[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี => ข้อความที่เริ่มโดย: ใบบุญ ที่ 02 พฤศจิกายน 2557 17:59:44



หัวข้อ: สัตว์ปีศาจ แห่งพนาไพรญี่ปุ่น
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 02 พฤศจิกายน 2557 17:59:44
.

(http://www.sookjaipic.com/images/5150092128_1.jpg)
บาคุ สมเสร็จจอมเขมือบฝัน.

สัตว์ปีศาจ แห่งพนาไพรญี่ปุ่น

เมื่อดวงตะวันลาลับดับแสง ความมืดเข้าครอบคลุม ผู้ใดที่เดินย่ำอยู่ในพนาไพรจงรีบเร่งกลับเข้าเรือน เวลาของโลกมืดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว สิ่งมีชีวิตอีกฟากฝั่งกำลังเปิดประตูข้ามก้าวผ่านมายังโลกมนุษย์

คำเตือนในสมัยโบราณสำหรับผู้ที่เข้าป่าล่าสัตว์ ให้พึงระวังสิ่งเร้นลับที่อาศัยแฝงกายในพนาไพรยามกลางวัน และออกมาปรากฏกายยามค่ำคืนไว้ให้ดี เพราะในป่าน้อยใหญ่มักมีปีศาจอาศัยอยู่ และประเทศที่มีตำนานเรื่องเล่าของภูตผีมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง

บาคุ (Baku) สมเสร็จจอมเขมือบฝัน
เด็กๆ ชาวญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญกับฝันร้ายสุดพรั่นพรึง เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นก็เกิดความหวาดกลัวจนเก็บอาการไว้ไม่ไหวต้องแสดงออกมาด้วยท่าทางที่สั่นเทา ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ได้แค่เพียงนอนกอดหมอน และส่งเสียงกระซิบวิงวอนขอร้องว่า “คุณบาคุได้โปรดมากินฝันร้ายของหนูที” เช่นนี้ 3 ครั้งติดต่อกัน หากคำขอสัมฤทธิผล บาคุจะปรากฏกายขึ้นในห้องนอนของหนูน้อยคนนั้น และกัดกินฝันร้ายของเธอจนหมดสิ้น

แต่ทว่า...บาคุมักกินอย่างตะกละตะกลาม เพราะนอกจากฝันร้ายเพียงอย่างเดียว ไม่ทำให้มันอิ่มท้องได้เพียงพอแล้วล่ะก็ มันจะหันไปกินทั้งฝันดี ความหวังของชีวิต และความมุ่งมั่นตั้งใจไปจนหมด กลายเป็นคนที่สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

เจ้าบาคุคือตัวอะไรกันแน่ : บาคุ เป็นสัตว์ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของสัตว์หลายชนิด อันประกอบไปด้วย หมี ช้าง เสือ วัว และแรด โดยมันมีลักษณะลำตัวคล้ายหมี มีจมูกเป็นงวงช้าง มีเท้าคล้ายเท้าเสือ ส่วนหางเป็นหางวัว และมีดวงตาคล้ายตาแรด

จากตำนานโบราณได้กล่าวว่า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทุกชนิดเสร็จสิ้นแล้ว พระองค์ทรงรวบรวมเอาอวัยวะต่างๆ ที่เป็นจุดเด่นและเป็นสิ่งที่ได้เปรียบของสัตว์แต่ละชนิดมารวมกัน และสร้างออกมาเป็นบาคุตัวนี้เอง แต่ก็มีเรื่องเล่าที่แตกต่างกันออกไปโดยกล่าวอ้างว่า บาคุตัวนี้น่าจะเป็นสัตว์ปีศาจที่เคยถูกจารึกในตำนานจีน

