|
หัวข้อ: "เมรุ" ที่เผาศพเริ่มต้นในยุคใด? เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 ตุลาคม 2556 13:42:58 .
(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2012/08/you02100855p1.jpg&width=360&height=360) คำว่า "เมรุ" อ่านว่า เมน หมายถึง ภูเขากลางจักรวาล มียอดเป็นที่ตั้งแห่งเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นที่ประทับของพระอินทร์ เป็นที่มาของการส่งวิญญาณสู่สวรรค์ในพิธีเผาศพ โดยสร้างเมรุมีหลังคาเป็นยอด มีรั้วล้อมรอบด้วย สำหรับพระมหากษัตริย์ เรียกว่า พระเมรุมาศ (อ่านว่า เม-รุ-มาศ) พระบรมวงศานุวงศ์ เรียกว่า พระเมรุ ส่วนสามัญชนเรียกว่า เมรุ จากหนังสือ "ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย" สำนักพิมพ์มติชน อธิบายการสร้างเมรุหรือพระเมรุ ว่า เกี่ยวพันถึงคติความเชื่อในสังคมไทย ที่รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาและพราหมณ์ ย้อนกลับไปในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ผ่านพ้นไป ๘ วัน ในครั้งนั้น มัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินารา พร้อมด้วยประชาชน และพระสงฆ์ มีพระมหากัสสปเถระ เป็นประธาน พร้อมกันกระทำการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ประดิษฐานบนจิตกาธาน คือ เชิงตะกอนที่ทำด้วยไม้แก่นจันทน์สูง ๑๒๐ ศอก แสดงว่า ในสมัยพุทธกาลยังไม่ได้ทำรูปแบบเมรุแบบในปัจจุบัน ทางพุทธศาสนา ยึดถือคติไตรภูมิ กล่าวถึงเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของภูมิทั้งสาม ทางศาสนาพราหมณ์ เชื่อถือว่ากษัตริย์เป็นพระศิวะหรือพระนารายณ์แบ่งภาคลงมาบำรุงโลกมนุษย์ เมื่อสิ้นอายุขัย ย่อมกลับคืนสู่สวรรค์ ความเป็นสมมติเทพของกษัตริย์ การประกอบพิธีถวายพระเพลิง ณ พระเมรุมาศ เป็นการส่งพระศพและดวงวิญญาณเสด็จกลับยังเขาพระสุเมรุ หลักฐานการสร้างพระเมรุในไทย มีปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยพิธีพระบรมศพ ถือเป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ของบ้านเมือง มีแบบแผนถือปฏิบัติอย่างมีระเบียบ การจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงสร้างพระเมรุมาศเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศ ที่พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ถวายแด่พระมหากษัตริย์ที่สวรรคตล่วงแล้ว พิจารณาพระเดชานุภาพในการสร้างพระเมรุมาศ ไกรฤกษ์ นานา เขียนในมติชน ว่า การสร้างพระเมรุน่าจะเริ่มในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ราว พ.ศ. ๒๑๘๑ ใช้เผาศพเจ้านายเท่านั้น ส่วนชาวบ้านเผาบนเชิงตะกอนง่ายๆ สันนิษฐานว่าการสร้างพระเมรุมาศในยุคกรุงศรีอยุธยา สร้างเลียนแบบนครวัด "วิษณุโลก" ที่จำลองเขาพระสุเมรุ โดยจินตนาการจากภูเขาหิมาลัย จากนั้นปรับปรุงแบบแผนจนมีรูปแบบศิลปะไทยในยุคหลังๆ แสดงงานศิลปกรรมแบบอยุธยาอย่างสมบูรณ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) โปรดให้สร้างเมรุเผาศพอย่างถาวรด้วยปูนไว้ในวัดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย (แต่เอกสารบางชิ้นระบุว่า มีเมรุปูน วัดสระเกศฯ ใช้เผาศพตั้งแต่รัชกาลที่ ๓) สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยึดหลักการสร้างแบบพระเมรุมาศตามตำราโบราณราชประเพณีครั้งกรุงเก่าทุกประการ คือ ทำเป็นพระเมรุอย่างใหญ่ มีตัวพระเมรุ ๒ ชั้นต่างไปอยู่ภายในพระเมรุชั้นนอกที่ทำเป็นพระเมรุยอดปรางค์หรือยอดรูปดอกข้าวโพด ส่วนใหญ่เป็นไปตามแบบแผนมีต่างกันไปในรายละเอียดเรื่องการออกแบบตามฝีมือช่าง พระเมรุมาศพระบรมศพรัชกาลที่ ๔ ถือเป็นพระเมรุมาศสุดท้ายที่ทำตามแบบโบราณราชประเพณี สำหรับชาวบ้าน เมรุเผาศพค่อยๆ แพร่ไปอยู่ในวัดสำคัญในกรุงเทพฯ ช่วงปี ๒๕๐๐ ซึ่งหลังจากไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรก (พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๐๙) แล้ว ชนชั้นกลางต้องการเผาศพบรรพบุรุษบนเมรุแบบเจ้านายและชนชั้นสูง จึงสร้างเลียนแบบไว้ตามวัดสำคัญ ก่อนกระจายไปยังวัดเล็กวัดน้อยทั่วประเทศ ทุกวันนี้ การเผาศพบนเมรุ กลายเป็นสิ่งที่แสดงฐานะและเชิดชูคุณงามความดีของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว .... ข้อมูล/ภาพ หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด |