีปกครองแบบประชาธิปไตย พระพุทธศาสนาเท่านั้นมีการปกครองแบบประชาธิปไตยก่อนใครทั้งหมด  แต่ถ้ามองจากสายตาของนักประวัติศาสตร์ เราก็จะทราบว่า ระบบเยภุยยสิกาของพระพุทธเจ้า พระองค์มิได้คิดค้นมาจากไหน พระองค์ก็มาจากภูมิหลังที่พระองค์เคยประสบพบเห็นอยู่ก่อนเสด็จออกบรรพชานั่นเอง

อินเดียสมัยนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ภูมิภาคแถบเชิงเขาหิมาลัยมีกลุ่มหรือเผ่าชนที่มีระบบการปกครองไม่เหมือนเผ่าอื่นจำนวนหนึ่ง เท่าที่นักประวัติศาสตร์ยืนยันก็มี พวกลิจฉวี แห่งไพศาลี มัลละ แห่งปาวาและกุสินารา ศากยะแห่งกบิลพัสดุ์  โกลิยะแห่งเทวทหะ  พวกนี้ จะเลือกตั้งผู้ปกครองขึ้นมาโดยการลงคะแนนเสียงรัฐสภา ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า “สัณฐาคาร”

คนที่ได้รับเลือกตั้งโดยผ่านเสียงข้างมาก เรียกตามศัพท์ว่า “กษัตริย์” กษัตริย์จะบริหารประเทศโดยทางรัฐสภา มีปัญหาอะไรจะต้องหารือวินิจฉัยในสภา เสียงข้างมากออกมาอย่างไร ก็เป็นไปตามนั้น และกษัตริย์มีเทอม (มากน้อยแล้วแต่กำหนด) หมดเทอมแล้วก็เลือกตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ทำหน้าที่แทนสืบไป  ไม่ใช่ว่า กษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในความหมายที่เราเข้าใจกัน

กษัตริย์ปกครองศากยะสมัยนั้นชื่อ สุทโธทนะ   สุทโธทนะได้รับเลือกให้เป็นประมุขชาวศากยะ มีเทอมหรือ มีกำหนดเวลา  หมดเวลาคนอื่นก็ขึ้นมาแทน คนที่ขึ้นมาแทนอาจมิใช่เจ้าชายสิทธัตถะ พระโอรสของท่านก็ได้  เพราะเขามิได้ใช้ระบบสืบรัชทายาทอย่างที่เราเข้าใจกัน  ที่เราเรียนพุทธประวัติตอนหนึ่งว่า พอเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ โหรทำนายว่า ถ้าพระกุมารเสด็จออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกในโลก  แต่ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระจักรพรรดิ มีแสนยานุภาพมากมายไพศาลนั้น ไม่แน่เสมอไปหรอกครับ เจ้าชายสิทธัตถะท่านอาจไม่ได้รับเลือกเป็นกษัตริย์ต่อจากสุทโธทนะเลยก็ได้  เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุม

เมื่อมองในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว ก็ขอมองต่อไปอีกถึงสาเหตุให้พระองค์ออกบวช  ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จะชี้ข้อเท็จจริงออกมาดังนี้ครับ
๑. เจ้าชายสิทธัตถะ มิได้เสด็จหนีออกบวชเวลากลางคืน
    โดยที่ใครๆ ไม่รู้เห็นเหมือนดังที่พุทธประวัติเขียนกัน
๒. เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกบวชเพราะแรงกดดันทางการเมือง

ทั้งสองข้อนี้ออกจะกลับ “ตาลปัตร” กับที่เคยรู้เคยเรียนมา บางท่านคงจะรับไม่ได้ ไม่เป็นไรครับ รับไม่ได้ก็อย่ารับ

แต่ขอเรียนว่า ข้อสรุปข้างต้นนี้ผมมิได้นั่งเทียนเขียนเอาเองนะครับ มีหลักฐานอ้างอิงอย่างหนักแน่นเชียวแหละ (อ่านจบ จะรู้เอง ผมได้หลักฐานมาจากไหน)

พุทธประวัติเขียนไว้ เจ้าชายเสด็จหนีกลางคืนพร้อมนายฉันนะ มหาดเล็กคนสนิท แต่พุทธประวัติก็ดี ปฐมสมโพธิก็ดี  อาจารย์รุ่นหลังเขียนกันทั้งนั้น  พระไตรปิฎก ซึ่งเป็นตำราชั้นต้นจริงๆ ไม่มีที่ไหนพูดว่าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จหนีบวชตอนกลางคืน

ในพระสูตรหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสถึงการออกบวชของพระองค์ว่า พระองค์ทรงคำนึงถึงความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วคิดหาทางหลุดพ้น จึงถือเพศบรรพชิตออกบวช ในขณะที่พระบิดามารดา มีน้ำตานองหน้า ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ สังเกตคำที่เขียนนั้นไหมครับ ตัวท่านเองตรัสว่า ท่านมิได้หนีพอแม่ไปบวช บวชทั้งๆ ที่พ่อแม่เห็นๆ อยู่ ร้องห่มร้องไห้อาลัยอาวรณ์

และสังเกตท่านพูดถึง “แม่” ท่านด้วย อาจหมายถึงพระนางสิริมายา ยังไม่ทิวงคตหลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้เจ็ดวันดั่งที่เราเรียนมาก็ได้  หรือ “แม่” ในที่นี้อาจหมายถึงแม่เลี้ยงก็ได้   แต่ช่างเถิด เราละประเด็นนี้ไปก่อน ขอพูดถึงการหนีบวชไม่หนีบวชกันดีกว่า

ถ้าตามพระดำรัสนี้ แสดงว่าเจ้าชายสิทธัตถะมิได้เสด็จหนีบวชในเวลากลางคืนแน่ แต่บวชขณะที่พระราชบิดา (และ พระราชมารดา) รู้เห็นอยู่ แต่ไม่อยู่ในฐานะทัดทานได้
เรื่องนี้มีพระสูตรจากพระไตรปิฎก ๘ แห่ง ข้อความตรงกันกับที่ขีดเส้นใต้ข้างบนคือ
     ๑. ปาสราสิสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒)
     ๒. มหาสัจจกสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒)
     ๓. โพธิราชกุมารสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓)
     ๔. จังกีสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓)
     ๕. สังคารวสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓)
     ๖. โลณทัณฑสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙)
     ๗. กูฏทัณฑสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙)
     ๘. สารีปุตตนิทเทส (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙)

(“ในกาลต่อมา เราตถาคตยังหนุ่มแน่น แข็งแรง เกศาดำสนิท อยู่ในปฐมวัย เมื่อพระราชมาดา (พระมารดาเลี้ยง) และพระราชบิดา ไม่ทรงปรารถนาให้ผนวช มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงอยู่  จึงโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากวังบวชเป็นบรรพชิต")

ถ้าตามต่อไปว่า ทำไมจึงทัดทานไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากให้โอรสบวชก็ต้องตอบตามสมมุติฐานข้อสอง นั้นคือเจ้าชายสิทธัตถะถูกผลักดันให้ออกไปจากประเทศ พระเจ้าสุทโธทนะจึงจะเป็นกษัตริย์ประมุขชาวศากยะ ในขณะนั้น ก็ไม่อยู่ในฐานะช่วยโอรสตนเองได้ ในเมื่อเป็นมติของสภาตัดสินออกมา

ถามต่อไปว่า เรื่องอะไรล่ะ ที่ทำให้ชาวศากยะถึงต้องลงมติผลักดันให้เจ้าชายสิทธัตถะออกจากเมือง ก็ต้องโยงถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของศากยวงศ์เรื่องหนึ่งคือ “ศึกชิงน้ำ"

เชื้อสายของพระพุทธเจ้าแบ่งเป็นสองกลุ่ม ตั้งเมืองอยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่งชื่อ “โรหิณี” ศากยะแห่งกบิลพัสดุ์อยู่ฟากหนึ่ง โกลิยะแห่งเทวทหะอยู่อีกฟากหนึ่ง ทั้งสองตระกูลเป็นพวกที่หยิ่งในสายเลือดของตัวเองมาก จึงแต่งงานในระหว่างญาติพี่น้องกันเอง (ซึ่งผิดกฎเมนเดลเป็นอย่างมาก อาจเพราะเหตุนี้ก็ได้ ที่ทำให้ชาติพันธุ์ของพระพุทธเจ้าสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์เร็วกว่ากำหนด นอกเหนือไปจากทำสงครามล้างผลาญกันเอง ซึ่งจะกล่าวข้างหน้า)  ทั้งสองตระกูลนี้มีอาชีพหลักคือกสิกรรม อาศัยน้ำในแม่น้ำโรหิณีทำนา มีการกระทบกระทั่งกันเกี่ยวกับการแย่งทดน้ำไปทำนาบ่อยครั้ง เป็นปัญหาเรื้อรังมานมนาน จนกระทั่งถึงสมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะอยู่ในวัยฉกรรจ์ ความวิวาทบาดหมางได้ทวีความรุนแรงขึ้น ถึงขั้นศากยะแห่งกบิลพัสดุ์เรียกประชุมตัดสินชี้ขาดในสภา