มีเรื่องเล่าว่าในสมัยราชวงศ์ถังมีการนำเอาภาพวาดของบาคุไว้ที่หัวนอน เพื่อเป็นการปกป้องคุ้มครองยามหลับ นอกจากนี้ถ้าหากใช้ผ้าห่มที่ทำจากหนังของบาคุจะช่วยรักษาอาการเจ็บป่วย และรอดพ้นจากความอาฆาตพยาบาทจากแรงแค้นของวิญญาณชั่วร้ายทั้งหลาย จึงส่งผลทำให้เจ้าสมเสร็จบาคุกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำราชวงศ์

ความเชื่ออันเกี่ยวเนื่องกับภาพวาดนี้ ญี่ปุ่นเองก็นำมาใช้ในช่วงสมัยมุโรมาชิ นิยมวาดรูปบาคุไว้บนเตียงที่จัดตั้งศพผู้ตาย โดยให้ทำหน้าที่เป็นยันต์คุ้มกันดวงวิญญาณ ต่อมาในสมัยเอโดะ มีการขยายความเชื่อนี้ นั่นก็คือ มีการขายหมอนที่มีรูปบาคุ พวกเขาเชื่อกันว่ามันสามารถช่วยป้องกันฝันร้ายได้

(http://www.sookjaipic.com/images/4752939546_2.jpg)
คาชา (Kasha) ม้านรกชิงวิญญาณ.

คาชา (Kasha) ม้านรกชิงวิญญาณ [/b]
จากบันทึกโบราณได้เขียนถึงรูปพรรณของคาชาไว้แตกต่างกันออกไป ว่ามีรูปลักษณ์เป็นสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในนรก เช่นเดียวกับพวกยักษ์และอสูร ปรากฏกายในงานจิตรกรรมสมัยคามาคุระ เป็นภาพสัตว์ที่ขึ้นมาจากนรก คอยฉุดรั้งดวงวิญญาณให้ดิ่งลงต่ำสู่อบายภูมิ ทำให้ได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

คาชา มักปรากฏขึ้นเมื่อมีการจัดงานศพ หรือช่วงเวลาที่กำลังเคลื่อนย้ายศพ เมื่อใดก็ตามที่บังเกิดฟ้าผ่าฟาดลงยังพื้นพสุธา คาชาจะปรากฏกายขึ้นพร้อมลูกไฟที่รายล้อมร่าง แต่ในบางครั้งมันก็อาจมาในรูปแบบอื่นๆ เช่น กลุ่มก้อนเมฆที่มืดมิด พร้อมกับลมพายุที่กระโชก เพื่อใช้ลมนี้หอบเอาศพขึ้นสู่ท้องฟ้าที่มืดทะมึนแล้วหายไป

เนื่องจากคาชาถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาด การบอกเล่ารูปลักษณ์จึงมีลักษณะที่แตกต่างกันไป แล้วแต่จิตรกรจะสร้างสรรค์ขึ้น ส่วนมากพบว่าถูกวาดออกมาในรูปแบบของสัตว์สี่เท้า อย่างม้า กระทิง หรือแม้กระทั่งแมว

ในอีกมุมหนึ่งก็มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อนักบุญนามว่า เนะโย ได้พบกับคาชา มันมาตามตัวท่านไปพิพากษาในนรก ท่านได้อ้อนวอนขอร้องว่า ขอเวลามีชีวิตอยู่อีก 1 ปี เพื่อศึกษาพระธรรม ซึ่งก็ได้ตามที่ขอร้อง มันปล่อยตัวท่านและให้ใช้ชีวิตได้อีก 1 ปี

เจ้าม้านรกตัวนี้มีอิทธิพลทางศาสนาอย่างมาก เพราะบางครั้งก็ถูกยกย่องให้เป็นตัวแทนจากนรก ที่ทำหน้าที่ตัดสินว่าดวงวิญญาณและร่างกาย ที่กลายเป็นซากศพนี้เป็นของคนคนเดียวกันหรือไม่ จนกลายเป็นความเชื่อที่ว่าการพิพากษาหลังความตาย ที่จะนำไปสู่การ ตัดสินโทษของผู้ตาย อีกทั้งยังมีหน้าที่อันโหดร้าย คือ การฉุดลากวิญญาณลงสู่อบายภูมิ แต่ดวงวิญญาณก็จะได้รับการช่วยเหลือจากพุทธองค์ จึงเป็นนัยที่คนโบราณต้องการจะสื่อให้คนเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่ดำรงตนไปตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เพื่อที่จะหลุดพ้นจากขุมนรก และจะได้ไม่ต้อง เผชิญหน้ากับสัตว์นรกอย่างคาชา

