[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 30 เมษายน 2558 12:09:24



หัวข้อ: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 30 เมษายน 2558 12:09:24
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๑ ตัดกังวล


โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้พากันสมาทานศีล และสมาทานพระกรรมฐานแล้ว การเจริญพระกรรมฐานสำหรับวันนี้มีภาวะไม่เสมอกัน เพราะคนเก่าบ้างคนใหม่บ้าง ฉะนั้นวันนี้จะขอพูดในเรื่องกิจเบื้องต้นของพระกรรมฐาน ตอนสุดท้ายอาจจะพูดในตอนจบ

การเจริญพระกรรมฐานมีอยู่ ๒ แบบ แบบที่ ๑ คือ สมถภาวนา แบบที่ ๒ ได้แก่ วิปัสสนาภาวนา สำหรับสมถภาวนานี้ เรามีความต้องการอย่างเดียวคือ ทรงสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ ที่เรียกกันว่าจิตมีสมาธิ สำหรับวิปัสสนาภาวนานั้นใช้ปัญญาเป็นเครื่องภาวนา ตามความเป็นจริงของขันธ์ห้า เรียกว่า พยายามยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง นั่นเป็นบทของวิปัสสนาภาวนา
 
การเจริญกรรมฐานเบื้องต้นก็จำต้องใช้สมถภาวนา คือควบคุมอารมณ์จิตให้ทรงอยู่ ถ้าสมถภาวนาของเราไม่ทรงตัว เราจะเห็นว่าวิปัสสนาภาวนาก็ไม่มีผล ถ้าหากว่าเราทรงจิตทรงสมถะทรงสมาธิได้มั่นคง ได้ถึงฌาน ๔ การเจริญวิปัสสนาภาวนาก็แสนง่าย การที่จะบรรลุมรรคผลก็กำหนดเวลาได้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้ามีบารมีแก่กล้าก็จะได้สำเร็จอรหัตผลภายใน ๗ วัน ถ้ามีบารมีอย่างกลางก็จะได้สำเร็จอรหัตผลภายใน ๗ เดือน ถ้ามีบารมีอย่างทรามที่สุดก็จะได้บรรลุอรหัตผลภายใน ๗ ปี
 
คำว่าบารมีในที่นี้ก็ได้แก่กำลังใจ ถ้าเรามีกำลังใจครบถ้วนก็ได้ชื่อว่ามีบารมีเต็ม

การที่จะใช้ศัพท์ว่า เรามีบารมีอ่อน อันนี้ไม่เป็นความจริง เดิมทีก่อนจะเกิดมาถ้าจะมีบารมีอ่อนอาจจะเป็นไปได้ แต่ว่าบารมีนี่เราสร้างใหม่กันได้ ถ้าเกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนายังบอกว่าอ่อนอีกก็แสดงว่าขี้เกียจมากเกินไป ไม่รู้จักควบคุมกำลังใจ ปล่อยไปตามสภาวะของกิเลสมันจะมีผลอะไร แล้วมานั่งบ่นมันก็ไม่เกิดประโยชน์ ชาวบ้านเขาทำได้ เราทำไม่ได้ จะมานั่งบ่นว่าทำไม่ได้ก็เพราะว่าเรามันดีไม่พอ ใช้กำลังใจเป็นสำคัญ การจดจำถ้อยคำ คำแนะนำสั่งสอน

การมีวิริยะ อุตสาหะมีสติปัญญาควบคุม อันนี้เป็นของสำคัญ การเจริญสมถภาวนาในตอนต้น ตอนต้นหรือตอนปลายมีสภาวะเหมือนกัน นั่นก็คือ  

อันดับแรก จงอย่าสนใจกับอารมณ์ภายนอกทั้งหมด เรื่องราวของชาวบ้านต่างๆ ยกประโยชน์ไป เราไม่สนใจ เรื่องราวของเราก็เหมือนกัน ตัดความกังวลเสียให้หมด ที่เรียกว่าปลิโพธ

พระพุทธเจ้าบอกว่าอันดับแรก จงตัดความกังวลทิ้งเสียให้หมด ดำริไว้อย่างเดียว คือกำหนดจิตจับเฉพาะอารมณ์สมถภาวนาที่เราต้องการ อารมณ์อย่างอื่นเราไม่ต้องการทั้งหมด นี่ต้องทำอย่างนี้มันถึงจะมีผล ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าภาวนา สักแต่ว่าพิจารณา อย่างนี้ทำเท่าไรมันก็ไม่มีผล จงจำให้ดีอันดับแรกจงตัดความกังวลเสียให้หมด กังวลภายนอกและกังวลภายใน คือกังวลเรื่องของคนอื่น มีบุตร ภรรยา สามี ญาติ พี่ น้อง มิตรสหาย ยกยอดทิ้งประโยชน์ไป ไม่สนใจ ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ตัวใครตัวมัน ตายแล้วก็ไม่ใช่ชวนกันไปตกนรกขึ้นสวรรค์ได้ นี่พูดถึงว่าอารมณ์ที่เราใช้ในการทรงสมาธิจิต และอารมณ์กังวลของเราก็เหมือนกัน มันจะเป็นจะตายก็ช่างมัน เราต้องการอย่างเดียว คือความบริสุทธิ์และความตั้งมั่นของจิต ไม่ใช่มีสัญลักษณ์อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมาทางกายก็ระแวงโน่นระแวงนี่ กลัวจะเป็นอย่างนั้น กลัวจะเป็นอย่างนี้ อารมณ์จิตเป็นอย่างนี้จะเจริญสักกี่โกฏิชาติมันก็ไม่มีผล
 
แล้วต่อมาประการที่สองงง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ศีลห้าก็ดี ศีลแปดก็ดีที่เราสมาทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันดับต้นศีลห้าเป็นของสำคัญที่สุด จะใช้คำว่าไม่สามารถไม่ได้ เราต้องเป็นผู้สามารถเสมอในการทรงศีล จะมาเอาสาเหตุใดมาอ้างว่ามันจำเป็นอย่างนั้นจำเป็นอย่างนี้ อันนี้ไม่ใช่ เพราะทางการเจริญพระกรรมฐานมองไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องละเมิดศีล ประการที่สองนี้ พระพุทธเจ้าทรงให้ทรงศีลให้บริสุทธิ์ คือ
   ๑. เราจะไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง หรือว่าทำลายศีลด้วยตนเอง
   ๒. เราไม่ยุให้ชาวบ้านทำลายศีล
   ๓. เราจะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว
 
นี่เป็นหลักใหญ่ ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่ฟังแล้วก็ลืม ต้องทำให้ได้ด้วย จำให้ได้ด้วย และทำให้ได้ด้วยจึงจะมีผล เพียงแค่นี้ยังมีผลแค่สะเก็ดเท่านั้น

เมื่อทรงศีลให้บริสุทธิ์แล้ว พร้อมกันนั้นจิตก็ต้องระงับนิวรณ์ห้าประการ นิวรณ์ห้าประการคือ ความต้องการในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสตามความประสงค์ และอารมณ์หมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์คือ พอใจอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อารมณ์ประเภทนี้ต้องทิ้งไปไม่เอา
- แล้วประการที่สอง ต้องระงับความโกรธ ความพยาบาท
- ประการที่สาม ระงับความง่วงเหงาหาวนอน
- ประการที่สี่ ควบคุมกำลังจิตให้คิดเฉพาะอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เราต้องการ ไม่ปล่อยให้อารมณ์ฟุ้งซ่านและรำคาญในเสียง
- ประการที่ห้า ไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นหลักอันหนึ่ง ยังไม่จบ
 
แล้วประการต่อไป พระพุทธเจ้าให้ทรงจิตให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ คือแผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งหมด เราจะไม่ไปเป็นศัตรูกับใคร เราจะเป็นมิตรกับสัตว์และบุคคลทั้งหมด จิตใจเราจะมีความชุ่มชื่นมองไม่เห็นว่าใครเป็นศัตรูของเรา ผลของเมตตา แปลว่าความรัก เรามีความรักในเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เสมอด้วยตัวเรา
 
ประการที่สอง กรุณาความสงสารปรารถนาจะให้มีความสุข เรามีอารมณ์จิตคิดอยู่เสมอว่า เรามีความต้องการจะเกื้อกูลบุคคลอื่นและสัตว์อื่นที่มีความทุกข์ให้มีความสุข ตามความสามารถที่เราจะพึงทำได้ ถ้าแนะนำเองไม่ได้ สงเคราะห์เองไม่ได้ ก็แนะนำให้ไปหาบุคคลที่มีความสามารถที่เขาจะช่วยได้สงเคราะห์ได้
 
ประการที่สาม มุทิตา มีจิตอ่อนโยน คือระงับความอิจฉาริษยาเสีย ตัดโยนทิ้งไป เมื่อใครได้ดีก็พลอยยินดีกับความดีนั้นด้วย
 
สี่ อุเบกขา ความวางเฉย กฎของกรรมใดๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายหรือหมู่คณะ มันเป็นเหตุที่เราปฏิเสธไม่ได้ อย่างความแก่ ความเจ็บ ความตาย กับการพลัดพรากจากของรักของชอบใจอย่างนี้เป็นต้น มันเป็นของธรรมดา ในเมื่อมันเกิดขึ้นมากับตัวเรา กับหมู่คณะก็ตามวางเฉย ถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
 
ในเมื่อท่านทั้งหลายทรงคุณธรรมตามที่กล่าวมา คือ
   ๑. ตัดปลิโพธทั้งหมด
   ๒. ทรงศีลบริสุทธิ์
   ๓. ระงับนิวรณ์ห้าประการได้เด็ดขาดในขณะที่ทรงสมาธิ
   ๔. ทรงพรหมวิหารสี่ได้
 
อย่างนี้องค์สมเด็จพระศาสดาทรงตรัสว่า ท่านทรงความดีแค่เปลือกของพระศาสนา วัดตัวเราให้ดี วัดใจให้ดีว่าเวลานี้เราทรงความดีเข้าถึงเปลือกของพระศาสนาแล้วหรือยัง จุดนี้จุดเปลือกนี่เป็นจุดที่สำคัญที่สุด ต้องระมัดระวังให้มาก ต้องให้ทรงตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทรงศีลหรือทรงพรหมวิหารสี่ ไม่ใช่จะมาทรงอยู่เฉพาะสมาทานพระกรรมฐานเท่านั้น สำหรับศีล พรหมวิหารสี่กับการตัดปลิโพธ ความกังวล จะต้องทรงอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง พูดกันง่ายๆ ว่าทรงอยู่ตลอดชีวิต ทุกเวลาทุกนาทีและทุกวินาที นี่ต้องคุมจิตแบบนี้

สำหรับนิวรณ์ห้าประการนี้เป็นของธรรมดา เดี๋ยวเราก็ชนะมัน เดี๋ยวมันก็ชนะเรา แต่ก็พยายามควบคุม เข้าไม่ช้ามันก็จะเป็นลูกไล่สำหรับเรา คือเราชนะมัน คือเป็นผู้ทรงฌาน ถ้าท่านไม่สามารถจะระงับนิวรณ์ห้าได้ เรื่องสมาธิก็ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ เราจะมีสมาธิเข้าถึงปฐมฌานได้ เพราะเราระงับนิวรณ์ห้าประการได้ การระงับได้วันหนึ่งชั่วขณะหนึ่งก็ใช้ได้ แต่ก็ยังไม่ดี ทางที่ดีแล้วจะต้องระงับนิวรณ์ได้ตลอดวัน นี่มันถึงจะดี
 
การจะระงับนิวรณ์จะทำอย่างไร ถ้าเราชอบใจในของสวยสดงดงาม เราก็เจริญอสุภกรรมฐานหรือกายคตานุสสติ ถ้าหากว่าเราจะปราบโทสะ คือความโกรธหรือความพยาบาทก็ใช้พรหมวิหารสี่ หรือใช้วรรณกสิณสี่ คือกสิณสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่ง
 
เราระงับความง่วงด้วยการเดินบ้าง เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ลืมตาให้กว้างบ้าง เอาน้ำล้างหน้าบ้าง เอามือขยี้ตาบ้าง แหงนดูดาวบ้าง ถ้าหากอารมณ์จิตฟุ้งซ่านไม่ทรงตัวอยู่ให้นับลมหายใจเข้าออก
 
ถ้าความสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีขึ้น เราก็นั่งดูตัวเราว่า พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เมื่อมีความเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็มีความเปลี่ยนแปลง แล้วก็มีความสลายไปในที่สุด มาดูตัวเราเวลานี้โตเท่าพ่อเท่าแม่ เวลาคลอดมาใหม่ๆ โตเท่านี้หรือเปล่า ถอยหลังไป ๑๐ ปี ๒๐ ปี เราแก่เท่านี้ไหม เท่านี้เราก็จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านเทศน์ถูก แล้วคนที่เกิดมาแล้วไม่ตายเราเห็นบ้างไหม สัตว์และคนเหมือนกัน ถ้าสิ่งนี้มันจริงเราก็เลิกสงสัยได้

พระพุทธเจ้าท่านสอนจริง นี่เป็นหลักใหญ่ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาและสมถภาวนาด้วย
 
หลักทั้งหมดนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหมดหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะขอยกงดเว้นข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้เลย นี่พูดถึงว่าเราจะเอาดีกัน ถ้าเราไม่เอาดีกันก็ไม่เป็นไร แล้วก็อย่ามานั่งบ่นว่าการเจริญพระกรรมฐานทำมาตั้งสามปี สี่ปี ห้าปี ไม่มีอะไรเป็นผล ที่ไม่มีอะไรเป็นผลก็เพราะว่าเราไม่สามารถจะตัดกังวลได้ ไม่สามารถจะทรงศีลให้บริสุทธิ์ได้ ไม่สามารถจะระงับนิวรณ์ทั้งห้าได้ ไม่สามารถจะทรงพรหมวิหารสี่ได้ สำหรับท่านที่เจริญกันไม่ช้าประเดี๋ยวท่านก็ถึงโน่นถึงนี่ก็เพราะว่าคุณธรรมสี่อย่างนี่ท่านครบอยู่ตลอดเวลา
 
แล้วก็ขออย่าอ้างว่าเพราะบารมีท่านมาก ควรจะอ้างว่ากำลังใจท่านดี ท่านขยันหมั่นเพียรดี คนที่อ้างว่าบารมีไม่พอ แสดงว่าขี้เกียจมากกำลังใจไม่ดี นี่ไม่มีอะไร บารมีมันเป็นของสร้างใหม่ได้ ไม่ใช่จะต้องเป็นของสร้างมาแต่ชาติปางก่อนเสมอไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครบรรลุมรรคผล
 
การที่จะเจริญพระกรรมฐานอันดับต้นก่อนที่จะภาวนา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาเอาง่ายๆ นึกถึงความตายกันก่อน เรานึกรู้อยู่เสมอว่าเราต้องตายแน่ ชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายไม่ใช่ของเรา ทั้งนี้เพราะเกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตายเหมือนกัน คำว่าแก่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าแก่หง่อม ไม่จำเป็นต้องแก่หง่อมเสมอไป การที่เราเกิดขึ้นมาแล้ววันหนึ่ง เคลื่อนไปหนึ่งนาทีสองนาที มันก็แก่ไปทุกที ทีแรกมันอ่อนปวกเปียก เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาทุกที

การที่เคลื่อนเข้ามาสู่ความเจริญ เขาเรียกว่าแก่ขึ้น พอถึงวัยยี่สิบห้าไปแล้ว ทีนี้ก็แก่ลง มันโค้งลง มันก็แก่ทั้งนั้น คำว่าแก่ของพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงต้องถือ ไม้เท้ายันเสมอไป เกิดมาวันสองวันสามวันก็ชื่อว่าแก่ นี่มีความเกิดขึ้นแล้ว ความแปรปรวนมันก็ปรากฏขึ้น คือความแก่มันปรากฏ ในที่สุดมันก็ตาย
 
ทีนี้ร่างกายของเรา เราไม่ต้องการความแก่ ไม่ต้องการความป่วย เราไม่ต้องการความลำบาก เราไม่ต้องการความตาย แต่เราต้องตายแน่ ทำอย่างไรๆ เราก็หลีกเลี่ยงความตายไม่ได้ คิดไว้เสมอว่าเราตายแน่ แล้วก็เมื่อไรจะตาย ก็คิดไว้ว่านี่เราหายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกมันก็ตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้ามันก็ตาย จะไปรอตายกันเมื่อไร ต้องคิดไว้เสมอว่าความตายมีแก่เราทุกขณะจิต เราจะต้องเป็นผู้ไม่ประมาท
 
ในเรื่องนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถตรัสถามพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์ทูลตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้านึกถึงความตายวันละ ๗ ครั้งพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ ยังห่างเกินไป ตถาคตเองนี่นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก นี่เราเอาอย่างพระพุทธเจ้า ความตายนี่ต้องคิดไว้ทุกขณะว่าเราอาจจะตายเวลานี้ แล้วเราพร้อมหรือยัง พร้อมที่จะตายแล้วหรือยัง เมื่อเราพร้อมที่จะตายแล้ว เราเลือกทางที่จะไปแล้วหรือยัง ก่อนที่จะตายนี่เราพบ พระพุทธศาสนานี่เราควรจะเลือกไปได้แล้ว

ถ้าเราเป็นคนมีกำลังใจ ไม่ขี้เกียจ มีอารมณ์จิตมั่นคง เพราะยังไงๆ มันก็จะต้องตาย ก่อนจะตายร่างกายมันเหมือนกับบ้านที่เช่าอยู่ เมื่อถึงเวลาที่จะไล่ออกก็ต้องไป แต่ก่อนจะไปก็ควรจะหาบ้านไว้เสียก่อน เราจะไปหากระต๊อบหรือบ้านเท่าเดิมหรือว่าบ้านที่ดีกว่า หรือเราจะ ไปอยู่ในตำแหน่งมหาเศรษฐี นี่เราก็จะต้องสะสมทรัพย์สินของเข้าไว้เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ถ้าเราจะไปเลวก็ไม่เป็นไร มันเลวได้ตามอัธยาศัย
 
ถ้าเราจะไปดีกว่าเดิมนี่ต้องเลือกทางไป การที่จะไปดีกว่าเดิม สำหรับทานและศีลนี่จะไม่พูดละเพราะว่าปกติอยู่แล้ว เราจะพูดเฉพาะเวลาภาวนา

นี่เป็นเกณฑ์ภาวนา ถ้าหากว่าเราภาวนาในสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาจิตตกอยู่ใน ภาวะขณิกสมาธิ ทรงอารมณ์สมาธิได้บ้างเล็กน้อยตามสมควรไม่นานนัก แล้วจิตมันกระโดดไปโน่นกระโดดไปนี่สอดส่าย ไปสู่อารมณ์อื่น พอจับได้พอรู้ตัวก็ดึงกลับเข้ามาใหม่ ภาวนาหรือจับลมหายใจเข้าออกไป ประเดี๋ยวหนึ่งมันก็กระโดดไปอีก เราก็ไม่ยอมแพ้ พอรู้ตัวก็ดึงกลับมาเล่นชักเขย้อกันอยู่แบบนี้ดึงกันไปดึงกันมา เวลาตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แบบสบาย นี่เรียกว่าเตรียมหาบ้านใหม่ รู้คุณสมบัติที่เราจะพึงได้จากการภาวนา  ถ้าจิตมีกำลังสูงขึ้นไป มีความเอิบอิ่ม มีความชุ่มชื่นทรงสมาธิได้ดีกว่า มีความสบายใจดีกว่า มีการสดใสทางจิตดีกว่า อย่างนี้ท่านเรียกว่าอุปจารสมาธิ ทีนี้ถึงแม้จิตใจจะมีความสดใสชุ่มชื่นเอิบอิ่มก็ตาม มันก็มีการโดดเหมือนกัน จิตมันก็มีการโดด ไม่ใช่ไม่โดด มันก็วิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่ พอจับได้ก็ดึงเข้ามา พอดึงเข้ามามันก็ทรงตัว มีความชุ่มชื่น มีความสบายใจ มีความรื่นเริงหรรษา พร้อมที่จะเจริญพระกรรมฐานตลอดเวลา แล้วสมาธิก็ทรงได้ดี แต่นี่ก็ไม่แน่นักวันนี้ดีพรุ่งนี้อาจจะไม่ดีก็ได้ อย่างนี้เรียกว่า อุปจารสมาธิ ถ้าทรงได้อย่างนี้พอตายแล้วไปเกิด เป็นเทวดาชั้นยามา ตั้งใจไว้ดีนะจะเอาชั้นไหนก็เอา  ทีนี้ถ้าหากเราทรงฌาน การทรงฌานเบื้องต้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งปฐมฌาน วันนี้จะพูดเฉพาะปฐมฌาน เวลาพูดมันเลยมาแล้ว การที่จะรู้ว่าจิตเราเข้าถึงปฐมฌานหรือไม่ การเข้าถึงปฐมฌานนี่มันอาจจะถึงไม่ได้นาน สักสองนาทีสามนาทีมันก็พลัดจากฌาน

