[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 28 มีนาคม 2557 12:30:31



หัวข้อ: หลวงปู่เหลา จุนโท พระผู้อุทิศตนเพื่อพระศาสนา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 28 มีนาคม 2557 12:30:31
.

(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2011/03/bud03120354p1.jpg&width=360&height=360)
พระโพธิญาณมุนี หรือ หลวงปู่เหลา จุนโท
อดีตเจ้าอาวาสวัดประชาบำรุงและอดีตเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม

หลวงปู่เหลา จุนโท 
พระผู้อุทิศตนเพื่อพระศาสนา

"พระโพธิญาณมุนี" หรือ "หลวงปู่เหลา จุนโท" อดีตเจ้าอาวาสวัดประชาบำรุงและอดีตเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม (ธรรมยุติ) เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวมหาสารคาม มาอย่างยาวนานจากอดีตตราบจนปัจจุบัน

อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า เหลา นาสวัสดิ์ เกิดเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๓ ณ บ้านท่าแร่ ต.กุดฆ้องชัย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์

หลังจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดในหมู่บ้าน ได้ออกมาช่วยงานครอบครัวทำไร่ทำนาหาเลี้ยงชีพตามวิถีชีวิตของคนอีสาน

เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ ได้กราบลาบิดามารดา เดินทางเข้าสู่เมืองหลวง ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พระอุโบสถวัดพิชยญาติการาม เขตคลองสาน กรุงเทพฯ สำหรับชื่อพระอุปัชฌาย์สืบค้นไม่ได้

ภายหลังจากที่อุปสมบท ท่านได้มุมานะศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๔๖๖ สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ยังศึกษาแผนกบาลีสามารถสอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค จากสำนักเรียนวัดบรมนิวาส

จากนั้นท่านได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมอยู่ที่วัดปทุมวนาราม จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ท่านได้เดินทางกลับอีสานบ้านเกิด มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสระจันทราวาส อ.พล จ.ขอนแก่น พร้อมกับได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอพล

เนื่องจากหลวงปู่เหลา เป็นพระที่มีความรู้และวัตรปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดประชาบำรุง จ.มหาสารคาม ว่างลง ท่านได้รับความไว้วางฃ ใจจากคณะสงฆ์ให้ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสที่วัดแห่งนี้

ต่อมา ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม (ธรรมยุติ) จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญในราชทินนามที่ พระโพธิญาณมุนี

หลวงปู่เหลา ให้ความใส่ใจต่อภาระในศาสนาด้านคันถธุระและด้านวิปัสสนาธุระ ท่านได้สร้างความเจริญเรียบร้อยแก่พระพุทธศาสนาอย่างมากมาย

แม้หลวงปู่เหลา จะมีตำแหน่งทางปกครองเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ แต่หากปีใดงานในหน้าที่ไม่มีความยุ่งยาก ท่านมักจะออกเดินธุดงควัตรไปตามป่าเขาลำเนาไพรหลายแห่งในภาคอีสาน โดยเฉพาะเทือกเขาภูพาน ท่านไปเป็นประจำ เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นตามรอยพระตถาคต รวมทั้งเป็นวิถีปฏิบัติของพระสายธรรมยุต

ในการออกเดินธุดงค์ บางครั้งเคยเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายในระยะประชิด ท่านเพียงแต่อธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้ สัตว์ร้ายเหล่านั้นก็ไม่กล้าเข้ามาทำร้ายท่านแต่อย่างใด

ด้านการเผยแผ่หลักธรรม หลวงปู่เหลา ได้ออกอบรมศีลธรรมแก่พุทธศาสนิกชนตลอดปี และให้ความสำคัญการศึกษาพระปริยัติธรรม ท่านรับหน้าที่ครูสอนพระปริยัติธรรม หากพระภิกษุสามเณรรูปใดตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ท่านจะมีทุนการศึกษาให้พร้อมกับสนับสนุนให้เรียนสูงยิ่งขึ้น ทำให้สำนักเรียนวัดประชาบำรุงในยุคนั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง

นอกจากนี้ ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาทำให้วัดประชาบำรุง มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถ อาคารเรียนพระปริยัติธรรม กำแพงแก้ว ศาลาการเปรียญ เป็นต้น

อีกทั้ง ด้วยความที่เป็นคนรักธรรมชาติ ท่านจะพาพระภิกษุ-สามเณร ปลูกต้นไม้ภายในวัดทุกปี พร้อมกับรักษาต้นไม้เก่าโดยห้ามตัดฟันทำลาย ทำให้บรรยากาศภายในวัดประชาบำรุง มีแต่ความร่มรื่นร่มเย็น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่งนัก

หลวงปู่เหลา ปฏิบัติหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์อย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างให้คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองปฏิบัติตาม ตลอดเวลาที่ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม ฝ่ายธรรมยุต และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดประชาบำรุง เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวมหาสารคามและพื้นที่ใกล้เคียงมาโดยตลอด ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วัดประชาบำรุง จึงมีพุทธศาสนิกชนมาร่วมทำบุญและรับฟังพระธรรมจากหลวงปู่เหลาเป็นจำนวนมาก

สำหรับปัจจัยที่ได้จากศรัทธาญาติโยม หลวงปู่ได้นำมาพัฒนาสาธารณูปโภคสาธารณูปการภายในวัด รวมทั้งบริจาคช่วยเหลือกิจกรรมของชุมชนมาโดยตลอด

หลักธรรมคำสอนที่หลวงปู่เหลา อบรมสอนญาติโยม เป็นเรื่องของความไม่เที่ยงของสังขาร สรรพสิ่งในโลกมีเกิด มีเสื่อม และมีดับ ความตายนั้นแขวนคอทุกย่างก้าว ดังนั้นการดำเนินชีวิตจะต้องไม่ประมาท หมั่นประพฤติปฏิบัติแต่กรรมดี

ล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ท่านมีอาการอาพาธเรื้อรังด้วยโรคมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก สุดท้ายได้มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๘ สิริอายุ ๖๔ พรรษา ๔๔ สร้างความเศร้าสลดแก่คณะสงฆ์และชาวมหาสารคามเป็นอย่างยิ่ง

แม้หลวงปู่เหลาจะละสังขารไปจากโลกนี้ แต่คุณงามความดีของท่านยังอยู่ในศรัทธาของชาวมหาสารคามไปตลอดกาลนาน
...ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด