[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 16 ธันวาคม 2553 17:08:48



หัวข้อ: ล่ามองค์ทะไล ลามะ “พระพุทธเจ้าในตัวคุณ”
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 16 ธันวาคม 2553 17:08:48
(http://i431.photobucket.com/albums/qq32/arsom/Flower/1220.jpg)


ล่ามองค์ทะไล ลามะ “พระพุทธเจ้าในตัวคุณ”


แม้ในเทศกาลศิลปวัฒนธรรมทิเบตเมี่อเร็วๆ นี้ น้องสาวขององค์ทะไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณแห่งทิเบตจะไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมงานวัฒนธรรมในเมืองไทยได้ แต่คราวนี้ Geshe Damdul Numgyal ล่ามองค์ทะไล ลามะ มีโอกาสเดินทางมาบรรยายธรรมในเมืองไทย

 ท่านบวชเรียนตั้งแต่เรียนจบไฮสคูล และศึกษาพุทธปรัชญาตามแนววัชรยาน ท่านเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่ทำงานเผยแพร่พุทธศาสนาวัชรยาน และทำงานให้องค์ทะไล ลามะ ท่านมีโอกาสพบปะคนจากทั่วโลกที่เดินทางไปที่ธรรมศาลา ประเทศอินเดีย

 การเดินทางมาคราวนี้ นอกจากบรรยายธรรม ยังนำปฏิบัติภาวนาแบบทิเบต ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้ากล่าวว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางในการเข้าถึงความสุขคือ อวิชชาหรือความไม่รู้

 “ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ ล้วนเกิดจากความไม่รู้ทั้งสิ้น ยกตัวอย่าง หากห้องนี้มีแต่ความมืด แล้วคุณอยากอ่านหนังสือ ก็ต้องมีแสงสว่าง ดังนั้นคุณต้องเริ่มต้นจุดเทียน เพื่อนำแสงสว่างเข้ามา ถ้าเราประจักษ์เรื่องนี้ เราต้องเริ่มต้นที่จะให้มีแสงสว่างในปัญญา ความมืดก็จะหายไป

 หนทางที่จะหลุดพ้นก็คือ การบ่มเพาะแสงสว่างแห่งปัญญา เราต้องศึกษาเรื่องใกล้ตัวเพื่อที่จะพบความสุขที่แท้จริง พระพุทธเจ้ากล่าวว่า จงนำถ้อยคำของท่านไปปฏิบัติเถอะ อย่ามานับถือหรือศรัทธาในตัวท่าน ขอให้ผู้ปฏิบัติได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง”

 ไม่ว่าพุทธนิกายใดก็ตาม ท่านชี้ว่าต้องแสวงหาแก่นแท้ของพุทธะให้เจอ ชาวพุทธต้องตั้งคำถาม ไม่ใช่เชื่อเพราะการบอกต่อ สิ่งหนึ่งที่พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ค้นหาก็คือ ความจริงแท้

 “ไอน์สไตน์บอกว่า ศาสนาที่ก้าวไปพร้อมๆ กับวิทยาศาสตร์ก็คือ พุทธศาสนา หลายปีที่อาตมาได้ศึกษาพุทธปรัชญา อาตมาสนใจสิ่งที่ไอน์สไตน์กล่าวเขาพูดถึงทฤษฎีสัมพันธภาพ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของพื้นที่และเวลา”

 ท่านยกตัวอย่างเรื่องความสัมพันธ์ต่างเวลาต่างสถานที่ของคนสองคน คนหนึ่งขับยานอวกาศขึ้นไปนอกโลกใช้เวลา ๑๐ นาที ส่วนคนบนโลกที่รอคอยใช้เวลา ๓๐ ปี ทำไมเวลาของทั้งสองแตกต่างกัน

 "หลายคนอาจคิดว่า เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเราคิดถึงเวลาที่แน่นอนตายตัว ไม่ได้มองในแง่ทฤษฎีสัมพันธภาพ ในมุมพุทธไม่มีสิ่งใดตายตัว ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องสัมพันธ์อิงอาศัยซึ่งกันและกัน พระพุทธเจ้าบอกว่า ทุกๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์เกิดขึ้นจากอวิชชา มนุษย์คิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องตายตัวและแน่นอน พระพุทธเจ้าจึงให้เรามองสภาวะความเป็นจริงที่เกิดขึ้น อย่ามองตายตัวว่าต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ให้มองอย่างเป็นเหตุปัจจัยมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ซึ่งเป็นจุดร่วมของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่”

 นอกจากการอธิบายพุทธตามแนวทางทฤษฎีสัมพันธภาพแล้ว ท่านยังอธิบายตามแนวควอนตัมฟิสิกส์อีกว่า ตามหลักของทฤษฎีนี้ ก็คือภาวะของสิ่งที่สังเกตกับตัวผู้สังเกต

 “เรื่องควอนตัมมีจุดร่วมกับสิ่งที่ศาสนาพุทธกล่าว คือ สิ่งที่เราสังเกตเห็นมีความสัมพันธ์กับวิธีคิด ในศาสนาพุทธทุกอย่างที่เป็นไปและเกิดขึ้นในชีวิตมาจากจิตใจของเราทั้งสิ้น ยกตัวอย่างตอนที่คุณมองอาตมา คุณคิดว่าอาตมาไม่เกี่ยวข้องกับคุณเลย ซึ่งเป็นการมองที่ผิดในแง่มุมศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ความทุกข์ทั้งมวลที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ ไม่ว่าความโกรธ ความเกลียด ความชังมาจากวิธีคิดของคุณทั้งนั้น แต่เมื่อใดที่คุณคิดว่าสิ่งนั้นเป็นเช่นนั้นเอง คุณมองตามความเป็นจริง ความทุกข์ทรมานก็จะหายไป”

 จากเหตุผลดังกล่าว ท่านบอกว่า ภาวะพุทธะมีอยู่ในทุกคน เราสามารถเป็นพระพุทธเจ้าด้วยตัวของเราเอง

 ระหว่างที่ล่ามขององค์ทะไล ลามะบรรยาย ท่านย้ำว่า ถ้ามีคำถามสามารถขัดจังหวะการพูดคุยได้ตลอดเวลา

 ท่านย้อนถามว่า ทำไมจิตเดิมแท้จึงมีความบริสุทธิ์ ลองนึกถึงธรรมชาติของน้ำ ทำไมน้ำสกปรกสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำสะอาดโดยการเติมสารเคมีบางอย่างลงไป แต่ทำไมถ่านหินสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาวไม่ได้

 “เพราะธรรมชาติเดิมแท้ของน้ำ ไม่ใช่สิ่งสกปรก จึงแยกสิ่งปนเปื้อนออกจากน้ำได้ แต่สภาพเดิมแท้ของถ่านหิน มีเนื้ออะตอมเป็นสีดำ ดังนั้นธรรมชาติเดิมแท้ของจิต เป็นจิตใจของพุทธะ เป็นความบริสุทธิ์ สิ่งสำคัญคือ เราต้องแยกภาวะด้านลบหรือกิเลสออกไป เพื่อพบกับภาวะเดิมแท้”

 อย่างไรก็ตาม ท่านย้ำว่าต้องมีความเพียรพยายามในการปฏิบัติ คุณสามารถกลายเป็นพระพุทธเจ้าด้วยตัวของคุณเอง ศาสนาพุทธจึงต่างจากศาสนาอื่นที่ต้องบูชาและสักการะพระพุทธเจ้า แต่การสักการะไม่ได้เปลี่ยนให้คุณเป็นพระพุทธเจ้าด้วยตัวเอง

 “เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะจะประเสริฐหรืองดงามขึ้นอยู่กับการบ่มเพาะของคุณเอง จึงมีคำถามอีกว่า ต้องใช้ความพยายามแค่ไหน แล้วปัญญาที่จะให้เราได้เป็นพระพุทธเจ้าคือ ปัญญาแบบไหน”

 ท่านบอกว่า ต้องเป็นปัญญาหรือความฉลาดที่จะเห็นหรือรู้ได้ว่า ทุกๆ สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน แม้ความทุกข์หรือความสุขในตัวผู้อื่น ก็มีความสัมพันธ์กับคุณ

 “ลองจินตนาการเรื่องราวของคุณแม่สองคนนี้...แม่คนหนึ่งมีลูกคนเดียว แม่อีกคนมีลูกสิบคน แม่คนแรกทำงานแค่สองสามชั่วโมงก็สามารถเลี้ยงดูลูกได้ แต่แม่คนที่สองต้องทำงานหนัก มุ่งมั่นกระตือรือร้นมากกว่า เพราะเธอมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่กว่า

 แต่ปรากฏว่า แม่คนที่สองประสบความสำเร็จมากกว่า เมื่อลูกทั้งสิบเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แล้วนำของกำนัลสิบอย่างมาให้ เธอรู้สึกมีความสุขมาก

 “ขณะที่แม่คนแรกได้รับความเบิกบานอย่างเดียวจากลูกคนเดียว ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนคุณมองการหลุดพ้นด้วยนิพพานลำพังตัวคุณเอง คุณก็จะได้รับเบิกบานเฉพาะตัวคุณเท่านั้น แต่ถ้าคุณคิดว่าจะมอบความสุขให้สรรพชีวิตทั้งหมดทั้งปวง คุณก็จะได้รับความสุขไม่มีที่สิ้นสุด เราเรียกว่า ภาวะโพธิจิต  เป็นสภาวะความรักแบบไร้เงื่อนไขกับทุกๆ สิ่งที่ดำรงอยู่ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ก็จะให้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกัน”

 ท่านอธิบายต่อว่า ไม่มีจิตใจใดจะงดงามมากไปกว่าภาวะแห่งโพธิจิต เพราะต้องการช่วยเหลือทุกๆ ชีวิตอย่างไร้เงื่อนไข และด้วยแรงปรารถนาที่จะช่วยเหลือสรรพชีวิตให้หลุดพ้น ประกอบกับปัญญาหรือความรู้อย่างลึกซึ้ง

 "คุณภาพทั้งสองสิ่ง ทำให้เรามีความงดงามแห่งพุทธะ"

เรื่อง  : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20100315/52093/ (http://www.komchadluek.net/detail/20100315/52093/)ล่ามองค์ทะไลลามะ“พระพุทธเจ้าในตัวคุณ”.html

http://skyd.org/site/view.php?group=4&aid=758 (http://skyd.org/site/view.php?group=4&aid=758)


หัวข้อ: Re: ล่ามองค์ทะไล ลามะ “พระพุทธเจ้าในตัวคุณ”
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 16 ธันวาคม 2553 23:03:17
สาธุ ขอบคุณ อ.มด ครับ