[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ใต้เงาไม้ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 26 มกราคม 2558 12:41:26



หัวข้อ: มีดไม่ลับก็ไร้คม สมองไม่อบรมก็ไร้ปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 26 มกราคม 2558 12:41:26
.


(http://1.bp.blogspot.com/-MnFLOfa_MzQ/Tc_Nj_14vTI/AAAAAAAAAPY/ZLgwicEDHNY/s320/222248_199155970127044_100000979277924_522678_3939477_n.jpg)

มีดไม่ลับก็ไร้คม สมองไม่อบรมก็ไร้ปัญญา
ตอน นักโทษประหาร
ผลงานประพันธ์ของ แสง  จันทร์งาม

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เรา ๓ คน คือ อาจารย์บุพพัณห์ นิมมานเหมินท์ นายกยุวพุทธิกสมาคมเชียงใหม่ ร.อ.เสาร์ สุวิทยาลังการ อนุศาสนาจารย์ประจำค่ายกาวิละและกรรมการยุวพุทธิกสมาคม และข้าพเจ้าได้รับเชิญจากคุณเชาวน์ เจริญพงษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ ให้ไปทำการอภิปรายปัญหาข้อข้องใจต่างๆ แก่นักโทษซึ่งมีจำนวน ๙๐๐ คนเศษในเรือนจำนั้น วิธีการอภิปรายของเราเป็นแบบให้นักโทษถามปัญหาแล้วเราช่วยกันตอบ ปรากฏว่านักโทษสนใจถามปัญหากันมาก ปัญหาที่ถามก็มีทุกชนิดแต่เมื่อประมวลดูแล้ว มีเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องผี เรื่องกรรม และเรื่องวิปัสสนาเป็นส่วนมาก เราอภิปรายได้เพียง ๔-๕ ปัญหาก็ต้องยุติด้วยเวลา ท่ามกลางความเสียดายของบรรดาผู้ต้องขังทั้งหลาย

ท่านผู้บัญชาการเรือนจำได้เล่าให้เราฟังว่า นักโทษที่อยู่ในเรือนจำนั้น ต้องโทษตั้งแต่ ๑๐ ปีลงมา ถ้ามีนักโทษเกิน ๑๐ ปี ก็ส่งไปกรุงเทพ ฯ ความผิดส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์ ทางการเรือนจำให้อาหารและเสื้อผ้าแก่นักโทษ และมีระเบียบบังคับให้กิน นอน ทำงาน เล่นตามเวลา ภายในเรือนจำมีห้องสมุด มีการเปิดสอนวิชาชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษาและธรรมศึกษาให้แก่นักโทษที่สนใจสมัครเรียน นับว่าทางเรือนจำได้เอาใจใส่ต่อสวัสดิการและการบริการแก่ผู้ต้องขังเป็นอย่างดี ทำให้ผู้ต้องขังมีความสะดวกสบายตามสมควรแก่อัตภาพ

แต่แม้จะมีความสบายกาย นักโทษทุกคนก็หาได้ลืมไม่ว่าตนเป็นผู้ต้องขัง ไร้อิสรภาพซึ่งเป็นยอดปรารถนาของทุกคน ข้าพเจ้าสังเกตเห็นผู้ต้องขังทั้งนั้นมีหน้าตาหม่นหมอง ไร้ราศีขาดแววแห่งความสุขสดชื่น แม้จะยิ้มด้วยความพอใจต่อวาทะของผู้อภิปรายบางท่าน ก็เป็นการยิ้มแหยๆ เฉพาะที่มุมปาก ไม่ใช่การยิ้มอย่างเบิกบานทั่วใบหน้า ทุกคนปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะออกไปให้พ้นจากเนื้อที่ ๒ ไร่เศษแวดล้อมด้วยกำแพงสูงทั้ง ๔ ด้านนั้น อยากออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอกกำแพงคุก อยากออกไปชมต้นข้าวอันเขียวชอุ่มในทุ่งนาอันกว้างขวางสุดสายตา อยากออกไปดำผุดดำว่ายกระแสธารแห่งอิสรภาพ ซึ่งกำแพงทั้ง ๔ ด้านกั้นไว้ เฉพาะอย่างยิ่ง อยากออกไปสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของภรรยาและบุตร ซึ่งตั้งตาคอยอยู่ทางบ้าน.

เมื่อได้เห็นสภาพของนักโทษแล้ว ข้าพเจ้าเกิดความสงสารอย่างจับใจ สงสารเห็นใจเพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับความทุกข์ ข้าพเจ้าได้ปรารภกับอาจารย์บุพพัณห์ว่า ถ้าเป็นไปได้เราควรหาทางเข้ามาทำธรรมสงเคราะห์แก่นักโทษเหล่านี้เป็นการประจำ เพราะเขาเหล่านี้เป็นคนป่วยที่กำลังต้องการยาอย่างแท้จริง การเผยแผ่ธรรมในเรือนจำเป็นการยิงลูกศรถูกเป้าหมาย เพราะการเผยแผ่มีจุดประสงค์สำคัญ ทำคนชั่วให้เป็นคนดี เรือนจำอาจถือได้ว่าเป็นที่อยู่ของคนชั่ว ถ้าเราสามารถกลับจิตกลับใจเขาได้แม้เพียง ๔-๕ คน ก็จะเป็นมหากุศลและเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติศาสนาอย่างมาก เราไปเทศน์ไปแสดงปาฐกถาที่อื่นแต่เป็นคนดีๆ มาฟังทั้งนั้น คนเหล่านั้นแม้จะไม่ได้ฟังเทศน์เลย เขาก็จะไม่ทำชั่ว เป็นการวางยาแก่คนไม่ป่วย อาจารย์บุพพัณห์เห็นด้วยและจะติดต่อกับผู้บัญชาการเรือนจำเพื่อดำเนินการต่อไป

ตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าก็เกิดความสนใจในคนประเภทที่เรียกกันว่านักโทษและเรือนจำ วันหนึ่งเมื่อมีโอกาสจึงได้ไปเยี่ยมเรือนจำมหันตโทษอีกแห่งหนึ่ง และได้พบเห็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์น่าสนใจเหลือล้ำ ยิ่งกว่าที่พบเห็นมาแล้วในเรือนจำกลางเชียงใหม่ ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้พบเห็นในเรือนจำนั้นเป็นความจริง แต่ข้าพเจ้าก็ขอยืนยันกับท่านผู้อ่านว่า มันเป็นความจริง จริงๆ เพราะเหตุผลบางประการ ข้าพเจ้าจะยังไม่บอกท่านว่าเรือนจำนั้นอยู่ที่ไหน?

               สิ่งที่ประทับใจข้าพเจ้าก็คือความกว้างใหญ่ไพศาล
               ของเรือนจำนั้นมันกว้างใหญ่จริงๆ จนมองไม่เห็นกำแพง
               ที่ล้อมอยู่โดยรอบ  และจำนวนนักโทษที่ถูกคุมขัง
               อยู่ภายในเรือนจำนั้น ก็มากมายเหลือคณนา
               ประกอบด้วยคนทุกชาติชั้นวรรณะ เจ้าหน้าที่เรือนจำ
               และผู้คุมก็มีจำนวนมากมายพอๆ กับจำนวนนักโทษ
               ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจว่า มันน่าจะเป็นมหานครแห่งหนึ่ง
               มากกว่าจะเป็นเรือนจำ.

ท่านผู้บัญชาการเรือนจำ ซึ่งเป็นชายผิวคล้ำ ร่างใหญ่ อายุประมาณ ๕๐ ปี ได้อธิบายให้ข้าพเจ้าฟังว่า “นักโทษทุกคนในเรือนจำนี้ ล้วนแต่ต้องคดีอุกฉกรรจ์ที่ต้องประหารชีวิตทั้งสิ้น.”

ข้าพเจ้าถึงกับสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงอันนี้ พยายามระงับใจให้เป็นปกติ แล้วก็เรียนถามท่านผู้บัญชาการฯ ว่า “นักโทษเหล่านี้ส่วนมากทำความผิดอะไรครับ จึงถูกส่งตัวมาคุมขังที่นี่”

“ผมไม่ทราบและไม่สนใจว่า ใครทำความผิดอะไรมาก่อน” ผู้บัญชาการตอบ แสดงความยิ่งใหญ่อยู่ในน้ำเสียง “มันเป็นหน้าที่ของตำรวจและศาล เมื่อตำรวจจับผู้กระทำความผิดได้ก็ส่งตัวให้ศาลดำเนินคดี เมื่อศาลพิพากษาเสร็จ ตำรวจก็คุมตัวนักโทษมาส่งผม ผมก็คุมขังไว้และจัดการประหารชีวิตตามชอบใจ ถ้าคุณอยากทราบว่าเขาทำผิดอะไรคุณลองไปถามนักโทษคนนั้นดูซิ” ผู้บัญชาการชี้มือไปที่นักโทษคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งถอนหญ้าอยู่ใกล้ๆ

“นี่คุณ คุณทำความผิดอะไรจึงต้องมาถูกขังอยู่ในเรือนจำนี้” ข้าพเจ้าถามด้วยเสียงสุภาพ

นักโทษคนนั้น เงยหน้าขึ้นมองดูข้าพเจ้าดุจเห็นข้าพเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ดวงตาของเขามีแววขุ่นแสดงว่าไม่พอใจอย่างมาก “คุณเป็นใครมาจากไหน?” เขาถามด้วยเสียงเครียด “ผมไม่ได้ทำความผิดอะไร ผมไม่ใช่นักโทษ ผมไม่ได้เป็นนักโทษ ผมไม่ได้อยู่ในเรือนจำ!” เขาตอบด้วยเสียงดังลั่น

ข้าพเจ้าถึงกับยืนอ้าปากค้าง ด้วยความงงงันต่อพฤติกรรมประหลาดของนักโทษคนนั้น เมื่อไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร จึงหันไปมองดูผู้บัญชาการฯ ด้วยหวังว่าจะได้รับคำชี้แจงเพิ่มเติม อย่างน้อยท่านก็อาจจะบอกข้าพเจ้าว่านักโทษคนนั้นเป็นคนเสียจริตหรืออะไรทำนองนั้น แต่แล้วข้าพเจ้าก็เกือบจะกลายเป็นคนเสียจริตไปเสียเอง เพราะท่านผู้บัญชาการฯ และเจ้าพนักงาน ๔-๕ คนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ได้หัวเราะเยาะขึ้นพร้อมกันและไม่พูดว่ากระไร ข้าพเจ้าบอกไม่ถูกว่าขณะนั้นรู้สึกอย่างไร ทั้งโกรธทั้งงง ทั้งประหลาดใจระคนกัน.

“เอ นี่นักโทษคนนั้น บ้า หรือว่าท่าน บ้า หรือว่าผมบ้ากันแน่” ข้าพเจ้าโพล่งออกมาด้วยความหัวเสียจนขาดสติสัมปชัญญะ
“บ้าด้วยกันทั้งนั้น” ผู้บัญชาการตอบหน้าตาเฉย

หลังจากเหตุการณ์ประหลาดนั้นแล้ว ท่านผู้บัญชาการก็พาข้าพเจ้าตระเวนชมเรือนจำต่อไป ตลอดระยะทางที่เดินผ่าน ข้าพเจ้าเห็นนักโทษรวมกันทำงานอยู่เป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ ๕ คนบ้าง ๖ คนบ้าง  ทุกคนกำลังทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง หน้าตาและเนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ งานที่นักโทษทำก็มีทุกประเภท เช่น บางกลุ่มก็ปลูกผักในสวนของเรือนจำ บางพวกก็เป็นช่างไม้ บางพวกก็เป็นช่างเหล็ก บางพวกก็เป็นช่างทอง บางพวกที่มีความรู้ก็ทำงานเป็นเสมียน บางพวกก็ค้าขายอยู่ในร้านค้าของเรือนจำ ข้าพเจ้ารู้สึกพอใจมากที่ได้เห็นนักโทษทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง จึงได้ถามท่านผู้บัญชาการว่า “ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานเหล่านั้น ทางเรือนจำแบ่งให้นักโทษบ้างหรือไม่ หรือเอาไว้เป็นของหลวงหมด?”

ผู้บัญชาการตอบว่า “ผลประโยชน์ที่นักโทษทำได้ ตกเป็นสมบัติของนักโทษนั่นเอง ทางเรือนจำไม่เกี่ยวข้องเลย แต่เมื่อเขาถูกประหารชีวิตตายไปแล้วสมบัติของเขาทั้งหมดจะต้องตกเป็นของเรือนจำ แต่ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาสามาระจะหาทรัพย์และใช้ทรัพย์ของเขาได้อย่างเต็มที่  เพราะฉะนั้น นักโทษของเราทุกคนจึงตั้งหน้าทำงานด้วยความขยันขันแข็งโดยไม่ต้องบังคับ บางคนทำงานทั้งกลางวันกลางคืนก็มี.”

