หัวข้อ: วันออกพรรษา กับปริศนาบั้งไฟพญานาค เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 20 ตุลาคม 2556 09:58:15 .
(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ_bpv-tfG1YLfIuzNGY2206wvSLcimUEkDVcsmKx0kaov6MVj--A) ภาพจาก : aritc.yru.ac.th วันออกพรรษา วันออกพรรษาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า ออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันแรกที่พระสงฆ์จะได้ออกพรรษา หลังจากที่ได้อยู่จำพรรษามาแล้วตลอดไตรมาส คือ ๓ เดือนแห่งฤดูฝน เมื่อออกพรรษาแล้วพระสงฆ์จะจาริกไปไหนก็ได้ สมัยพุทธกาล พระสาวกจะออกจาริกไปประกาศพระศาสนาตามคามนิคมและชนบทต่าง ๆ วันออกพรรษาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันปวารณา หรือ วันมหาปวารณา พระพุทธเจ้ามีพระพุทธานุญาตให้พระสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้ว ทำปวารณากรรมแทนอุโบสถกรรมได้ในวันออกพรรษา และในวันปวารณานี้พระสงฆ์ไม่ต้องสวดพระปาฏิโมกข์ซึ่งตามปรกติต้องสวดทุกปักษ์ คือ ทุกขึ้น ๑๕ ค่ำ และแรม ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำของเดือน คำว่า ปวารณา คือ การเปิดโอกาสยอมให้ใช้ ให้ขอ ให้ว่ากล่าว ให้ตักเตือนสั่งสอน เป็นเรื่องของพระที่ท่านทำปวารณาต่อกัน โดยต่างรูปต่างกล่าวคำปวารณาต่อกันตามลำดับอาวุโสนับตั้งแต่พระที่มีพรรษามากสุดจนถึงพระนวกะ การกล่าวคำปวารณาต่อกันนี้ เป็นพิธีของสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ ให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ นับว่าเป็นวิธีที่ดีมาก แสดงให้เห็นความมีน้ำพระทัยกว้างของพระพุทธองค์ เพราะตามปรกติคนเรามักจะนึกว่าตัวเองดีเสมอ ฉะนั้นสิ่งใดที่เราคิดว่าดี อาจไม่ดีสำหรับคนอื่นก็ได้ ฝ่ายฆราวาสก็ถือว่าวันออกพรรษาเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง จึงนิยมทำบุญตักบาตรมากเป็นพิเศษ เรียกว่าวันตักบาตรเทโว ซึ่งเป็นประเพณีที่นิยมทำกันมาแต่โบราณกาล นอกจากนี้แล้ว พระมหากษัตริย์ยังได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในการออกพรรษา คือ นิมนต์พระไปรับบิณฑบาตในพระบรมมหาราชวัง เรียกว่า บิณฑบาตเวร ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงบาตรด้วยพระองค์เอง พร้อมด้วยเจ้านายฝ่ายใน พระราชพิธีนี้มีเป็นประจำทุกปีสืบมาจนปัจจุบัน. ไม่เชื่อ! ... อย่าลบหลู่.. (http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/241498.jpg) ภาพจาก : http://www.dailynews.co.th (http://www.dailynews.co.th) ปริศนาบั้งไฟพญานาค วันนี้ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ นอกจากนี้จะเป็นวันออกพรรษาแล้ว ค่ำคืนนี้บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงในพื้นที่ภาคอีสานของไทย ยังเต็มไปด้วยคลื่นมหาชนจากทั่วประเทศที่หลั่งไหลไปเฝ้าชมลูกไฟปริศนาหรือบั้งไฟพญานาค ซึ่งจะโผล่ขึ้นมาจากกลางลำน้ำโขงในคืนนี้ ตำนานของบั้งไฟพญานาคจากทั้งในเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (www.tatcontactcenter.com (http://www.tatcontactcenter.com)) และเว็บไซต์เทศบาลตำบลปากคาด อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย (http://pakkhadcity.com (http://pakkhadcity.com)) ได้บอกเล่าใจความสำคัญว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และเสด็จเผยแพรพระศาสนาไปทั่วชมพูทวีป พญานาคเกิดความเลื่อมใสและศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงได้จำแลงกลายเป็นบุรุษเพื่อขอบวชเป็นพระสาวก จนกระทั่งคืนหนึ่งพญานาคเกิดเผลอหลับและคืนร่างเดิม พอพระพุทธเจ้าทรงทราบความจริงจึงขอให้พญานาคลาสิกขาบท เนื่องจากเดรัจฉานไม่สามารถบวชเป็นพระภิกษุได้ พญานาคจึงยอมทำตาม โดยมีเงื่อนไขว่า ขอให้เรียกบุตรชายผู้มีตระกูลที่จะลาสิกขาบทว่า “นาค” ก่อนเข้าโบสถ์ เพื่อเป็นศักดิ์ศรีแก่พญานาค