(http://www.sookjaipic.com/images/7827696353_3.jpg)
ซึชิกุโมะ แมงมุมยักษ์สุดโหด.

ซึชิกุโมะ (Tsu-chigumo) แมงมุมยักษ์สุดโหด
คำว่า ซึชิกุโมะ แปลตามตัวอักษรญี่ปุ่นมีความหมายว่า “แมงมุมโสโครก” เจ้าซึชิกุโมะนี้มีใบหน้าคล้ายยักษ์ บ้างก็ว่ามีหัวคล้ายเสือโคร่ง มีแขนขาใหญ่ยักษ์ครบทั้งแปดขาเยี่ยงแมงมุม มัน สวมใส่ชุดยูคาตะขนาดใหญ่ น่าแปลกมากว่ามันใส่ได้อย่างไร เป็นประเด็นที่น่าสงสัยว่า มันเป็นพวกยักษ์แปลงกายมา หรือแมงมุมยักษ์ที่จำศีลจนตบะแก่กล้ากันแน่ พวกมันอาศัยอยู่ในภูเขาลึก มักดักจับนักเดินทางกินเป็นอาหาร

เรื่องราวของมันชัดเจนขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 เรื่องเล่านี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกเจ้าแมงมุมปรากฏกายขึ้นกลางเมืองหลวง เนื้อหาใจความว่า ในช่วงสมัยเฮอัน ท่านโชกุนมินาโมโตะ โยริมิซึ ป่วยหนักรักษาอย่างไรก็ไม่หายดีเสียที ขนาดทำพิธีปัดรังควานก็ไม่หาย กลางดึกคืนหนึ่งเกิดปรากฏมีพระสงฆ์รูปร่างสูงใหญ่รูปหนึ่ง ปรากฏกายขึ้นในห้องนอนของท่าน พระรูปนั้นเดินตรงเข้ามาหาท่านโยริมิซึพร้อมปล่อยใยแมงมุมใส่ทันที

ท่านตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นจึงฉวยดาบขึ้นฟัน ผู้ดูแลได้ยินเสียงดังจึงรีบรุดเข้ามาดู พบรอยเลือดหยดเป็นทางยาว จึงได้เกณฑ์ข้ารับใช้ออกเดินทาง ตามรอยเลือดนั้นไปถึงเนินดินที่คาดกันว่าเป็นรังของมัน ทั้งหมดลงมือขุดดิน พลันมีแมงมุมตัวใหญ่ยักษ์โผล่ขึ้นพ่นใยออกมาหมายทำร้าย แต่ทุกคนได้ช่วยกันฟันแทง จนในที่สุดมันก็ตาย และท่านโชกุนก็หายเป็นปกติ

เรื่องที่สองมีอยู่ว่า ท่านโชกุนโยริมิซึได้นำกำลังกองทหารเดินทางเข้าป่า เพื่อลาดตระเวนแถบภูเขาทางทิศเหนือในจังหวัดเกียวโตในปัจจุบัน ท่านและกองกำลังได้พบกับหัวกะโหลกบินได้นับร้อยหัว บินหายไปในป่า ท่านรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เร่งฝีเท้าติดตามไป ทำให้ท่านได้พบกับดวงวิญญาณที่มีสีหน้าทุกข์ทรมานนับร้อยนับพันที่เนินดิน ตอนนั้นใกล้พลบค่ำ ท่านจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปยังที่พัก และกลับมาใหม่ในเวลาเช้าตรู่

