[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล => ข้อความที่เริ่มโดย: ใบบุญ ที่ 07 มกราคม 2558 11:43:12



หัวข้อ: พระสูตร เรื่อง พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 07 มกราคม 2558 11:43:12
.

(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTSaGF4OJdKoDSYG0rGs2piBMMI0y9rQqqEnVlWyOtyL8BcH674)
พระสูตร
เรื่อง พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
นิพพานตอนที่ ๑

ปุพพัณหสมัยวันหนึ่ง สมเด็จพระนางมหาปชาบดีเถรีเจ้า เข้าไปเที่ยวบิณฑบาตในพระนครไพศาลี ครั้นได้อาหารบิณฑบาตพอประมาณ ก็กลับมายังภิกขุณูปัสสยารามอันเป็นที่อยู่  เมื่อกระทำภัตกิจพอเป็นยาปนมัตสำเร็จแล้ว จึงเข้าไปยังสถานที่พักผ่อนยับยั้งอยู่ในสมาบัติจนสิ้นสุดกาลที่อธิษฐานไว้ ครั้นออกจากสมาบัติด้วยความชื่นชมโสมนัสปรีดาแล้ว จึงหันมาเพิ่งพินิจพิจารณาดูอายุสังขารแห่งตนว่าจักยั่งยืนไปอีกนานเท่าใด ก็เห็นชนมายุสังขารจะไม่เป็นไป คือจะสิ้นลงในวันนี้เสียแล้ว จึงทรงพระดำริว่า " ถ้ากระไร เราควรจะไปยังพระวิหารในกาลบัดนี้ กราบทูลองค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้พระองค์ทรงพระอนุญาตการปรินิพพานและเพื่อจะถือโอกาสกราบลาพระมหาเถระกับทั้งเพื่อนสพรหมจารีบรรดาที่รักที่ชอบใจกันมานานแล้วก็จะกลับมาปรินิพพาน ณ ภิกขุณูปัสสยารามอันเป็นที่อยู่แห่งเรานี้ จึงจะเป็นการดี" 

ขณะที่สมเด็จพระนางเจ้าซึ่งมีคุณใหญ่ตัดสินพระทัยที่จะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานนี้ ก็ให้มีอันเกิดมหัศจรรย์ ภูมิภาคปฐพีกำหนดหนาได้แน่นสองแสนสี่หมื่นโยชน์มีน้ำรองมหาปฐพีเป็นที่สุด ก็แสดงอาการดุจดังว่าจะมีมีความอาลัย เกิดกัมปนาทป่วนปั่นหวั่นไหวอยู่ไปมา บรรดาพระภิกษุณีทั้งหลายในภิกขุณูปัสสยาราม เฉพาะที่ได้บรรลุธรรมวิเศษสำเร็จเป็นพระอรหันต์จำนวน ๕๐๐ รูป เมื่อเห็นเหตุอัศจรรย์ดังนั้น ต่างพากันเข้าไปหาสมเด็จพระมหาปชาบดีเถรีเจ้า ครั้นถึงแล้วจึงซบเศียรเกล้าลงแทบเบื้องบาทมูลองค์พระพุทธมาตุจฉาทูลถามถึง ความเป็นไปว่า "ข้าแต่พระแม่เจ้า กระหม่อมฉันทั้งปวงนี้ต่างพากันเข้าที่สงัดหลังจากทำภัตกิจเสร็จแล้ว ได้ยินเสียงกัมปนาทหวาดหวั่นไหว อันเกิดจากแผ่นพสุธาจาจลเป็นมหัศจรรย์ เหตุอันนี้เกิดขึ้นด้วยประการใด พระเจ้าข้า" สมเด็จพระมหาปชาบดีเถรีเจ้า จึงเล่าถึงมูลเหตุที่เป็นมา แล้วกล่าวโดยสรุปอีกว่า " ดูก่อนสพรมหจารีทั้งหลาย เรานี้มีความปรารถนาจะเดินทางเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเจ้า เพื่อให้พระองค์ทรงอนุญาตการปรินิพพาน แล้วจะปลงเสียซึ่งชนมายุสังขารเข้าสู่พระนิพพานในวันนี้ ก็จะเป็นการดี เพราะเป็นการปรินิพพานล่วงหน้า

ก่อนแต่กาลปรินิพพานแห่งองค์สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์ ก่อนแต่กาลปรินิพพานแห่งพระองค์สาวกทั้งคู่ผู้มีคุณใหญ่ ทั้งแต่ก่อนกาลปรินิพพานแห่งพระมหาสาวกทั้งหลาย มีพระอัญญาโกญฑัญญะ พระมหากัสสปะ และพระราหุลพุทธชิโนรส เป็นอาทิ อันนี้เป็นความปรารถนาของเราที่ตั้งไว้ และเราขอลาท่านทั้งหลายไปในกาลบัดนี้"

พระภิกษุณีทั้งหลายในที่ประชุมนั้น ซึ่งล้วนแต่ทรงคุณวิเศษ สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วทั้งสิ้น ได้ยินว่าพระมหาเถรีเจ้าจักดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน จึงหันหน้ามาปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเเม่เจ้า ผิว์พระแม่เจ้าปลงใจที่จะดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานในวันนี้แล้วไซร้ กระหม่อมฉันทั้งหลายก็จักชอบใจดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานพร้อมกับพระแม่เจ้า ในวันนี้บ้าง ด้วยว่าในกาลก่อน คราวที่องค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาประทานอนุญาตการบรรพชาเป็นพระภิกษุณีในพระพุทธศาสนานั้น กระหม่อมฉันทั้งหลายก็ได้บรรพชาเป็นพระภิกษุณีพร้อมกับพระแม่เจ้า เมื่อเหล่ากระหม่อมฉันทั้งปวงจะล่วงภพนี้ไปเข้าสู่พระอมตมหานฤพานอันอุดม ก็สมควรที่จะไปพร้อมกับพระแม่เจ้า จะเป็นการดี

"ดูก่อนเหล่าสพรหมจารี อันการที่ท่านทั้งปวงปรารถนาจะเข้าสู่พระนิพพานพร้อมกับเรานั้น เรานี้ไม่มีอะไรที่จะว่ากับท่านทั้งหลาย ตามแต่ใจท่านทั้งปวงจะพิจารณาเห็นสมควรเถิด"

สมเด็จพระพุทธมาตุจฉามหาเถรีกล่าวฉะนี้แล้ว ก็พาพระภิกษุณีอรหันต์ทั้งปวงออกมาจากสำนักที่อยู่ เมื่อออกมาถึงซุ้มประตูก็หันกลับไปเพิ่งดูภิกขุณูปัสสยารามอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับอธิษฐานด้วยฤทธิ์กล่าวแก่เทวดาทั้งหลายว่า "ดูกรเทพยดาทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเทพบุตรหรือเทพนารี บรรดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ที่ภิกขุณูปัสสยารามนี้ หรือที่ใกล้ๆ นี้ก็ตามทีขอเชิญท่านมาทางนี้ ขอเชิญท่านพากันชุมนุมที่นี่ แล้วจงฟังคำของเราคือว่าเราซึ่งมีนามว่ามหาปชาบดีพร้อมกับสพรหมจารี เพื่อนพระภิกษุณีทั้งปวงนี้ จำจะขออำลาท่านทั้งหลายไปก่อน โทษานุโทษอันใด หากจะพึงบังเกิดมีด้วยความไม่ตั้งใจของเราทั้งหลาย ขอท่านจงอดเสียซึ่งโทษานุโทษนั้นเสียเถิด ด้วยว่าเราทั้งปวงจะขอลาท่านเข้าสู่พระนิพพาน การเห็นแลการอยู่ร่วมกันกับท่านทั้งหลายก็ดี การเห็นและได้อยู่ในภิกขุณูปัสสยารามของเราทั้งหลายก็ดี ครั้งนี้ก็นับว่าเป็นปัจฉิมครั้งสุดท้ายแล้ว ไมตรีจิตของพวกท่านที่มีต่อเราทั้งหลายด้วยประการใดๆ พวกเราที่ได้อยู่อาศัยในที่นี้ไม่เคยลืมเลือนเลย ขอบรรดาท่านผู้เป็นเทพเจ้าทั้งหลายจงค่อยอยู่สบายเป็นสุขเถิด พวกเราเหล่าพระภิกษุณีทั้งหลายขอลาไปแล้ว"

กล่าวคำอำลาเทวดาทั้งปวงด้วยคำฉะนี้แล้ว สมเด็จพระมหาปชาบดีเถรีเจ้าที่จะเข้าสู่พระนิพพาน ก็พาพระภิกษุณีบริวารค่อยบทจรไปตามมรรคา เพื่อจะไปทูลลาสมเด็จพระบรมครูเจ้าซึ่งประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวันใกล้กันกับพระนครไพศาลี เทพบุตรเทพนารี บรรดาที่สิงสถิตอยู่บริเวณภิกขุณูปัสสยาราม ได้สดับวาจาอำลาของพระมหาเถรีเจ้าดังนั้น ก็พลันบังเกิดมหันตทุกข์เข้าครอบงำกมลสันดาน มิอาจกลั้นความโศกาลัยไว้ได้ พากันพิลาปร่ำไห้ออกวาจาว่า "ดูราชาวเราทั้งหลาย ดังเราควรสงสารสังเวชใจ บัดนี้สมเด็จพระแม่เจ้ามหาปชาบดีมีคุณใหญ่พร้อมกับพระภิกษุณีเป็นเจ้า จะพากันหนีพวกเราไปเข้าสู่พระนิพพานเสียแล้ว ต่อแต่นี้ไป เราทั้งหลายจะได้ใครเล่าเป็นที่กราบไหว้บูชา จะได้เห็นได้ยินใครเล่าในโรงธรรมสภาศาลา เราทั้งหลายนี้เป็นผู้มีวาสนาน้อยได้สมัครสโมสรกับพระผู้เป็นเจ้าไม่ทันนาน ก็ให้มี
อันเป็นต้องพลัดพรากกันไม่มีวันจะได้เห็นกันอีก โอ้ ต่อแต่นี้ไป ภิกขุณูปัสสยารามก็จะเริดร้างสูญสิ้นซึ่งยินดี จะว่างจากนางภิกษุณีที่มีคุณใหญ่เสียเป็นแน่แท้แล้ว"

ข่าวการจะเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานของสมเด็จพระพุทธมาตุจฉาและพระภิกษุณีอรหันต์ทั้งหลาย ระบือแพร่หลายไปทั่วเมืองไพศาลีอย่างรวดเร็ว ขณะที่หมู่ภิกษุณีและพระนางเจ้ากำลังเดินทางไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่ นั้น บรรดาอุบาสิกาทั้งหลายที่มีใจมากไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เมื่อได้ทัศนาการเห็นแลได้ทราบข่าว ต่างก็พากันทิ้งเหย้าเรือน รีบออกมาเฝ้าพระนางเจ้าที่ระหว่างทางกลางมรรคานปัชนาด้วยถ้อยคำอันควรจะกรุณา "ข้าแต่พระแม่เจ้าของลูกเอ๋ย แต่ก่อนข้าพเจ้าทั้งหลายได้เคยเห็นพระแม่เจ้าเป็นที่รื่นรมย์ใจ ได้เคยถวายอาหารบิณฑบาตภัตตาหารสร้างทางกุศล ได้เคยรับโอวาทคำสอนแต่ที่ดีๆ บัดนี้ พระแม่เจ้าจะหนีปวงข้าพระเจ้าเข้าสู่พระนิพพาน พระแม่เจ้าควรจะสงสารข้าพเจ้าเหล่าอุบาสิกาจะปล่อยให้เป็นคนอนาถาหาที่พึ่งพำนักมิได้หรืออย่างไร พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระปชาบดีมหาเถรีเห็นบรรดาอุบาสิกาทั้งหลาย มาชวนกันปริเทวนาการร่ำไห้ด้วยความรักใคร่เช่นนั้น ก็ทรงมีพระกรุณากล่าวปลอบโยนด้วยวาจาอ่อนหวาน เพื่อประหารเสียซึ่งความโศกาลัยแห่งอุบาสิกาทั้งหลาย เป็นใจความว่า "ดูก่อนอุบาสิกาทั้งหลายเอ๋ย ขอท่านทั้งหลายจงหักห้ามใจในกาลนี้เสียบ้างเถิด การที่เราซึ่งมีนามว่ามหาบชาบดีพร้อมทั้งพระภิกษุทั้งปวงจะล่วงเลยเข้าสู่นิพพานนี้ ชื่อว่าเป็นการไปดี ด้วยว่าเราหมดหน้าที่หมดกิจที่จะต้องขวนขวายในวัฏภูมิแล้ว ไม่มีกิจอะไรที่จะต้องทำต่อไปอีก

