หัวข้อ: อุตริมนุสธรรม คุณวิเศษซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมีหรือเป็นได้ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 ธันวาคม 2556 13:07:38 .
(http://khunsamatha.com/images/Y7388233-12.jpg) อุตริมนุสธรรม หรือ อุตริมนุษยธรรม กันก่อน ศัพท์นั้นหมายถึง ธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ หรือธรรมของมนุษย์ผู้ยวดยิ่ง ได้แก่มิใช่วิสัยของมนุษย์ทั่วไป แต่เป็นวิสัยของผู้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้วประกอบด้วย ๑. ฌาน หมายถึง การเพ่งอารมณ์ตามกฎแห่งการเจริญกรรมฐาน ประกอบด้วย ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ๒. วิโมกข์ หมายถึง สภาพที่จิตพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้งปวง ประกอบด้วย สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ และอัปปณิหิตวิโมกข์ ๓. สมาธิ หมายถึง ความตั้งมั่นแห่งจิต ประกอบด้วย สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ และอัปปณิหิตสมาธิ ๔. สมาบัติ หมายถึง การเข้าถึงฌาน หรือการบรรลุฌาน ประกอบด้วย สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ ๕. ญาณ หมายถึง ความรู้ คือ ปรีชาหยั่งรู้ ปรีชากำหนดรู้จากการบำเพ็ญวิปัสสนา ได้แก่ วิชชา ๓ ๖. การทำมรรคให้เกิด ประกอบด้วย สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และอริยมรรคมีองค์ ๘ ๗. การทำให้แจ้งซึ่งผล ประกอบด้วย การทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล การทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล การทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล และการทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล ๘. การละกิเลส ประกอบด้วย การละราคะ การละโทสะ การละโมหะ ๙. ความเปิดจิต ประกอบด้วย ความเปิดจิตจากราคะ ความเปิดจิตจากโทสะ ความเปิดจิตจากโมหะ ๑๐. ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า ประกอบด้วย ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยปฐมฌาน ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยทุติยฌาน ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยตติยฌาน ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยจตุตถฌาน พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) อธิบายไว้ในหนังสือ "เหตุและผลของการอวดอุตริมนุษยธรรม (ทำไมพระพุทธเจ้าจึงห้ามอวดอุตริมนุษยธรรม)" ว่า พุทธบัญญัติห้ามไม่ให้ภิกษุอวดอุตริมนุษยธรรม หรือการบรรลุธรรมอย่างสูงที่เกินปกติของมนุษย์สามัญ เช่น สมาธิ ฌาน สมาบัติ มรรคผล ถ้าพระสงฆ์อวดโดยที่ตนไม่มีคุณวิเศษนั้นจริง ถือเป็นการหลอกลวง ย่อมต้องอาบัติปาราชิก คือขาดจากความเป็นภิกษุ แต่ถึงแม้จะบรรลุคุณวิเศษนั้นจริง หากพูดอวด หรือบอกกล่าวแก่ชาวบ้าน หรือผู้อื่นใดที่ไม่ใช่ภิกษุ หรือภิกษุณีก็ไม่พ้นเป็นความผิด แต่เบาลงมาเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ทั้งนี้ ปาราชิก คือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภทครุกาบัติ หรืออาบัติหนัก ที่เรียกว่า อาบัติปาราชิก พระภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ๔ ข้อใดข้อหนึ่ง แม้จะไม่กล่าวลาสิกขาบท ก็ถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุทันทีเมื่อความผิดสำเร็จ ปาราชิก มี ๔ ข้อ อยู่ในศีล ๒๒๗ ได้แก่ ๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์) ๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์ ๔. กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถน้อมเข้าในตัวว่ ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง) ส่วน ปาจิตตีย์ เป็น ๑ ใน ๕ อย่างของลหุกาบัติ หรืออาบัติเบา ข้อมูล หนังสือพิมพ์ข่าวสด |