จึงกลายเป็นที่มาของคำว่า “พ่อนาค” ในปัจจุบัน ต่อมาครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงเป็นเวลา ๓ เดือน สู่โลกมนุษย์ เหล่าบรรดาพญานาค นาคเทวี และบริวารจัดทำเครื่องบูชา รวมถึงพ่นไฟถวายแก่พระพุทธเจ้า ซึ่งต่อมาในทุกปีจะมีลูกไฟขนาดเท่าไข่ไก่ผุดขึ้นตามลำน้ำโขงบริเวณหน้าวัดไทย ทั้งแนวตั้งและแนวเฉียง ประมาณ ๕-๑๐ ลูก ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่า พญานาคจุดบั้งไฟเพื่อเป็นการสักการะถวายเป็นพุทธบูชา ทั้งนี้ บั้งไฟพญานาคมีลักษณะเป็นลูกไฟหลากสี เช่น สีส้ม ชมพู ม่วง ไม่มีกลิ่น ไม่มีควั่น ไม่มีเสียง โผล่ขึ้นจากลำน้ำโขงพุ่งขึ้นในอากาศ สูงประมาณ ๕๐-๑๕๐ เมตร มักพุ่งขึ้น ๕-๑๐ ลูกติดต่อกันภายในเวลากว่า ๕ วินาที แต่ละปีจะมีบั้งไฟพญานาคปรากฎให้เห็นราว ๓-๗ วัน ใกล้ๆ วันออกพรรษา ซึ่งส่วนใหญ่จะพบที่หน้าวัดไทย อำเภอโพนพิสัย และวัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสะดือของแม่น้ำโขง และเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของเมืองบาดาล อย่างไรก็ตาม มีผู้พยายามศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค เพื่อหาที่มาด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น มีการคาดว่าอาจเกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้น้ำ จนกลายเป็นก๊าซมีเทน ไนโตรเจน หรือฟอสฟอรัส โดยเมื่อปี ๒๕๕๖ มีการจัดเวทีเสวนา ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เรื่อง “บั้งไฟพญานาค” เป็นวิถีกระสุน หรือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่ง นพ.มนัส กนกศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ หนึ่งในผู้ร่วมเสวนาครั้งนั้นกล่าวไว้ว่า จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของออกซิเจน โอโซน ความชื้นสัมพัทธ์และรังสียูวีซีในช่วงเวลาที่มีบั้งไฟพญานาค พบว่าช่วงที่เกิดบั้งไฟจะมีปริมาณออกซิเจนและความชื้นสัมพัทธ์สูง โอโซนต่ำ และมีรังสียูวีซีส่องลงมาถึง ซึ่งในบั้งไฟพญานาคนั้นมีส่วนประกอบของฟองก๊าซฟอสซิน และมีเทนในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงทำปฏิกิริยากับอากาศโดยรอบได้อย่างรวดเร็วและไม่ฟุ้งกระจาย ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาคชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวไว้ในเวทีเดียวกันว่า ตำนานพ่นไฟรับพระพุทธเจ้าไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งในอดีตก็ปรากฏให้เห็นน้อยมาก แต่พอกลายเป็นอันซีนไทยแลนด์ก็เพิ่มจำนวนเป็นร้อยๆ ลูก รวมถึงได้ตั้งคำถามไว้ว่า ทำไมเป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นตรงกับวันออกพรรษาของลาวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นพ.มนัส และดร.เจษฎา มีแนวคิดที่สอดคล้องกันว่า ควรหยุดการทำบั้งไฟพญานาคเทียม เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะเห็นของจริงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก นอกจากนี้ เคยรายงานว่า รายการทีวีเคยตั้งกล้องถ่ายภาพที่ฝั่งลาว เมื่อปี ๒๕๕๔ เห็นการยิงปืนที่เป็นประเพณีที่ฝั่งลาวจัดขึ้นทุกปี ซึ่งหลังยิงประมาณ ๓ วินาที จะได้ยินเสียงเฮจากฝั่งไทยตามมา โดยแม่น้ำโขงมีความกว้าง ๑ กิโลเมตร ดังนั้นการเดินทางออกเสียงจะใช้เวลาประมาณ ๒-๓ วินาที ในขณะที่แสงจะเดินทางได้เร็วกว่า ไม่ว่าบั้งไฟพญานาคจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือฝีมือมนุษย์ ในช่วงวันออกพรรษา ลูกไฟปริศนาก็ยังคงผุดขึ้นเหนือลำน้ำโขงให้ได้เห็นกันทุกปี. ปริศนาบั้งไฟพญานาค...จาก เว็บไซต์ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (http://www.sookjaipic.com/images/5404799837_DSC01338.jpg) แม่น้ำโขง มีความกว้างกว่า ๑ กิโลเมตร ถ่ายจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ฝั่งจังหวัดหนองคาย |