"ดูก่อนอุบาสิกาทั้งหลายเอ๋ย ขอท่านทั้งหลายจงอย่าโศก อย่าเศร้าร้องไห้อาลัยถึงเราไปนักเลย ถึงแม้เราและพระภิกษุณีอรหันต์จะดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานไปแล้ว แต่ว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระบรมโลกุตมาจารย์ก็ดี พระอัครสาวกซ้ายขวาทั้งคู่ผู้มีคุณใหญ่ก็ดีพระมหาเถระอรหันต์ทั้งปวง มีพระอัญญาโกณฑัญญะ พระอานนท์ และพระราหุลพุทธชิโนรสเป็นอาทิก็ดี และพระอริยสงฆ์สาวกที่ทรงคุณวิเศษทั้งหลายก็ดี ล้วนแต่ยังทรงชีพอยู่เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ประชานิกร ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจรับเอาโอวาทคำสอนของท่านด้วยดีเถิด

"ดูก่อนอุบาสิกาทั้งหลายเอ๋ย เรามหาปชาบดีนี้เฒ่าแล้ว สังขารของเราย่อมควรหยุดนิ่งเพื่อล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้วมิใช่หรือไร ความปรารถนาอันใดที่เราตั้งใจไว้ว่าประสงค์จะได้นิพพานมาช้านาน


 


หัวข้อ: Re: พระสูตร เรื่อง พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 11 มกราคม 2558 09:53:12
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcR2Z57E6xXfVPH_wCWbfseznP7wgx0Yw4iO4VJo4AHlfQ_VOHea4Q)
พระสูตร
เรื่อง พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
นิพพานตอนที่ ๒

ความปรารถนาอันนั้นสำเร็จสมปณิธานของเราแล้วในวันนี้ กลองนันทเถรี คือความยินดีได้บันลือขึ้นแล้วในความปรารถนาของเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ประโยชน์อะไรที่ท่านทั้งหลายจะมาฟูมฟายไปด้วยอัสสุชลธารา ดั่งนี้เล่า ผิว์ว่าท่านทั้งหลายจะมีความกรุณาเอ็นดูและมีความกตัญญูในตัวเราอยู่บ้าง ก็จงตั้งหน้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอุตสาหะกระทำความเพียรให้มั่น และจงพยายามบำรุงรักษาพระพุทธศาสนาให้ยิ่งยืนจิรัฐติดำรงอยู่สิ้นกาลนานเถิด

" อนึ่ง การบรรพชาเป็นพระภิกษุณีในพระศาสนานี้ เรามหาปชาบดีก็ได้อ้อนวอนทูลขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทรงพระกรุณาประทานอนุญาต เพื่อเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่สตรีเพศทั้งหลาย และสมเด็จพระจอมไตรโลกนาถก็ทรงมีพระมหากรุณาอนุญาตไว้แล้ว เมื่อท่านทั้งหลายมีใจผ่องแผ้วใคร่จะบรรพชาตามอัธยาศัยเถิด"  สมเด็จพระนางเจ้าทรงกล่าวเล้าโลมปลอบใจอุบาสิกาทั้งหลายไปฉะนี้จนถึงป่ามหา วันอันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเข้าไปยังกูฏาคารพร้อมพระภิกษุณีที่เป็นบริวาร ถวายนมัสการแทบเบื้องพระบาทมูลแล้ว กราบทูลสมเด็จพระมหากรุณาเจ้าว่า

" ข้าแต่สมเด็จพระบรมศรีสุคตเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ข้าพระบาทนามว่ามหาปชาบดีนี้ ได้เคยเป็นที่พระมาตุจฉาและพระมารดาเลี้ยงของพระพุทธองค์เจ้ามาแต่ดรุณวัย ในกาลบัดนี้ พระองค์สมควรจะทรงเป็นพระบิดาของข้าพระบาท เหตุว่าสมเด็จพระบรมโลกนาถทรงพระกรุณาประทานอมตธรรมทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งมวล "ข้าแต่พระบรมโลกสุคตเจ้า เมื่อจะกล่าวในส่วนรูปกาย ข้าพระบาทได้อภิบาลรักษาเอาใจใส่ให้ความเจริญแก่พระองค์ แต่ส่วนธรรมกายอันประเสริฐยิ่งใหญ่นั้น พระองค์ทรงพระมหากรุณาประทานให้เจริญแก่ข้าพระบาท จริงอยู่ เมื่อดรุณวัย ข้าพระบาทได้เคยให้พระองค์ทรงดูดดื่มซึ่งขีรวารีรสน้ำนม ซึ่งสามารถระงับความอยากความกระวนกระวายได้มาตรว่าครู่หนึ่งเท่านั้น แต่บัดนี้พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาประทานขีรวารีน้ำนมกล่าวคือพระอมตธรรม ซึ่งสามารถระงับกองทุกข์ได้ตลอดไปเป็นเที่ยงแท้จิรัง ดังนั้น สมเด็จพระพุทธองค์จึงทรงสมควรที่จะเป็นพระบิดาของข้าพระบาทโดยมิพักต้องสงสัย