ข้าพเจ้าถามขึ้นว่า “ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่เขามีการให้อาหารตามเวลา มีการให้เครื่องนุ่งห่ม ผมอยากทราบว่าที่เรือนจำนี้มีการให้อาหารและเสื้อผ้าหรือไม่?”

“ไม่มี” ผู้บัญชาการฯ ตอบ “เราไม่ให้เสื้อผ้าหรืออาหารแก่นักโทษ เพราะนักโทษแต่ละคนมีสิทธิหาเองได้ ทำงานได้ ทางเรือนจำเลยปล่อยให้ทุกคนช่วยตัวเอง แต่ทุกคนก็มีพออยู่กิน มีบางรายเหมือนกันที่เกียจคร้านหรือไร้ความสามารถ ไม่อยากทำงาน ไปเที่ยวขโมยหรือปล้นสะดมหรือฉ้อโกงเอาทรัพย์ของนักโทษคนอื่นมาเลี้ยงชีวิต”
“มีการปล้นกันภายในเรือนจำนี้ด้วยหรือครับ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจ
“มี” ผู้บัญชาการตอบ “มีการปล้นกันทุกวัน มีการทะเลาะวิวาทกันทุกวัน มีการตีรันฟังแทงกันตายทุกวัน”
“แล้วทางการเรือนจำจัดการอย่างไรกับนักโทษใจร้ายที่ฆ่าเพื่อนนักโทษตายในเรือนจำ?” ข้าพเจ้าถาม
“ไม่ทำอะไร” ผู้บัญชาการฯ ตอบ คล้ายกับไม่เห็นว่าการฆ่ากันตายเป็นเรื่องร้ายแรง “ปล่อยให้เขาทำตามสบาย เพราะนักโทษทุกคนในเรือนจำนี้มีโทษถึงตายทุกคนอยู่แล้ว สักวันหนึ่งทุกคนจะต้องถูกประหารชีวิต ฉะนั้น แม้จะทำความผิดในระหว่างหรือไม่ทำ ทุกคนก็จะต้องถูกประหารชีวิตอยู่ดี ดีเสียอีกที่เขาจัดการประหารชีวิตกันเองโดยไม่ให้เจ้าหน้าที่เพชฌฆาตเรือนจำต้องลำบาก.!”



โปรดติดตามตอนต่อไป


หัวข้อ: Re: มีดไม่ลับก็ไร้คม สมองไม่อบรมก็ไร้ปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 20 ธันวาคม 2559 14:32:44

(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSQjbDsa3FgGvrVpQc_2HKRPT77Xq8S9jXZLFUPOADHtRADv1PuaQ)

มีดไม่ลับก็ไร้คม สมองไม่อบรมก็ไร้ปัญญา
ตอน นักโทษประหาร (ต่อ)
ผลงานประพันธ์ของ แสง  จันทร์งาม

ข้าพเจ้ามองดูหน้าท่านผู้บัญชาการเรือนจำด้วยความงุนงง พลางคิดในใจว่าเรือนจำนี้ช่างโหดร้ายทารุณป่าเถื่อนเสียเหลือเกิน ผู้บัญชาการเรือนจำเองก็ช่างใจไม้ไส้ระกำเห็นชีวิตของคนเป็นชีวิตของมดปลวกไปได้ แต่มิได้พูดออกมาด้วยวาจา เพียงแต่เดินตามผู้บัญชาการฯ และคณะต่อไปอย่างเงียบๆ

“คุณอยากจะดูการประหารชีวิตนักโทษไหมละ?” ผู้บัญชาการถาม ข้าพเจ้าเกิดความกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันที เพราะใจหนึ่งเกิดอยากรู้อยากเห็นแต่ใจหนึ่งเกิดความสังเวชสลดใจไม่อยากเห็นเพื่อนมนุษย์ถูกตัดคอต่อหน้าต่อตา กลัวจะเกิดเป็นลม เพราะตกใจว่าถ้าวิธีการประหารชีวิตไม่แสดงความโหดร้ายทารุณเกินไป ก็จะไปดูประดับความรู้เสียบ้าง เพื่อแน่แก่ใจจึงถามผู้บัญชาการฯ ดู “ทางเรือนจำประหารนักโทษโดยวิธีใด?”

“ทุกชนิด” ผู้บัญชาการฯ ตอบ “ใช้ปืนยิงบ้าง ใช้มีดแทงให้ตายบ้าง ใช้ค้อนทุบกะโหลกศีรษะบ้าง แขวนคอบ้าง บังคับให้ดื่มยาพิษบ้าง ปล่อยสัตว์ร้ายให้กัดตายบ้าง กดคอให้จมน้ำตายบ้าง ให้ล้อเหล็กขนาดใหญ่บดตัดคอให้ตายบ้าง บางทีก็ให้เจ้าหน้าที่ทรมานโดยตัดแข้งขาตีนมือเนื้อหนักออกทีละน้อยๆ จนตายไปเอง”

ข้าพเจ้าถึงกับเหงื่อแตกพลัก ด้วยความสะดุ้งตกใจกลัวต่อวิธีการประหารชีวิตอันทารุณโหดร้ายที่ผู้บังชาการฯ บรรยายให้ฟัง “ผมไม่ดูละครับ” ข้าพเจ้าบอกผู้บัญชาการฯ “เพียงแต่ได้ยินท่านเล่าวิธีการให้ฟังเท่านั้น ผมก็แทบทนฟังไม่ไหวแล้ว ถ้าไปเห็นจริงๆ ผมเป็นลมแน่”

“รู้สึกว่าคุณขวัญอ่อนมาก” ผู้บัญชาการฯ กล่าวยิ้มๆ “ถ้าคุณกลายเป็นนักโทษและจะถูกประหารชีวิตแบบนั้นบ้าง คุณจะรู้สึกอย่างไร?”

“ผมก็คงช็อคตายก่อนถูกประหารจริงๆ” ข้าพเจ้าตอบ  ผู้บัญชาการฯ หันไปมองดูเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ยืนข้างๆ แล้วก็ยิ้มอย่างมีนัย ทำให้ข้าพเจ้าหวาดระแวงอย่างไรชอบกล

เราได้เดินผ่านนักโทษกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งล้อมวงเสพสุราและร้องเพลงกันอยู่อย่างสนุกสนาน “เขาทำอะไรกันครับ?” ข้าพเจ้าถามท่านผู้บัญชาการฯ

“เขากำลังฉลองสมาชิกใหม่ วันนี้ตำรวจนำนักโทษเข้ามาส่งเรือนจำหลายคน พวกนี้คงสามารถดึงนักโทษใหม่บางคนมาเป็นสมาชิกได้ จึงดีอกดีใจและฉลองกันเป็นการใหญ่ เหตุการณ์เช่นนี้เป็นของธรรมดาในเรือนจำของเรา นักโทษทุกกลุ่มต่างปรารถนาอยากได้นักโทษใหม่มาร่วมคณะมาช่วยการงานของคณะ มีการวิ่งเต้นหาสมาชิกใหม่กันทั่วไป”

เดินต่อไปอีกไม่นาน ข้าพเจ้าก็ได้พบกับภาพตรงกันข้ามกับภาพที่เพิ่งเห็นมา คือนักโทษกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสมเพชเวทนาท่ามกลางวงนั้นมีชายคนหนึ่งกำลังนอนนิ่งอยู่ มีผ้าห่มคลุมตั้งแต่เข่าขึ้นไปจนถึงศีรษะ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

“สมาชิกของเราคนหนึ่งเพิ่งถูกประหารชีวิต” นักโทษคนหนึ่งตอบทั้งน้ำตานองหน้า “เขาเป็นคนดีและขยันขันแข็งมาก เราทุกคนรักและเสียดายเขาที่มาด่วนถูกประหารชีวิตเสีย เราได้สูญเสียแขนขวาของเราไปเสียแล้ว...” ว่าแล้วเขาก็ร้องไห้คร่ำครวญต่อไป

“เขาถูกประการชีวิตโดยวิธีใด?” ข้าพเจ้าถาม

“โดยวิธีถูกตัดคอ” ชายคนเดิมตอบ เขาค่อยๆ เลิกผ้าคลุมออกจาหน้าของศพเผยให้เห็นหัวที่ขาดจากไหล่กลิ้งอยู่ต่างหากจากลำตัว มีเลือดนองอยู่บนพื้นและจับเกรอะตามหน้าและตามลำตัว “ขณะที่เขากำลังนั่งคุยกับเราอยู่อย่างสนุกสนานนั่นเอง เพชฌฆาตคนหนึ่งก็ถือดาบอันคมกริบวิ่งมาฟาดฟันลงไปที่คอของเขาสุดแรง ทำให้ศีรษะของเขากระเด็นตกไป เราต้องเก็บเอาศีรษะของเขามาเก็บไว้ที่เดิมแล้วก็เอาผ้าคลุมอย่างเห็นอยู่นี้”

“การปล่อยปละละเลยเช่นนี้ ท่านไม่กลัวนักโทษแหกคุกหรือ?”

ผู้บัญชาการเรือนจำหัวเราะดังยิ่งขึ้น แล้วตอบว่า “ไม่กลัว ผมจะบอกเหตุผลว่าทำไมไม่กลัว ประการแรกเพราะว่า ไม่มีใครอยากจะออกไปจากเรือนจำนี้ แทบทุกคนพอตกเข้ามาอยู่ในเรือนจำนี้ก็สนุกสนานเพลิดเพลินจนไม่อยากจากไป ทุกคนอยากอยู่ที่นี่ อยากถูกประการชีวิตและตายที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่สุด เหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่ผมไม่กลัวว่านักโทษจะหนี อยู่ที่โน่น ผมจะพาคุณไปดูเดี๋ยวนี้”

ท่านผู้บัญชาการฯ ได้จูงแขนข้าพเจ้าพาไปยังหอคอยสูงหลังหนึ่ง เราเดินตามบันไดขึ้นไปจนถึงยอดหอคอยแล้ว ผู้บัญชาการฯ ก็ชี้มือให้ข้าพเจ้าดูสิ่งหนึ่ง พอเห็นสิ่งนั้นข้าพเจ้าก็เห็นด้วยกับผู้บัญชาการฯ ทันทีว่าทำไมท่านจึงไม่กลัวนักโทษจะแหกคุก!

สิ่งที่มีอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า คือกำแพงสูงใหญ่ที่ล้อมรอบเรือนจำอยู่ถึง ๓ ชั้น มีช่องว่างระหว่างกำแพงกว้างประมาณ ๓๐ เมตร กำแพงทั้ง ๓ มีความหนาและความสูงไม่เท่ากันและสร้างด้วยวัสดุต่างๆ กัน คือกำแพงชั้นในเป็นกำแพงก่อด้วยอิฐแต่ไม่มีการโบกปูน จึงมองเห็นแผ่นอิฐ เรียงกันเป็นก้อนๆ กำแพงอิฐมีความหนาประมาณ ๖ ฟุตและสูงประมาณ ๑๐ ฟุต กำแพงชั้นกลางมีสีเทาแก่เพราะสร้างด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่ทั้งนั้น ท่านผู้บัญชาการบอกข้าพเจ้าว่า กำแพงหินกว้างและสูงกว่ากำแพงอิฐ ๒ เท่า กำแพงชั้นนอกสูงแลดูเป็นสีดำทะมึนตลอด มีความกว้างและความสูงมากกว่ากำแพงหิน ๒ เท่า เพราะฉะนั้นจึงเป็นกำแพงขอบนอกที่มั่นคงแข็งแรงที่สุด ข้าพเจ้าได้ถามท่านผู้บัญชาการฯ ว่า “กำแพงชั้นนอกทำด้วยอะไร?”

“ทำด้วยเหล็กทั้งแท่ง!” ท่านผู้บัญชาการฯ ตอบ

“มิน่าเล่า ถึงไม่มีใครคิดจะหลบหนี” ข้าพเจ้าพูดขึ้นมาอย่างลอยๆ ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นนักโทษหลายต่อหลายคน กำลังใช้ท่อนไม้ขนาดกลางทุบต่อยและกระทุ้งกำแพงอิฐอยู่อย่างขะมักเขม้น  “เอ๊ะ นั่นเขาทำอะไรกัน?” ข้าพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจ

“เขากำลังจะเจาะกำแพงหลบหนี” ผู้บัญชาการฯ ตอบน้ำเสียงเป็นปกติคล้ายกับเห็นว่าการแหกคุกเป็นเรื่องเล็ก

“แล้วทำไมท่านจึงปล่อยให้เขาทำ? ทำไมท่านไม่จับกุมหรือห้ามปราม?”