เสียงส่วนมากในที่ประชุมเสนอว่า สมควรใช้มาตรการสุดท้ายคือ ยกทัพไปรบกับโกลิยะ แห่งเทวทหะให้รู้แล้วรู้รอดกันเสียที  แต่เจ้าชายสิทธัตถะ (อาจมีสมาชิกอื่นด้วย) ไม่เห็นด้วยกับที่พี่น้องกันเองจะล้างผลาญกัน เมื่อโหวตเสียงปรากฏว่าแพ้มติที่ประชุม ทั้งๆ ที่แพ้มติที่ประชุมเจ้าชายไม่ยอมเลิกรา ยืนขึ้นคัดค้านกระต่ายขาเดียวอยู่นั่นแล้ว  นับว่าปฏิบัติผิดระเบียบข้อบังคับของสภาอย่างร้ายแรง จึงถูกขับออกไปในที่สุด   แต่การให้เจ้าชายสิทธัตถะออกจากเมืองมิใช่เรื่องเล็กน้อย พวกศากยะเป็นประเทศราช ขึ้นอยู่กับพระเจ้าปเสนทิโกศล  แห่งรัฐโกศลอีกต่อหนึ่ง (มิได้เป็นประเทศอิสระใหญ่โต อย่างที่ชาวพุทธไทยเราเชื่อกัน)  พวกเขากลัวว่า ถ้าปเสนทิโกศล เจ้านายเหนือหัวทราบเรื่องเข้าอาจยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องได้ จึงตกลงกันให้ระงับศึกชิงน้ำไว้สักพักหนึ่งก่อน และขอคำมั่นจากเจ้าชายสิทธัตถะว่า จะต้องไม่ให้ปเสนทิโกศลรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด

สิทธัตถะรับปาก และเพื่อให้พวกศากยะวางใจยิ่งขึ้น จึงถือเพศบรรพชิตออกไปให้เห็นประจักษ์กับตาเลยทีเดียว (ไม่ว่าสมัยนั้น หรือสมัยไหน เพศบรรพชิต ถือว่าไม่มีพิษภัยกับใคร ในประวัติศาสตร์ไทยผู้ที่หนีราชภัยออกบวช ย่อมไม่ได้รับการรบกวนจากกษัตริย์ผู้มีอำนาจ นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณกาล)

ดูตามแผนที่ เมืองกบิลพัสดุ์อยู่ไม่ไกลจากเมืองสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศลเท่าไหร่ แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่เสด็จไปทางนั้น กลับมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ผ่านแคว้นมัลละของมัลลกษัตริย์ ข้ามแม่น้ำอโนมา เข้าไปยังเขตมคธรัฐ ซึ่งมีมหาราชชื่อพิมพิสารปกครองอยู่  ทรงบำเพ็ญเพียรที่นั่น ตรัสรู้ที่นั่น และวางรากฐานพระพุทธศาสนาที่นั่นเช่นกัน

หลังจากนั้นหลายปี พระองค์จึงเหยียบย่างไปยังแคว้นโกศล  ทั้งหมดนี้ อาจเพราะว่าพระองค์ทรงรักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับพวกศากยะอย่างเคร่งครัดก็ได้  

เมื่อพระพุทธองค์ทรงวางรากฐานพุทธศาสนาที่แคว้นมคธมั่นคงแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากพระองค์แล้วก็เกิดเลื่อมใส มอบตนเป็นสาวกคนหนึ่ง

ศึกแย่งน้ำปะทุขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พระญาติทั้งสองฝ่ายยกพลมาหมายขยี้ให้แหลกไปข้างหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องเสด็จมาห้ามทัพไว้ทัน เทศนาสั่งสอนให้พวกเขาเห็นโทษในการล้างผลาญสายเลือดเดียวกัน จนยุติเลิกรากันได้ในที่สุด การห้ามสงครามเลือดครั้งนี้ เป็นเหตุสำคัญในประวัติศาสนา จึงมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นปางหนึ่งเป็นอนุสรณ์ เป็นรูปยืนยกพระหัตถ์ขวาขึ้นในท่าห้ามปราม เรียกว่า พระพุทธรูปปางห้ามญาติ  

เข้าใจว่า เผ่าศากยะสมัยนั้น คงมีจำนวนไม่มากมายเท่าไรนัก ศึกล้างโคตรกันเอง โดยวิฑูฑภะครั้งนั้น คงไม่สามารถฆ่าได้หมดทุกคน ที่หลบหนีภัยครั้งนั้นก็คงมีไม่น้อย ได้แตกลูกแตกหลานสืบกันมาเป็นจำนวนมาก

แม้ปัจจุบันนี้ที่ประเทศเนปาล ถิ่นมาตุภูมิของพระพุทธเจ้า ก็ยังมีตระกูล “ซาเกีย” ซึ่งเป็นตระกูลที่ใหญ่มากตระกูลหนึ่ง เขาอ้างว่าสืบมาจาก ศากยะสมัยพุทธกาลนั่นเอง

ดูหน้าตาคนเนปาลแล้วอดแปลกใจไม่ได้ ไม่มีเค้า “อารยัน” หรือ “ฝรั่ง” เอาเสียเลย พวกนี้ผิวเหลือง (คล้ายคนไทย) เป็นเชื้อสายมองโกเลีย ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นบรรพบุรุษของคนเนปาลปัจจุบันนี้ พระองค์ก็ต้องเป็นมองโกเลีย



จาก : บทความพิเศษ "เจ้าชายสิทธัตถะ มิได้หนีออกบวชกลางคืนกับนายฉันนะ หากออกบวชกลางวัน ต่อหน้าพระราชบดาและพระราชมารดา" โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์  วรรณปก  หนังสือมติชน รายสัปดาห์


หมายเหตุ : ทัศนะที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นชาวมองโกล อ่าน เดช ตุลวรรธนะ เรียนพระพุทธศาสนาอย่างปัญญาชน  เล่ม ๓  พุทธประวัติฉบับมองโกล, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมยุทธศึกษาทหารบก, ๒๕๒๕

และที่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชด้วยเหตุผลทางการเมือง โปรดอ่าน B.R. Ambedkar. The Buddha and His Dhamma. Bombay : Siddharth College Publication I. 1957  และ เสฐียร  พันธรังสี, พุทธประวัติมหายาน (พุทธประวัติฉบับค้นพบใหม่) กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา, ๒๕๒๕  น่าสังเกตว่า ในพระสูตรกล่าวถึง มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการข้อหนึ่งว่า “สุวณฺณวณฺโณ” พระพุทธเจ้าทรงสีผิวดั่งทอง (ผิวเหลือง)


หัวข้อ: Re: นานาทัศนะ เกี่ยวกับประวัติพุทธศาสนา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 07 สิงหาคม 2556 12:07:04
.

(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTG35x3gzdDU3II5aTil7gx9IvHni-pBDgPS6E-uj3DU-wh6pOXcw)

บัวสามเหล่า

มีพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ (วินัยปิฎก มหาวรรค) เล่าถึงประวัติของพระพุทธองค์หลังตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาธรรมที่ตรัสรู้ว่าลึกซึ้งคัมภีรภาพ โดยใช้คำว่า “ธรรมที่เราบรรลุแล้ว ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ตรรกะหยั่งไม่ถึง (คือไม่สามารถรู้ได้ด้วยการใช้ตรรกะ) ละเอียดอ่อน บัณฑิตเท่านั้นจึงจะรู้ได้ เหล่าสัตว์ที่รื่นเริงด้วยอาลัย (กิเลส) ยินดีด้วยอาลัย หมกมุ่นด้วยอาลัย เป็นฐานะที่เห็นได้ยาก"

ชาวบ้านที่คุ้นกับสำนวนบาลี คงพอเดาได้ สรุปว่าพระองค์ทรงเห็นว่าสิ่งที่ทรงบรรลุนั้น ลึกซึ้งคัมภีรภาพ หยั่งถึงได้โดยยาก แม้กระทั่งด้วยวิธีการแห่งตรรกะ คือ จะให้ตรรกะหรืออนุมานเอาก็ไม่ได้ แม้จะสมเหตุสมผลน่าเชื่อถือ ก็ใช่ว่าจะจริงตามนั้นเสมอไปไม่
พระพุทธองค์เคยตรัสเรียกวิธีการของพวกที่ใช้ตรรกะและอนุมานนี้ว่า เป็นพวก “ตักกี” (คาดเดาเอา)  “วิมังสี” (อนุมานเอา) ย่อมไม่สามารถเข้าถึงความจริงที่แท้ได้