" อนึ่ง นามกรที่ว่าพระอัครมเหสี ซึ่งจะเป็นพระชนนีของสมเด็จพระมหากษัตริย์ผู้มีอำนาจใหญ่นั้น เป็นนามกรอันสตรีทั้งหลายในโลกจะพึงได้โดยง่าย แต่นามกรที่ว่า " พระพุทธมารดา" เป็นนามกรอันสตรีภาพทั้งหลายจะพึงได้โดยยาก และในชาตินี้ข้าพระบาทก็ได้แล้วซึ่งนามกรว่า " พุทธมารดา" นั้น อันที่จริง แม้ข้าพระบาทจะไม่ได้ประสูติสมเด็จพระพุทธองค์เจ้ามา แต่ชาวประชาก็เรียกว่าพระพุทธมารดา ด้วยเห็นว่าได้เคยอภิบาลเลี้ยงรักษาพระองค์มา จึงเป็นอันว่าบัดนี้นามกรว่าพระพุทธมารดาที่สตรีทั้งหลายจะพึงได้โดยยากก็ดี ความปรารถนาใหญ่น้อยที่เคยตั้งไว้แต่บุรพกาลมาก็ดี ได้สำเร็จแก่ข้าพระบาทนามว่ามหาปชาบดีนี้สิ้นทั้งปวงแล้ว จึงเป็นการสมควรที่ข้าพระบาทจะละซึ่งกเฬวรร่างกายนี้ ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานไปเสีย ขอพระองค์สมเด็จพระชินสีห์พุทธโมลีเฉลิมโลก จงทรงพระมหากรุณาประทานอนุญาต ซึ่งการปรินิพพานอันประเสริฐ แก่ข้าพระบาทมหาปชาบดีนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า" ทรงกราบทูลลาเพื่อเข้าสู่พระนิพพานด้วยถ้อยคำฉะนี้

ครั้นทรงเห็นองค์สมเด็จพระชินสีห์เจ้าทรงรับการทูลลาโดยพระอาการดุษฏีแล้ว สมเด็จพระนางแก้วมหาปชาบดีจึงกราบบังคมทูลพระกรุณาต่อไปว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดา ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาแสดงพระสรีราพยพน้อยใหญ่ อันประกอบไปด้วยพระทวัตติงสมหาปุริสลักษณะและพระอสีตยานุพยัญชนะ แวดล้อมไปด้วยประภามณฑลฉัพพิธพรรรังสี ให้ข้าพระบาทมหาปชาบดีได้มีโอกาสทัศนาชื่นชมเป็นครั้งสุดท้าย อนึ่ง ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาเหยียดฝ่าพระยุคลเบื้องบาทอันงามไปด้วยจักรลักษณะมา ให้ข้าพระบาทได้ถวายนมัสการสักหน่อยหนึ่งด้วยเถิด พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระบรมศาสดาได้สดับมธุรกถาแห่งพระพุทธมาตุจฉาดังนี้ ก็ทรงมีพระมหากรุณาแสดงซึ่งพระสรีราพยพอันประกอบด้วยพระทวัตติงสมหาปุริสลักษณะบริบูณ์ด้วยอนุพยัญชนะแวดล้อมด้วยพยามประภา คือ เปล่งออกซึ่งพระรัศมีประมาณข้างละวาระดาดาษไปด้วยแถวแห่งพระรัศมีอันมีสีอ่อนเย็นตาให้ปรากฏแก่นัยนาแห่งสมเด็จ พระพุทธมาตุจฉาและหมู่พุทธบริษัทซึ่งประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้นเป็นอัศจรรย์

ขณะนั้นสมเด็จพระมหาปชาบดีเถรีมีพระทัยเต็มตื้นไปด้วยพระปีติในพระมหากรุณา จึงน้อมพระเศียรเกสา ซบลงเบื้องพระยุคลบาทมูลของสมเด็จพระบรมศาสุคตอันปรากฏด้วยจักรลักษณะงามวิจิตร ดุจพระอาทิตย์ดวงทิพากรแรกอุทัยไขรัศมีอ่อนๆ ฉะนั้น แล้วก็ทรงรำพันขอขมาองค์สมเด็จพระมหากรุณาเจ้าว่า "ข้าแต่สมเด็จพระนราสภสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นจอมเจิมเฉลิมโลก ข้าพระบาทนามว่ามหาปชาบดีนี้ การที่ว่าจะได้ทัศนาการเห็นพระองค์ก็เป็นปัจฉิมที่สุดครั้งนี้แล้ว การที่จะได้เห็น การที่จะได้ชมพระองค์ในโอกาสต่อไปอีกเป็นอันว่าหามิได้  ข้าพระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถเจ้า ขึ้นชื่อว่านารีสตรีภาพในโลกนี้มักมีการกระทำอันโง่เขลา ก่นแต่กระทำสิ่งที่เป็นโทษสิ่งที่เป็นผิดด้วยความเบาปัญญาอยู่เนืองๆ ผิว์ความผิดแลโทษอันใดปรากฏแล้วข้าพระบาทมหาปชาบดี ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์เจ้าจงทรงกรุณาอดโทษนั้นให้แก่ข้าพระบาทจงทุกประการ ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

"อนึ่ง ข้าพระบาทมหาปชาบดีนี้ ได้เคยกระทำอายาจนกรรมการรบเร้าขอให้สมเด็จพระพุทธองค์เจ้า ทรงพระกรุณาอนุญาตการบรรพชานารีเป็นพระภิกษุณีเพื่อประโยชน์แก่สตรีทั้งหลาย ในกิริยาที่ข้าพระบาทขอประทานพระบรมพุทธานุญาตนี้ หากจะมีโทษผิดเป็นประการใด ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถเจ้าจงทรงพระกรุณาอดโทษนั้นให้แก่ข้าพระบาทด้วยเถิด


หัวข้อ: Re: พระสูตร เรื่อง พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 12 มกราคม 2558 17:59:04
.

(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRQkzXVG_KWNu52GSSi849Vmyp-a88fRxBg-FEvq0G51OORdkCp)
พระสูตร
เรื่อง พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
นิพพานตอนที่ ๓

อีกประการหนึ่ง นางภิกษุณีทั้งหลายที่ข้าพระบาทได้ให้โอวาทสั่งสอนโดยพระบรมพุทธานุญาต ตั่งแต่กาลปรากฏมีนางภิกษุณีจนถึงขณะนี้ หากว่าจะมีข้อความในโอวาทผิดพลาดไปไม่ต้องตามกระแสพระพุทธฏีกา เพราะความเป็นผู้มีปัญญาน้อยของข้าพระบาทแล้วไซร้ ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถเจ้า จงทรงพระกรุณาอดโทษนั้นให้แก่ข้าพระบาทด้วยเถิด พระเจ้าข้า "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดา พระองค์ผู้ทรงเคยดื่มขีรธาราพระมหาปชาบดีพุทธมาตุจฉามาแต่กาลดรุณวัย ได้สดับคำขอขมาลาเข้าสู่พระนิพพานของพระมหาเถรีจบลงดังนี้ จึงทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า" ดูกรพระมาตุจฉามหาปชาบดี อันว่าสมเด็จพระมาตุจฉานี้มีคุณแก่ตถาคตเป็นอนันต์ ส่วนโทษผิดนั้นตถาคตอดโทษให้ทั้งสิ้น แม้โทษผิดของตถาคตหากจะพึงมีบ้างแล้วไซร้ ขอสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าจงได้อดโทษให้เช่นกัน อันการที่จะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน หากพิจรณาเห็นสมควรก็จงดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานไปก่อนเถิด แล้วตถาคตจักนิพพานต่อกาลภายหลัง"

ลำดับนั้น พระภิกษุณีอรหันต์ทั้งหลายซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน พร้อมกับสมเด็จพระมหาปชาบดี ต่างองค์ต่างก็ทูลลาองค์สมเด็จพระชินสีห์ด้วยมธุรกถาอันควรจะอาลัย ซึ่งมีนัยวิจิตรพิสดารหนักหนา แล้วก็พากันลุกขึ้นค่อยบทจรเวียนรอบกระทำทักษิณสมเด็จพระบรมครูสิ้นคติยวาร  โดยมีสมเด็จพระพุทธมาตุจฉามหาเถรีเสด็จนำหน้าเป็นประธานแลดูประหนึ่งดวงดารากรทั้งหลายอันเยื้องกรายไปตามปริมณฑลแห่งดวงศศิธร เวียนรอบซึ่งสิเนรุบรรพตก็ปานกัน พอสิ้นตติยวาร ก็พากันหมอบลงแทบพระบาทเบื้องบงกชบทมาลย์แห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ แล้วจึงเงยพักตน์ขึ้นเพ่งพิศดูพระพักตร์มณฑลสมเด็จพระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบทูลพระกรุณาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระมหาวิริยภาพอันยิ่งใหญ่! จักษุแห่งข้าพระบาททั้งหลายนี้มิได้เคยอิ่มเลยด้วยกิริยาที่แลดูสมเด็จพระบรมครูเจ้าแม้โสตทั้งสองข้าพระบาททั้งหลายเล่า ก็มิได้เคยอิ่มเลยด้วยรสพระสัทธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นอันดี บัดนี้ ปวงข้าพระบาทวาสนาน้อยขอกราบทูลลาล่วงลับดับขันธ์ไปก่อน ขอสมเด็จพระชินสีห์วรเจ้าจงค่อยทรงพระเกษมสำราญเพื่อประโยชน์สุขมหาศาลแก่ชาวโลกทั้งผองเถิด พระเจ้าข้า"

ครั้นกราบทูลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระนางแก้วมหาปชาบดีเถรีซึ่งมีวัตรจริยาอันดีงามอยู่โดยธรรมดา จึงหันพักตร์มาถวายอภิวันท์ กล่าวคำอำลาพระมหาสาวกอรหันต์ทั้งปวงมีพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลาน์เป็นอาทิด้วยคาระวะเป็นอย่างยิ่งแล้ว จึงน้อมนมัสการพระอรหันต์ราหุลแลพระอานนท์ผู้นัดดากล่าวคำอำลาว่า "ข้าแต่องค์พระราหุลแลอานนท์ผู้นัดดาเอ๋ย ขอพ่อทั้งสองจงค่อยอยู่ค่อยจำเริญเถิด มหาปชาบดีนี้มีความเหนื่อยหน่ายในกเฬวรร่างกายอันหาแก่นสารมิได้ จึงจักขออำลาพ่อทั้งคู่ผู้เป็นนัดดาดับขันธ์เข้าสู่นิพพานไปก่อน พ่อทั้งสองอยู่หลังจงตั้งใจอภิบาลบำรุงรักษาสมเด็จพระบรมศาสดาของเราให้จงดีเถิด"

พระราหุลพุทธชิโนรสพระราชนัดดาผู้น้อยด้วยอายุ แต่ว่ายิ่งใหญ่ด้วยคุณวิเศษสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ปราศจากสรรพกิเลสโศกาลัย ประกอบไปด้วยธีรชาติปรีชาญาณ เมื่อได้สดับคำอำลาพระมหาเถรีดั่งนั้น ท่านก็ตั้งอยู่ในอุเบกขาญาณจินตนาการไปตามธรรมดาของพระขีณาสวเจ้าทั้งหลาย ว่า สิ่งที่ประชุมปรุงแต่งขึ้นเป็นสังขารนี้มีสภาพหาแก่นสารมิได้อุปมาดุจกัทลี ชาติอันปราศจากแก่น หรือมิฉะนั้น อุปมาดุจพยับแดดอันมีสภาพมิได้ดำรงคงอยู่นานตั้งอยู่ชั่วกาลแล้วแปรปรวนไป แม่สมเด็จพระมหาปชาบดีซึ่งมีคุณใหญ่เป็นพระมาตุจฉาเจ้ายังต้องเข้าสู่นิพพาน แตกดับสังขาร จะป่วยกล่าวไปไย ถึงสัตว์ทั้งหลายที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารเล่า การที่ว่าจะไม่เข้าถึงความแตกดับสังขารนั้นเป็นอันไม่มี พระผู้เป็นเจ้าพิจรณาเห็นดั่งนี้ จึงดุษณีภาพนิ่งอยู่มิได้แสดงอาการเศร้าโศกแต่อย่างใด

ฝ่ายพระอานนท์พุทธอนุชา ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับองค์สมเด็จพระบรมศาสดานั้น ท่านเป็นแต่เพียงพระอริยบุคคลโสดาบัน ยังมีอาสวะมิได้ไปปราศจากขันธสันดาร เมื่อได้สดับคำอำลาของพระมหาเถรีเจ้า ก็ถูกโศกาดูรภาพเข้าครอบงำจิตสันดาน พระผู้เป็นเจ้ามิอาจจะกลั้นความสงสารโศกาลัยอยู่ได้ ก็เฝ้าแต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่หนักหนา ดวงนัยนานองไปด้วยด้วยน้ำอัสสุชล ก่นแต่รำพันอยู่ไปมาว่า "สมเด็จพระมาตุจฉาเจ้า จะเสด็จอยู่ไปก่อนไม่ได้หรือไร เหตุไฉนจึงด่วนนิพพานเสียแต่กาลนี้เล่า ได้ยินสำเนียงเสียงเจรจาอยู่ ควรหรือบัดนี้จะมาหนีดับขันธ์ไปไม่เห็นพักตร์"

ครั้นเห็นพระพุทธอนุชามาเฝ้ารำพัน ด้วยความอาลัยรักเป็นหนักหนาฉะนี้ สมเด็จพระมหาปชาบดีที่จะเข้าสู่นิพพาน จึงทรงกราบกรานแล้วปลอบโยนด้วยมธุรวาจาว่า "ข้าแต่พระอานนท์ผู้เป็นนัดดาเอ๋ย อย่าเลย ...พ่ออย่าได้คร่ำครวญอยู่นักเลย พ่อนี้ก็เป็นผู้ทรงทางปิริยัติปรีชา เปรียบปานดุจมหาสาครคงคาคัมภีรภาพ ตั่งอยู่ในภูมิพุทธอุปัฏฐากผู้ใกล้ชิดสนิทสนมองค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเจ้ายิ่งกว่าใคร ขอพ่อจงตั้งสติแล้วพิจารณาดูให้ดีว่า กาลนี้ใช่กาลที่จะมาโศกาลัยพิลาปรำพัน โดยที่แม้เป็นกาลอันควรจะรื่นเริงสำราญปรากฏขึ้นแล้ว ด้วยว่ากาลที่มหาปชาบดีนี้จะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานซึ่งเป็นสิ่งที่สิ่นทุกข์สิ้นภัย ขอพ่อจงอย่าได้เศร้าเสียใจไปเลย แต่พ่อควรจะดีใจด้วยได้เคยทำคุณแก่มหาปชาบดีนี้มากมาย ในกาลที่จะได้บรรพชาเป็นภิกษุณี ก็ได้พ่อนี้ช่วยอนุเคราะห์ขวนขวายให้มหาปชาบดีได้สำเร็จสมมโนรถปรารถนา

ดูก่อนพ่ออานนท์นัดดา กิริยาที่มหาปชาบดีจะได้เห็นพ่อก็เป็นปัจฉิมที่สุดแต่ครั้งนี้ พ่ออยู่ข้างหลังจงพยายามระวังรักษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราให้ดี หฤทัยของมหาปชาบดีนี้เคยปรากฏมีอยู่ว่า ในกาลบางคาบบางสมัย เมื่อได้ยินสมเด็จพระจอมไตรโลกนาถทรงจามหรือไอ ก็ให้หวาดหวั่นไปด้วยความกรุณาในพระองค์ จิรํ ชีวตุ ย่อมจะอวยพรชัยให้ทรงพระชนมายุยืนนาน ขอฝากพ่อให้อภิบาลรักษาสมเด็จพระบรมศาสดาแทนมหาปชาบดีนี้ด้วยเถิด "อนึ่ง พระนิพพานนับว่าเป็นสิ่งประเสริฐสุดในพระพุทธศาสนา ก็อันว่าพระนิพพานนั้น อันดิตถิยาจารย์แต่ปางก่อนไม่มีปัญญาจะได้เห็น แต่สาวกของสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าทั้งหลายย่อมสามารถที่จะรู้เห็นได้ ดูแต่มหาปชาบดีและเหล่าภิกษุณีนี่สิ เป็นแต่เพียงสตรีมีวาสนาน้อย แต่ก็อาจที่จะรู้แจ้งแทงซึ่งพระนิพพานนั้นได้ จะป่วยกล่าวไปใยถึงบรรดาบุรุษเพศทั้งหลาย ดูกรพ่ออานนท์นัดดา ตัวพ่อนี้ก็เป็นบุรุษซ่ำใกล้ชิดกับองค์สมเด็จพระผู้ทรงแสดงพระนิพพาน


หัวข้อ: Re: พระสูตร เรื่อง พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 11 มิถุนายน 2558 19:21:35
.

(https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSvkFnBoifoaLJl19L61p2JtiNzd7-l5TcxLj8rlzCcvkQS3426)
พระสูตร
เรื่อง พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
นิพพานตอนที่ ๔ (จบ)

แม้ในขณะนี้จะเป็นเพียงพระโสดาบัน หากว่ามีความหมั่นขยันเพียรโดยไม่ประมาทแล้วไซร้ คงจักได้สัมเร็จเป็นพระอรหันต์สักวันหนึ่งข้างหน้า"

ครั้นสมเด็จพระมหาเถรีกล่าวถึงเรื่องสตรี สามารถเห็นพระนิพพานกับพระอานนท์เช่นนี้ เพื่อที่จะให้เป็นประจักษ์พยาน สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์จึงทรงมีพระพุทธบัญชาว่า "ดูก่อนมาตุจฉามหาปชาบดี ชนทั้งปวงในโลกนี้ บรรดาที่เป็นคนพาลหาปัญญามิได้ ย่อมมีความเคลื่อบแคลงสงสัยในการบรรลุธรรมวิเศษของสตรีภาพอยู่เนืองๆ ว่านารีทั้งหลายสามารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้หรือไม่เป็นประการใด อันตัวพระมาตุจฉานี้ไซร้ กับพระภิกษุณีทั้งหลายที่จะเข้าสู่พระนิพพานในวันนี้ ก็เป็นพระอรหันต์ทรงไว้ซึ่งอภิญญาปฏิสัมภิทาญาณ จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงแสดงอิทธปาฏิการิย์ให้เป็นที่แจ้งประจักษ์ เพื่อจะประหารหักเสียซึ่งทิฐิของพาลชนทั้งหลายเหล่านั้น ในกาลบัดนี้"

สมเด็จพระพุทธมาตุจฉามหาปชาบดีก็ทรงปีติยินดีรับพระพุทธบัญชาด้วยเศียรเกล้า แล้วทรงเข้าฌานอธิษฐานอภิญญา เหาะขึ้นไปบนนภากาศแสดงฤทธิ์ตามอริยวิสัย ให้ชนทั้งหลายได้เห็นเป็นอัศจรรย์มีประการต่างๆ เช่น เนรมิตพระนางเจ้าเองให้ปรากฏมากมายเป็นร้อยเป็นพันพระภิกษุณีแล้วเนรมิตให้หายไปหมดเหลือแต่พระนางเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวตามเดิม

เนรมิตให้ปรากฏเป็นแสงสว่างรุ่งเรืองไพโรจน์โชติช่วงงามวิจิตรแลดูประหนึ่งแสงพระอาทิตย์สุรียรังสีเมื่อแรกอุทัยไขรัศมีขึ้นมาเหนือยอดยุคนธรบรรพต ฉะนั้นแล แสดงปาฏิหาริย์เนรมิตพระองค์เป็นสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราช เป็นพญาครุฑราชปักษี เป็นพญานาคีผู้มีฤทธานุภาพเป็นพญาไกรสรราชสีหบันลือ ซึ่งมีสีหนาทนฤโฆษกึกก้องอยู่เบื้องนภากาศเป็นอาทิ แล้วก็เหาะลงมาจากห้องนภาดลประเทศเวหา ถวายอภิวาทสมเด็จพระบรมศาสดากราบบังคมทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมหาวิริยภาพ! ข้าพระบาทนามว่ามหาปชาบดีนี้ เป็นมาตุจฉาเคยเลี้ยงดูพระองค์มา ภายหลังได้ปฏิบัติตามศาสนาธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เจ้า จนได้บรรลุถึงอัครฐานอันประเสริฐแล้วจะกราบบังคมลาเข้าสู่พระนิพพาน ข้าพระบาทจึงขอถวายนมัสการเบื้องบาทบงกชมาลย์ของพระองค์เจ้า ในกาลบัดนี้"

ครั้นสมเด็จพระพุทธมาตุจฉามหาปชาบดีกราบบังคมทูลฉนี้ พระภิกษุณีอรหันต์บริวารทั้งหลายซึ่งได้รับพระบรมพุทธานุญาตให้เเสดงปาฏิหาริย์ก่อนเข้าสู่นิพพาน ก็พากันเข้าฌานอธิษฐานอภิญญา เหาะระเห็จทะยานขึ้นไปยังพื้นนภากาศเวหา มีครุวนาดุจดวงดารากรอันงามไพโรจน์รุ่งเรืองหลายหลาก ต่ององค์ต่างก็สำแดงอิทธิปาฏิหาริย์มหัศจรรย์มีประการเป็นอันมาก พอสมควรแก่กาลแล้วก็ลงจากเวหาสประเทศเข้าไปถวายนมัสการองค์สมเด็จพระโลกเชษฐ์ กราบบังคมทูลลาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ! ข้าพระบาททั้งหลายถึงความสิ้นไปแห่งอสวกิเลส ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์มีอิธิปาฏิหาริย์เห็นปานนี้ ก็เพราะอาศัยบุญญาบารมีของสมเด็จพระพุทธมาตุจฉามหาปชาบดีเจ้า บัดนี้เหล่าข้าพระบาทถอนออกเสียได้ซึ่งภพทั้งหลายจะไปสู่พระนิพพานโดยอิสระ ประหนึ่งนางพังหัตถีที่ตัดเสียซึ่งปลอกแล้วเที่ยวไปโดยอิสระ  ฉะนั้น ขอพระองค์ทรงพระกรุณาอนุญาตกาลเป็นที่ปรินิพพานแก่ข้าพระบาททั้งหลายในกาลบัดนี้เถิด พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สดับคำกราบบังคมลาเข้าสู่พระนิพพานแห่งพระภิกษุณีเหล่านั้น ทรงพิจารณาเห็นเหมาะแก่กาลที่จะทรงพระอนุญาตแน่แล้ว จึงทรงมีพระพุทธฏีกาว่า" ดูกรภิกษุณีทั้งหลาย! อันกาลที่เธอทั้งปวงจะล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่นิพพานไปนั้น เราตถาคตจะได้กล่าวสิ่งไรก็หาไม่ ขอเธอทั้งหลายจงพิจารณากาลอันควรเถิด"

กาลเมื่อสมเด็จพระชินสีห์ทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสฉะนี้ บรรดาพระมหาเถรีภิกษุณีทั้งหลายทั้งปวงซึ่งมีสมเด็จพระมหาปชาบดีเป็นประธาน จึงชวนกันถวายนมัสการทูลลาออกจากที่เฝ้าค่อยเยื้องย่างบทจรไป สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นอันมาก ทรงมีพระมหากรุณาเสด็จออกมาส่งสมเด็จพระพุทธมาตุจฉาจนถึงพระทวาร

พระมหาปชาบดีเถรีเห็นพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาดั่งนั้น จึงบอกพระภิกษุณีที่เป็นบริวารให้หันกลับมาหมอบถวายนมัสการด้วยเศียรเกล้า พระนางเจ้าเองซบพระเศียรลงแทบบาทมูลแล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมโลกนาถเจ้า! กิริยาที่เหล่าข้าพระบาททั้งหลายจะได้ถวายนมัสการฝ่าพระบาทของพระองค์ ก็คงเป็นปัจฉิมที่สุดครั้งนี้แล้ว และกิริยาที่ข้าพระบาททั้งหลายจะได้เห็นดวงพระพักตร์มณฑลของพระองค์ผู้ทรงสวัสดิ์ในอนาคตกาลต่อไปภายหน้าอีกนั้นเป็นอันว่าหามิได้อีกแล้ว ขอองค์ประทีปแก้วจงค่อยเสด็จอยู่โดยผาสุกเถิด เหล่าข้าพระบาทขอถวายนมัสการลา เข้าสู่พระนิพพานในกาลบัดนี้"

กราบบังคมทูลลาเป็นวาระสุดท้ายฉะนี้ สมเด็จพระมหาปชาบดีเถรีก็พาพระภิกษุณีอรหันต์ทั้งหลายเดินทางไปยังภิกขุณู ปัสสยาราม ครั้นถึงแล้วต่างองค์ก็แยกย้ายกันเข้าไปยังห้องอันเป็นที่อยู่แห่งตน กระทำกิจทั้งปวงเช่นจัดเจงที่อยู่ให้ดูเรียบร้อยซึ่งเป็นวิสัยของพระอรหันต์ ก่อนที่จะเข้าสู่พระนิพพาน พอได้กาลที่กำหนดไว้ สมเด็จพระมหาปชาบดีซึ่งมีคุณใหญ่ พร้อมกับภิกษุณีอรหันต์เหล่านั้นก็เริ่มทำปรินิพพานบริกรรมโดยอธิษฐานเข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเป็นลำดับ แล้วถอยกลับไปมาโดยอนุโลมปฏิโลมเป็นฌานกีฬา วาระสุดท้ายอธิษฐานเข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ครั้นออกจากจตุตถฌานแล้ว สมเด็จพระนางแก้วมหาปชาบดีพร้อมกับบรรดาพระภิกษุณีมหาเถรีเจ้าเหล่านั้นก็ดับขันธ์หันพระพักตร์เข้าสู่พระปรินิพพานทันที