เมื่อท่านเดินทางมาพร้อมกองทหาร กลับพบเจอกับหญิงสาวหน้าตางดงามสุดจะพรรณนา นางใช้ทุกวิถีทางล่อลวงและบ่ายเบี่ยงความสนใจของท่านโชกุนจากเรื่องหัวกะโหลกบิน ท่านโยริมิซึมิได้หลงเชื่อเล่ห์กลใดๆ ท่านใช้ดาบฟันเข้าที่ชุดของเธอ เธอหายวับไปในทันที ทิ้งไว้เพียงรอยเลือดสีขาว

ท่านโชกุนได้ระดมกำลังพลออกตามรอยเลือดนั้นไปจนมาถึงถ้ำขนาดใหญ่ภายในหุบเขาลึก ที่นั่นมีแมงมุมยักษ์ตัวใหญ่มหึมาที่เป็นร่างอันแท้จริงของนางปีศาจ จึงได้บังเกิดเป็นสงครามขนาดย่อมของมนุษย์และปีศาจ ท่านโชกุนได้ตัดหัวปีศาจแมงมุมจนขาดกระเด็นทำให้พบหัวกะโหลกมนุษย์ที่มันจับกินไปถึง 1,990 หัว

เมื่อจ้วงแทงเข้าที่สีข้างก็มีลูกๆของมันร่วงกราวลงพื้นอีกเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งหัวกะโหลกมนุษย์อีก 20 หัว เจ้าแมงมุมตัวนี้กินคนมามากกว่า 2,000 คน ทำให้ดวงวิญญาณของคนตายไม่อาจไปสู่สุคติ จึงวิงวอนขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่ผ่านมาพบ และก็สำเร็จที่พวกเขาได้รับการปลดปล่อยโดยท่านมินาโมโตะ โยริมิซึ

(http://www.sookjaipic.com/images/9793523131_4.jpg)
จาโกซึบาบ่า นางปีศาจโครงกระดูกงู.

จาโกซึบาบ่า (Jakotsubaba) นางปีศาจโครงกระดูกงูดึกดำบรรพ์

เรื่องของหญิงชราลึกลับที่มีงูพันร่างกาย กล่าวว่ามีต้นตอที่มาจากทางตอนเหนือของประเทศจีน มือขวาของนางถืองูสีฟ้าขนาดใหญ่ และมือซ้ายมีงูสีแดงอีกตัว บ้างก็ว่านางมีงูมากถึง 5 ตัว เล่ากันสืบมาว่า นางเป็นเมียของจาโกเอมอน พญางูยักษ์ 5 หัว

เหตุใดถึงเรียกกันว่า ปีศาจโครงกระดูก เพราะบางตำนานนางถือโครง กระดูกงูยักษ์ไว้แทนการถืองูสีฟ้าและสีแดง ถึงกระนั้นก็ไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัด แต่คาดการณ์กันว่าคงมีตัวตนมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว

นางทำหน้าที่เฝ้าสุสานประจำตระกูล ถ้าใครหลงป่าอาจจะพบเจอกับหลุมฝังศพที่มีตราสัญลักษณ์รูปงูและหญิงชรา ชื่อของนางเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ตามแต่ภาษาท้องถิ่น สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครรู้ถึงที่มาอันแท้จริง เพราะไม่มีจารึกภาพวาดที่ชัดเจนใดๆ ปรากฏทั้งในประเทศจีนและญี่ปุ่นเลย แต่ก็มีการตั้งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นตำนานเรื่องเล่าของชาวจีน ที่ถูกนำมาวาดต่อเติมดัดแปลงให้เนื้อเรื่องดูลึกลับและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

ฉะนั้นถ้าเกิดเดินหลงป่าโดยเฉพาะป่าที่ประเทศญี่ปุ่น จงระวังกันไว้เพราะปีศาจเหล่านี้อาจจะยังหลงเหลือ เพื่อรอคอยอาหารอันโอชะของมันอยู่ก็เป็นได้


โดย : Agari
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน