[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดครูบาอาจารย์ => ข้อความที่เริ่มโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 22 สิงหาคม 2557 12:48:41



หัวข้อ: หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจง แปลงกายเป็นเสือทดสอบคณะธุดงค์ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 22 สิงหาคม 2557 12:48:41
หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจง แปลงกายเป็นเสือทดสอบคณะธุดงค์ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจงแปลงกายเป็นเสือ
เพื่อทดสอบคณะธุดงค์
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั่นเอง บรรดาท่านทั้งหลายก็ปรากฏว่า
มีเสือลายพาดกลอน ๒ เสือ อาตมาจะไม่เรียกว่า ๒ ตัว ...
ทั้งนี้เพราะว่า จะเป็นการปรามาสครูบาอาจารย์ สองเสือ
ย่างสามขุมเข้ามา ท่าทางดุดัน องอาจมาก ทำท่าคล้าย
กับว่าจะกินพวกเรา ทั้ง ๓ คนเห็นเข้า ก็นึกในใจว่า
เสือมาแล้ว ทุกวันเราเห็นแต่เพียง เสือปลาบ้าง
เสือดาวบ้าง แต่วันนี้เจอะลายพาดกลอน แล้วก็ยาว
มากใหญ่มาก ถ้าแกจะกินเราก็รู้สึกว่า ๓ คนอิ่มพอดี ๆ
ทุกคนตั้งใจเลิกพูด ตอนนี้เลิกพูดแล้ว เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะว่าทุกคนยังกลัวตายอยู่ ไม่ใช่ไม่กลัวตาย

ก็นึกในใจว่า เวลานี้เสือมา ถ้าเสือทำร้ายเรา เราก็ต้องตาย
แต่ความตายของเรามีความหมาย นั่นคือ ถ้าเราตายเวลานี้
เราจะไปอยู่พรหม นี่ผู้พูด ผู้เขียนนะ คิดอย่างนี้นะ อีก ๒ องค์
เขาคิดอย่างไรก็ไม่ทราบ อีก ๒ องค์ดูเหมือนว่าจะตั้งใจ
ไปนิพพานเลย แต่ว่าผู้เขียนเอง ไม่เข้าใจเรื่องนิพพาน
ก็คิดว่า ถ้าตายเวลานี้เราอยู่พรหม ทำไมจึงจะไปพรหม
ถ้าหากว่าเราจะไปชั้นดุสิตไม่ดีหรือ ในเมื่อเราปรารถนา
พุทธภูมิ ก็มีความรู้สึกว่า ชั้นดุสิตนี่มีนางฟ้ามาก
พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง มีนางฟ้าเป็นบริวาร เป็นหมื่น ๆ
ถ้าไปอยู่พรหม เราอยู่คนเดียว พรหมองค์หนึ่ง วิมาน
หลังหนึ่ง มีพรหมองค์เดียว ไม่มีบริวาร สำหรับบริวาร
ก็มีวิมานคนละหลัง ไม่อยู่ร่วมกัน เราชอบ อารมณ์เป็นสุข

เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็เริ่มจับ อานาปานสติ แล้วเสือก็ย่าง
๓ ขุมเข้ามา หลับตานึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น
เห็นชัดเจนแจ่มใสมาก เห็นตามเดิม ท่านอยู่กับ ลุงพุฒ
คือ มหาพุฒ เห็นท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ ก็ชื่นใจ คิดว่า
เอาละ ช่างมัน คราวนี้กายเนื้อมันจะตาย แต่กายที่ไม่ใช่
กายเนื้อเราจะไปพรหม แล้วเสียงลุงพุฒก็ถามมาบอกว่า
ไปแค่พรหมน่ะ พอใจแล้วหรือ ก็เรียนท่านบอกว่า ในเมื่อ
มาจากพรหม ก็ขอไปพรหม ท่านก็บอกว่า ไปชั้นดุสิต
ไม่ดีหรือ เป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ก็บอกว่า ผู้หญิงมาก
และผู้หญิงที่นั่นก็สวยมาก ก็เกรงว่า กำลังใจจะยุ่งกับผู้หญิง
มากเกินไป เดี๋ยวกังวลจะมีมาก ก็ขอไปอยู่พรหม ไปอยู่คนเดียว

ท่านก็บอก ตามใจ นั่งทำสมาธิไป จิตใจจับที่ภาพพระพุทธเจ้า
อย่างเดียว ไม่ไปไหน ก็คิดว่า ร่างกายมันจะเป็นอาหารของเสือ
เวลานี้ก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจแล้ว แล้วก็ประกอบกับความรู้สึกว่า
คิดว่าดี ถ้าตายเวลานี้ ดี เราอยู่กับพระพุทธเจ้า อย่างไร ๆ
เราก็ไม่ลงนรก จิตใจชุ่มชื่น ต่างคนต่างทำสมาธิกัน อีก ๒ องค์
เขานึกอย่างไร อาตมาไม่ทราบ สักพักใหญ่ ๆ เสือก็ไม่กิน
พอลืมตาขึ้นมาดู เสือนั่งข้างหน้าเฉย ๆ นั่งมองคนนั้น
นั่งมองคนนี้ ในเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็ถามเสือว่า ทำไมแก
จึงไม่กินฉันล่ะ เสือขยับหนวด ขยับปาก ก็บอกว่า เสือ ๒ ตัวนี่
ไม่กินโว้ย เสือ ๒ ตัวนี่อยากจะรู้ว่า ลูกศิษย์ที่ปล่อยเข้ามาอยู่ป่า
ศรีประจันต์นี่ มันจะมีกำลังใจขนาดไหน มันจะมีความกล้าหรือ
มีความกลัว การตัดสินใจผิดหรือตัดสินใจถูก เสียงเสือตัวที่พูด
ตัวแรก เสียงเหมือนหลวงพ่อปานชัด เสือพูดภาษาคน และเสือ
ที่สองก็พูดเบา ๆ เหมือนเสียงหลวงพ่อจง

ท่านบอกว่า การตัดสินใจแบบนี้น่ะ ถูกต้องทุกองค์ สององค์นั่น
ตัดสินใจเพื่อนิพพานตรง เพราะเป็นพุทธสาวก ปรารถนา
สาวกภูมิถูกต้อง ต้องทำอย่างนี้ และองค์นี้ปรารถนาพรหม
ก็ดี เพราะปรารถนาพุทธภูมิ ตั้งใจไปพรหม รวมความว่า
ทุกองค์ตัดสินใจถูก ความกลัวย่อมมีแก่คนทุกคน บุคคลใด
ถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ก็ตาม ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยังไม่ใช่
ม้าอาชาไนย หรือไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิ์ต้องกลัว แต่การ
กลัวของพวกคุณทั้งหมดถูกต้องเป็นการกลัวที่ถูก คือ กลัว
เสือจะกิน แต่ก็ไม่กลัวในการที่จะไปเป็นพรหม ไปนิพพาน

หลังจากนั้น เสือทั้ง ๒ เสือ ค่อย ๆ คลายตัว เป็นหลวงพ่อปาน
กับหลวงพ่อจง ในเมื่อกลายเป็นหลวงพ่อทั้งสอง ก็ลุกขึ้นกราบ
ท่านด้วยความเคารพ อิ่มใจ ชื่นใจ น้ำตาไหล ท่านถามว่า
ดีใจรึ บอกดีใจขอรับ ถามว่า หลวงพ่อเป็นเสือได้อย่างไร
ท่านบอกว่า มันเรื่องของฉันน่ะ ฉันจะเป็นเสือจะเป็นแมว
ฉันจะเป็นอะไรมันเรื่องของฉัน ไม่ต้องถาม พวกเธอทำตาม
คำสั่งได้ดีที่สุด แล้วการกระทำของพวกเธอทั้งหมดนี่
มันไม่พ้นสายตาของฉัน ก็ถามว่า หลวงพ่อส่งตาทิพย์
มาดูหรือ ท่านก็เลยบอกว่า งานของฉันมาก ไม่มีเวลา
จะดูพวกเธอ แต่เทวดาเขารายงาน เทวดารายงานทุก
อิริยาบทที่เธอทำ เธอจะนั่งท่าไหน จะนอนท่าไหน
เขาบอกหมด

ก็รวมความว่า ไม่พ้นสายตาของท่าน เพราะเทวดาบอก
ท่านก็เลยบอกว่า วันนี้เป็น วันวิสาขบูชา ทุกองค์ก็ตั้งใจ
ไปพระมหาจุฬามณีเจดีย์สถานก็แล้วกัน ไปตั้งใจอธิษฐานว่า
จะอยู่ที่นี้จนกว่าจะได้อรุณจึงจะลง ถ้าตัดสินใจอย่างนั้น
พอได้อรุณปั๊บมันจะเคลื่อนลงทันที เมื่อท่านสอนแบบนั้นแล้ว
ท่านก็หายไป เราก็กราบตามหลังท่าน ไม่รู้ว่าท่านไปอย่างไร
ร่องรอยก็ไม่มี เงาก็ไม่มี ไม่รู้ว่าหายไปไหน





หัวข้อ: หลวงพ่อจงเสกน้ำมนต์ลงขวดเปล่า
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำมนต์ ที่ 10 กันยายน 2557 10:39:24
(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/10513337_768087856569283_7183036151103023448_n.jpg?oh=4a062966ffe8feb6ad1a9104c45354ee&oe=54920609)

ภาพหลวงพ่อจงเสกน้ำมนต์ ใหลจากมือลงขวดเปล่าที่วัดสุทัศน์

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/10565244_768087759902626_6746129933950731302_n.jpg?oh=c74a16304d5c99350b56313f699ba8f0&oe=54CE647E&__gda__=1419106978_781435acfa754db762eff7bc886581c6)

เกี่ยวกับประวัติภาพถ่ายนี้ คือ ในงานพุทธาภิเษกแห่งหนึ่ง ครั้งนั้นทางเจ้าภาพได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ไปหลายรูปด้วยกัน ซึ่งเจ้าของภาพจำ ได้ว่า 2 องค์ที่เขาเห็นและศรัทธาอย่างยิ่งก็คือ
1.พ่อท่านคล้าย วัดสวนขันธ์
2.หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
สาเหตุเพราะได้ประจักษ์กับตา ถึงอภินิหารของทั้งสองท่านนี้ แต่ว่าไม่สามารถถ่ายภาพของหลวงพ่อคล้ายได้ ถ่ายได้เฉพาะหลวงพ่อจงรูปเดียวเพราะเขาไม่คิด ว่าจะมีการทดลองวิชาของพระคุณเจ้าเกิดขึ้น ที่มาของภาพมีดังนี้
ในงานนั้นพ่อท่านคล้ายและหลวงพ่อจง นั่งพักอยู่ใกล้ๆกันก็บังเอิญมีโยมคนหนึ่ง มาขอให้ พ่อท่านคล้ายช่วยทำน้ำมนต์ให้ พ่อท่านจึงบอกกับโยมคนนั้นว่า ให้ไปเอาขวดมา และเอาน้ำมาแก้วหนึ่งด้วยท่านจะทำน้ำมนต์ให้ โยมคนนั้นก็ไปเอาขวดและน้ำมาให้พ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์ พ่อท่านรับแก้วน้ำมาแล้วให้โยมคนนั้นเอาขวดไปตั้งไว้ข้างหน้าห่างไปพอสมควร จากนั้น พ่อท่านก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาเหมือนดื่มแต่ไม่ได้ดื่มเพียงอมไว้แล้วก็พ่นน้ำไปที่ขวดใบนั้น พรวดเดียวน้ำเต็มขวดเลย
หลวงพ่อจงท่านหันมามองแล้วก็หัวร่อ หึ หึ แล้วก็บอกว่า "ฉันก็ทำได้จ๊ะ"