สมเด็จพระชินสีห์เจ้า บรมโลกุตมาจารย์ ทรงทราบเหตุการณ์ด้วยพระญานวิเศษโดยตลอดแล้ว จึงทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสกับพระอานนท์ว่า "ดูก่อนอานนท์! เธอจงไปบอกพระสงฆ์ทั้งปวงให้ทราบจงทั่วกันว่ามารดาของเราตถาคตปรินิพพานใน กาลบัดนี้แล้ว"

ได้สดับพระดำรัสองค์สมเด็จพระประทีปแก้วดั่งนี้ ท่านพระอานนท์ซึ่งยังเป็นเสขบุคคล มีกิเลสยังไม่ปราศจากขันธสันดาน ก็มิอาจจะกลั้นความโศกาลัยไว้ได้ อัสสุชลไหลโซมพักตร์อยู่พรากๆ เที่ยวอุโฆษณาการแก่พระสงฆ์ทั้งปวงด้วยสรุเสียงอันน่าสงสารว่า "ข้าแต่พระสงฆ์ทั้งปวง เจ้าข้า! ขอพระสงฆ์ทั้งหลายบรรดาที่อยู่ในทิศทั้งสี่ จงฟังคำของข้าพเจ้าผู้ชื่อว่าอานนท์ คือว่ากาลนี้เป็นกาลอันไม่ควรจะพึงมี แต่ก็ได้ปรากฏมีขึ้นแล้ว ด้วยว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงมีพระพุทธบัญชาให้ข้าพระเจ้าอานนท์ประกาศว่า สมเด็จพระมหาปชาบดีเถรีซึ่งมีนามบัญญัติว่าเป็นพระพุทธมาตุจฉา แต่ทรงตั้งอยู่ในฐานะเป็น "พระพุทธมารดา" นั้น บัดนี้ท่านดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานเสียแล้ว ขอพระสงฆ์ทั้งปวงจงพากันไปยังภิกขุณูปัสสยารามอันเป็นที่ที่ท่านนิพพานนั้น โดยเร็วเถิด เจ้าข้า"

บรรดาสงฆ์ทั้งหลายที่ได้ฟังคำประกาศอันน่าสงสารนั้น บางท่านที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็พากันรีบเดินทางไปสู่ภิกขุณูปัสสยารามเป็นทิวแถวมากมายสำหรับท่านที่อยู่ไกลในถิ่นประเทศอื่น ซึ่งได้สดับคำประกาศนั้นด้วยพิพย์โสตญาณก็พลันมาโดยอริยฤทธิ์   ในขณะนี้ปรากฏว่า แม้เทวดาชาวฟ้าซึ่งมีสมเด็จพระอมรินทราธิราชเป็นประธาน ต่างก็พากันมาประชุมกัน ณ ภิกขุณูปัสสยารามนั้น ช่วยกันจัดการพระศพสมเด็จพระมหาปชาบดีและพระภิกษุณีอรหันต์บริวารอย่างมโหฬาร พอควรแก่กาลที่จะถวายพระเพลิงแล้ว เทพยดาแลมนุษย์ทั้งปวงก็จัดเป็นขบวนนำศพพระภิกษุณีอรหันต์เหล่าบริวารออกไป ก่อนเป็นเบื้องหน้า อัญเชิญพระศพสมเด็จพระพุทธมาตุจฉามหาปชาบดีไปในเบื้องหลัง ต่อจากนั้น ก็เป็นขบวนเสด็จแห่งองค์เด็จพระโลกเชษฐ์พร้อมทั้งพระสงฆ์สาวกบริวาร ครั้นถึงฌาปนาสถานก็จัดการถวายพระเพลิงให้เป็นที่เรียบร้อยท่ามกลางความ เศร้าโศกของมนุษย์แลเทวดาที่ยังอาสวกิเลสไม่ขาด เมื่อเสร็จกิจการฌาปรกิจเหลือแต่พระอัฐิธาตุ สมเด็จพระบรมศาดาก็ทรงมีพระพุทธบัญชาให้ทำการบรรจุไว้ ณ บริเวณฌาปนสถานนั้นด้วยประการฉะนี้

ประวัติของสมเด็จพระพุทธมาตุจฉา มหาปชาบดีเถรีตามที่พรรณนามานี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นความเป็นไปของพระนาง ตั้งแต่เริ่มสร้างบารมีจนถึงกาลเข้าสู่พระนิพพานแล้ว ยังเป็นเครื่องชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า ท่านผู้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน สำเร็จเป็นพระโสดาบันอริยบุคคลในวันนี้แล้วในวันหน้า หากว่ามีการเจริญกรรมฐานต่อไป ก็อาจที่จะได้บรรลุพระกสิทาคามิมรรคญาณสำเร็จเป็นพระสกิทาคามีอริยบุคคล ระดับสูงขึ้นไปภายในชาตินี้นั้นเอง ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าเช่นสมเด็จ พระพุทธมาตุจฉานี้ พระนางได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันอริยบุคคลขณะที่ยังอยู่ในฆราวาสวิสัยพอได้บวช เป็นพระภิกษุณีโดยพระบรมพุทธานุญาตมีโอกาสบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ก็ยังสามารถยังพระอริยมรรคญาณให้บังเกิดขึ้นตั้งแต่พระสกิทาคามีมรรคญาณถึง พระอรหัตมรรคญาณ จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันตอริยบุคคลในที่สุด สมตามนัยที่กล่าวไว้ว่า "บางทีได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันดาบันอริยบุคคลในวันนี้ แล้วได้สำเร็จเป็นพระสกิทาคามี อริยบุคลลในวันหน้าต่อไปก็มี" ดังนี้.



หัวข้อ: Re: พระสูตร เรื่อง พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
เริ่มหัวข้อโดย: เรือใบ ที่ 11 มิถุนายน 2558 19:51:18
สาธุ สาธุ สาธุครับ (:5:)