สรุปว่าสัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธองค์เป็นเรื่องของปัญญาประจักษ์ด้วยตนเอง หรือเป็นประสบการณ์ตรง มิใช่เกิดจากการคาดเดา หรืออนุมานเอา)

เมื่อทรงเห็นธรรมะที่ตรัสรู้ลึกซึ้งปานฉะนี้ เป็นที่รับรู้ได้ยากสำหรับปุถุชนผู้ยินดี ร่าเริง สยบอยู่กามารมณ์  จึงทรงปริวิตกว่า จะทรงน้อมไปในความเป็นผู้ขวนขวายน้อย  แปลเป็นไทยง่ายๆ ว่าทรงไม่คิดจะสอนใคร เพราะสอนไปก็จะเหนื่อยเปล่า

นี้นับว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต่างอะไรกับมี “พรหมผู้ใหญ่” มาอัญเชิญก็มิปาน

พูดนัยหนึ่ง พระพรหมมาอัญเชิญ ก็คือความรู้สึกสงสารของพระองค์นั้นเอง เมื่อทรงเกิดความสงสารอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เป็นธรรมดาที่จะต้องเสด็จออกไปแสดงธรรมโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์

หลังจากนั้นจึงทรงพิจารณาเหล่าสัตว์เปรียบด้วยดอกบัวที่เจริญเติบโตในสระ ๓ เหล่า คือ
     - ดอกอุบล (บัวสาย)
     - ดอกปทุม (บัวหลวง)
     - ดอกบุณฑริก (บัวขาว)  
ดอกบัว ๓ เหล่านี้มี ๓ ระดับคือ ระดับพ้นน้ำ ระดับปริ่มน้ำ และระดับอยู่กลางน้ำ

เมื่อชวนอ่านพระไตรปิฎก ก็ต้องนำเอาหลักฐานจากพระไตรปิฎกมายืนยันว่า ในพระไตรปิฎก (เล่มที่ ๔ ข้อ ๙ หน้า ๑๑) พูดถึงพระพุทธองค์ทรงมองมนุษย์ทั้งหลายแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ  ดุจดอกบัว ๓ เหล่าที่เจริญเติบโตในสระ ๓ ระดับ  นัยสำคัญที่ควรทราบก็คือ พระพุทธองค์ทรงมองว่ามนุษย์ทุกคนฝึกฝนอบรมได้ ส่วนใครจะฝึกฝนได้เร็วหรือช้านั้น อยู่ที่เงื่อนไขปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีใครที่ฝึกไม่ได้ สอนไม่ได้



(http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcR-lQuE4fITGaUeAijdW4eC4O4pAwBj1r-tS-HqNLXQUPDtvRTziQ)  หลายท่านก็อาจเถียง ไม่จริงดอก คนที่ฝึกไม่ขึ้นก็มี อย่างพระเทวทัต เป็นต้น

พระพุทธองค์ทรงบวชให้แล้ว จองล้างจองผลาญพระพุทธองค์ ถึงขั้นวางแผนสังหารพระพุทธองค์ เมื่อไม่สำเร็จก็ทำสังฆเภทแยกตนออกจากศาสนจักร ตั้งตนเป็นศาสดา ในที่สุดก็ถูกแผ่นดินสูบลงอเวจีมหานรก แสดงว่าพระเทวทัตอยู่ในประเภทฝึกไม่ขึ้น โปรดไม่สำเร็จ  มองผิวเผินก็อาจเป็นเช่นนั้น แต่มองให้ชัดก็เห็นว่า พระเทวทัตเป็นคน “โปรดขึ้น” คือหลังจากออกบวชแล้ว ก็คร่ำเคร่งปฏิบัติธรรมจนได้ฌานโลกีย์ สามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ แต่เพราะความอยากใหญ่ กอปรกับได้ฌานสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ด้วย จึงทำให้ไขว้เขวคิดการใหญ่ แนะนำอชาตศัตรูกุมารในทางผิดจนจับพระราชบิดาขังคุกจนสิ้นพระชนม์ในคุก ตัวเทวทัตเองก็ถลำลึกจนทำสังฆเภท และถูกแผ่นดินสูบ

แต่ก่อนถึงวาระสุดท้าย เทวทัตป่วยหนัก ได้สำนึกผิดให้ศิษย์หามมาเพื่อขอขมาพระพุทธองค์ ขณะที่กำลังถูกแผ่นดินสูบ ร่างกำลังจมมิดลงถึงคาง เธอได้เอ่ยวาจาถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา (สมัยผมเป็นสามเณร เวลาแปลบาลีถึงตรงนี้ อาจารย์ผู้สอนจะบอกว่า ตรงนี้โบราณท่านเรียก “ตอนเทวทัตถวายกระดูกคาง”)

หลังจากทรงทราบว่าเทวทัตจมดินไปแล้ว พระพุทธองค์ตรัสพยากรณ์ว่า “ในกาลข้างหน้า หลังจากใช้กรรมหมดแล้ว เทวทัตจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธ นามว่า อัฏฐสสระ  เพราะอานิสงส์ที่ถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา”

มองข้ามช็อตไปก็เห็นว่า ในที่สุด เทวทัตก็โปรดได้ แม้ว่าชาตินี้จะดูว่าโปรดไม่ได้ แต่ท้ายสุด หลังจากใช้กรรมเสร็จสิ้น ก็จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

กระบวนการฝึกฝน มิได้สุดสิ้นเพียงชาติเดียว หากยาวนานยิ่ง บางคนอาจเร็ว บางคนอาจใช้เวลายาวนานอย่างในกรณีเทวทัตนี้
คำถามมีว่า แล้วทฤษฎีบัว ๔ เหล่า (หรือเรียกให้ถูก บัว ๔ ระดับ) มีมาจากไหน จนพูดกันติดปากในหมู่ชาวพุทธ

เรื่องนี้ พระอรรถกถาจารย์ อาจารย์ผู้อธิบายพระไตรปิฎก ท่านเอาสองเรื่องมาจับคู่กัน จึงเกิดเป็นทฤษฎี “บัว ๔ เหล่า” ขึ้น  คือมีพุทธวจนะ ณ ที่อื่น พูดถึงบุคคลประเภทต่างๆ ตั้งแต่หนึ่งประเภทเป็นต้นไป มีอยู่หมวดหนึ่งว่ามีบุคคล ๔ ประเภท คือ
     อุคคฏิตัญญู (ผู้ตรัสรู้ฉับไว)
     วิปัญจิตัญญู (ผู้ตรัสรู้ต่อเมื่อขยายความ)
     เนยยะ (ได้รับการฝีกอบรมแล้วจึงตรัสรู้)
     ปทปรมะ (ผู้รู้ธรรมมาก กล่าวสอนได้มาก แต่ไม่สามารถตรัสรู้ได้ในชาตินี้)

ท่านจึงเอามาจับคู่กัน  อัคฆฏิตัญญู  เทียบได้กับ บัวพ้นน้ำ วิปัญจิตัญญู เทียบได้กับบัวปริ่มน้ำ เนยยะ เทียบได้กับบัวกลางน้ำ แล้วท่านบัญญัติบัวประเภทที่ ๔ ขึ้นมาคือ บัวจมโคลนเลนที่เป็นภักษาของปลา และเต่า เทียบกับปทปรมะ

เนื่องจากบุคคลประเภทปทปรมะนั้น ตามนิยมของพระพุทธองค์หมายถึง คนรู้มากระดับพหูสูต  สามารถพูดสามารถสอนคนอื่นได้มาก แต่เพราะมีทิฏฐิมานะ จึงไม่สามารถตรัสรู้ได้ในชาตินี้ (เฉพาะชาตินี้ ชาติหน้าโน้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

พระอรรถกถาจารย์ จึงแก้นิยามใหม่ เป็น “ปรทปรมะ หมายถึงคนโง่ ท่องจำไม่ได้ แม้เพียงบทเดียว” จึงจับคู่ได้สนิทกับบัวจมโคลนจมเลนได้สนิท

ทฤษฎีบัว ๔ เหล่า จึงเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้แล

   
จาก : บทความพิเศษ "บัวสามเหล่า" โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์  วรรณปก หนังสือมติชน รายสัปดาห์