[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 17:27:59



หัวข้อ: สดับปกรณ์-ถวายอดิเรก คำสำคัญที่เกี่ยวกับพระราชพิธีหลวง
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 17:27:59
.

(http://www.sookjaipic.com/images/5417216999_qTcZX_1_.jpg)
พระบรมโกษฐ์ที่ประดิษฐานพระบรมศพ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ ๕)

สดับปกรณ์-ถวายอดิเรก

จากหนังสือข้อพึงปฏิบัติในการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีบทว่าด้วยคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธี ให้ความหมายของคำ สดับปกรณ์ และถวายอดิเรก ดังนี้

สดับปกรณ์ หมายถึง บังสุกุล ใช้สำหรับพระบรมศพและบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ และพระศพหรือพระอัฐิของพระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป (บังสุกุล คือกริยาที่พระภิกษุชักผ้าจากศพ ซึ่งทอดไว้หน้าศพ หรือทอดบนด้ายสายสิญจน์ หรือผ้าภูษาโยงที่ต่อจากศพ ด้วยการปลงกรรมฐาน)

ถวายอดิเรก คือการที่ประธานสงฆ์ในการพระราชพิธี หรือการพระราชกุศล กล่าวคำถวายพระพรเป็นพิเศษเฉพาะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ขั้นตอนในการถวายอดิเรก เป็นเวลาหลังจากที่พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาแล้ว สมเด็จพระราชคณะหรือพระราชาคณะผู้เป็นประธานในพิธี ถวายพระพรเป็นภาษาบาลีด้วยบทว่า "อติเรกะวัสสะสะตัง ชีวะตุ..." พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประนมพระหัตถ์รับ ส่วนผู้เฝ้าฯ ในพิธีไม่ต้องประนมมือ จบแล้วรองประธานสงฆ์ถวายพระพรลา (เฉพาะในพระราชฐานที่ประทับเท่านั้น) แล้วลุกจากอาสนะออกจากมณฑลพิธีไป

ที่มาของธรรมเนียมที่พระสงฆ์ถวายพระพรพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า ถวายอดิเรก นี้ มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ถือปฏิบัติเป็นรัชสมัยแรก โดยมีมูลเหตุเนื่องมาจากงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาในปีหนึ่ง ได้โปรดเกล้าฯ ให้อาราธนาพระอุดมปิฎก เจ้าอาวาสวัดสุนทราวาส จังหวัดพัทลุง อดีตเป็นพระราชาคณะที่พระอุดมปิฎก เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนาราม (เดิมชื่อวัดหงสาราม) ซึ่งทรงคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ยังไม่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ให้เข้าร่วมพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในพระบรมมหาราชวังครั้งนั้นด้วย

ขณะทรงประเคนจัตุปัจจัยไทยธรรมแก่พระสงฆ์ตามลำดับมาจนถึงพระอุดมปิฎกซึ่งนั่งประจำที่เป็นองค์สุดท้ายในพระที่นั่ง ทรงโสมนัสยิ่งนักและทรงทักทายด้วยความคุ้นเคย ตอนท้ายมีรับสั่งว่า "ท่านเดินทางมาแต่ไกล นานปีจึงจะได้พบกัน ขอจงให้พรโยมให้ชื่นใจเถิด" เนื่องจากพระอุดมปิฎกไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน แต่ด้วยภูมิรู้ของผู้สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค จึงได้ตั้งพัดยศขึ้นถวายพระพรด้วยปฏิภาณโวหารเป็นภาษาบาลี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสดับแล้วโปรดมาก จึงรับสั่งให้ถือเป็นธรรมเนียมนิยมให้พระสงฆ์ถวายพระพรพระมหากษัตริย์ในงานพระราชพิธีทั้งปวง นับตั้งแต่รัชสมัยนั้นสืบมาจนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ ก่อนถวายอดิเรกดังกล่าว พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาก่อน คือการที่พระสงฆ์สวดอนุโมทนา (เรียกโดยสามัญว่า ยะถาสัพพี) ในพระราชพิธีที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ขั้นตอนการอนุโมทนาเริ่มขึ้นเมื่อประธานสงฆ์เริ่มสวดภาษาบาลีว่า "ยะถา วาริวะหา..." จนถึง "...มะณิ โชติระโส ยะถา" ระหว่างนี้ประธานทรงหลั่งทักษิโณทก ผู้ร่วมพิธีประนมมือ แล้วพระสงฆ์รับ "สัพพีติโย" ถึงตอนนี้ประธานจะทรงหลั่งทักษิโณทกลงในขันที่รองรับจนหมด แล้วทรงส่งพระเต้าคืนแก่เจ้าหน้าที่รับไป ทุกคนในพิธีประนมมือรับพรต่อไป

หลั่งทักษิโณทก คือกริยาราชาศัพท์ หมายถึงแผ่ส่วนบุญด้วยวิธีหลั่งน้ำ หากใช้เป็นภาษาพูดเรียกว่า "ทรงกรวดน้ำ" ภาชนะที่ทรงใช้สำหรับกรวดน้ำ เรียกว่า "พระเต้าทักษิโณทก" มีลักษณะเป็นเต้าหรือคนโทเล็กๆ มีขันพานรองเป็นที่รองรับน้ำ