“ไม่” ผู้บัญชาการตอบหน้าตาเฉย “นักโทษทุกคนมีสิทธิที่แหกคุกได้ เราไม่ห้ามปรามแต่อย่างใด เพราะมีน้อยคนเหลือเกินที่คิดจะแหกคุก คุณลองคิดดูซิในเรือนจำมีนักโทษตั้งเท่าไร แต่คุณก็เห็นแล้ว ว่ามีนักโทษเพียงไม่กี่คนที่กำลังเจาะกำแพง อีกอย่างหนึ่งกำแพงของเราก็แข็งแรงมากยากที่จะเจาะทะลุได้ นักโทษส่วนมากมักจะเลิกล้มความพยามยามเสียในระหว่าง แม้จะพ้นกำแพงอิฐไปได้ก็ติดที่กำแพงหิน คุณดูที่ฐานกำแพงหินนั่นซิ”

ข้าพเจ้ามองดูตามมือผู้บัญชาการฯ ไปยังกำแพงหินและได้เห็นนักโทษ ๒-๓ คนซึ่งรอดพ้นจากกำแพงอิฐมาได้ กำลังเอาขวานเจาะกำแพงหินอยู่อย่างขะมักเขม้น “แล้วนักโทษอื่นๆ ทำไมไม่ออกมาตามช่องที่เขาเจาะไว้เล่า จะได้ช่วยกันเจาะกำแพงหินต่อไป” ข้าพเจ้าถาม

ผู้บัญชาการฯ ตอบว่า “ผมบอกคุณแล้วว่าไม่มีใครคิดอยากจะออกไปจากเรือนจำและยิ่งกว่านั้น ช่องแต่ละช่องที่นักโทษเจาะสำเร็จนั้น เราจะจัดการปิดให้ดีเหมือนเดิมทันทีที่นักโทษคนนั้นลอดออกมาพ้น ฉะนั้นถ้าใครอยากออกก็ต้องเจาะช่องใหม่สำหรับตนเอง เจาะให้กันไม่ได้ ฉะนั้นนักโทษคนหนึ่ง จึงเจาะช่องได้สำหรับตนคนเดียวเท่านั้น”

“มีนักโทษคนใด สามารถเจาะทะลุกำแพงหินบ้างไหม?”

“มีเหมือนกัน แต่น้อยเต็มที ถ้าคุณมองดูที่ฐานกำแพงเหล็กคุณจะเห็นนักโทษหัวเห็ดเพียงคนหรือสองคนเท่านั้น โน่นยังไงละ คนหนึ่งเพิ่งหลุดออกไปได้จากกำแพงหิน”

ข้าพเจ้ามองตามมือท่านผู้บัญชาการไปที่ฐานกำแพงเหล็ก และเห็นนักโทษผู้มีร่างล่ำสันบึกบึนคนหนึ่งกำลังใช้ขวานฟันกำแพงเหล็กอยู่อย่างเหนื่อยอ่อน ขวานของเขารู้สึกว่าเต็มไปด้วยประกายแวววับ ทุกครั้งที่เขายกขึ้นฟันมันจะสะท้อนแสงแวววาวเข้านัยน์ตาของเรา จนเราต้องหลับตา ข้าพเจ้านึกชมความอุตสาหะวิริยะของนักโทษหัวเห็ดคนนั้นอยู่ในใจ และภาวนาขอให้เขาออกไปให้ได้

“เคยมีนักโทษเจาะกำแพงเหล็กออกไปได้บ้างไหมครับท่านผู้บัญชาการฯ”

“มีเหมือนกัน แต่น้อยเต็มที ในหมื่นหรือแสนคนจะมีสักคนหนึ่ง เท่าที่ผมอ่านดูในประวัติของเรือนจำนั้น เมื่อประมาณ ๒๕๐๐ ปีมาแล้ว มีนักโทษสำคัญคนหนึ่งแหกคุกออกไปได้สำเร็จ และพาเอานักโทษอื่นๆ ออกไปด้วยเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่เคยมีการแหกคุกเป็นการใหญ่เช่นนั้นอีก”

“ถ้าสมมติว่ามีนักโทษแหกคุกออกไปสำเร็จ ทางเรือนจำติดตามไปจับเขานำมาขังไว้ในเรือนจำอีกหรือไม่ครับ” ข้าพเจ้าถามต่อไป

“ไม่” ผู้บัญชาการตอบ “เราปล่อยให้เขาไปเลย เราถือว่าเขามีความสามารถเป็นวีรบุรุษ สมควรจะได้รับอิสรภาพ  ยิ่งกว่านั้น เรายังให้สิทธิพิเศษแก่เขาอีกด้วย”

“สิทธิอะไรครับ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความสนใจ

“สิทธิที่จะเข้าออกเรือนจำได้ตามชอบใจทุกเวลา ถ้าเขาอยากจะกลับเข้ามาในเรือนจำเพื่อชักชวนเพื่อนนักโทษให้แหกคุก หรือแนะนำวิธีเจาะกำแพงที่ได้ผลแก่นักโทษอื่นๆ ก็อาจจะทำได้ตามชอบใจ คุณเดินตามผมมาทางนี้”

ข้าพเจ้าเดินตามผู้บัญชาการฯ ไปอย่างว่าง่าย เราได้มาถึงนักโทษกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงฟังชายคนหนึ่งพูดอยู่ใต้ต้นไม้ ชายประหลาดคนนั้นยืนอยู่ท่ามกลางวงแล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ตื่นเถิดพี่น้องทั้งหลาย อย่ามัวหลับใหลอยู่เลย อย่าลืมว่าท่านเป็นนักโทษประหารกำลังถูกขังอยู่ในกำแพงถึง ๓ ชั้น สักวันหนึ่งเพชฌฆาตจะมาลากคอท่านไปประหารชีวิต รีบลุกขึ้นแล้วแหกคุกหนีไปเสียก่อนที่จะถึงเวลานั้น...”

ชายคนนั้นพรรณนาโทษของเรือนจำต่อไปอีกมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นความจริง แต่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่ามีนักโทษน้อยคนที่ตั้งใจฟังวาทะของเขา ส่วนมากหันหน้าไปคุยกันเสียบ้าง หลับเสียบ้าง ยิ่งกว่านั้นบางคนยังหัวเราะเยาะเขาและตะโกนคัดค้านเขาเป็นครั้งคราว แต่ชายคนนั้นก็ใจเย็นอย่างน่าอัศจรรย์ เขามิได้แสดงอาการโกรธเคืองหรือพูดจาโต้ตอบผู้ก่อกวนเหล่านั้นแต่อย่างใด

เขาเอามือควานลงไปในถุงซึ่งวางอยู่บนพื้นข้างๆ แล้วหยิบเอาขวานเล่มหนึ่งขึ้นมา เขาชูขวานไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นว่า “พี่น้องทั้งหลาย! นี่คือขวนหินสำหรับเจาะกำแพงอิฐท่านผู้ใดอยากจะได้รับอิสรภาพ โปรดเอาขวานนี้ไปเจาะกำแพงอิฐ ข้าพเจ้ายินดีจะมอบขวานนี้ให้แก่ท่านฟรี”  พูดแล้วเขาก็ชูขวานนั้นไปรอบๆ แต่ปรากฏว่าไม่มีนักโทษคนใดแสดงความสนใจในขวานของเขาเลย นักโทษคนหนึ่งได้ตะโกนขึ้นว่า “เดี๋ยวนี้เป็นสมัยจรวดแล้ว เราไม่ต้องการขวานหิน เชิญท่านนำไปแจกคนสมัยหินของท่านเถิด”

โดยมิได้คำนึงต่อคำเยาะเย้ยของนักโทษคนนั้น ชายผู้ใจเย็นยังคงชูขวานต่อไปอีกจนกระทั่งมีนักโทษคนหนึ่งยืนขึ้นเดินไปรับขวานจากเขา นักโทษคนนั้นหยิบขวานมาลูบคลำพิจารณาดูอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วก็โยนกลับคืนไปให้เจ้าของพลางพูดว่า “มันหนักเกินไป แบกไม่ไหว”

ชายผู้หวังดีหยิบเอาขวานหินเล่มนั้นมาเก็บไว้ แล้วล้วงเอาขวานอีกเล่มหนึ่งออกมาจากถุง ยกชูไปรอบๆ พลางพูดว่า “พี่น้องทั้งหลาย นี้คือขวานเหล็ก ใช้สำหรับเจาะกำแพงชั้นกลาง คือกำแพงหิน ผู้ใดต้องการข้าพเจ้ายินดีจะให้โดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด เชิญรับเอาไปเถิด” เขาส่งขวานไปรอบๆ ด้วยสายตาแสดงความวิงวอน แต่ไม่ปรากฏว่ามีใครรับเอา

เขาวางขวานเหล็กลงไว้แล้ว แล้วล้วงเอาขวานเล่มใหม่ขึ้นมา เขาชูไปรอบๆ ตามเคยพลางกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลายกำแพงเหล็กชั้นนอกอาจจะหนาและสูง แต่ท่านไม่ต้องท้อใจ นี้คือขวานพิเศษสำหรับเจาะกำแพงเหล็ก ถ้าท่านดูให้ดีท่านจะเห็นว่า คมของขวานนี้ทำด้วยเพชรโปรดดูด้วยตาของท่านเอง” เขาได้หยิบเอาเหล็กมาท่อนหนึ่ง แล้วก็เอาขวานนั้นฟันให้ดูเป็นตัวอย่าง ปรากฏว่าขวานจ้วงฟันเพียงครั้งเดียวท่อนเหล็กนั้นก็ขาดกระเด็น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครสนใจจะรับเอาขวานนั้น  ชายผู้ใจเย็นก็รวบรวมขวานใส่ในถุง ยกถุงขึ้นแบกบนบ่าแล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังนักโทษกลุ่มอื่นต่อไป ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของนักโทษกลุ่มนั้น

ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบ ๑๑.๐๐ น. ซึ่งเป็นเวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องกลับ เพราะมีนัดรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อน ข้าพเจ้าขอบคุณท่านผู้บัญชาการฯ แล้วก็กล่าวคำอำลา

“คุณยังจะกลับไม่ได้” ผู้บัญชาการฯ พูดขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง ทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจไม่น้อย ใจหนึ่งคิดว่าท่านผู้บัญชาการฯ อาจจะชวนให้รับประทานอาหารกลางวันด้วย แต่เพื่อแน่ใจจึงถามดู “ทำไมละครับ?”

“กฎของเรือนจำมีอยู่ว่า ทุกคนที่เข้ามาในเรือนจำของเรา ต้องกลายเป็นนักโทษประหารของเราด้วย เพราะฉะนั้นเวลานี้คุณได้กลายเป็นนักโทษของเราเสียแล้ว”

ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจและงุนงงดุจถูกตีที่ศีรษะ แต่ก็ยังอุ่นใจอยู่ว่าผู้บัญชาการคงจะล้อเล่นสนุกๆ มากกว่า จึงกล่าวว่า “ท่านผู้บัญชาการฯ อย่าล้อผมเล่นเลยน่า ผมจะต้องรีบไปพบเพื่อนตามนัด”

“คุณจะไม่มีหวังไปพบเพื่อนได้ตามนัดโดยเด็ดขาด” ผู้บัญชาการฯ พูดพลางหัวเราะอย่างผู้มีชัย  ท่านได้หันไปมองดูเจ้าหน้าที่เรือนจำอย่างมีนัย แล้วทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ผู้มีร่างกำยำ ๒ คน ก็ตรงเข้ามาขนาบข้างซ้ายขวาของข้าพเจ้า และยึดแขนไว้อย่างมั่นคง

ถ้าสามารถมองเห็นตัวเองในขณะนั้น ใบหน้าของข้าพเจ้าคงขาวซีดด้วยความตกใจกลัวสุดขีด เพราะการกระทำของผู้บัญชาการตอนนี้บอกว่าเอาจริงแน่นอน

“คุณไม่เชื่อหรือว่าผมพูดจริง” ผู้บัญชาการพูดขึ้น “ถ้าไม่เชื่อผมจะพาไปดูอะไรบางอย่าง” ว่าแล้วก็ออกเดินทันที ข้าพเจ้าก็ถูกเจ้าหน้าที่ฉุดให้เดินตามไปด้วย เราได้มาถึงตึกใหญ่หลังหนึ่ง ผู้บัญชาการสั่งให้เราหยุดอยู่ที่ประตู เมื่อประตูถูกเปิดออก ข้าพเจ้ามองเข้าไปข้างใน ก็ได้พบภาพที่ไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะได้พบในเรือนจำ ภายในตึกนั้นเต็มไปด้วยพระภิกษุสามเณร พระราชามหากษัตริย์ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี นายพล มหาเศรษฐี และบุคคลชั้นสูงอีกมากมาย!

“ทั้งหมดนี้คือนักโทษประหารของผมทั้งสิ้น!” ผู้บัญชาการฯ พูดแล้วมองดูหน้าข้าพเจ้า คล้ายกับจะบอกว่า “คนใหญ่คนโตขนาดนั้นยังตกเป็นนักโทษของผมนับประสาอะไรกับคุณซึ่งเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง”

ข้าพเจ้ารู้สึกหน้ามืดศีรษะหมุนติ้วคล้ายจะเป็นลม จึงทรุดตัวลงนั่งเอามือกุมศีรษะแนบประตูตึกนั่นเอง ขณะที่นั่งหลับตาอยู่นั่นเอง ภาพใบหน้าของภรรยาก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงนึก แล้วภาพมารดา พี่น้อง ตลอดถึงลูกศิษย์ที่สอนอยู่เป็นประจำ จิตใจในขณะนั้นวิ่งพล่านกลับไปยังทุกคนและทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง เขาเหล่านั้นจะอยู่อย่างไร กินอย่างไร และคิดอย่างไร เมื่อได้ทราบว่าข้าพเจ้าได้กลายเป็นนักโทษประหารชีวิตเสียแล้ว  ขณะที่จิตใจกำลังวิ่งพล่านอยู่นั้น ภาพพุทธสถานก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงนึก พร้อมกับจำได้ว่า ในวันศุกร์ที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๐๘ จะต้องไปแสดงปาฐกถาเรื่อง “ตื่นเถิดชาวพุทธ” ประชาชนจำนวนมากที่อยากฟังปาฐกถาจะรู้สึกผิดหวังเพียงไร ถ้าถึงเวลาแล้วไม่มีข้าพเจ้าไปแสดงปาฐกถา พร้อมๆ กันนั้นก็เกิดการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวขึ้นมาทันที ว่าจะต้องไปแสดงปาฐกถาให้ได้

“ท่านผู้บัญชาการที่รักและคิดถึง” ข้าพเจ้าพูดออกมาคล้ายคนบ้า “ท่านจะเอากับผมอย่างไรก็เอา ผมยอมทั้งนั้น แต่ผมใคร่ขอความกรุณาจากท่านเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย คือขออนุญาตออกไปแสดงปาฐกถาที่พุทธสถานในคืนวันศุกร์ที่ ๒๐ สิงหาคมนี้ ท่านจะอนุญาตหรือไม่?”

ผู้บัญชาการฯ นิ่งคิดอยู่สักครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตกลง เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ผมจะให้เจ้าหน้าที่เรือนจำ ๓ คน ควบคุมคุณไปทุกฝีก้าว”

พระคุณเจ้าและสาธุชนที่เคารพ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพูดอยู่นี้ เจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ คนจากเรือนจำก็กำลังยืนคุมข้าพเจ้าอยู่ คนที่ยืนทางขวามือของข้าพเจ้าคือเจ้าหน้าที่ทรมานนักโทษให้ตายด้วยวิธีตัดแข้งตัดขา คนที่ยืนทางซ้ายมือนี้คือพนักงานปล่อยสัตว์ร้ายให้กัดนักโทษตาย ส่วนอีกคนหนึ่งที่ยืนถือขวานอยู่ข้างหลังข้าพเจ้านั้น คือเพชฌฆาตผู้ประหารชีวิตนักโทษโดยตรง  หลังจากแสดงปาฐกถาที่นี่เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็จะถูกนำตัวสู่เรือนจำ และจะถูกประหารชีวิต ณ วันใดวันหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่มีทางรู้ ข้าพเจ้าขออำลาท่านทั้งหลายไปก่อน...สวัสดี




(http://i3.ytimg.com/vi/npdbvAV2RpA/mqdefault.jpg)

มีดไม่ลับก็ไร้คม สมองไม่อบรมก็ไร้ปัญญา
ตอน นักโทษประหาร (จบ)
ผลงานประพันธ์ของ แสง  จันทร์งาม

ปริศนา
๑.เรือนจำใหญ่ได้แก่อะไร? ทำไมจึงเรียกว่าเรือนจำ?
๒.นักโทษประหารหมายถึงใคร? ทำไมจึงเรียกว่า นักโทษประหาร?
๓.ข้อที่ว่านักโทษไม่รู้ตัวว่าเป็นนักโทษถูกขังอยู่ในเรือนจำนั้น นั้นหมายความว่าอย่างไร?
๔.ข้อที่ว่านักโทษในเรือนจำรวมกันเป็นกลุ่มๆ ช่วยเหลือกันและกัน แสวงหาสมาชิกมาเข้ากลุ่ม และมีการเฉลิมฉลองเมื่อมีสมาชิกใหม่นั้น หมายความว่าอย่างไร
๕.ตำรวจที่นำนักโทษมาส่งเรือนจำหมายถึงอะไร?
๖.วิธีการประหารชีวิตนักโทษแบบต่างๆ นั้น หมายความว่าอย่างไร?
๗.การที่นักโทษมีเสรีภาพที่จะไปไหนๆ ทำอะไรก็ได้ภายในเรือนจำ และมีเสรีภาพในการทำงานต่างๆ หารายได้นั้น หมายความว่าอย่างไร?
๙.ข้อที่ว่าเมื่อนักโทษถูกประหารชีวิตตายไป ทรัพย์สมบัติของเขา ต้องตกเป็นของเรือนจำนั้นหมายความว่าอย่างไร?
๑๐.กำแพงทั้ง ๓ ชั้นที่ล้อมเรือนจำไว้ หมายถึงอะไร
๑๑.ขวานหิน ขวานเหล็ก และขวานเพชรสำหรับทำลายกำแพงอิฐ กำแพงหิน และกำแพงเหล็ก หมายถึงอะไร
๑๒.นักโทษที่กำลังแหกคุกโดยใช้ขวานทำลายกำแพงอิฐ กำแพงหิน และกำแพงเหล็ก หมายถึงใคร?
๑๓.ทางเรือนจำไม่ห้ามปรามนักโทษที่คิดจะแหกคุกและถ้าแหกคุกได้สำเร็จยังได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าออกเรือนจำได้ทุกเวลาให้ชักชวนนักโทษอื่นๆ ให้แหกคุกได้หมายความว่าอย่างไร?
๑๔.บุรุษผู้ยืนโฆษณาชักชวนให้นักโทษแหกคุกและแจกขวานหิน ขวานเหล็ก ขวานเพชร หมายถึงใคร? การที่นักโทษไม่สนใจหมายความว่าอย่างไร?
๑๕.การที่ “ข้าพเจ้า” เข้าไปเยี่ยมเรือนจำ แล้วพลอยถูกจับกลายเป็นนักโทษประหารไปด้วย หมายความว่าอย่างไร?
๑๖.เจ้าหน้าที่ทั้งสามของเรือนจำที่ควบคุม “ข้าพเจ้า” อยู่ทุกฝีก้าวนั้นหมายถึงอะไร?


เฉลยปริศนา
๑.เรือนจำใหญ่ได้แก่โลกนี้ทั้งโลก ถ้าพูดอย่างกว้าง หมายถึงภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ซึ่งเป็นแดนเกิดแดนตายของสัตว์ เหตุที่ได้ชื่อว่าเรือนจำก็เพราะเป็นที่กักขังสัตว์ไว้ มิให้บรรลุถึงพระนิพพาน
๒.นักโทษประหารหมายถึงสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้ง ๓ เหตุที่เรียกว่านักโทษประหาร ก็เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายในสามภพ ไม่ว่าจะเกิดในกำเนิดต่ำหรือสูงจะต้องตายทั้งสิ้น
๓.หมายความว่าสัตว์ที่เกิดในสามภพ หารู้สึกตัวไม่ว่าตนติดอยู่ในห้วงทุกข์และจะต้องตาย แต่มัวสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่ในภพนั้นๆ จนลืมตัว
๔.หมายความคนในโลกรวมกันอยู่เป็นครอบครัวรักใคร่ช่วยเหลือกันในครอบครัว เมื่อมีคนเกิดขึ้นในครัวก็ดีอกดีใจ ถ้าไม่มีก็พยายามที่จะให้มีทุกวิถีทาง
๕.หมายถึงชาติหรือความเกิด ซึ่งส่งให้สัตว์มาเกิดในภพทั้งสาม
๖.หมายความว่า สัตว์ที่เกิดมาในโลกย่อมประสบความตายโดยวิธีต่างๆ กัน ตายดีตายร้ายบ้าง การตายโดยถูกทรมานให้ตายด้วยการตัดแข้งตัดขา หมายถึงการตายด้วยโรคชรา การตายโดยถูกสัตว์ร้ายกัดตาย หมายถึงการตายด้วยโรคภัยต่างๆ การตายโดยถูกล้อเหล็กบด ถูกบังคับให้ดื่มยาพิษเป็นต้น หมายถึงการตายอุปัทวเหตุต่างๆ
๗.หมายความว่า การตายของสัตว์ย่อมไม่มีนิมิตไม่มีสัญญาณแจ้งให้ทราบล่วงหน้า อาจจะตายเมื่อไรที่ไหนก็ได้ ตายโดยวิธีไหนก็ได้ ไม่มีใครเลือกเวลา สถานที่และวิธีตายของตนได้เลย
๘.หมายความว่าสัตว์ที่เกิดในภพใด ย่อมมีเสรีภาพที่จะเที่ยวไปทำอะไรต่างๆ ในภพนั้น เช่นเกิดเป็นมนุษย์ก็มีสิทธิที่จะไปในโลก และประกอบอาชีพต่างๆ ที่ตนชอบ หารายได้เลี้ยงตนและครอบครัว
๙.หมายความว่า ทรัพย์สมบัติทั้งปวงที่มนุษย์แสวงหารวบรวมไว้นั้นถ้ามนุษย์ทุกคนตายลง ก็จะกลับคืนไปทับถมแผ่นดินตามเดิม
๑๐.กำแพงอิฐชั้นในหมายถึงกรรมดีและชั่วที่เป็นเหตุให้สัตว์เกิดใน ๓ ภพ กำแพงหินชั้นกลางหมายถึงกิเลสหยาบ เช่น โลภ โกรธ หลง อันเป็นเหตุให้สัตว์ทำกรรม กำแพงเหล็กชั้นนอกหมายถึงอวิชชาซึ่งเป็นกิเลสละเอียด ทำลายได้ยากแม้เกิดในพรหมโลกก็ยังมีอวิชชา
๑๑.ขวานหินหมายถึงศีลสำหรับควบคุมกาย วาจา ให้เรียบร้อย ขวานเหล็กหมายถึงสมาธิสำหรับปราบกิเลสหยาบ ขวานเพชรหมายถึงปัญญาซึ่งใช้สำหรับทำลายกิเลสละเอียดคืออวิชชา
๑๒.หมายถึงพุทธบริษัททั้งสี่ ๔ ผู้เห็นภัยในวัฏฏะ ปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญาเพื่อทำลายกรรม กิเลสหยาบและกิเลสละเอียด เพื่อความเป็นอิสระจากวัฏฏะ นักโทษที่กำลังทำลายกำแพงอิฐมีมาก เปรียบเหมือนคนที่ปฏิบัติขั้นศีลได้มีมาก นักโทษที่กำลังใช้ขวานเหล็กทำลายกำแพงหินมีน้อยลง เปรียบเหมือนพุทธบริษัทที่ปฏิบัติขั้นสมาธิมีน้อย นักโทษที่ใช้ขวานเพชรทำลายกำแพงเหล็กมีน้อยที่สุด เปรียบเหมือนพุทธบริษัทที่เข้าถึงขั้นปัญญามีน้อย
๑๓.หมายความว่าวัฏฏะไม่เคยกีดกันผู้ที่จะปฏิบัติตามศีลสมาธิปัญญาเพื่อบรรลุพระนิพพาน เมื่อบรรลุพระนิพพานแล้ว จะเทศนาสั่งสอนให้สัตว์ทั้งหลายทำลายวัฏฏะเสียก็อาจทำได้
๑๔.หมายถึงพุทธบริษัทผู้เห็นภัยในวัฏฏะ ปฏิบัติตามศีลสมาธิปัญญาจนบริสุทธิ์หลุดพ้นด้วยตนเอง แล้วสั่งสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติตาม การที่นักโทษไม่ค่อยสนใจ เปรียบเสมือนมนุษย์ในโลกที่มัวเพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ของโลก ไม่สนใจในพระพุทธศาสนา ไม่ปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา
๑๕.หมายความว่า ใครๆ ก็ตามที่ไปเกิดในภพทั้ง ๓ แล้วจะต้องตายทั้งสิ้น
๑๖.เจ้าหน้าที่ทรมานสัตว์ โดยการค่อยๆ ตัดอวัยวะต่างๆ ออกทีละน้อย หมายถึงชรา ความแก่ เจ้าหน้าที่ปล่อยสัตว์ร้ายกัดนักโทษให้ตาย หมายถึงพยาธิความเจ็บป่วย เพชฌฆาตผู้ประหารชีวิตนักโทษโดยตรง หมายถึง มรณะความตาย