อารมณ์พลัดเข้าสู่ธรรมดาที่เราเรียกกันว่าภวังค์ ศัพท์ที่เรียกว่าภวังค์ พยายามใช้ให้มันถูกภวังค์นี่ไม่ใช่แปลว่าหลับสนิท หรือไม่ใช่แปลว่าลืมตัว ภวังค์แปลว่าอารมณ์ปกติ มีความรู้อยู่เป็นอยู่ตามสภาพเดิม เรียกว่าภวังค์ นี่เคยได้ยินบ่อยๆ แต่ใช้กันไม่ถูก อย่าไปใช้มันเลยภาษาบาลีถ้าใช้ไม่เป็น มันจะเสียเรื่อง คนรู้เขาจะหัวเราะเยาะเอา
 
ถ้าจิตจะเข้าสู่ปฐมฌานให้สังเกตแบบนี้ เมื่อจิตเข้าสู่ปฐมฌานนี่เราชนะนิวรณ์ นิวรณ์ห้าระงับ จิตเข้าสู่ปฐมฌานทันที หรือว่าขณะที่เราภาวนาอยู่ก็ตามหรือพิจารณาอยู่ก็ตาม หูได้ยินเสียงภายนอกชัดเจนแจ่มใส แต่ทว่าใจเราก็ทำงานได้เป็นปกติ ไม่ดิ้นรนไปในเสียง ไม่รำคาญในเสียง อย่างนี้เรียกว่า ปฐมฌาน ปฐมฌานก็ยังมีหยาบมีละเอียดจะอธิบายก็เวลาหมดแล้ว เราทรงปฐมฌานอย่างหยาบ วันหนึ่งได้สองนาที สามนาที ห้านาที สิบนาที เรียกว่าช่าง ไม่ต้องไปตั้งเวลามันทั้งวัน ไม่ถึงปฐมฌาน จิตมันก็สู่สมาธิเล็กน้อย เมื่อจิตหยั่งดีก็เข้าสู่ปฐมฌานอาจจะได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ดึงกันไปดึงกันมา อย่างนี้เรียกว่าปฐมฌานอย่างหยาบ ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่หนึ่ง
 
ถ้ามีอารมณ์ชุ่มชื่นทรงเวลาได้มากกว่านั้นครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง อย่างนี้เป็นพรหมชั้นที่สอง ถ้าทรงอาการดีอย่างนี้ตั้งเวลาได้เลย ว่าเราจะนั่งสักสองชั่วโมง ทรงปฐมฌานเข้าปั๊บทรงได้เลย ถึงเวลาสองชั่วโมงจิตมันตัดทันที อย่างนี้เป็นปฐมฌานละเอียดเป็นพรหมชั้นที่สาม ฌานแต่ละระดับก็เป็นชั้นสูงๆ ขึ้นไป นี่เราเลือกของเราได้นี่ก่อนที่เราจะตาย ก่อนที่เราจะตายเราก็ต้องเลือกเรา จะเอาอะไร ถ้าหากว่าเราตั้งใจไม่เอาละการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือเป็นพรหมไม่ดี เราต้องการไปนิพพาน ไม่อยากเกิดอีก ทำจิตใจให้สบายด้วยอำนาจของฌาน หวนกลับมาพิจารณาว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มันเป็นแต่เพียงธาตุสี่มาประชุมกันเป็นกายชั่วคราว ไม่ช้ามันก็พังลง มันเสื่อมตลอดเวลา

ขึ้นชื่อว่าขันธ์ห้าแล้วเรา ไม่ต้องการมันอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายในการเกิดสำหรับเรา ความรักในรูป เสียง กลิ่น รส มีประโยชน์อะไร เมื่อร่างกายของเรามันไม่ดีแล้ว ร่างกายของชาวบ้านที่ไหนเขาจะดี ร่างกายเราสกปรก ร่างกายเขาก็สกปรก ในเมื่อเราต้องการสะอาด เราจะเอาร่างกายคนอื่นมาทำไมมันสกปรกนี่ แล้วก็ไม่มีการทรงตัว มีการสลายตัวไปในที่สุด เมื่อพิจารณากายของเราไม่ดี มันไม่ทรงตัวแล้ว มันจะต้องพัง

ความรักด้วยอำนาจของตัณหามันก็น้อยไป ดีไม่ดีมันก็หมดเลย เขาตัดตรงนี้ ความโลภจะตะเกียกตะกายไปเพื่อประโยชน์อะไร การหากินด้วยสัมมาอาชีวะ การหากินด้วยการเลี้ยงชีพอันชอบ พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยเรียกว่าโลภ

คำว่าโลภนี่มันต้องโกงเขายื้อแย่งเขา ทำลาย ทรัพย์สินของเขาที่มีประโยชน์ให้มันพินาศไป คือได้มาด้วยอาการไม่สุจริตนั่นเอง

อย่างนี้เรียกว่าโลภ ถ้าเราทำมาค้าขายตามธรรมดา ทำไร่ทำนา รับราชการ เป็นลูกจ้าง รับเงินเดือน เงินดาวน์ตามความสามารถ อันนี้ไม่เป็นโลภ จะได้เงินเดือนมากเท่าไรก็ตาม ค้าขายได้กำไรมากเท่าไรก็ตาม ยังไม่ชื่อว่าโลภ เว้นไว้แต่ของเลวบอกว่าเป็นของดีนี่ซิโลภ โกงเขา ทีนี้ถ้าเราจะต้องตายนี่เราจะโกงเขา เพื่อประโยชน์อะไร หากินด้วยสัมมาอาชีวะ เราตายแล้วมันก็ไม่ไปกับเรา ใจมันก็สบาย ความ โลภมันก็ตัดได้
 
ทีนี้ความโกรธอยากจะฆ่าเขา เราจะต้องตาย เขาก็จะต้องตายเหมือนกัน จะไปฆ่ามันทำไม ไม่จำเป็นจะต้องฆ่า มันตายของมันเอง
 
ทีนี้ความหลงนั่นเป็นของกูนี่เป็นของกู ก็นั่งดูแม้แต่ร่างกายของเรามันยังไม่เป็นของกูเลย เพราะว่าร่างกาย ของเรามันยังพังนี่ แล้วร่างกายคนอื่น วัตถุอื่นมันจะเป็นของเราหรือ ทรัพย์สมบัติของโลกมันเป็นประโยชน์เมื่อมีร่างกายเท่านั้น ถ้าร่างกายสลายตัวแล้ว ทรัพย์สมบัติของโลกไม่มีอะไรมีประโยชน์เลย เราจะไปหลงใหลใฝ่ฝันว่านั่นเป็นเรา เป็นของเราเพื่อประโยชน์อะไร มันไม่มี มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ตัดร่างกายทิ้งไปด้วยกำลังใจ ไม่ใช้เอามันมาเชือด เพราะร่างกายนี้มันเป็นโทษ มันเป็นทุกข์ ไม่มีประโยชน์

ขึ้นชื่อว่าขันธ์ห้าคือร่างกายอย่างนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ทำใจให้สบาย จิตมันจะเป็นสุข ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ความแก่ปรากฏก็สบายใจรู้ว่ามันจะแก่ ความป่วยไข้ปรากฎก็สบายใจรู้แล้วว่าเกิดมามันต้องป่วย ความตายปรากฎหรือการพลัดพรากจากของรักของชอบใจปรากฎไม่มีการร้องไห้ ไม่มีการเสียดายเพราะเป็นของธรรมดา ถ้าจิตของท่านยอมรับนับถือกฎของธรรมดาแบบนี้เขาเรียกว่าพระอรหันต์ อย่างนี้ก็ไปนิพพานได้ มีความสุขที่สุด
 
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทเวลาตั้งไว้สองระยะมันก็หมดทั้งสองจุดแล้ว ต่อแต่นี้ขอทุกท่านอันดับแรก จับลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 01 พฤษภาคม 2558 10:38:44
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๒ ตัดนิวรณ์

การอธิบายพระกรรมฐานคืนนี้ ก็ขอต่อเมื่อคืนนี้ เมื่อคืนนี้เราได้ย้ำกันถึงว่า จุดของการเจริญพระกรรมฐานที่จะพึงให้ได้ดีก็คือ
๑. ตัดกังวลเสียให้หมด ขึ้นชื่อว่ากังวลภายนอกได้แก่บุคคลอื่น นอกจากตัวเราหรือว่าวัตถุ กังวลภายในได้แก่ร่างกายของเรา ตัดทิ้งไปเสียเลย ถือว่าภาระอันนี้เราไม่มีอีก เรามีแต่เฉพาะอย่างเดียวคือ คุมจิตให้เป็นสมาธิ หรือว่าใช้ปัญญาพิจารณารับรองความรู้ตามความเป็นจริง
๒. เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
๓. ระงับนิวรณ์ห้าประการ และ
๔. ทรงพรหมวิหารสี่


นี่เป็นหลักใหญ่ในการควบคุมกำลังใจ ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะควบคุมกำลังใจได้ตามนี้ การเจริญพระกรรมฐานก็ไม่มีผล กฎสี่ประการนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนจะต้องรักษาไว้ให้ได้จะต้องทรงไว้ให้ได้ด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ถ้ากฎสี่ประการนี้ประจำจิตของท่านบรรดาพุทธบริษัททุกขณะจิต จนเป็นเอกัคตารมณ์คือมีอารมณ์ทรงตัว ขึ้นชื่อว่ากังวลไม่มี มีศีลบริสุทธิ์ ระงับนิวรณ์ห้าได้ตามกำลังใจที่เราต้องการ จิตทรงพรหมวิหาร ๔ ตลอดวัน อย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เข้าถึงเปลือกของความดีของพระพุทธศาสนา นี่เราได้แค่เปลือกเท่านั้น ๔ ประการนี่ทีนี้การทรงความดีระดับเปลือก วันนี้ก็ขอพูดต่อ

การทรงความดีระดับเปลือก ความจริงระดับเปลือกนี่เป็นฌาน ๔ ถ้าเราไม่สามารถจะทรงฌาน ๔ ได้ เราก็ยังไม่ถึงเปลือก เว้นไว้แต่เพียงว่า ถ้าจิตเราเข้าถึงปฐมฌานแล้วก็ทรงวิปัสสนาญาณได้ นี่เข้าถึงแก่น ถ้าแม้ว่าอารมณ์จิตจะไม่เข้าถึงฌาน ๔ แต่เป็นแต่เพียงปฐมฌาน แต่ว่าจิตทรงวิปัสสนาญาณได้ตัดสังโยชน์ตั้งแต่สังโยชน์สามขึ้นไป อย่างนี้ชื่อว่าถึงแก่นเป็นสาระเป็นแก่นสารอย่างยอดเยี่ยมที่พระพุทธเจ้าต้องการ

การจะทรงอารมณ์ได้ เราจะไม่พูดกันถึงพวกศีล พวกอะไรต่อไปอีก อันดับแรก เราต้องการทรงสมถภาวนา สมถภาวนานี่แปลว่า อุบายเป็นเครื่องสงบใจ เป็นกำลังสำคัญใหญ่สำหรับนักปฏิบัติเพื่อความดี ถ้าจิตใจของเราไม่สงบเสียแล้ว ความกังวลมันก็เกิดศีลมันก็ไม่ทรงตัว การจะทรงพรหมวิหาร ๔ มันก็ไม่เป็นไปตามความมุ่งหมาย จะเจริญวิปัสสนาญาณก็ไม่ได้ผล ความสงบนี่จึงชื่อว่าเป็นตัวทรงไว้ทั้งศีลทั้งสมาธิและปัญญา มีความสำคัญมากจัดว่าเป็นกำลังใหญ่

การที่เราจะสงบจิตทำยังไง? ก็มองดูหน้าของนิวรณ์ ตอนนี้เราศึกษากันด้านนิวรณ์ ถ้าอารมณ์ใจของเราที่พอใจในรูปสวย รสอร่อย กลิ่นหอม หรือว่าเสียงเพราะอย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าพอใจในเรื่องสวยสดงดงามก็แล้วกัน ของสวย คนสวย สัตว์สวยใช้ได้หมด คือว่าสวย เราข้องใจอยู่ในสวย เราสวยคนอื่นสวย มันก็เหมือนกัน รวมความว่าจิตพอใจในความสวยสดงดงาม พระพุทธเจ้าให้ระงับอารมณ์นี้ด้วยกายคตานุสสติและอสุภกรรมฐาน ต้องใช้อารมณ์ถูก นี่เราว่ากันถึงนิวรณ์ ถ้าเราปราบนิวรณ์ได้จิตเราก็เข้าถึงปฐมฌานได้ การเจริญพระกรรมฐานไม่จำเป็นเฉพาะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งตลอดกาลตลอดสมัย ให้เป็นไปตามอารมณ์ที่เกิด แต่สิ่งที่ใช้โดยเฉพาะก็มีอยู่ ประเดี๋ยวจะกล่าวให้ฟัง 

เมื่อจิตมีความรักสวยรักงามเกิดขึ้นก็ให้ใช้พิจารณาในด้านอสุภกรรมฐานเป็นสำคัญ

อสุภะแปลว่าความไม่สวยไม่งาม นี่พระพุทธเจ้าให้มองตามความเป็นจริง ไอ้สิ่งที่เราเห็นว่าสวยนี่ มันสวยจริงๆ หรืออย่างไร ถ้าเราเห็นคนสวย คนสวยถ้าสวยจริงๆ มันต้องไม่สกปรก ถ้าลงสกปรกแล้วจะให้มันสวยยังไงก็ใช้ไม่ได้ แม้คนก็ดี สัตว์ก็ดีเราเห็นว่าสวย เราก็มองดูหาความจริง ถ้ามันสวยจริงๆ ดีจริงๆ สะอาดจริงๆ ละก็ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องชำระร่างกายปล่อยมันเป็นอย่างนั้นร่างกายจะทรงความดีอยู่ตลอดเวลา นี้คนก็ดีสัตว์ก็ดีที่เราว่าสวยนะ ต้องชำระร่างกายหรือเปล่า นี่ดูกันแบบผิวเผินที่เราจะเห็นกันได้ง่ายๆ คราวนี้ถ้าหากว่าจะไม่อาบน้ำสัก ๗ วัน นี่มันก็ทนไม่ไหว เจ้าตัวเองมันก็ทนไม่ไหว มันเกรอะกรังไปด้วยเหงื่อไคลเต็มไปด้วยความโสโครก จะมาเอาสวยอะไรกันตรงนี้ นี่ใจของเรามันหลอกตัวเอง ไอ้ของที่มันไม่ดีไปหาว่ามันดี มันก็ลงนรกกัน ที่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง นี่หมุนกันไปหมุนกันมาอย่างนี้ ก็เพราะไอ้ความโง่ของจิตของเลวหาว่าเป็นของดี

คราวนี้มองเข้าไปอีกที ทั้งคนและสัตว์ ทะลุหน้าเข้าไปหาเนื้อ ถ้าเราลอกหนังกำพร้าออกหมดจะมีสภาพเป็นอย่างไร สิ่งที่เราคิดว่าสวย สิ่งที่เราคิดว่าดี นี่มันติดอยู่ที่หนังกำพร้านิดเดียวนี่เท่านั้น ถ้าลอกเข้าไปแล้วมันจะพบกันเลือด น้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองปรากฏอยู่ภายใน เลิกเนื้อขึ้นไปมีโครงกระดูก เหลือแต่ตับไตไส้ปอดอาหารใหม่อาหารเก่ามี เครื่องจักรกลทั้งหลายภายใน นี่หาจุดนี้ให้มันพบหาความจริง เราเจริญพระกรรมฐานนี่เราค้นคว้าต้องการหาความจริง แล้วลองคิดดูซิว่า ถ้าสภาวะมันเป็นอย่างนั้นนะ ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ร่างกายมันสกปรกหรือมันสะอาด ถ้าสภาวะมันเป็นอย่างนั้นนะ ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ร่างกายมันสกปรกหรือมันสะอาด ถ้าเราไม่สามารถจะมองเห็นภายในได้ จิตมันดื้อ ก็สิ่งที่มันหลั่งไหลจากภายในดูมันก็แล้วกัน น้ำลายที่เราอมอยู่ในปากได้ เวลาบ้วนออกมาแล้วหยิบได้ไหม น้ำลายอยู่ในปากเรา เราอมได้เรากลืนได้พอบ้วนออกมาแล้วกลืนไปอีกได้ไหม เอ้าไม่กลืนละ เอาเข้าไปอมได้ไหม ถ้าไม่อมเราเอามือแตะแล้วมาละเลงหน้าทำได้ไหม เราก็จะบอกว่ามันสกปรก แล้วไอ้ของที่มันสกปรกเหล่านี้มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในกายเราใช่ไหม อุจจาระปัสสาวะก็เหมือนกัน เรารังเกียจว่ามันสกปรกแล้วมันมาจากไหน อุจจาระมาจากอาหารที่เราเลือกแล้วด้วยดี ของอย่างนี้ดี ของอย่างนี้อร่อย ของอย่างนี้สะอาดแก่การกิน ถ้ามันสกปรกเราก็ไม่กิน เราคิดว่ามันสะอาด แต่ความจริงมันสกปรก กินเข้าไปแล้ว เลือกแล้วด้วยประการทั้งปวง พอเวลามันเป็นกากถ่ายออกมา เอามือหยิบได้ไหมออกมาจากกายเราใช่ไหม นี่พูดถึงร่างกาย สิ่งที่สกปรกพูดกันสักสิบวันมันก็ไม่จบ พิจารณากันแต่นี้ใช้ปัญญาพิจารณาหาความจริง ตัดความรู้สึกในคำว่า เห็นว่าสวยสดงดงามสะอาดสะอ้านตามที่เราต้องการ

ถ้าเราว่ากันถึงด้านวัตถุ เราเห็นว่าสวย ก็ต้องดู วัตถุนี่ที่มันใหม่แล้วมันเก่าได้ไหม ก่อนที่มันจะเก่าถ้าเราปล่อยไว้ไม่มีอะไรปิดบัง ไม่คอยขัดสีฉวีวรรณ สักไม่กี่วันฝุ่นละอองเข้ามาจับ ความเศร้าหมองมันก็จะเกิด นี่เกิดจากอาการภายนอกเข้ามายุ่งกับมัน นี่ถ้าอาการภายนอกไม่มายุ่งกับมันปล่อยไว้นานความเศร้าหมองก็จะเกิดขึ้นเอง เพราะมันเก่ามันเสื่อมลง แล้วในที่สุดมันก็สลายตัว นี่ถ้าเราใช้ปัญญาพิจารณาอย่างนี้เป็นปกติ อารมณ์ที่รักในความสวยสดงดงามก็จะระงับไป ความดิ้นรนในความสวยงดงามก็หมดไป ถ้าความดิ้นรนอย่างนี้หมดไปก็ชื่อว่าเราชนะนิวรณ์ตัวที่หนึ่ง เรากำลังจะก้าวเข้าไปสู่ปฐมฌานซึ่งเป็นหลักชัยที่จะเจริญวิปัสสนาญาณให้ได้พระอริยเจ้า


นิวรณ์ตัวที่ ๒ ได้แก่โทสะ ความโกรธ หรือความพยาบาท ความคิดประทุษร้ายผู้อื่นที่มีในใจ อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสบอกว่า ให้ใช้เมตตากับกรุณาทั้งสองประการเข้าประหัตประหาร เมตตาความรัก กรุณาความสงสาร ให้คิดเสียว่าเขากับเรามีสภาวะเช่นเดียวกัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีความทุกข์เหมือนกัน ถ้าเขามีความผิดขึ้นมาบ้างก็จงนึกถึงจิตใจของเราว่าบุคคลทุกคนนี่ที่กระทำไปแล้วทั้งหมด ถ้าเขามีความผิดขึ้นมาบ้างก็จงนึกถึงจิตใจของเราว่าบุคคลทุกคนนี่ที่กระทำไปแล้วทั้งหมด จะพูดก็ดี จะทำก็ดี ก็คิดว่ามันดีจึงทำ ถ้าหากว่าเขารู้ว่ามันเลว มันจะเป็นเหตุความเดือดร้อน ก็ไม่ทำแต่ทำไมถึงได้ทำความชั่ว ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตที่เป็นอกุศล อกุศลจิตคือความเลวมันเข้ามาสิงใจ คล้ายกับผีสิง มันย้อมใจให้มัวเมาเข้าใจว่าความเลวเป็นความดี คนที่ถูกผีสิงหรือผีคือกิเลสสิงแบบนี้ ก็เป็นการสมควรแก่การให้อภัย เห็นเขาทำผิดไม่ผิดระเบียบวินัยก็ชื่อว่าเราให้อภัยได้

สำหรับส่วนตัว ถ้าผิดกฎหมายผิดวินัยผิดระเบียบอันนี้ต้องลงโทษตามวินัยตามระเบียบ ไม่ใช่ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะว่าระเบียบและวินัยทั้งหมดเขาวางไว้เพื่อให้บุคคลทำความดี นี่ถ้าไปละเมิดเข้าก็แสดงว่าชั่ว ถ้าเราไม่ลงโทษก็แสดงว่า เราปล่อยให้เขาชั่วตลอดไป อย่างนี้ก็ไม่ชื่อว่ามีจิตเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร คนที่รักกันสงสารกันจะต้องระมัดระวังกันไว้ไม่ให้ใครชั่วไม่ให้ใครเลว การลงโทษตามระเบียบตามวินัยถือว่าเป็นการเมตตาปรานี เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำความชั่ว ในเมื่อเรามีความรักความสงสารแล้ว ไอ้ความโกรธความพยาบาทคิดประทุษร้ายมันก็ไม่มี

ถ้าอารมณ์รักอารมณ์สงสารประเภทนี้เราทรงใจไม่อยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูก็มีวิธีแนะนำอีก ให้ใช้กสิณ ๔ อย่างคือกสิณสี เรียกว่าวรรณกสิณ คือกสิณสีแดง สีเหลือง สีขาว สีเขียว อย่างใดอย่างหนึ่งจับเข้าไว้ให้เป็นอารมณ์ ให้จิตทรงในภาพกสิณนั้นไว้ก็สามารถที่จะทำลายโทสะจริตได้ เมื่อจิตใจของเราทำลายโทสะจริตได้ ก็จะมีแต่อารมณ์เยือกเย็น เพราะโทสะเป็นอารมณ์เร่าร้อน ถ้าเราทำลายเสียได้ก็จะมีแต่ความเย็น จิตจะมีความสุข จะทรงสมาธิอยู่ได้นาน เรียกว่าเราก็ใกล้จะถึงนิพพานเต็มที่เข้าไปแล้ว แม้แต่จะเจริญสมถภาวนา

นิวรณ์ตัวที่ ๓ ความง่วงเหงาหาวนอน ตัวนี้แก้ไม่ยาก ให้ลืมตาให้กว้างบ้าง เอามือขยี้ตาบ้าง เอาน้ำล้างหน้าบ้าง แหงนดูดาวบ้าง เดินไปเดินมาบ้าง นี่ตามวิธีที่พระพุทธทรงแนะนำแก่พระมหาโมคคัลลานะ เพราะว่าพระมหาโมคคัลลานะไปปฏิบัติกับพระพุทธเจ้า ท่านนั่งหลับนั่งง่วง พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้ปฏิบัติตามนี้ นี่ถ้าอารมณ์อย่างนี้เกิดขึ้นก็แก้แบบนี้

นิวรณ์ตัวที่ ๔ คือ อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงแนะนำให้ใช้อานาปานุสสติกรรมฐานโดยเฉพาะไม่ต้องภาวนาบทใด ๆ ทั้งหมด ถ้าขืนไปภาวนาหรือพิจารณาเข้าไปไอ้จิตมันซ่านอยู่แล้วก็จะช่วยกันซ่านใหญ่ ท่านให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออกเอาเพียงเท่านี้ จับเฉพาะลมหายใจเข้าหายใจออก ถ้าจับอย่างนี้มันยังไม่อยู่ เอาละ ไม่เอาเฉยๆ เอานิมิตเข้าไปด้วย นิมิตอันนี้ไม่ใช่ภาพ หายใจเข้าหายใจออกหนึ่งคู่นับเป็น ๑ นับไปด้วยหายใจเข้าหายใจออกนับเป็น ๒ เป็นคู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ ถึงคู่ที่ ๑๐ ตั้งเกณฑ์ไว้ว่าตั้งแต่ ๑ ถึง ๑๐ นี่เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตคิดอย่างอื่น เราจะจับอยู่เฉพาะลมหายใจเข้าหายใจออกเท่านั้น แล้วไม่ต้องทำมาก แค่ ๑๐ ก็เลิก ถ้าจิตมันซ่าน เพราะว่าในกาลบางครั้ง การนับมันก็ไม่ทรงตัวเหมือนกัน มันดิ้นไม่ยอมหยุด อันนี้พระพุทธเจ้าทรงแนะนำบอกว่า ถ้ามันดิ้นไม่ยอมหยุด ก็ให้เลิกเสีย ถ้าเราไม่เลิกก็มีวิธีอย่างหนึ่ง นั่นก็คือปล่อยให้มันคิดไปตามอารมณ์ มันอยากจะคิดอะไรเชิญคิดตามอัธยาศัย แล้วควบคุมกำลังใจเข้าไว้ ถ้ามันเลิกคิดเมื่อไร เราจะทรงสมาธิเมื่อนั้น ถ้าเราปล่อยอารมณ์คิดไปแบบนี้ไม่นานประมาณ ๕ นาที ๑๐ นาที ไม่เกิน ๒๐ นาที เป็นอย่างช้า อารมณ์จิตมันก็จะเหนื่อย มันจะเลิกคิด พอมันเลิกคิดเราก็มาจับเอาลมหายใจเข้าออก ตอนนี้จะมีอารมณ์ดิ่งเป็นฌานทันที แล้วก็จะทรงสมาธิอยู่ได้นาน นี่เป็นวิธีการที่จะระงับนิวรณ์ ค่อยๆ ระงับมันไป

นิวรณ์ข้อที่ ๕ ความสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้เรื่องนี้เห็นจะไม่ต้องบอก ถ้าสงสัยแล้วจะมานั่งทำเกลืออะไรกันอยู่ที่นี่เล่า ไปนอนอยู่บ้านไม่ดีกว่ารึ ข้อนี้ไม่ต้องอธิบาย เพราะคนที่มานั่งที่นี่ทั้งหมดแสดงว่าไม่มีความสงสัย เลิกกันยกยอดกันไป นี่ถ้านิวรณ์ทั้งห้าประการนี่ ถ้าเราสามารถระงับด้วยวิธีนี้ ใหม่ๆ มันก็จะระงับไม่ได้นาน สัก ๒ นาที ๓ นาที ๔ นาที ๕ นาที หรือ ๑๐ นาทีเป็นอย่างมาก ถ้า ๑๐ นาทีมันก็เก่งแล้ว อารมณ์จิตมันก็จะซ่าน เราก็จับดึงเข้ามาใหม่ มันไปไหนก็ให้มันไป มันเผลอนี่ก็ให้มันไป ไอ้จิตนี่มันซ่านมาเป็นแสนๆ กัลป์ อยู่ๆ เราก็จะมาจับให้มันนิ่งเฉยๆ มันอยู่ไม่ได้นาน เราก็ถือว่าถ้าทรงจิต เราทรงอยู่ได้บ้าง พอมันไปเรารู้ว่ามันไปใช้เวลาไม่มากนัก แล้วก็ดึงกลับเข้ามาอีกให้ทรงอารมณ์อยู่สักครู่หนึ่งมันก็หนีไปอีก อย่างนี้ก็ยังดีกว่าสภาวะเดิมที่มันไม่รู้ว่ามันท่องเที่ยวไป แสดงว่าจิตของเราเริ่มมีสมาธิแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า อาการที่ปรากฏแล้วอย่างนั้นท่านเรียกว่า ขณิกสมาธิ คือทรงได้บ้างไม่ได้บ้าง ดึงกันไปดึงกันมา แล้วก็จับเอามาทรงไว้ชั่วขณะหนึ่งมันก็ดึงออกไป ดึงออกไปแล้วคิดอะไรต่ออะไรเพลิน พอรู้สึกตัวอ้าวนี่เพ่นพ่านไปเสียแล้วรึ แล้วก็ดึงกลับเข้ามาใหม่ อย่างนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรเรียกว่าขณิกสมาธิ

เอาละสำหรับเวลากาลที่จะพูดมันก็เลยมามากแล้ว เพราะสัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว

ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น สำหรับนักปฏิบัติพระกรรมฐานใหม่ ใหม่หรือเก่าก็ตามพยายามจับลมหายใจเข้าออกให้รู้ลมเข้าลมออกอยู่ ถ้าเราจะภาวนาก็ภาวนาตามอัธยาศัย หรือว่าจะพิจารณาอะไรก็ได้ให้เป็นไปตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา



หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 11 พฤษภาคม 2558 16:08:53
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๓ พร้อมสัจจะ

โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้พากันสมาทานอุโบสถศีลและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว คำสมาทานทั้งหมดขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทถือเป็นหัวใจของการปฏิบัติ

เราสมาทานศีลจงตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ อย่าเพียงสักแต่ว่าสมาทาน แล้วการรักษาศีลให้บริสุทธิ์นี่ก็ไม่ใช่เฉพาะเวลานี้ ถือว่าการสมาทานศีลครั้งแรกในชีวิต เราก็ต้องรักษากันไปตลอดจนกว่าจะถึงวันตาย อย่างนี้จึงจะชื่อว่าใช้ได้ รวมทั้งพระทั้งเณรก็เหมือนกัน การเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ย่อมเป็นปัจจัยตัดความเดือดร้อน เรามีศีลบริสุทธิ์นึกถึงศีลเป็นปกติ

พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นผู้เจริญสีลานุสสติกรรมฐาน นี่เป็นความดีอันหนึ่งที่จะทำให้เราเข้าถึงอย่างเลวก็กามาวจรสวรรค์ หรือมิฉะนั้นก็เป็นพรหม ถ้าศีลบริสุทธิ์จริงๆ เราก็ไปพระนิพพานได้ ถ้ามีความเข้าใจในศีล

ประการที่สอง เมื่อเราสมาทานพระกรรมฐานว่า อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจัชชามิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำนี้เป็นถ้อยคำที่สำคัญที่สุด เราจงเป็นผู้ไม่ลืม ถ้าเราไม่ลืมคำนี้แล้วตั้งใจปฏิบัติตามคำนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้เอาความดีได้ไม่ยาก คำว่า มอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หมายความว่า เราจะปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสั่งสอนทุกอย่าง

พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่าอย่างไร?
พระพุทธเจ้าบอกพยายามละความชั่ว ประพฤติความดี และทำใจให้ผ่องใส การละความชั่วคือไม่ละเมิดในศีลห้า หรือศีลแปด ประพฤติความดี คือประพฤติตามนัยของศีลที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่ละเมิดแล้วก็ปฏิบัติตามศีล ทำจิตใจให้ผ่องใสก็ได้แก่การระงับจิตจากความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง

ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนเราอย่างนั้น ?
ก็เพราะว่า พระองค์ทรงทราบดีว่า อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา  ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุสี่ คือธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ประกอบเข้าเป็นเรือนร่างชั่วคราว และเมื่อเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว มันก็มีความเสื่อมโทรมลงไปทุกขณะ ประกอบเข้าเป็นเรือนร่างชั่วคราว ถ้าหากว่าร่างกายมันเป็นเราจริง เป็นของเราจริง มันก็ต้องไม่แก่ ก็ต้องไม่ป่วย แล้วก็ต้องไม่ตาย เราไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น เมื่อถึงจังหวะนั้น แล้วมันก็มีสภาพเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

ทีนี้คำว่า "เรา" คือใคร?
คำว่าเรา คือจิตที่อาศัยอยู่ในร่างกาย ร่างกายมีสภาพเหมือนบ้านเช่าชั่วคราว เมื่อหมดอายุการเช่าแล้ว เขาก็ไล่เราไป บ้านนี่ก็พัง มันเป็นบ้านชั่วคราวเท่านั้น อาการพังอย่างนี้ เราเรียกกันตามภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย

ความตายนี่มันไม่มีนิมิต มันไม่มีเครื่องหมาย มันไม่มีเวลาแน่นอน ไม่ใช่ว่าเราเกิดมาแล้วจะต้องครบอายุขัย ๗๕ ปี หรือ ๑๐๐ ปีจึงจะตาย มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น มันจะตายเมื่อไรก็ได้ คนเกิดทีหลังเราตายให้เราเห็นก็ตั้งเยอะ คนเกิดพร้อมๆ มากับเรา เขาตายให้เราเห็นก็มีมาก คนที่เขาเกิดก่อนแล้วตายก็มี นี่ขึ้นชื่อว่าความตายเป็นของเที่ยง ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าเมาในชีวิต อย่าเมาในร่างกายที่เรามาปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน เราต้องการเอาดีกัน จงนึกไว้เสมอว่า เราต้องตายแน่ คิดไว้ แล้วก็อย่าไปหลงในความสวยสดงาม อย่าไปหลงในความอ้วนพีของร่างกาย อย่าไปหลงในความผ่องใสของผิวพรรณ จงคิดเห็นตามความเป็นจริงว่า ร่างกายของเรานี้นั้นมันเต็มไปด้วยความสกปรก มันมีอุจจาระปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง อยู่ภายในร่างกาย สิ่งที่ปิดตาเราไว้ก็คือหนังกำพร้านิดเดียวเท่านั้น คนที่ถูกน้ำร้อนลวก หรือไฟลวกหนังกำพร้าถลอกปอกเปิก เราก็จะไม่เห็นความสวยงามของร่างกายของบุคคลนั้นเลย การทรงอยู่ของร่างกายมันก็ไม่แน่ มันแก่ลงไปทุกวัน มันทรุดโทรมลงไปทุกวัน แล้วในที่สุดมันก็ตาย เราจะไปหวังอะไรกับมัน ความโง่เท่านั้นที่หลงร่างกายว่ามันยังทรงตัวอยู่ มันจะไม่ตาย การเมากายนี้เป็นเหตุให้เกิด เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ฉะนั้น ถ้าเราไม่มีความเมาในร่างกาย ในเบื้องต้นคิดว่าเราจะต้องตายอยู่เสมอ จงคิดไว้ตามแบบของพระ พระคิดว่าตื่นขึ้นมาเวลาเช้านี่เราจะได้กินข้าวเช้าหรือไม่ก็ไม่ทราบ กินข้าวเช้าแล้ว เราก็จะได้กินข้าวกลางวันหรือไม่ก็ไม่แน่ อาจจะตายเสียก่อนก็ได้ กินข้าวกลางวันแล้วอาจจะได้กินข้าวเย็นหรือไม่ก็ไม่แน่ กินข้าวเย็นแล้ว เราก็ไม่แน่ใจว่าเราจะได้เห็นพระอาทิตย์ในวันรุ่งขึ้น

นี่คนที่นึกถึงความตายอยู่อย่างนี้ เราก็ต้องเลือกปฏิบัติว่าเวลาที่เราจะตาย เราจะไปไหน เราจะไปนรก หรือเป็นเปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน เราจะเกิดเป็นคนจะเป็นคนชั้นดีหรือคนชั้นเลว หรือว่าเราจะเป็นเทวดา จะเกิดเป็นพรหม จะไปพระนิพพานหมดความทุกข์ นี่เราเลือกกันเอาได้ ถ้าเราต้องการเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เราก็ไม่ต้องเคารพในศีลห้าหรือศีลแปด เราทำลายมันเสียให้หมดทุกอย่าง แล้วก็ไปนรกได้แบบสบายเลือกเอา

ถ้าเราต้องการเกิดเป็นคน ถ้าเป็นคนชั้นดี เราก็เป็นคนมีศีลบริสุทธิ์ เมื่อมีศีลบริสุทธิ์แล้วเราก็ให้ทานการบริจาค เจริญภาวนาไว้เป็นปกติ เกิดขึ้นมาแล้วก็จะมีรูปร่างหน้าตาสวย มีทรัพย์สินไม่ถูกโจรกรรม โจรภัย อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย มีคนในบังคับบัญชา มีสามีภรรยามีบุตรธิดา คนใช้ก็เป็นคนว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท จะกล่าววาจากับใครก็เป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ มีคนยอมรับฟัง ชอบฟัง แล้วก็เป็นคนไม่ไร้สติสัมปชัญญะ จะมีทรัพย์สินบริบูรณ์สมบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง นี่ถ้าเราต้องการเกิดเป็นคนชั้นดี  ถ้าหากว่าเราเห็นว่าความเป็นมนุษย์ไม่พ้นความแก่ ไม่พ้นความตาย ไปพักความดีหนีทุกข์ อยู่แค่เทวดาก็ได้ การไปพักความทุกข์อยู่แค่เทวดาก็มีว่า ถ้าศีลของเราบริสุทธิ์ การบริจาคทานเป็นปกติ การเจริญภาวนาไว้เสมอ การเจริญภาวนานี่เป็นตัวดึงจิตให้ขึ้นสูงกันลืมความดี ทำจิตของเราเข้าสู่ขณิกสมาธิ หรืออุปจารสมาธิเราก็ไปเป็นเทวดาได้ ถ้าจะปฏิบัติแบบธรรมดา เราก็มีหิริและโอตตัปปะคืออายความชั่วเกรงกลัวความชั่ว ขึ้นชื่อว่าความชั่วเราไม่ทำทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เราไม่ยอมละเมิดศีล ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง อารมณ์ใดที่เป็นไปเพื่อความโลภ ความโกรธ ความหลงจะไม่มีเกิดขึ้นมาในใจ เพราะอารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของความชั่ว ชื่อว่าเป็นความชั่วเกิดในที่ลับ คนอื่นเห็นไม่ได้แต่เราเห็น เมื่อเราระงับอารมณ์อย่างนี้ได้ไว้เป็นปกติ ตายเราก็เกิดเป็นเทวดา

ถ้าเราต้องการเกิดเป็นพรหม เราก็เจริญสมาธิจิตให้ได้ถึงฌานสมาบัติ อย่างนี้เราก็เกิดเป็นพรหม

ถ้าเราต้องการนิพพาน เราก็วางขันธ์ห้าคือร่างกาย เห็นว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา จนกระทั่งเราไม่ยึดถือในร่างกายและทรัพย์สมบัติภายนอกว่ามันเป็นเรา เป็นของเราทุกสิ่งทุกอย่างถือว่าเป็นกฎธรรมดา โลกทั้งโลกเราเห็นว่าเป็นความทุกข์ เราไม่ปรารถนาความเกิดอีก มีใจชุ่มชื่น มีอารมณ์เบิกบาน มีจิตจับเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้เราก็ถึงพระนิพพาน นี่กล่าวโดยย่อ ให้ตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่า เราเกิดมาแล้วเป็นคน ถ้ากลับลงไปนรกใหม่ก็รู้สึกว่าซวยเต็มที แทนที่เราจะปฏิบัติดีกลับปฏิบัติเลว นี่เราสว่างมาแล้วกลับมืดไป มันก็ไม่เกิดประโยชน์ นี่พูดถึงความหมายในการที่เราต้องเจริญความดีในฐานะที่เราเป็นมนุษย์

ต่อนี้ไป เราก็จะพูดถึงการปฏิบัติทรงสมาธิให้มีประโยชน์
การเจริญความดีในพระพุทธศาสนา เราต้องทรงอารมณ์เป็นผู้ชนะไว้เสมอ ไม่ทำตนเป็นบุคคลผู้แพ้ เราต้องมีสัจจะคือความจริง มีวิริยะคือความเพียร มีสติการทรงระลึกนึกขึ้นมาได้ มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาว่า อะไรมันดีอะไรมันชั่ว อะไรมันควรอะไรมันไม่ควร มีขันติความอดทนเป็นเครื่องประจำใจ มีอธิษฐานทรงเจตนาเข้าไว้ว่า เราจะทำความดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราทิ้งไม่ได้ เราต้องมีไว้เป็นประจำ การที่พวกเราทั้งหลายปฏิบัติเพื่อความดี อันดับแรกต้องทรงจิตให้เป็นสมาธิ สมาธินี้มีความสำคัญมากเป็นกำลังใหญ่

สมาธิอันดับแรกที่บอกให้รับฟัง นั่นก็คือการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมาก กรรมฐานกองนี้เป็นกรรมฐานกองใหญ่ และแนะนำต่อไปว่า เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ นี่ก็มีความสำคัญ คำว่า พุทโธ เป็นพระนามความดีของพระพุทธเจ้า ชื่อว่าเราเกาะพระพุทธเจ้าด้วยการทรงสติสัมปชัญญะไว้พร้อมกัน นี่เป็นความดีใหญ่ที่เราจะชนะความชั่วของใจได้เพราะอะไร ข้อสำคัญที่สุดคืออารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต อาการฟุ้งซ่านของจิตนี้ถ้าเรามีความเข้าใจก็ไม่เห็นมีอะไรจะหนักใจ ถ้าจิตมันฟุ้งซ่าน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้จับอานาปานุสสติกรรมฐานอย่างเดียว คือลมหายใจเข้าออก กำหนดรู้อยู่ว่า นี่เราหายใจเข้า นี่เราหายใจออก รู้มันอยู่เสมอ บังคับจิต ถ้ามันจะซ่านจริงๆ มันคุมนานไม่ได้ เราบังคับจิตไว้ว่า ชั่วระยะเวลา ๕ นาทีหรือ ๑๐ นาทีนี้เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตของเราไปสู่อารมณ์อื่น เราจะรู้เฉพาะลมหายใจเข้าออกหรือว่าคำภาวนา เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ จับมันอยู่จุดนี้ชั่วระยะเวลาสั้นๆ พอถึง ๕ นาที ๑๐ นาทีเราก็เลิก ผ่อนมันเพราะว่าตามธรรมดาจิตเรามีสภาพท่องเที่ยวอยู่นานแล้วเป็นหลายแสนกัป อยู่ๆ เราจะมาบังคับให้มันอยู่ในอำนาจนิ่งๆ นานๆ มันย่อมเป็นไปไม่ได้ เมื่อมีอารมณ์ใจสบายมีความปลอดโปร่ง เราก็เริ่มทำใหม่ การปฏิบัติแบบนี้จะเป็นกลางวันจะเป็นกลางคืน เวลาไหนมันก็ได้ทั้งนั้น จะนั่งขัดสมาธิ จะนั่งพับเพียบ นั่งห้อยขา จะลงนอนตะแคงซ้าย นอนตะแคงขวา นอนหงาย นั่งเก้าอี้ เดินไปเดินมา หรือยืนก็ทำได้ทุกอย่าง คือไม่จำเป็นอยู่ว่าเฉพาะจะมานั่งสมาธิรวมกัน ถ้าเราคิดว่าจะให้อารมณ์ของเราคุมสติสัมปชัญญะ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาเฉพาะเวลานี้เวลาเดียวต่อหนึ่งวัน นั่นแสดงว่าเรายังห่างจากความดีอยู่มาก จงอย่าเป็นผู้แพ้ต่ออารมณ์ของความชั่ว เราจงเป็นผู้ชนะ วันหนึ่งเราชนะไม่ได้ เราก็ชนะเป็นพักๆ ตลอดวันไม่ได้ ไม่ช้าไม่นานเท่าไรจิตก็เกิดความเคยชิน เวลาปฏิบัติเอาดีได้จริงๆ เป็นการวัดจิตของเรา มีจุดหนึ่งจะเป็นวิปัสสนาญาณก็ดี

สำหรับผู้ปฏิบัติเก่า เราก็รู้กันอยู่แล้วอะไรเป็นสมถะ อะไรเป็นวิปัสสนา พอใจกองไหนใน ๔๐ กองหรือในมหาสติปัฏฐานกองไหน ถ้าเราชอบใจทำได้เลย แต่ว่าอันดับแรกอย่าลืมกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไว้ก่อน จะเป็นผู้ใหม่ก็ดี ผู้เก่าก็ดี ถ้าเราตั้งใจว่าจะเป็นผู้ทรงฌานตามปกติทุกวัน แต่ละวันเราจะเป็นผู้ไม่ขาดจากฌาน ถึงอย่างไรก็จะทรงฌานให้ได้ ทั้งเวลาหัวค่ำและเช้ามืด หมายถึงว่าถ้าเวลามันน้อย  เวลาหัวค่ำทำใจสบาย สวดมนต์สวดพรสมาทานพระกรรมฐานทำกรรมฐานร่วมกับเพื่อนแล้ว กลับไปถึงสถานที่อยู่ นอน   เวลานอนจิตใจก็จับถึงอารมณ์ของพระเข้าไว้ ตั้งใจคิดว่าเราต้องการพระนิพพาน อารมณ์นี้จงอย่าทิ้ง คิดไว้เสมอว่าเราต้องการพระนิพพาน จำไว้ให้ดี ถ้าเราต้องการพระนิพพานเราทำอย่างไร? เราจะต้องเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ นั่นคือคำภาวนาว่า พุทโธ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่นิพพานนี่ ถ้าหากว่าเราต้องการจะไปนิพพาน เราก็นั่งนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า เมื่อจิตเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะไปไหน ตายก็ไปตามพระพุทธเจ้า

เวลานอนลงไปก็ภาวนาจับลมหายใจเข้าออก ภาวนาว่า พุทโธ ภาวนาไปจนกว่าจะหลับ ถ้าใหม่ๆ มันไม่หลับมันเกิดความรำคาญก็เลิกเสียก็ได้ นอนนะ แล้วนอนให้หลับ ต่อไปถ้าอารมณ์มันชินภาวนาไปภาวนาไปไม่ช้าก็หลับ หรือบางทีมีการคล่องเข้า พอพุทแล้วไม่ทันจะโธ มันจะหลับ ปล่อยเลยอย่าห้ามเพราะว่านี่เราต้องการจะหลับ แล้วจงมีความเข้าใจว่าถ้าจิตเราเข้าไม่ถึงปฐมฌานมันจะหลับไม่ได้ มันจะเกิดความรำคาญ  ถ้าภาวนาจนหลับไปพร้อมกับคำภาวนา ไม่รู้มันไปหลับอยู่ตรงไหน นั่นแหละคือจิตเราเข้าไปถึงปฐมฌาน คือฌานที่หนึ่ง เราเป็นพรหมได้สบาย แล้วในช่วงแห่งการหลับทั้งหมดตลอดเวลาหลับ ท่านถือว่าหลับอยู่ในระหว่างสมาธิ ถ้าบังเอิญเราเป็นอะไรจะต้องตายในระหว่างการหลับก็จะไปเป็นพรหมทันที

แต่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วยังไม่มีกิจสำคัญที่ต้องลุกไปก็นอนอยู่แบบนั้น จับลมหายใจเข้าออกกับภาวนาต่อไปให้จิตมันสบาย ถ้าหากจิตใจของท่านมีความชุ่มชื่นมากเท่าไร เวลาเช้ามืดจิตทรงตัวอยู่เท่าไร วันทั้งวันในวันนั้นก็จะมีแต่ความสุข นี่แสดงว่าเราเป็นผู้ทรงฌานตั้งแต่หัวค่ำยันเช้ามืด ถ้าทำได้เป็นปกติอย่างนี้คำว่านรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่มีสำหรับท่าน ถ้าตายไปแล้วเราก็จะเป็นพรหมทันทีใกล้พระนิพพาน

เอาละการพูดตักเตือนบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านก็ขอให้เราจำไว้ว่า เราจะต้องเป็นผู้ชนะ คือว่าชนะจุดใดจุดหนึ่งตามกฎของพระกรรมฐาน ๔๐ อะไรก็ได้ ให้เป็นไปตามอัธยาศัย ถ้ายังไม่เข้าใจก็ไปเอาคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานมาอ่าน หรือไปเอามหาสติปัฏฐานสูตรมาอ่าน ชอบใจตรงไหนภาวนาตรงนั้น ชอบตรงไหนพิจารณาตรงนั้น เพื่อให้ถูกอัธยาศัยของเรา แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือกำหนดรู้ลมหายใจกับคำภาวนาว่าพุทโธ พุทโธนี้อย่าทิ้ง ให้ทรงเข้าไว้ เมื่อใจสบายเราก็พิจารณาตามพระกรรมฐานที่เขากล่าวไว้ในตำรา นี่จะไม่ผิด แล้วจะมีประโยชน์สำหรับท่าน

เอาละต่อแต่นี้ไป ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา




หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 11 พฤษภาคม 2558 16:09:28
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๔ กำหนดรู้ลม

สำหรับวันนี้ก็มาศึกษาต่อจากวันก่อน วันก่อนๆได้พูดกันถึงพื้นแห่งการปฏิบัติพระกรรมฐานในเบื้องต้น ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจถึงวิธีของการปฏิบัติ วันนี้ก็มาศึกษาต่อเรื่องอารมณ์ของสมาธิ การฟังพระกรรมฐานในตอนกลางคืน ก็ขอได้โปรดให้ถือว่า ให้ฟังติดต่อกันไปตามลำดับ ถ้าหากว่าท่านมีอะไรไม่เข้าใจ ก็ไปเปิดคู่มือพระกรรมฐานอ่านดู จะมีอยู่ในนั้นทั้งหมด เวลากลางคืนต่อแต่นี้ไป ก็จะสอนตามลำดับไปจนกว่าจะจบ เพราะว่าถ้าขืนย้อนกันไปย้อนกันมา คนเก่าอยู่ คนใหม่มา แล้วก็ย้อนต้นกันอยู่เสมอๆ ความรู้ก็คงจะรู้กันไม่จบ สำหรับบางท่านมีหนังสือก็ไม่ได้อ่าน อันนี้ก็น่าตำหนิอยู่มาก ตำรับตำรามีอยู่ไม่ได้อ่านนี่ก็รู้สึกว่าจะหยาบเกินไป เป็นการปฏิบัติไม่หวังดีในการปฏิบัติ สักแต่ว่าทำ อย่างนี้มันไม่เกิดประโยชน์ การศึกษาข้อวัตรปฏิบัติตามหลักตามเกณฑ์ จำจะต้องรู้กันไปให้ตลอด ถ้าไม่รู้แล้วก็เหมือนกับการดำน้ำหาเข็ม มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นการบังเอิญเท่านั้นที่เราจะทำได้ดี ระเบียบปฏิบัติของเรามีครบถ้วน นักศึกษานักปฏิบัติน่าจะมีความฉลาดมานานแล้ว

ต่อนี้ไปก็จะพูดถึงอารมณ์สมาธิ เรื่องเบื้องหลังจะไม่ขอพูดต่อไป ใครมาศึกษาใหม่ก็ไปค้นคว้าเอาตามตำรา คำว่าสมาธินี้มีอยู่ด้วยกันสามระดับคือ
   ขณิกสมาธิ แปลว่า สมาธิเล็กน้อย
   อุปจารสมาธิ แปลว่า สมาธิปานกลาง เฉียดฌานเข้าไป
   อัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิอันดับหนัก คือเริ่มตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปถึงฌานสี่ เป็นสมาธิที่มีความมั่นคง

การเจริญพระกรรมฐาน เราควรจับจุดเอาอานาปานสติกรรมฐานเป็นสำคัญ เพราะว่าอานาปานุสสติกรรมฐานนี้ จะเป็นคนประเภทไหนก็ตาม มีความจำเป็นทั้งหมด เพราะว่าอานาปานสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานระงับอาการฟุ้งซ่านของจิต เราจะเจริญอะไรก็ตาม ถ้าเราไม่สามารถระงับความฟุ้งซ่านของจิตได้ สมาธิมันก็ไม่เกิด แล้วใครที่ไหนเล่า มีบ้างไหม ที่มีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน มีบ้างหรือเปล่า หาไม่ได้ คนที่มีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่านจริงๆ ก็มีพระอรหันต์เท่านั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ คือพระพุทธเจ้าท่านเป็นสัพพัญญูรู้ความจริง ฉะนั้นในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านจึงขึ้นอานาปานสติก่อน นี่เป็นแบบฉบับของการสอน ที่เราสอนกันก็สอนตามแบบของพระพุทธเจ้า เรื่องแบบของชาวบ้านชาวเมืองที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่นี่ไม่เอาด้วย เพราะอะไร เพราะว่าคนสร้างไม่ใช่พระพุทธเจ้า ดีไม่ดีคนสร้างก็ไม่ใช่พระอรหันต์ ในเมื่อคนสร้างแบบไม่ได้อะไรแล้วคนปฏิบัติตามแบบมันจะได้อะไร

ในเมื่อพระพุทธเจ้าเห็นว่าอานาปานสติเป็นของสำคัญ ถึงได้ขึ้นต้นไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร เมื่อทรงอานาปานสติถึงอารมณ์ฌาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอานาปานสตินี้ทรงอารมณ์ได้ถึงฌานสี่ สำหรับผู้มีอุปนิสัยเป็นสาวกภูมิ ถ้าผู้มีอุปนิสัยเป็นพุทธภูมิก็ทรงได้ถึงฌานห้า จัดว่าเป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญมาก แล้วก็เป็นกรรมฐานระงับกายสังขาร ในเมื่อร่างกายของเราป่วยไข้ไม่สบายมีทุกขเวทนา เราใช้อานาปานสติกรรมฐานทรงฌานเข้าไว้ ทุกขเวทนามันจะคลายลงไป ดีไม่ดีก็ไม่รู้สึกในทุกขเวทนานั้นถ้าได้ถึงฌานสี่

อีกประการหนึ่ง ท่านที่คล่องในอานาปานสติกรรมฐาน รู้เวลาตายของตัว ว่าเราจะตายเวลาไหนแน่ ตายด้วยอาการแบบไหน ตายเมื่อไร นี่เรารู้ ก็กลายเป็นคนไม่มีความหวาดหวั่นในความตาย แล้วยิ่งไปกว่านั้นอานาปานสติกรรมฐานยังเป็นกรรมฐานมีความสำคัญใหญ่ เราจะทำกรรมฐานกองอื่นๆ ในสมถภาวนา หรือว่าวิปัสสนาภาวนาก็ตาม ต้องใช้อานาปานสติกรรมฐานเอาเป็นพื้นฐานให้จิตสงบเสียก่อน ถ้ามิฉะนั้นการเจริญกรรมฐานในกองอื่นๆ ในด้านสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนา จะไม่มีอะไรเป็นผล องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นคุณของของอานาปานสติกรรมฐานแบบนี้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระมหามุนีจึงให้ขึ้นต้นอานาปานสติกรรมฐานก่อนในมหาสติปัฏฐานสูตร

การเจริญอานาปานสติกรรมฐานตามแบบปฏิบัติที่นิยมกัน ก็ให้ใช้พุทธานุสสติกรรมฐานควบคุมไปด้วย ช่วยให้กำลังใจเกิดขึ้น การทำความดีในพระพุทธศาสนา ถ้าขาดกำลังใจเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรเป็นผล เพราะการฝึกนี่เราฝึกใจ เราไม่ได้ฝึกกาย ถ้ามีแต่การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เราก็คิดว่าจิตมันว่างไป นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรใช้คำ ‘พุทโธ' รู้สึกว่าจิตใจมันมั่นคง อันนี้อาตมาก็ไม่ปฏิเสธว่าเป็นความดีเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง คือ หนึ่งเราได้อานาปานสติกรรมฐาน สองเราได้พุทธานุสสติกรรมฐาน ได้เป็นกรรมฐานสองอย่างร่วมกัน คือไม่สร้างความเหน็ดเหนื่อยเพราะใช้คำเพียงสองคำ หายใจเข้านึกว่า ‘พุท' หายใจออกนึกว่า ‘โธ' อย่างนี้ ไม่ขัดกับอานาปานสติกรรมฐาน

ในเมื่อรู้คุณสมบัติของอานาปานสติกรรมฐานแล้ว สำหรับคุณสมบัติของพุทธานุสสติกรรมฐาน กรรมฐานกองนี้เป็นกำลังใหญ่มาก มีอานิสงส์สูงมาก ถ้าตายเป็นเทวดาก็มีรัศมีกายผ่องใสยิ่งกว่าเทวดาที่บำเพ็ญกุศลอย่างอื่น เทวดาเขาถือว่าใครมีรัศมีกายผ่องใสมาก เทวดาองค์นั้นมีบุญญาธิการมาก แล้วการเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นเหตุดึงใจให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าถึงพระนิพพานได้รวดเร็ว นี่จำไว้ด้วย นี่เป็นอานิสงส์หรือเป็นผล

คราวนี้เรามาว่ากันในตอนต้น การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เรียกว่าอานาปานุสสติกรรมฐาน พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่าให้เรากำหนดรู้ว่า นี่เราหายใจเข้า นี่เราหายใจออก เราหายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้น ก็ให้รู้ด้วย เป็นการทำจิตให้สะดวก ทำจิตให้มีความละเอียดลออ ทำสติสัมปชัญญะให้ทรงตัว ท่านมีอุปมาไว้ว่าคล้ายๆ กับนายช่างกลึงชักเชือกกลึง เวลาที่ชักเชือกกลึงยาวหรือสั้น ก็รู้อาการชักเชือกกลึงนั้นยาวหรือสั้น นี่ทำจิตให้รู้อยู่

ถ้าจะถามว่าจิตรู้อยู่นี่ใช้กันกี่เวลา ก็จะต้องขอตอบว่า ให้รู้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออกตั้งแต่ตื่นจนกว่าจะหลับนั่นแหละเป็นการดี การเจริญพระกรรมฐานแบนี้ ก็รู้สึกว่าหนักอยู่สำหรับคนใหม่หรือยังไม่ได้ฌาน อานาปานสติกรรมฐานไม่ใช่ของกล้วยๆ มีกำลังมากอยู่ แต่ว่าถ้ามากไปจนแบกไม่ไหว ก็ไม่มีใครเขาได้กัน เมื่อมีคนเขาได้นับไม่ถ้วนก็แสดงว่าไม่หนักเกินไป พอกำลังของท่านพุทธบริษัทที่มีศรัทธาจริงจะพึงทำได้ แล้วเรามาเจริญกันแบบไหน จึงจะมีคุณ นี่เราควบพุทธานุสสติ เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้าพร้อมกับนึกว่าพุท เวลาหายใจออกนึกว่าโธ อย่างนี้ไม่เหนื่อยเพราะไม่ต้องเร่งการหายใจ นี่ก็ต้องปล่อยการหายใจให้เป็นไปตามปกติ อย่าเร่งรัดให้เร็วหรือว่าอย่าผ่อนให้ช้า อย่ากลั้นลมหายใจ ปล่อยไปตามสบาย บางทีสติสัมปชัญญะของเราไม่ดีพอ การหายใจธรรมดาไม่รู้สึก ก็เร่งหายใจให้หนักๆอันนี้ใช้ไม่ได้ ต้องปล่อยลมหายใจไปตามธรรมดา แล้วเอาจิตของเรานี้เข้าไปวัด จับมันเข้าไว้ นี่หายใจเข้า นี่หายใจออก ถ้าอารมณ์ธรรมดามันเผลอ ก็แสดงว่าสติสัปชัญญะของเรามันเฟือนไป จิตใจไม่ทรงอยู่ในสมาธิ นี่เป็นเครื่องสังเกต นี่เป็นคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

การเจริญสมาธิจิต ในด้านอานาปานสติเป็นศัตรูกับอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน และรำคาญในเสียงภายนอก ตามธรรมดาของจิตเรานี่มันท่องเที่ยวมาหลายแสนกัป ไม่มีใครบังคับมันหรือว่าเรามีเกณฑ์บังคับอยู่บ้างในชาติก่อนก็อาจเป็นได้ แต่ทว่าในชาตินี้เราเพิ่งมาใช้ เพิ่งบังคับ มันก็ลืมท่าลืมทางเหมือนกัน ในระยะต้นๆ เราจะมาตั้งเวลาครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง บังคับจิตให้อยู่ตามใจชอบนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ต้องดูแบบฉบับที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิบายไว้ในวิสุทธิมรรค เพราะว่าในวิสุทธิมรรคท่านอธิบายถึงวิธีบังคับจิตไว้ละเอียดดี ว่าให้สังเกตการพิจารณาจิต ถ้าเรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมด้วยคำภาวนา หรือไม่ภาวนาก็ตาม ถ้าใช้ระยะเวลาที่ไม่จำกัด จิตมันฟุ้งซ่านไม่ทรงตัว ไม่สามารถจะควบคุมอารมณ์จิตให้มันทรงตัวอยู่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาให้ปฏิบัติแบบนี้ คือให้นับลมหายใจเข้าออก นับไปด้วย หายใจเข้าหายใจออกนับเป็นหนึ่ง นี่เป็นจังหวะที่หนึ่ง แล้วก็หายใจเข้าหายใจออกหนึ่ง หายใจเข้าหายใจออกสอง นับไปถึงสอง แล้วก็มาขึ้นต้นใหม่นับไปถึงสาม ขึ้นต้นใหม่นับไปถึงสี่ ขึ้นต้นใหม่นับไปถึงห้า แล้วขึ้นต้นใหม่นับไปถึงหก เจ็ด แปด แล้วก็ถึงสิบ พอถึงสิบแล้วก็ย้อนมาขึ้นต้นใหม่นับหนึ่ง แล้วขึ้นต้นใหม่นับหนึ่งถึงสองไปตามลำดับ ท่านให้ทำอย่างนี้ จะได้เป็นการควบคุมกำลังจิตคือนับไปด้วยจะได้ห่วงนับ อารมณ์แห่งการรู้ของจิตมันจะหยาบไปหน่อยก็ช่างมัน เราเอาผลกัน เราไม่ใช่ปฏิบัติเอาปริมาณของเวลา เราต้องการอารมณ์จิตเป็นสมาธิจริงๆ

คราวนี้เราก็มาตั้งต้นกันว่า ขั้นแรกเราตั้งใจนับ ๑ ถึง ๕ ในเกณฑ์ ๑ ถึง ๕ นี้เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตของเราฟุ้งซ่านไปสู่อารมณ์อื่นเป็นอันขาด ต้องมีความเข้มแข็งการสร้างความดีเพื่อสวรรค์ เพื่อพรหมโลก หรือเพื่อนิพพาน ถ้าอ่อนแกสักแต่ว่าทำละก็ตระวังจะหลงตัวว่าเป็นผู้ได้ดีแล้วลงนรกไป พวกนี้ไปกันมาก คนเจริญกรรมฐานนี่ไม่ใช่ไปสวรรค์เสมอไป ถ้าหลงตัวเมื่อไรลงนรกเมื่อนั้น คนที่จะมีดีหรือไม่มีดีนี่เราสังเกตกันง่าย ค้นที่มีความดี มีสมาธิเข้าถึงใจ เขาไม่พูดฟุ้งส่งเดช มีจริยาเรียบร้อย ถ้าจะพูดก็มีเหตุมีผล ไม่สักแต่ว่าพูด นี่เป็นเครื่องสังเกตภายนอก สังเกตง่าย คนที่ทรงสมาธิ ถ้ายิ่งทรงสมาธิเป็นฌาน ทรงฌานอยู่ด้วยแล้ว พวกนี้ขี้เกียจพูดมากที่สุด เห็นหน้าคนแล้วก็เบื่อในการพูด ไม่อยากจะพูด เพราะถ้าไปพูดเข้าละมันเสียเวลาทรงสมาธิของเขา ดีไม่ดีไปชวนเขาพูดเหลวไหลเป็นการทำฌานเขาเสื่อม พวกนี้รังเกียจในการพูด ถ้าไม่มีความจำเป็นแล้วเขาจะไม่พูด นี่เป็นเครื่องสังเกต

ถ้าเราจะกำหนดให้รู้ง่าย ตั้งนับ ๑ ถึง ๕ ขึ้นต้น ๑ แล้วขึ้นต้น ๑ ๒ ขึ้นต้น ๑ ๒ ๓ ขึ้นต้น ๑ ๒ ๓ ๔ ขึ้นต้น ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ เอาแค่ ๕ นี่เท่านั้น นี่ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าในช่วง ๑ ถึง ๕ นี่เราจะไม่ยอมให้อารมณ์อื่นมายุ่งกับอารมณ์จิตของเราเป็นอันขาด ในเมื่อทรงได้ดีแล้ว เวลานับทรงตัวอยู่ได้ดีแล้ว อารมณ์อื่นไม่ยุ่งถึง ๕ แล้ว เลิกเลย นี่หมายถึงว่าจิตของเรายังไม่ทรงอารมณ์พอ ยังไม่แน่นิ่งพอ เลิกเสียเป็นการผ่อนคลาย ในเมื่อเรามีความสบายใจ แล้วก็มาว่ากันใหม่ นับ ๑ ถึง ๕ อีกสักครั้ง ตอนเลิกนี่เลิกให้มันสบาย คุยกันบ้าง อ่านหนังสือบ้าง นอนเล่นบ้าง ฟังวิทยุบ้าง ปล่อยมันตามสบาย เราบังคับมันชั่วขณะหนึ่งแล้วปล่อยมันวิ่งเล่นไปตามสบาย แล้วต่อมาก็มานับตั้งต้น ๑ ถึง ๕ ใหม่ จนตั้งต้น ๑ ถึง ๑๐ ในจังหวะรอบแรก รู้สึกว่าทรงตัวได้ดี แต่พอจิตเริ่มจะส่ายก็เลิกเสียต่อไปสักสองสามวันมีอารมณ์ชิน มาตั้งต้น ๑ ถึง ๑๐ สัก ๒ วาระ คุมให้มันอยู่ตามจังหวะนี้ นี่ตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติตามนี้ นี่เขาลองทำกันมาแล้ว คนที่ผ่านมาแล้ว แล้วได้อยู่นี่ บุคคลผู้ใดจะไม่ปฏิบัติตามกระแสพระดำรัสขององค์สมเด็จพระบรมครูนี่ไม่มี เขาไม่ฝืนกัน ถ้าพวกฝืนที่บอกว่าได้ นั่นก็คือหลง ไม่ใช่ของจริง เป็นความหลงผิด ความจริงไม่ได้จริงคิดว่าได้ นี่เป็นวิธีหนึ่งที่เราจะรวบรวมกำลังใจในด้านอานาปานสติกรรมฐาน

อีกแบบฉบับหนึ่ง นั่นก็คือว่า เวลาที่จิตมันซ่านจริงๆ ๑ ถึง ๕ หรือ ๑ ถึง ๓ มันก็ทนไม่ไหว อย่างนี้มันมีอยู่เหมือนกัน บางทีวันนี้มีความสบายใจ พรุ่งนี้จะเอาให้ได้ดีมันกลับไม่เอาเรื่องเอาราวฟุ้งซ่านบอกไม่ถูก บังคับมันไม่อยู่อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมครูทรงแนะนำให้บรรดาท่านพุทธบริษัทพากันปล่อยจิตไปตามอารมณ์ มันอยากคิดนี่ ควบคุมไม่อยู่แล้ว ปล่อยให้มันคิดไป แล้วเราเอากำลังใจเข้าควบคุมไว้ มันจะคิดไปไหนให้มันคิดไป แล้วถ้ามันเลิกคิดเมื่อไร เราจะใช้งานให้เป็นสมาธิทันที ท่านอุปมาเหมือนกับคนที่ฝึกม้า ม้าตัวพยศ ทำยังไงขณะที่มันมีแรง เอาเข้าทางไม่ได้ จะฝึกให้เป็นไปตามอัธยาศัยที่เราต้องการไม่ได้ ในเมื่อไม่ได้จริงๆ ก็กอดคอมันไว้ ปล่อยให้มันวิ่งไปตามอัธยาศัย มันอยากพยศ วิ่งไปวิ่งไป ถ้ามันหมดแรง เราก็จูงเข้าทาง มันหายพยศเพราะไม่มีแรงจะพยศ นี่กำลังจิตของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันซ่านจริงๆ บังคับไม่อยู่ก็อย่าไปยุ่งกับมัน ดีไม่ดีจะเป็นโรคประสาทตาย ท่านบอกให้ปล่อยไป ปล่อยมันแล้วก็ควบคุมเข้าไว้ มันเลิกคิดก็ไม่เกิน ๒๐ นาทีเป็นอย่างมาก นี่เคยลองมาแล้ว พอเลิกคิดปั๊บจับอารมณ์เป็นสมาธิ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก คราวนี้เพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น อารมณ์มันจะดึงเข้าเป็นฌานทันที มันจะนิ่งสบาย ดีไม่ดีครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงไม่อยากเลิก อารมณ์มันสบาย มันเป็นฌาน

นี่เป็นการฝึกสมาธิเบื้องต้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจำไว้ ถ้าจะพูดมากไปมันก็ไม่มีอะไรมาก ก็มีเท่านี้แหละ วิธีฝึกเรื่องอารมณ์สมาธิในแต่ละขั้นในวันต่อไปค่อยพูดกัน ต่อแต่นี้ไปบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 12 พฤษภาคม 2558 16:25:13
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๕ ปีติ

วันก่อนเราได้พูดกันถึงอารมณ์ของสมาธิ พูดมาได้เล็กน้อยเวลาก้อหมดไป ก่อนที่บรรดท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะนึกถึงอะไรทั้งหมด อันดับแรกให้นึกถึงความตายเป็นอารมณ์เสียก่อน เพราะว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เรามาสร้างความดีกันก็เพื่อว่าจะได้เป็นทุนไว้ในเวลาที่เราจะตาย นี่การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้ากล่าวว่าเป็นมรณัสสติกรรมฐาน และจัดว่าเป็นความไม่ประมาทในชีวิต เพราะเราจะคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเราตายแล้ว ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎฎะ ก่อนจะตายเราก็แสวงหาความดีเข้าไว้
 
ความดีที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำเบื้องต้น นั่นก็คือการให้ทาน ทานเป็นปัจจัยแห่งความรัก ทานเป็นปัจจัยแห่งการผูกมิตร คนที่ให้ย่อมมีจิตเป็นสุข หมายความว่าจะไปในที่ไหนก็ตาม บุคคลผู้รับทานจากเราย่อมแสดงความเป็นมิตรกับเรา เว้นไว้แต่คนบางเหล่าเท่านั้นที่ไม่รู้คุณคน อันนี้เราก็ยกให้ด้วยอำนาจของเมตตาบารมี ตายจากความเป็นมนุษย์ไปแล้ว คนที่ให้ทานไว้ก็จะไม่พบกับความยากจนเข็ญใจ ถ้าเรายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด เราก็จะมีความสุขในการเสวยทรัพย์สมบัติ นี่เป็นผลของทานที่เราพึงได้
 
อีกประการหนึ่งความดีเบื้องต้นของการเตรียมตัวเพื่อตาย ก็คือการมีศีลบริสุทธิ์คนที่มีศีลบริสุทธิ์ตายไปแล้วมีอายุยืนนาน มีรูปร่างหน้าตาสะสวย ถ้าเกิดเป็นมนุษย์มีทรัพย์สมบัติไม่ถูกอัคคีภัย โจรภัย อุทกภัย วาตภัยทำอันตรายเพราะอำนาจของศีลเป็ฯขอบเขต มีคนในปกครองก็รู้สึกว่าอยู่ในโอวาท ไม่มีใครฝ่าฝืน วาจาเป็นที่รักของบุคคลอื่น สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นี่เป็นความดีอันดับที่สองที่เราจะเตรียมตัวเพื่อตาย
 
อันดับที่สาม องค์สมเด็จพระจอมไตรให้ภาวนานึกถึงความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมาเป็นต้น อันนี้องค์สมเด็จพระทศพลให้ทรงยึดไว้เพื่อกันลืมสติสัมปชัญญะเป็นการทรงสติสัมปชัญญะ ไม่ให้เราลืมในขณะที่เราจะตาย เพราะว่าเวลาเราจะตายถ้าเราฝึกภาวนาเข้าไว้ อารมณ์จิตจะชินในด้านของกุศล ถ้าในขณะนั้นจิตของเรานึกถึงกุศลส่วนใดส่วนหนึ่ง หรืคำภาวนาว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก้อตาย อบายภูมิไม่มีสำหรับเรา มีที่ไปอย่างเลวเราก็เป็นมนุษย์ชั้นดี หรือมิฉะนั้นก็เป็นเทวดา หรือมิฉะนั้นก็เป็นพรหม บทใดที่เราภาวนาไว้จนขึ้นใจ ต่อไปถ้าไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ ท่านจะเทศน์อานิสงส์ของบทนั้น เราฟังเพียงจบเดียวก็ได้บรรลุอรหัตผลเข้าถึงพระนิพพาน
 
นี่ก่อนที่เราจะตายตั้งใจไว้ว่า เราตายแล้วจะไม่เป็นผู้ลำบาก เราตายแล้วจะเป็นผู้ไม่มีทุกข์ เราจะมีความสุขพอสมควรแม้ว่าจะยังไม่เข้าถึงพระนิพพานเพียงใดก็ตามที นี่คุณธรรมแบบนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจดจำแล้วปฏิบัติไว้เป็นปกติ จึงจะชื่อว่าเราไม่เสียทีในการเกิด เพราะถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วตายไปแล้วต้องไปเกิดในอบายภูมิเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ชื่อว่าเราก็แย่มาก เป็นการขาดทุน การสร้างความดีที่เรียกกันว่าทำบุญเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรามีความสุขดียิ่งๆ ขึ้นไป อันนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเตรียมไว้ทุกขณะจิต
 
ต่อแต่นี้ไปก็จะขอพูดถึงอารมณ์ของสมาธิ ที่เราจะพึงเข้าถึง เมื่อคืนนี้พูดถึงอานาปานสติไว้หน่อยหนึ่ง ว่าจะต่อมันก็หมดเวลาที่จะพูด การฝึกอารมณ์ การข่มใจเนื่องเพราะจิตฟุ้งซ่านเราก็ทราบแล้ว ที่กล่าวมาแล้วเมื่อคืนนี้ ไม่ต้องย้อนกลับไป
 
คราวนี้เราก็มาดูกำลังใจคือผลที่เราจะพึงได้จากการเจริญสมาธิ การเจริญสมาธินี้ เราต้องมีอารมณ์รู้จักฝึก รู้จักกำหนดจิต รู้กิจที่เราทำว่าผลมันได้แค่ไหน ไม่ใช่ว่าเราจะมานั่งทำประเภทดำน้ำกันเรื่อยไป อย่างนี้มันก็ไม่มีผล ดีไม่ดีเราพบของดีเข้าแล้วก็ทิ้งไป บางคราวเรามาพบเหตุเป็นศัตรูกับอารมณ์ของสมาธิในด้านสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนาเป็นเครื่องคุณธรรมทำลายความดี เราก็เข้าใจว่าของดีไปยึดถือเอาเข้าไว้ เป็นอันว่า เราเหนื่อยเปล่าในปฏิบัติ ฉะนั้น ในฐานะที่บรรดาท่านพุทธบริษัทมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จงตั้งใจกำหนดไว้เพื่อความรู้
 
การทรงอานาปานสติกรรมฐาน หรือว่าพุทธานุสสติกรรมฐาน หรือว่ากรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ดี ถ้าเราสามารถทรงความดีนี้ได้แล้ว แล้วต่อไปก็จงกำหนดใจคิดถึงอารมณ์ที่เราพึงได้ ถ้าเราทรงความดี คือทั้งระงับความฟุ้งซ่าน ระงับความโกรธ ความพยาบาท ระงับความรู้สึกพอใจในกามารมณ์หรือระงับความสงสัยในความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ครั้งหนึ่งได้ชั่วขณะเดียว ได้เพียงนาทีสองนาที อารมณ์จิตก็ซ่านคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไป แล้วสักประเดี๋ยวหนึ่งเราก็รู้ตัวดึงเข้ามาใหม่ สลับกันมาสลับกันไปอย่างนี้ ท่านเรียกว่าขณิกสมาธิ

อาการที่สงสัยยังไม่มีผลเพียงแค่ขณิกสมาธิแบบนี้ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททรงไว้ได้ทุกๆ วัน ผลที่เราจะพึ่งได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเวลาที่ท่านจะตายท่านจะไม่หลงตาย เวลาที่ป่วยหนักมากๆ อารมณ์ใจมันก็เข้ามารวมตัว จะทรงจิตเป็นฌานได้ หรือมิฉะนั้นจะทรงจิตเป็นสมาธิ สูงขึ้นไปกว่านั้นถึงขั้นอุปจารสมาธิ เพราะคนถ้ารู้ตัวว่าจะตายก็จะรวบรวมกำลังกายกำลังใจไว้เพื่อช่วยตัวเองเสมอ นี่เป็นกฏธรรมดา ผลที่ได้มาจากขณิกสมาธิ ส่วนมากเขาไม่เกิดเป็นคนแล้ว เขาไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์นรก ขณิกสมาธิส่งผลให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก
 
ตัวอย่างในพระพุทธศาสนามีมาก เช่นท่านมัฎฐกุลฑลีเทพบุตร เป็นคนที่ไม่เคยทำบุญมาเลยในกาลก่อน เพราะพ่อเป็นคนขี้เหนียว นามของพ่อก็คือ อทินนปุพพกพราหมณ์ แปลว่าพราหมณ์ผู้ไม่เคยให้อะไรมาเลยในกาลก่อน ขี้เหนี้ยวมาก บุญก็ไม่เคยทำ กรรมดีก็ไม่เคยสร้าง เพราะความเหนียวแน่นเสียดายทรัพย์ ท่านมัฎฐกุลฑลีเทพบุตรตอนที่เป็นลูกชายป่วยไข้ไม่สบายลง พ่อก็ไม่หาหมอมารักษา เพราะความขี้เหนียวเก็บยามารักษาอย่างเดียว ในที่สุดลูกก็ตาย เมื่อลูกชายใกล้จะตายคิดว่าพ่อแม่ก็ดีทรัพย์สินทั้งหลายที่มีมากถึง ๘๐ โกฎิ ไม่มีประโยชน์สำหรับตน คิดว่าองค์สมเด็จพระทศพลคงจะมีพระมหากรุณาโปรดให้มีความสุข จึงนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างที่พวกเราภาวนาว่า พุทโธ ท่านคำนึงถึงความดีของพระพุทธเจ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจิตก็ออกไปจากร่างกายที่เราเรียกกันว่าตาย ผลความดีเล็กน้อยที่คิดถึงคุณความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรเรียกว่าขณิกสมาธิ ท่านก็ได้ไปเกิดบนดาวดึงส์เทวโลกมีวิมานทองคำ มีต่างหูเกลี้ยง มีนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวาร จัดว่ามีความสุขพอสมควร ทั้งๆ ที่ท่านไม่เคยทำบุญมาในกาลก่อนเลย ถ้าพวกเราทำอย่างงั้น ได้กำไรกว่ามัฎฐกุลฑลีเทพบุตรมาก เพราะเราทำบุญในศาสนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามานับไม่ถ้วน แล้วเราก็ให้ทานภายนอกเขตของพระพุทธศาสนามานับไม่ถ้วน เช่นให้ทานแก่คนขอทาน ให้ทานแกคนรับความลำบาก ให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉาน อย่างนี้ก็มีอานิสงส์ใหญ่ อานิสงส์ทั้งหลายจะรวมตัว เราก็จะมีความดียิ่งกว่ามัฎฐกุลฑลีเทพบุตร มีความสุขกว่า มีอำนาจวาสนาบารมีดีกว่า
 
สำหรับสมาธิที่น่ากลัวก็คืออุปจารสมาธิ อุปจารสมาธินี่ทำลายความดีคนลงไปเสียมาก อาการของอุปจารสมาธิมีความอิ่มอกอิ่มใจ มีความปลื้มปีติยินดี มีความขยันในการสุขกายสุขใจเพราะอำนาจสมาธิเป็นเครื่องส่งเสริม เป็นเหตุให้เราไม่อิ่มไม่เบื่อในการเจริญสมาธิ หรือว่าในการเจริญวิปัสสนาญาณ นักปฏิบัติพระกรรมฐาน พอเข้าถึงปีติ คืออุปจารสมาธิ มีปีติเต็มที่ พวกนี้ได้ดีทุกคน เว้นไว้แต่คนที่หลงเท่านั้น
 
อาการของอุปจารสมาธิที่จะเกิดขึ้น
ในอันดับหนึ่งจะมีการขนลุกซู่ซ่า เรียกว่าขนพองสยองเกล้า นั่งๆ อยู่ก็มีอาการขนลุกชันขึ้นมาเป็นปกติ ซึ่งในกาลก่อนความหนาวไม่มี การสัมผัสกับลมไม่มี แต่มันขนลุกขึ้นมาเฉยๆ อย่างนี้จัดว่าเป็นปีติเบื้องต้น ไม่ต้องแก้ไข ถ้ากำลังใจของเราตกกว่านั้นอาการอย่างนั้นมันก็ไม่เกิด ถ้ากำลังใจสูงขึ้นไปอีกหน่อย อาการอย่างนั้นมันก็หายไป อาการที่เกิดทางกายนี่ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าเอาจิตเข้าไปยุ่ง มันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน เรารวบรวมกำลังใจไว้อย่างเดียวดีกว่า ทรงอารมณ์จิตให้เป็นสมาธิ บางท่านก็เอาใจเข้าไปยุ่งจนเสียผล มีเยอะแยะไป แล้วมีบางรายอธิบายให้ฟังอยู่อย่างนี้แล้วก็ยังไม่หายความสงสัย ย้อนไปย้อนมาถึงอาการที่เกิดทางกาย ถ้าอารมณ์ใจเป็นอย่างนี้ล่ะก็ อารมณ์จิตมันละเอียดลงไปก็ปรากฎทางกายขึ้นมาบ้าง มันจะเป็นยังไงก็ปล่อยมัน อย่าไปสนใจ รักษาใจเป็นสมาธิแล้วเป็นพอ
 
อาการที่ ๒ เมื่อขนพองสยองเกล้าผ่านไป คราวนี้เกิดน้ำตาไหล นั่งไป นั่งพอใจสบาย น้ำตามันไหล ดีไม่ดีมันก็ไหลเอามากๆ แล้วก็ไม่ไหลแต่เวลาที่นั่งเจริญสมาธิ บางทีไปพบอะไรสะดุดใจเข้า ใครเขาพูดอะไรสะดุดใจเข้า จิตมันทรงปีติอยู่แล้วนี่ เราไม่รู้มัน เพราะเราไม่ได้ระวัง ไอ้ปีติตัวนี้มันขังอยู่ในใจ แล้วไม่มีเหตุไม่มีผล นี่อาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นแก่บรรดาท่านพุทธ ศาสนิกชน จงคิดว่ากำลังใจของเราก้าวขึ้นไปแล้ว มีสมาธิสูงขึ้นเข้าถึงระดับปีติที่ ๒ ปีตินี่แปลว่าอิ่มใจ อาการอย่างนี้ความชุ่มชื่นในการที่บำเพ็ญกุศลมักจะมากขึ้นตามลำดับ มีความเชื่นมั่นในความดีของพระพุทธศาสนา คนประเภทนี้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามขอวัตถุใดๆ เพราะว่าขอแล้ว ท่านมีกำลังใจสูง ท่านก็ให้ ถ้าพระขอพระก็เป็นโทษเป็นอาบัติ นอกจากแต่เพียงว่าเราขาดอะไร ท่านเห็นใจ ท่านถวายพระ อันนี้ไม่เป็นไร ถ้าพระองค์ไหนไปอ้าปากขอก็มีหวังลงนรกทันที อาการอย่างนี้เป็นอันดับที่ ๒ ถ้าจิตมีกำลังใจสูงขึ้นไป อาการน้ำตาไหลมันก็จะหายไป
 
คราวนี้อาการมาใหม่ คือร่างกายโยกไปโยกมาโยกข้างหน้าโยกข้างหลัง บางทีก็หมุนไปทั่วตัว บางทีก็แสดงอาการตึงตังตึงตังคล้ายปลุกพระ อาการอย่างนี้เขาเรียกว่าโอตกันติกาปีติ เป็นปีติที่ ๓ อาการเคลื่อนไหวของกายมันจะแรงมันจะเบาประการใดก็ตามที่จะรู้สึกว่ากำลังใจของเราตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์สมาธิไม่เสื่อมคลาย นี่อาการกายอย่างนี้ถ้าปรากฏก็ต้องใช้ศัพท์ว่าช่างมัน มันจะแสดงเป็นยังไงก็ช่างหัวมัน เมื่อใจเราสบายแล้วก็แล้วกัน เรื่องทางกายเราไม่เกี่ยว อันนี้ต้องจำไว้ให้ดี อาการประเภทนี้ปรากฏมีคนเป็นจำนวนมากมาถามกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าไปในกรุงเทพฯ เขาถามกัน อธิบายให้ฟังแล้วแกก็ไม่ได้ดี เพราะอาการที่เกิดขึ้นแก่ตัว ตัวไม่รู้ คนที่เขาผ่านมาแล้วบอกก็ยังไม่รับฟัง ยังนั่งตั้งหน้าตั้งตาสงสัย ไอ้ตัวสงสัยมันเข้ามาข้องอยู่เมื่อไร เราก็บรรลัยเมื่อนั้นผลแห่งการปฏิบัติมันก็ไม่ปรากฏ นี่อาการอย่างนี้ปรากฏเราจะรู้สึกว่าจิตใจของเราตั้งมั่นมากขึ้น เราต้องการอย่างเดียวให้จิตใจตั้งมั่น ร่างกายมันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน
 
ต่อมาเป็นปีติที่ ๔ เรียกว่า อุพเพงคาปีติ ปีติอันดับนี้จะมีตัวลอยขึ้นไปบนอากาศ แต่ว่าใจเราก็สบาย ไอ้ตัวลอยขึ้นไปนี่มันไม่ใช่เหาะ เมื่อใจเข้าถึงระดับ ปีติตัวนี้มันลอยของมันขึ้นไปเอง ถ้ากำลังจิตจะคลายนิดหนึ่งมันก็จะเลื่อนมานั่งที่เดิมตามปกติ ไม่ต้องกลัวว่าจะลอยไปแล้วก็กลับไม่ได้ อารมณ์ใจจะมีความชุ่มชื่น มีความชื่นบานมากกว่าปีติที่แล้วมา
 
ถ้ากำลังใจของเราสูงขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง อาการอย่างนั้นมันก็หายไป จะมีอาการซาบซ่าเหมือนกับกายเบา กายโปร่งคล้ายกับกายไม่มีอะไร จะมีเพียงหนังบางๆ ผสมอยู่ เนื้อกระดูกภายในมันจะไม่ปรากฏ มีความรู้สึกยังงั้น นั่งอยู่อย่างนี้ดูอาการมันเหมือนกะว่าตัวเราโตขึ้นบ้าง หน้าใหญ่บ้าง ร่างกายสูงขึ้นไปบ้าง แต่มีอารมณ์ใจชุ่มชื่น มีจิตเป็นปกติมีอารมณ์ตั้งมั่นในสมาธิ อาการนี้ท่านเรียกว่า ผรณาปีติ เป็นปีติตัวสุดท้าย แล้วก็มันมีอาการใกล้กับความสุข เมื่อปีติตัวนี้ปรากฏขึ้นแล้วพอระงับหายไป ความสุขก็ปรากฏ คำว่าความสุขปรากฏนี่มันสุขจริงๆ เราจะนั่งสัก ๒๐-๓๐ วันโดยไม่ลุกเลยก็ได้ ความปวดความเมื่อย ความไม่สบายกายไม่สบายใจมันจะไม่มี มีแต่ความสดใสชุ่มชื่น บรรยายกันไม่ถูก
 
นี่พอจิตเข้าสู่ระหว่างปีติก็ดี เข้าถึงสุขก็ดี เรียกว่าเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าถึงตัวสุขจัดว่าเป็นอุปจารสมาธิเต็มที่ เริ่มตั้งแต่ปีติแรกก็เรียกว่าอุปจารสมาธิเบื้องต้น อาการของปีติที่กล่าวมาแล้วถึงห้าขั้นนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องผ่านเหมือนกันทุกคน บางคนก็ผ่านเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง บางคนที่มีอารมณ์สูงกว่าไม่ผ่านเลย คือผ่านอย่างไม่มีความรู้สึก เข้าไปถึงปฐมฌานเลยทันที นี่ถ้าเคยได้ฌานมาในกาลก่อน
 
แล้วตอนที่มีอารมณ์จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิตัวนี้ตั้งแต่ปีติเป็นต้นไปต้องระมัดระวังแสงสีภาพต่างๆ มันจะปรากฏ ตอนนี้พระคณาจารย์ทั้งหลายกำหนดไว้บอกว่าจงอย่าสนใจกับภาพแสงสีใดๆ ทั้งหมด ถ้าไปสนใจกับภาพแสงสีใดๆ เข้า จิตใจของเราจะเคลื่อนจากสมาธิ เราตั้งใจไว้อย่างเดียวว่าอะไรจะมาก็เชิญมา อะไรจะไปก็เชิญไป เราไม่สนใจ เราสนใจอย่างเดียวคือสมาธิที่ทรงไว้ รักษากำลังใจให้ตั้งมั่นไว้ตามเดิม เช่นเรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก คำภาวนาว่ายังไงก็ตาม ทรงอาการอย่างนั้นไว้ให้เป็นปกติ จิตก็จะได้เข้าถึงปฐมฌานได้รวดเร็ว ถ้าเราลงไปหลงในภาพแสงสีแล้วความดีมันก็จะสลายตัวลงไป
 
สำหรับท่านทั้งหลายที่มีจิตใจเข้าถึงอุปจารสมาธิแบบนี้ เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ไปเป็นเทวดาชั้นยามา คือว่าเป็นเทวดาที่ต่อวาสนาบารมี
 
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับวันนี้ กาลเวลาที่จะพูดก็หมดแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 15 พฤษภาคม 2558 16:07:06
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๖ ปฐมญาน

วันนี้ก่อนที่จะศึกษาอย่างอื่น ก็ให้นึกถึงกฎธรรมดาไว้เป็นสำคัญ กฎธรรมดาที่จะมีสำหรับเรานั้นก็คือ ชาติปิ ทุกฺขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิ ทุกฺขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณมปิ ทุกฺขํ ความตายเป็นทุกข์ โสกปริเทวทุกขโสมนัสเป็นต้น ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีอารมณ์ขัดข้องหรือความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เราเกิดมาเพื่อมาประสบกับความทุกข์ คนที่เกิดมาแล้วทุกคนที่จะไม่มีทุกข์ ไม่มี ถ้าหากว่าเรายังยึดถือว่า ร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าเราเกาะ ที่เรียกว่าอุปาทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ คือ มีลาภดีใจ ลาภสลายตัวไป เสียใจ มียศ ดีใจ ยศสลายตัวไป เสียใจ มีความสุขในกามสุข ดีใจ ความทุกข์หมดไป ร้อนใจ ได้รับคำนินทา เดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญ มีสุข นี่ก็ถือว่าเป็นอารมณ์ของอุปาทาน สร้างความทุกข์ สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นกับเรา
 
ทำอย่างไร เราจึงจะพ้นทุกข์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แนะนำให้พวกเราถือว่าใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า กฎนี้เป็นกฎธรรมดาของโลกที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงมันไปได้ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราก็ถือว่า ช่างมัน ตามศัพท์ภาษาบาลีท่านเรียกว่า ขันติ ความอดทน ถ้าใช้คำว่าอดทนมันเข้าใจยาก ใช้ภาษาไทยธรรมดาดีกว่า ว่ามันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหนก็ช่างมัน
 
เกิดเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะการแสวงหา การเลี้ยงชีวิต การประกอบอาชีพ การบริหารร่างกาย การบริหารหมู่คณะ กิจที่จะต้องทำมันเหนื่อยยาก ได้รับความขัดข้องใจ เราคือว่าเราทำตามหน้าที่ เราทำไว้เต็มความสามารถแล้วใครจะติว่าดีหรือไม่ดี ไม่ถือ ไม่ปรารภว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะองค์สมเด็จพระทรงธรรม์กล่าวว่า นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก ฉะนั้น การนินทาว่าร้ายอะไรก็ตาม ก็ถือว่าช่างมันเป็นธรรมดา ทุกอย่างเราทำงานตามหน้าที่
 
ถ้าความเกิดมันเป็นทุกข์อย่างนี้ เราก็ถือว่านี่เพราะว่าอาศัยเราโง่เราจึงเกิด โง่เพราะอะไร? โง่เพราะยึดมั่นว่า ร่างกายมันเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมันมีในเรา เมื่อยึดร่างกายเสียอย่างเดียว ก็เลยยึดทรัพย์สินภายนอกไปด้วย แต่ความจริงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้ามันเป็นเราจริง มันต้องไม่แก่ มันต้องไม่ป่วย มันต้องไม่ตาย ที่เกิดมาแล้ว มันต้องแก มันต้องป่วย มันต้องตาย ทำไมจิตใจเราจะต้องไปทุกข์มันด้วย ถ้าเราคิดไว้เสมอว่า เราเกิดเพื่อแก่ เกิดมาเพื่อป่วยไข้ไม่สบาย เกิดมาเพื่อกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่ชอบใจ เกิดมาเพื่อความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ซึ่งมีความตายไปในที่สุด รวมความว่าเราเกิดมาเพื่อตาย ในเมื่อหน้าที่ของเราเกิดมาต้องประสบด้วยเหตุอย่างนี้ เราจะไปทุกข์มันทำไมเมื่ออาการทั้งหลายเหล่านั้นมันเกิด ถือว่านี่มันเป็นเรื่องธรรมดา ภายในไม่ช้าเราก็จะสิ้นทุกข์
 
วิธีสิ้นทุกข์ทำยังไง?
เราก็มีการให้ทานเป็นปกติ ถ้าอารมณ์เราพร้อมเพรียงในทาน ก็ชื่อว่าเป็นการตัดโลภะ ความโลภ เรามีเมตตาเป็นปกติ อารมณ์ของเมตตาที่เราทรงอยู่คือรักษาศีลได้ ถ้ามีเมตตาอยู่ศีลมันก็ไม่ขาด ถ้ามีเมตตาอยู่เป็นปกติ นอกจากมีเมตตาอยู่แล้วศีลไม่ขาดแล้ว เมตตามันยังเป็นตัวทำลายโลภะ เราก็มาพิจารณาหาความจริงว่า ชาติปิ ทุกฺขา ความเกิดเป็นทุกข์ เจ้าอยากเกิดนี่ มันจะทุกข์อย่างไรก็ช่างมัน ใจเราก็วางเฉยไว้ ชราปิ ทุกฺขา ความแก่เป็นทุกข์ อาการงกๆ เงิ่นๆ ร่างกายไม่แข็งแรง ไม่กระปรี้กระเปร่า มีความปรารถนาไม่สมหวัง เพราะทำเองไม่ได้ แล้วเราก็เลยมีทุกข์ ถือว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาของคนแก่ เกิดมาเพื่อแก่ มรณมฺปิ ทุกฺขํ ความตายเป็นทุกข์ เรื่องของชาวบ้านธรรมดาเราไม่ทุกข์ ถือว่าเป็นกฎธรรมดา ตายเสียได้ก็ดี เพระามันจะได้หมดเรื่องยุ่ง แล้วเราเห็นว่าขันธ์ห้าเป็นโทษ เป็นทุกข์สำหรับเรา เราก็เลยคิดต่อไปว่า ขึ้นชื่อว่าขันธ์ห้า ความเกิดมามีร่างกายขันธ์ห้า แบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก เราจะไม่โง่ยอมรับนับถือให้มีร่างกายต่อไป ถ้าอารมณ์ใจของเราคิดไว้อย่างนี้เป็นปกติ เราก็จะหมดความทุกข์ มันค่อยๆ เข้าใจไปเอง
 
นี่เป็นบทที่บรรดาพุทธบริษัทควรจะคิดให้เป็นปกติ เพื่อความเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน นี่เป็นวิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย
 
ต่อแต่นี้ไป ก็จะขอพูดต่อเมื่อวานนี้ เมื่อวานเรามาพูดกันถึงจบอุปจารสมาธิ วันนี้ก็จะขอพูดเข้าถึงจุดของฌาน การรักษาลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาว่าพุทโธ ความจริงการภาวนานี่ไม่ได้จำกัด ท่านจะภาวนาอย่างใดก็ได้ตามอัธยาศัย การภาวนาใดๆ ก็ตามให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย เวลาหายใจเข้านึกว่าพุธ เวลาหายใจออกนึกว่าโธ ขณะใดที่จิตใจเรายังมีความรู้สึก จิตยังอยู่ในขอบเขตคำว่าพุทโธ หรือลมหายใจเข้าออก พึงทราบว่าขณะนั้นจิตของเราตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ
 
การทรงสมาธิวันละนิดหนึ่ง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ท่านผู้นั้นเป็นผู้ไม่ว่างจากฌาน คือมีคุณธรรมสูงพอที่จะเอาตัวรอดได้ ถ้าเราทรงสมาธิได้ดีกว่านั้น หมายความว่าขณะที่ท่านทั้งหลายกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกแล้วก็กำหนดคำภาวนา ภาวนาไปด้วยจิตใจมีอารมณ์สบาย หูได้ยินเสียงภายนอกชัดเจนดี สุนัขเห่า สุนัขหอน คนพูดเสียงร้องเพลงร้องละคร เสียงชาวบ้านทะเลาะกัน เขานินทากัน หรือแม้ว่านินทาว่าร้ายเรา เราได้ยินหมด แล้วก็ปรากฏว่าใจของเราไม่รำคาญ เราไม่มีความรำคาญในเสียง สามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาได้แบบสบาย อารมณ์อย่างนี้ถ้าทรงไว้ได้ ๒, ๓ นาที ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ตาม ท่านถือว่าอารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของปฐมฌาน จิตเราเข้าถึงปฐมฌาน เป็นฌานที่ ๑
 
ฌานที่ ๑ นี่เรามีกฏสังเกตไว้อย่างนี้ คือว่า เราไม่รำคาญในเสียง เพราะเสียงนี่เป็นศัตรูของปฐมฌาน ให้สังเกตไว้ แต่การเข้าถึงปฐมฌานกับการทรงปฐมฌานมันต่างกัน การทรงหมายความว่าเราบังคับจิตให้ทรงอยู่ในอารมณ์นั้นๆ เวลาเท่าใดก็ได้ตามที่เราตั้งใจไว้ อย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌาน ถ้าอารมณ์จิตเข้าถึงปฐมฌาน มันก็ลดตัวตัดลงมา ลดลงมาต่ำ เมื่อลดลงมาต่ำแล้ว เราก็ตั้งใจจะก้าวขึ้นไปอีก มันขึ้นไปได้หรือไม่ได้ก็ตามใจ
 
การที่จะเข้าถึงปฐมฌานในตอนต้น มันมีเรื่องอยู่ที่เป็นเรื่องน่าสงสัย นั้นคืออารมณ์เบื้องต้น ถ้าอารมณ์ของเราหยาบ มันจะมีอาการมืดตื้อ เคลิ้มคล้ายหลับ จะมีอารมณ์มืด บางทีเรามีความรู้สึกตัวเหมือนจะหลับไป ถ้าจิตมันตกจากอารมณ์นั้นลงมา จิตใจจะมีอารมณ์สว่าง เราก็คิดว่าเราเผลอหลับไปหรือไงก็ไม่ทราบ เราจะสังเกตได้ว่าเราหลับหรือไม่หลับ หรือว่าจิตเข้าสู่อารมณ์ฌานหยาบ ถ้าเราหลับหลับมันต้องโงกไปข้างหน้า หรือหงายไปข้างหลังเป็นอาการของคนหลับ ถ้าร่างกายมันนั่งอยู่เฉยๆ แล้วมีอาการเคลิ้มอย่างนั้น เกือบจะหมดความรู้สึกตัวเผลอไปแล้วก็รู้สึกขึ้นมาใหม่ อย่างนี้แสดงว่าจิตของท่านเข้าถึงปฐมฌาน แต่มันหยาบ มันทรงไม่ได้นาน ต่อไปจิตมันก็จะละเอียดเอง นี่เป็นลักษณะหนึ่งที่บรรดานักปฏิบัติทั้งหลายมีความสงสัย

อีกลักษณะหนึ่งนั่นคือว่า เวลานั่งๆ ไป มีอาการหวิวคล้ายกับตกจากที่สูง ทำให้ตกใจเสียวขึ้นมาทันที บางทีก็มีการใจเต้นแรงเหมือนเราตกจากที่สูง เมื่อมีความรู้สึกเป็นเช่นนี้ อารมณ์ดิ่งจะไม่มี เราจับได้ต่อไปก็จะมีแต่อารมณ์สบาย อาการอย่างนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลายพึงเข้าใจ ว่านั่นจิตมันเข้าไปสู่ปฐมฌานแล้ว แต่ว่าจิตมันทรงอยู่ไม่ได้นาน มันพลัดตกจากฌาน คือมันพลัดแรงเกินไป ตกเข้าสู่สภาวะภวังค์ที่เรียกว่าจิตปกติ ถ้าเป็นปฐมฌานอย่างละเอียด มันจะมีอารมณ์สบาย เฉยๆ มีความสว่างของจิต จิตจะมีอารมณ์สงบสงัด หูจะได้ยินเสียงทั้งหมด แต่ก็มีใจสบายไม่รำคาญในเสียง นี่เป็นปฐมฌานละเอียด

ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้ทั้งสองประการ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านก็ควรจะภูมิใจว่าจิตเราเข้าสู่ปฐมฌาน วันหนึ่งขณะหนึ่งก็ดี นาทีหนึ่ง ๒ นาที ๓ นาทีก็ดี ถ้าจิตทรงได้อย่างนี้ทุกๆ วันก็ชื่อว่าเราเป็นผู้ไม่ว่างจากฌาน เวลาที่ตายไปแล้วเราก็จะกลายเป็นพรหม เวลาที่เราป่วยหนัก อารมณ์ของสมาธิจิตจะเข้ามารวมตัว เมื่ออารมณ์จิตเข้ามารวมตัวแล้วเราก็จะมีความสุข นี่เราจะไปรู้กันเวลาที่ป่วยหนักๆ ว่ามันณขนาดไหน ถ้าจิตรวมตัวได้จิตทรงปฐมฌานอยู่ เวลาป่วยนี่มันได้ผลจริงๆ มันจะทรงตัวได้ดีมาก เมื่อจิตทรงตัวได้ดีมากเวลาตาย ตายในระหว่างปฐมฌาน ถ้าหากว่าเราได้ฌานอย่างหยาบ เราก็เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑ ถ้าเป็นฌานอย่างกลางเราก็เป็นพรหมชั้นที่ ๒ ถ้าเป็นฌานอย่างละเอียดก็เป็นพรหมชั้นที่ ๓ นี่พูดกันถึงด้านโลกียวิสัย เป็นฌานโลกีย์
 
ถ้าอารมณ์เข้าถึงปฐมฌานแบบนี้ ถ้าเราพิจารณาอย่างตอนต้นแบบง่ายๆ ถึงอัตภาพร่างกายนี้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย มันจะป่วยมันจะแก่ มันจะตายก็ช่างมัน ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครจะนินทาใครจะสรรเสริญเราไม่สนใจ ความร่ำรวยมีเท่าใด มันยากจนอย่างไร ก็ช่างมันหากินไปตามหน้าที่ มีมากกินมาก มีน้อยกินน้อย ถือว่ามีมากก็ตาย มีน้อยก็ตาย มีมากก็แก่ มีน้อยก็แก่ มีมากก็ป่วย มีน้อยก็ป่วย มีมากก็กลุ้ม มีน้อยก็กลุ้ม มันก็ไอ้กลุ้มเหมือนกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น มันเป็นของธรรมดา เราทำใจให้สบาย

ถ้าจิตใจของเราไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย เห็นว่าร่างกายมีความเกิด มีความแก่เจ็บตายไปในที่สุด เป็นของธรรมดา มีอารมณ์แรงกล้า คือยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างมั่นคงมีศีลบริสุทธิ์ มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ นี่แค่ปฐมฌานทำได้แล้วขนาดนี้ เพราะกำลังของปฐมฌานมีกำลังพอที่จะตัดกิเลส อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เรียกว่าพระโสดาปัตติผล ถ้าอารมณ์ใจของเราเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันหรือโสดาปัตติผลนั่นเอง อารมณ์จิตมันก็จะไม่ตกต่ำ ไม่เคลื่อนไปอบายภูมิ ถ้าเราตายจากความเป็นมนุษย์ มีเกิดเป็นมนุษย์บ้างเป็นเทวดาบ้างสลับกันไป ถ้าได้พระโสดาอย่างหยาบ ก็เกิดเป็นมนุษย์อีก ๗ ชาติแล้วไปนิพพาน เป็นพระโสดาบันอย่างกลางก็เกิดเป็นมนุษย์อีก ๓ ชาติ เป็นพระโสดาบันอย่างละเอียดก็เป็นมนุษย์อีก ๑ ชาติ นี่พูดกันถึงตามหลักการที่เราจะได้พระโสดาบันหรือจะไม่ได้พบพระพุทธเจ้า อย่าลืมว่าพระโสดาบันทรงคุณธรรมเพียงสามประการเท่านั้น คือนึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตายเป็นปกติ เห็นความเกิด ความแก่ ความกลัดกลุ้มใดๆ ก็ตามมันเป็นของธรรมดา แต่ความโลภอยากรวยยังมีอยู่ ความอยากสวยยังมีอยู่ ความโกรธยังมีอยู่ ความหลงยังมีอยู่ แล้วความอยากสวยอยากรวยอยากโกรธอยากหลงมันอยู่ในขอบเขตของศีล อยากสวยก็สวยโดยไม่ผิดศีล อยากรวยได้มาโดยไม่ผิดศีล ไม่คดไม่โกงใคร โกรธได้แต่ทำร้ายใครเขาไม่ได้กลัวศีลขาด ยังหลงในร่างกายว่าเป็นเรา เป็นของเรา มีอยู่แต่ว่ารู้อยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย จิตใจมันปล่อยได้ งานทุกอย่างทำตามหน้าที่แล้วมีอารมณ์ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีศีลห้าบริสุทธิ์ มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นปกติ นี่แค่นี้เองพระโสดาบัน

ถ้าจะพูดย่อให้สั้นลงมา องค์พระโสดาบันก็คือ
๑) มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นอน
๒) มีศีลห้าเป็นปกติ ศีลห้าไม่ขาด
 
อาการของพระโสดาบันก็คือชาวบ้านชั้นดี การปฏิบัติแบบนี้เพื่อจะเข้าถึงพระโสดาบันมันเป็นของไม่ยาก
 
เอาละต่อแต่นี้ไปบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 18 พฤษภาคม 2558 12:16:06
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๗ การทรงฌาน

โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้พากันสมาทานพระกรรมฐานและสมาทานอุโบสถศีลแล้ว ต่อแต่นี้ไปก็เป็นโอกาสที่ท่านทั้งหลายจะพากันเจริญสมาธิจิตในอันดับแรกของการเจริญสมาธิจิต สิ่งที่ต้องตั้งไว้เป็นอารมณ์รักษาไว้ด้วยดี นั่นก็คือลมหายใจเข้าออก พยายามรักษากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท เวลาหายใจออกนึกว่าโธ อาราณ์นี้อย่าทิ้งเป็นอันขาด ให้มันทรงอยู่เป็นปกติ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการฝึกสมาธิการรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ความรู้คำว่าพุทโธ นี้เป็นอาการของสมาธิ แล้วก็จงอย่าสนใจกับภาพและแสงสีต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นแก่จิต ถ้าภาพแสงสีใดๆ ปรากฏขึ้นแกจิตเพิกเฉยต่ออาการของภาพนั้นเสีย รักษาอารมณ์เดิมให้เป็นปกติ อย่างนี้จึงจะชื่อว่าเป็นไปตามความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาการอย่างนี้ขอทุกท่านจงทรงไว้ตลอดชีวิต

แล้วอีกประการหนึ่งสำหรับการที่เราเจริญพระกรรมฐาน ก็ต้องใคร่ครวญอยู่เสมอว่า เราเจริญพระกรรมฐานเพื่อต้องการความรู้เป็นเครื่องพ้น พ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพราะความเกิดเป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ ถ้าเรายังต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่แบบนี้ เราก็มีแต่ความทุกข์ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ การเจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน เราทำเพื่อสิ้นความเกิด เพราะเราไม่ต้องการความทุกข์ต่อไป จงพิจารณาหาทุกข์ให้พบในอริยสัจ

ต่อแต่นี้ไปก็จะขอพูดต่อเมื่อคืนที่แล้ว เมื่อคืนที่แล้วได้พูดถึงอารมณ์ปฐมฌานโดยย่อ ก็ให้สังเกตอารมณ์หรือว่าเท่าที่เราภาวนาว่าพุทโธ หรือกำหนดรู้ลมหายเข้าออก ถ้าอารมณ์จิตของเราได้ยินเสียงภายนอกชัดเจนแจ่มใส รู้เรื่องทุกอย่าง แต่เราไม่รำคาญในเสียง สามารถจะควบคุมอารมณ์ใจของเราให้เป็นปกติ หรือรู้ลมหายใจเข้าออก รู้คำภาวนาได้เสียงจะสอดแทรกเข้ามาเพียงใดก็ตามที่ เราไม่รำคาญ จิตใจไม่กระสับกระส่ายไปตามเสียง อาการอย่างนี้เป็นอาการของปฐมฌาน

การที่เราจะควบคุมอารมณ์ให้ทรงอยู่ตลอดได้นานหรือไม่ได้นานนั้นก็เป็นเรื่องของการฝึกจิต ฝึกวิธีทรงสมาธิ วิธีที่ฝึกทรงสมาธินั่นนะ ในอันดับแรก พระพุทธเจ้าใช้การนับเป็นสำคัญ คือนับตั้งแต่ ๑ ถึง ๑๐ ของลมหายใจเข้าออก นับเป็นคู่ เราจะบังคับให้อารมณ์ของเราทรงอยู่ตามนี้ ว่าในขณะที่ ๑ ถึง ๑๐ นี่ เราจะไม่ยอมให้อารมณ์อื่นเข้ามาแทรกเป็นอันขาด แล้วจิตก็ทรงอยู่ใดอย่างนั้นจริงๆ พอมาถึง ๑๐ แล้วเราก็ปล่อยเลยหรือเริ่มต้นใหม่ ถ้าจิตยังสบาย คือเราจะทรงอารมณ์ให้ได้ ๑ ถึง ๑๐ อีก ถ้าถึง ๑๐ แล้วก็ยังทรงได้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการฝึกจิตทรงสมาธิ เมื่อฝึกอาการอย่างนี้จนคล่องแล้วเราก็สามารถจะใช้วิธีนับ ๑ ถึง ๒๐ หรือกำหนดให้นับ ๑ ถึง ๓๐ ถึง ๕๐ ถึง ๑๐๐ ก็ได้

วิธีการฝึกการทรงฌานทรงสมาธิที่ทรงได้แน่นอน สมัยโบราณท่านทำแบบนี้ ท่านใช้เทียนปักเข้าข้างหน้า วิธีใช้เทียนนี่ต้องปักในขันหรือว่าปักในสถานที่อย่างใดอย่างหนึ่งกันเทียนล้มไปไหม้บ้านไหม้วัด นี่ต้องเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีความฉลาด ไม่ใช่ทำอะไรแบบโง่ๆ ปล่อยให้อันตรายเกิดขึ้นอย่างนี้ ไม่สรรเสริญ แล้วไม่ใช่ทางดีดีไม่ดีมันจะไหลลงนรกไป การทำอะไรต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นิสสัมมะ กรณัง เสยโย ใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงทำดีกว่า การทำอะไรไม่ใคร่ครวญไม่พิจารณา ไม่ใช่หนทางแห่งความดี มันเป็นหนทางแห่งความเลว ก่อนการเจริญกสิณ เตโชกสิณ เป็นต้น ถือว่าการทรงสมาธิจิต หัดวิธีทรงอารมณ์ เราต้องใช้ความระมัดระวังไม่ใช่สักแต่ว่าทำส่งเดช จุดธูปจุดเทียนบูชาพระก็เหมือนกัน จุดแล้วก็ต้องระมัดระวังว่าธูปเทียนจะไปไหม้อะไรหรือเปล่า เสร็จแล้วก็เอาก้านธูปขี้เทียนทิ้งไป ไม่ให้เป็นเชื้อสายอันตรายแก่ทรัพย์สิน

การทดลองการทรงสมาธิ การฝึกทรงสมาธิของพระโบราณ ท่านใช้เทียนขี้ผึ้ง แล้วก็เอาสตางค์หรือเหรียญบาทไปติดเข้าไว้จุดใดจุดหนึ่ง โดยคิดว่าถ้าจิตเรายังไม่ถึงจุดนี้เพียงใด เราจะไม่ยอมให้จิตเคลื่อนไปสู่อารมณ์อื่น เวลานั่งภาวนาไปก็ตั้งใจเฉพาะภาวนาอย่างเดียว พอเทียนไหม้ลงไปถึงสตางค์หรือเหรียญบาทที่ติดไว้ สตางค์ก็หล่นเป้งลงไป แสดงว่าเราควบคุมจิตเราได้แบบสบายโดยจิตไม่เคลื่อน จิตของเราทรงฌานถึงระดับนั้น ทรงสมาธิทรงเวลาได้ตามที่เราต้องการ

การฝึกสมาธิจิตหรือการฝึกอารมณ์ให้ทรงตัวนี้มีความสำคัญมาก มิฉะนั้นอารมณ์จิตของเราจะไม่สามารถควบคุมได้เป็นปกติ นี่เป็นวิธีการคุมอารมณ์ให้ทรงตัวอยู่ เรียกว่า ทรงฌาน แบบนี้บรรดท่านทั้งหลายต้องฝึกให้เป็นปกติ ถ้ามานั่งอยู่ตรงนี้ (บนหอพระกรรมฐาน)ไม่แน่นัก เพราะเราใช้เวลาจำกัดเพียง ๓๐ นาที แล้วควรจะไปฝึกที่กุฏิด้วย การทรงสมาธิอารมณ์มันถึงจะได้ดี ถ้าเราสักแต่เพียงว่าทำไปชั่วขณะที่มาทำที่นี่ กลับไปกุฏิก็ปล่อยไปตามอารมณ์ อันนี้แสดงว่าเรายังขาดทุนอยู่มาก การทรงสมาธิ ถ้าเราไม่สามารถจะทรงสมาธิได้นาน วิปัสสนาญาณมันก็แย่ การที่เราจะมีวิปัสสนาญาณดีเพียงไร ก็ดูจริยาที่เราปฏิบัติในงาน ฝึกในงาน ประกอบการงาน ถ้ามีความละเอียดลออเพียงไหนหรือไม่ ถ้าขาดการระมัดระวังนั่นก็แสดงว่า เรายังห่างจากอารมณ์ของสมาธิ คือ สติสัมปชัญญะอยู่มาก การทำกิจการงานทุกอย่างต้องใช้อารมณ์พระกรรมฐานเข้าไปช่วย ไม่ใช่สักแต่เพียงว่าทำ ทำด้วยการพินิจพิจารณา ทำด้วยการใคร่ครวญ ทำด้วยการใช้ปัญญาเอาเป็นเครื่องพิจารณาว่าอะไรมันจะดี อะไรมันจะเสียไม่เสีย อย่างนี้เขาเรียกว่าเราทำงานด้วยแล้วเอาจิตช่วยเป็นสมถะเป็นวิปัสสนาทุกฝีก้าว หรือทุกอิริยาบถที่เราขยับไปให้มันเป็นสมาธิแล้วเป็นวิปัสสนาควบไปทุกขณะ นี่ถ้าหากว่ากิจการงานใดๆ ถ้ามีการพลั้งพลาด ยังมีความหยาบก็จงรู้ถึงจิตใจของตัวว่ามันยังห่างจากมรรคผลมากนัก ยังห่างกว่าฌานสมาบัติ
 
ต่อนี้ไปก็จะขอพูดถึงฌานที่ ๒ เมื่อคืนนี้ได้พูดถึงฌานที่ ๑ ฌานที่ ๑ มีองค์ห้า คือ มีวิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา

คำว่า วิตก แปลว่า นึก นึกว่าเราจะหายใจ นึกว่าเราจะภาวนา

วิจารณ์ตัวนี้ก็รู้อยู่ ว่าการหายใจเราหายใจอยู่หรือเปล่า หายใจสั้นหรือหายใจยาว ภาวนาอยู่หรือเปล่า คำภาวนาถูกหรือผิด เรียกว่า วิจารณ์

ปีติ ก็ตามที่กล่าวมาแล้ว ปีติมีอาการห้าอย่าง

สุข มีอารมณ์สบาย ทรงจิตสบายมีความชื่นอกชื่นใจ

เอกัคตา คือมีอารมณ์เป็นอันเดียว มีการทรงอารมณ์ไว้ ภาวนาก็ภาวนาอยู่อย่างนั้น จับลมหายใจเข้าออก รู้แต่ว่าจับลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนั้น อาการอย่างนี้เรียกว่า ปฐมฌาน

สำหรับฌานที่ ๒ ตัดวิตกวิจารณ์ออกเสียได้ เหลือแต่ปีติ สุข เอกัคตา วิธีที่ตัดวิตกวิจารณ์นี่ ส่วนมากนักปฏิบัติมักจะเข้าใจพลาด เหมือนกันทุกคนนักปฏิบัติตอนใหม่ๆ คือว่าเวลาภาวนาหรือจับลมหายใจเข้าออกไป ภาวนาไป ภาวนาไป จิตใจมันสบายมีความชุ่มชื่นมากขึ้นไป ไป ไป คำภาวนามันหยุดลงมาเสียเฉยๆ แต่ลมหายใจยังคงอยู่ แต่ว่าลมหายใจเบาไปเล็กน้อย มีความชุ่มชื่น มีความเอิบอิ่ม มีจิตทรงสมาธิได้ดี คำภาวนาไม่มีอาการอย่างนี้เรียกว่า ทุติฌาน คือ ฌานที่ ๒

บางรายหรือทั่วๆ ไป เห็นจะเป็น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เท่าที่ผ่านกันมาเองก็ดี พบกันมาเองก็ดี ขณะที่จิตอยู่ฌานที่ ๑ พอเข้าถึงฌานที่ ๒ พอรู้สึกตัวลงมา จิตตกจากฌานที่ ๒ มารู้สึกว่าเอ๊ะนี่ตายจริง เราลืมภาวนาไปเสียแล้วนี่ น่ากลัวจะหลับไปหรือจะเผลอไป แล้วก็เลยจับต้นชนปลายไม่ใคร่จะถูก คว้าคำภาวนาไม่ใคร่จะถูก ที่มีความรู้สึกเป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า เราเข้าใจผิดคิดว่า เราทิ้งคำภาวนาลืมภาวนา เคลิ้มไปหรือหลับไป อาการอย่างนั้นเป็นการเข้าใจพลาด แต่มันก็เป็นเหมือนกันทุกคนนั่นแหละ ถ้าเคยผ่านมาแล้วก็โดนเหมือนกันทุกคน นี่เราก็จงเข้าใจว่า ถ้าบังเอิญอาการอย่างนั้นปรากฏ คือ ภาวนาไปภาวนาไปปรากฏว่าคำภาวนาหายไป มีจิตใจชุ่มชื่น มีอารมณ์ดิ่งสบาย ที่นี่เวลาจิตมันตกลงมา รู้สึกว่านี่เราลืมภาวนาไปแล้วนี่ ถ้าอย่างนี้ก็จงรู้ว่าขณะที่ตกมานึกว่าเราลืมภาวนาไขว่คว้าคำภาวนาเกือบจะไม่ถูก มันเป็นอาการของจิตที่ตกลงมาจากทุติยฌาน ฌานที่ ๒

ฌานที่ ๒ นี่ถ้าเราทรงได้ พอตายแล้วก็ไปเป็นพรหมชั้นที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ตามกำลังของฌาน ฌานอย่างหยาบก็เป็นพรหมชั้นที่ ๕ อย่างละเอียดเป็นพรหมชั้นที่ ๖

การทรงสมาธินี่มีความสำคัญ การเจริญสมาธิ ถ้าเราจะมีแต่สมาธิธรรมดา รู้สึกว่ากำลังใจของเราไม่มั่น เมื่อทรงสมาธิแบบสบายๆ สบายใจพอสมควร เราก็น้อมเข้าไปหาวิปัสสนาญาณ โดยใช้อย่างย่อ คือ พิจารณาร่างกายว่า อัตภาพร่างกายนี่มันไม่ใช่เรามันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เรามีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีการสลายตัวไปในที่สุดอย่างนี้ก็ชื่อว่า ร่างนี้มันไม่ใช่เรา มันเป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราจะคิดกันให้สั้นๆ ก็เรียกว่า ร่างกายของเรานี่มันตายแน่ เมื่อเราจะตายเราก็คิดไว้ว่า ถ้ามันตายแล้วก็แล้วกันไป ขึ้นชื่อว่าความตายวาระต่อไปไม่มีสำหรับเรา เพราะร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์ ที่เรามามีทุกข์ต่างๆ ก็เพราะอาศัยร่างกายเป็นสำคัญ ในเมื่อร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้นั้น ต่อไปเราไม่ต้องการความทุกข์อย่างนี้อีก คือไม่ต้องการร่างกาย นี่เป็นกำลังใจข้อที่ ๑ คิดเอาไว้

ประการที่ ๒ เราจะไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราแน่ใจในผลแห่งคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว พระพุทธเจ้าเองก็ทรงเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านผู้ปฏิบัติตามอย่างเรา ท่านก็เป็นอรหันต์มานับไม่ถ้วน ไม่มีอะไรเป็นเครื่องน่าสงสัย

ประการที่ ๓ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ฆราวาสก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ ให้มั่นคง ถึงพระเณร ก็รักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์

ประการที่ ๔ จิตใจเรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์

ถ้าอารมณ์จิตของเราคิดอยู่อย่างนี้ ปฏิบัติได้อย่างนี้เป็นอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีการระมัดระวังอย่างนี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน

ถ้าอารมณ์ใจของเราก้าวขึ้นไปสูงมากกว่านี้อีกหน่อยหนึ่ง จะเป็นพระอนาคามี ก็ต้องพิจารณาสักกายทิฏฐิ หรือว่าอสุภกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง พิจารณาให้เห็นว่า ร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหมดไม่ใช่แท่งทึบ มีอาการ ๓๒ ประกอบขึ้น มีตับ ไต ไส้ ปอด อาหารใหม่ อาหารเก่า อุจจาระปัสสาวะ ร่างกายเต็มไปด้วยความโสโครก เต็มไปด้วยความสกปรก ไม่มีอะไรที่น่ารักน่าปรารถนา ไม่มีความสะอาด เรารังเกียจร่างกาย จนกระทั่งจิตใจของเรามีความเบื่อหน่าย เห็นคนก็ดี เห็นสัตว์ก็ดี บุคคลอื่นก็ดี ตัวเราก็ดี รู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยความสกปรก เห็นว่าร่างกายที่ประกอบไปด้วยธาตุสี่ของแต่ละบุคคคลสกปรกน่าเกลียด ไม่ถึงปรารถนาในการร่วมควบคู่อยู่ด้วย จนกระทั่งจิตใจของเรามีความสุขปราศจากความรักในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย การสัมผัสที่นิ่มนวล แล้วหลังจากนั้นไปก็เจริญเมตตาพรหมวิหารสี่เป็นเครื่องตัดความโกรธ ความพยาบาท จนกระทั่งเห็นใครเขาทำอะไรเคยไม่ชอบใจ ใจมันก็มีอารมณ์สบาย แทนที่จะโกรธ แทนที่จะพยาบาทประทุษร้ายเขา ก็กลับมีเมตตาความรัก กรุณามีความสงสาร ว่าคนที่ทำความชั่วอย่างนี้นั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นการทำลายตัวเอง นี่ค่อยๆลูบคลำกันไป

สำหรับอารมณ์วิปัสสนาญาณจะพึงยกไว้เฉพาะในด้านอนาคามี เพราะเวลานี้ เวลากาลที่จะพูดก็มากเกินไปแล้ว เพราะสัญญาณบอกเวลาปรากฏแล้ว อันดับแรกก็ขอให้จับลมหายใจเข้าออกกับคำภาวนา พยายามตั้งอารมณ์เข้าไว้ว่า ต่อแต่นี้ไปเวลา ๓๐ นาที เราจะไม่ยอมให้อารมณ์อื่นเข้ามายุ่งกับใจของเราเป็นอันขาด นอกจากว่าเราจะทรงสติสัมปชัญญะรู้ลมหายใจเข้าออก รู้คำภาวนาว่า พุทโธ ไว้เป็นปกติ นี่ต้องทำใจให้เข้มแข็ง ทรงอารมณ์อยู่ให้ได้ ถ้าเผอิญพอใจสบายแล้ว เมื่อจิตมันกลับไปคิดก็คิดว่าร่างกายของเรานี่มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เดี๋ยวมันก็พัง เดี๋ยวมันก็ตาย เราจะยึดถือมันไว้เพื่อประโยชน์อะไร เมื่อร่างกายของเราจะพัง ร่างกายของคนอื่นเราจะปรารถนาเพื่อประโยชน์อะไร แล้วในเมื่อนอกจากร่างแล้วทรัพย์สินทั้งหลายมันก็ไม่มีประโยชน์ แต่ว่าเราต้องทำต้องหาในเมื่อยังต้องกินต้องใช้ ถ้าหากว่าเราจะพึงต้องตายก็ตายไป ไม่เสียดายทรัพย์สิน ไม่เสียดายร่างกาย เราเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา แล้วก็พยายามควบคุมศีลให้บริสุทธิ์ เรื่องศีลนี่จะถือว่าจำเป็นขอหลีกเลี่ยง จำเป็นอย่างนั้น จำเป็นอย่างนี้ อันนี้ไม่มีสำหรับนักเจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน ต้องถือว่าเป็นปกติของเราเท่านั้นที่เราจะต้องพึงปฏิบัติ ถ้าอย่างนี้อารมณ์ของท่านพุทธบริษัทก็จะเข้าถึงอารมณ์ของพระโสดาบัน อันนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในตอนต้นถ้าเราปฏิบัติไม่ถึงจุดนี้แล้ว ก็เสียทีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา

เอาละต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า จงพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา



หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 20 พฤษภาคม 2558 11:04:34
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๘ หัวใจการเจริญพระกรรมฐาน

วันนี้ก็จะขอย้อนพูดถึงหัวใจของการเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา เมื่อฟังแล้วก็จำกันไว้ด้วย ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าท่านพูดไม่ซ้ำ ตามแนวของพระพุทธเจ้ามีคำอยู่ว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ไม่ใช่ยกยอปอปั้นให้ใครได้ฌานสมาบัติ การปฏิบัติจะให้ได้ดีในเขตของพระพุทธศาสนา เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามหรือแนะนำว่าไม่สมควร สิ่งนั้นเราต้องเว้นเด็ดขาด ถ้าสิ่งใดที่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงสนับสนุน สิ่งนั้นต้องทำด้วยชีวิต จงพยายามทำด้วยจิตใจที่แท้จริง

การเจริญหรือปฏิบัติความดีในพระพุทธศาสนาเพื่อมรรคผล ที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนยังมีความเข้าใจผิดกันอยู่มาก ว่าการปฏิบัติด้วยอาการเครียดเป็นของดี นี่เราก็ต้องหันไปดูพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จัดว่าเป็นปฐมเทศนาที่แสดงกับท่านปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้งห้า มีท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นต้น ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ๆ เวลานั้นองค์สมเด็จพระจอมไตร ตั้งใจมาเทศน์โปรดพุทธบริษัททั้งห้า หัวใจแห่งการแสดงพระสัทธรรมเทศนาเวลานั้นมีอยู่ ๓ อย่างด้วยกัน คือ
๑. อัตตกิลมถานุโยค
๒. กามสุขัลลิกานุโยค
๓. มัชฌิมาปฏิปทา

สามอย่างนี้ เพราะว่าเวลานั้นเป็นเวลาเชื่อมระหว่างพระพุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์ เดิมที่พราหมณ์ชอบปฏิบัติตัวในด้านอัตตกิลมถานุโยค มีการทรมานตัวบ้าง นั่งไม่กินข้าวบ้าง กินข้าวเวลาเดียวบ้าง กินข้าวเฉพาะบ้านที่เขาให้บ้านเดียวบ้าง กินข้าวแต่เพียงเล็กน้อยบ้าง ไม่ยอมนอนบ้าง มีการทรมานกายมีการอดข้าวบ้าง อย่างนี้เป็นต้น พราหมณ์เขาชอบทรมานตน วิธีนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ลองเหมือนกัน เพราะว่าสมัยนั้นเขาถือว่าดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทำ ทำมาสิ้นเวลาหกปีจนร่างกายซูบผอมมาก เดินซวนจะล้ม เอามือลูบร่างกายรู้สึกว่าขนมันหลุดตามมือ แสดงว่าเลือดไม่มีจะเลี้ยงมันก็ไม่สำเร็จผล ต่อมาองค์สมเด็จพระทศพลอาศัยที่มีบารมีแก่กล้าเต็มบริบูรณ์ จึงมีอารมณ์เกิดขึ้นทางใจว่า การบรรลุผลเห็นจะไม่ใช่มาในทางส่วนอัตตกิลมถานุโยค คือ การทรมานตน องค์สมเด็จพระทศพลจึงได้ทรงฉันพระกระยาหารมีกำลังดีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงเอาหญ้าคาที่เขาถวาย ๘ กำปูลงข้างต้นโพธิ แล้วนั่งหันหลังพิงโคนโพธิ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทรงอธิษฐานพระทัยว่า ถ้าเราไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เลือดและเนื้อของเราจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตนี้จะสิ้นไป เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี่ เป็นอันว่าวันนั้นเอง องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณในวันนั้น คือวันเพ็ญกลางเดือนแปด ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฏีกาว่า

ดูก่อนท่านทั้งหลาย ส่วนสุดสองอย่าง เราปรารถนามรรคผลจงอย่าเข้าไปแตะต้อง คือ อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติตนด้วยความลำบาก มีการเคร่งเครียด มีการทรมานกาย นี่ก็เห็นว่าเวลานี่เราก็นิยมกันมากสำหรับนักปฏิบัติที่ชอบผิดสาย คือชอบนั่งกันนานๆ ทรมานเป็นชั่วโมงๆ ถือว่าเป็นการดี อันนี้ผิด เป็นอันว่าการทรมานกายนี้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาถือว่าผิด ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล มันเครียดเกินไป

ส่วนสุดเบื้องต่ำอีกอย่างหนึ่งคือ กามสุขัลลิกานุโยค เวลาที่เรานั่งภาวนาไปก็นึกอยากจะถึงนั่น อยากจะถึงนี่ อยากจะเป็นอย่างนี้ อยากจะเป็นอย่างนี้ ไอ้ตัวอยากนี่มันเป็นตัณหา คือเป็นกิเลส แล้วทำไมเราจึงไปอยากกัน

นี่อาการสองอย่างนี้ องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาทรงให้ละเสียอย่าเข้าไปแตะต้อง ส่วนที่สมควรเป็นการบรรลุมรรคผลได้จริงๆ ก็คือ มัชฌิมาปฏิปทา การปฏิบัติตนพอดีพอควร นั่งมันเมื่อยก็นอน นอนไม่สบายก็ยืน ยืนไม่ถนัดก็เดิน ใช้ได้ในอิริยาบถทั้งสี่ เอาแต่พอดีพอควร ไม่เกินพอดีเกินไป แล้วทำจิตใจให้ตรงเฉพาะต่ออารมณ์ที่เราต้องการ นี่อย่างนี้เขาเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ที่นักปฏิบัติจะต้องพยายามปฏิบัติให้ตรงสายจริง นี่เป็นกฏใหญ่

ต่อไปเราก็หันเข้าไปดูในอุทุมพริกสูตร หรือพรที่พระเทวทัตขอต่อพระพุทธเจ้า มีส่วนที่เป็นอุปกิเลสหลายอย่างด้วยกัน ที่นักปฏิบัติในสมัยปัจจุบันมีความต้องการ แล้วมันก็จะไปได้อะไร ยังมีความเห็นว่าการกินข้าวหนเดียว การไม่กินเนื้อสัตว์เลยเป็นการบรรลุมรรคผล เราก็ดูองค์สมเด็จพระทศพลสมัยนั้น พระเทวทัตขอพรต่อพระพุทธเจ้าว่า พระที่อยู่ป่าจงอยู่ป่าอย่าเข้าบ้าน พระที่อยู่ในบ้านจงอย่าออกป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระทั้งหลายจงอย่าฉันเนื้อสัตว์ เพราะเป็นการสนับสนุนชาวบ้านให้ทำบาป เมื่อชาวบ้านอยากจะทำบุญก็เอาเนื้อสัตว์มาถวาย อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่ยอมปฏิบัติตาม เพราะอันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของอัตตกิลมถานุโยค เพราะว่าถ้าชาวบ้านเขากินเนื้อสัตว์พระไม่กินเนื้อสัตว์ ชาวบ้านก็เกิดความลำบาก จะต้องทำอาหารเป็นสองประการ แล้วอีกประการหนึ่งพระองก็จะมีความลำบาก ลำบากด้วยอาหารเพราะชาวบ้านเขาไม่มีจะให้

การบริโภคอาหารนี่ องค์สมเด็จพระจอมไตรมีระเบียบอยู่แล้ว จะเป็นอาหารประเภทไหนก็ตาม ถ้าเว้นไว้จากที่พระวินัยบังคับและอาหารที่เป็นโทษกับร่างกาย ก่อนที่จะฉันอาหารองค์สมเด็จพระจอมไตรให้พิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา พิจารณาว่าอาหารนี่มันมีพื้นฐานมาจากความสกปรก พืชพันธุ์ธัญญาหารก็สกปรก เนื้อสัตว์ก็สกปรก ที่เรากินของสกปรกเข้าไป ร่างกายของเราก็สกปรก มันจะเอาอะไรมาสะอาด ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของสัตว์ก็ดี มีสภาพน่าเกลียด แต่ว่าเรากินไปเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น เราจะไม่เมาชีวิต เราจะไม่เมาในร่างกาย เราจะไม่ติดในรสอาหาร ระเบียบนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารมีอยู่แล้ว

สำหรับในอุทุมพริกสูตร องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสถึงอุปกิเลสหลายประการรวมแล้ว ๔๐ ประการด้วยกันว่า ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า เจ้าจงอย่าคิดว่าบุคคลอื่นเขาโลภในอาหาร อย่าทะนงตนว่าเป็นบุคคลดี เป็นคนกินน้อยบริโภคน้อย บุคคลนั้นกินมากบริโภคมาก บุคคลนั้นเป็นผู้ไม่เลือกอาหารอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นอันว่าการปฏิบัติภายนอกนี่ องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาไม่ทรงสรรเสริญ เพราะไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล ทางที่จะบรรลุมรรคผลมันมีอยู่เฉพาะที่ใจเท่านั้น ทำตัวให้สบาย เราไปทางไหนเข้ากับสังคมนั้นเขาได้ ถ้าหากว่าเราปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งไม่เหมือนกับสังคมนั้น ก็จะเกิดการทะนงตัว เป็นกิเลสไปว่า สมาคมนั้นสู้เราไม่ได้ สมาคมนี้สู้เราไม่ได้ สมาคมนั้นดีกว่าเรา สมาคมนี้เลวกว่าเรา กลายเป็นมานะถือตัวถือตนไป นี่เป็นอารมณ์ของอุปกิเลสใช้ไม่ได้
 
ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์เป็นจำนวนมากที่บรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลไม่เคยสั่งให้ระงับนั่นระงับนี่ นอกจากอาการปกติ การฉันภัตตาหารให้เป็นไปตามระเบียบที่ชาวบ้านเขานำมาถวายเท่าที่มันมี เขามีมาแค่นี้เราไม่เลือกอย่างโน้น ถือว่ายังอัตภาพให้เป็นไป เขาให้มากก็กินมาก ให้น้อยก็กินน้อย เขาให้มากกินมากเกินไปก็ไม่ได้ การบริโภคอาหารให้เป็นไปตามโภชเน มัตตัญญุตา การรู้จักประมาณกินอาหาร กินไม่มากไม่น้อยเกินไปเอาตามสมควร ไม่นั่งเพ่งโทษบุคคลอื่น นี่เป็นอารมณ์อันหนึ่ง

อีกอันหนึ่งต้องทำใจของเราให้หยุดอยู่ในจุดสงบ หมายความว่า เราเพ่งเล็งจิตของเราแต่ผู้เดียว ตามพระบาลีว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเองไว้เสมอว่า คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่ายังไงให้เราปฏิบัติ ห้ามไว้แบบไหน ไม่ให้เราทำ นี่อันนี้ต้องปฏิบัติให้เคร่งครัด ไม่ใช่จะไปนึกเอาตามอารมณ์ที่ชาวบ้านเขาทำกัน เห็นชาวบ้านเขาทำ ชาวบ้านไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถ้าคนนั้นเขาดีจริงๆเขาก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าที่เขาสร้างแบบแผนขึ้นมาหักล้างคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เราเป็นพุทธสาวกปฏิบัติตามไม่ได้ ถ้าขืนปฏิบัติตามเราก็ไม่มีมรรคผลใดๆ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เพราะคัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสียแล้ว

สำหรับอารมณ์ทางใจ อารมณ์ทางใจก็มีอยู่ว่า อันดับแรก องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาให้พิจารณาแต่จิตของตัวเท่านั้น จริยาของบุคคลอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง ที่ว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเองเตือนไว้ว่าพระพุทธเจ้าสอนเราไว้แบบไหน เราทำตามนั้น พระพุทธเจ้าห้ามแบบไหน เราเว้นตามนั้น นี่เป็นประการหนึ่งที่เราจะต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด

วิธีปฏิบัติที่ให้จิตเข้าถึงฌานหรือวิปัสสนาญาณขั้นดี จงจำไว้ว่า สมถะ แปลว่า อุบายเป็นเครื่องสงบใจ สมถภาวนาไม่ใช่อุบายเป็นเครื่องเห็นผีเห็นเทวดา เห็นนรกเห็นสวรรค์ เห็นภาพต่างๆ ไม่ใช่อย่างงั้น จำคำแปลให้ดี สมถะแปลว่า อุบายเป็นเครื่องสงบใจ ทำใจให้สงบจากอารมณ์ภายนอก ยืดถืออารมณ์ฝ่ายเดียวที่เราตั้งใจไว้

อันดับแรกองค์สมเด็จพระจอมไตรให้ระงับความคิดที่จะไปนั่งเพ่งเล็งชาวบ้านเขาคนนั้นดีคนนี้เลว ดูใจเราเฉพาะเท่านั้นว่าใจของเรามันดีหรือว่าใจของเรามันเลว ใช้สติสัมปชัญญะควบคุม
- ประการที่ ๒ ให้มีศีลบริสุทธิ์
- ประการที่ ๓ ระงับนิวรณ์ห้าประการได้ทุกขณะ นิวรณ์ห้า คือ

ระงับจากความปรารถนาในกามารมณ์ รูปสวย เสียงเพราะ รสอร่อย กลิ่นหอม สัมผัสที่เราต้องการ อารมณ์เกลือกกลั้วไปด้วยกามารมณ์ อันนี้ต้องระงับได้ทันทีทันใดแล้วก็เสมอ
- ระงับจากความโกรธความพยาบาท
- ระงับจากความง่วงเหงาหาวนอน

อย่างนี้วันนี้ได้ยินเสียงแว่วๆ เข้ามา เราต้องไม่สนใจในเสียง อุทธัจจะ กุกกุจจะ จิตไม่ฟุ้งซ่านไปตามเสียง แล้วก็ไม่รำคาญตามเสียง จับองค์ภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยให้ทรงอยู่ ไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงพรหมวิหารสี่ คือ มีเมตตาปกติ คิดว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร เราจะเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั้งหมดทั่วโลก ทำใจให้สบาย กรุณา เรามีความสงสาร จะสงเคราะห์คนและสัตว์ให้มีความสุขตามกำลังที่เราจะทำได้ มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร พลอยยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี อุเบกขา วางเฉยไว้ อย่างเสียงเขาเปิดขยายเสียงกันวันนี้ นั่นเขาถูกคอกัน เขาก็ต้องใช้เสียงประเล้าประโลมเป็นเรื่องของเขา งานการทำสมาธิจิตเป็นเรื่องของเรา
 
นี่ หลักใหญ่ในการเจริญพระกรรมฐานมีเท่านี้ ถ้าหากว่าเราทรงอารมณ์ได้ตามนี้แล้ว ไม่ฝ่าฝืนคำตักเตือนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วแล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนประเดี๋ยวมันก็ได้ฌานสมาบัติ

เอ้า วันนี้เราลองสอบใจกัน วันนี้แหละดีมาก เพราะว่าเสียงขยายเสียงเข้ามารบกวนยิ่งดี ไม่ใช่ของไม่ดี อันดับแรกเราก็พยายามจับลมหายใจเข้าออก เพราะลมหายใจเข้าออกนี่ระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หรือนับก็ได้ หายใจเข้าหายใจออกนับเป็น ๑ ลองนับดูซิมันจะได้สักเท่าไร นับมันแค่ ๑๐ คู่ พอถึง ๑๐ คู่ แล้วเราก็ขึ้นต้นใหม่ ดูซิชั่วเวลา ๓๐ นาทีนี่เราจะแพ้เสียงหรือว่าเราจะชนะเสียง

ถ้าหูเรายังได้ยินเสียงถนัด รู้เขาร้องเพลงทุกอย่าง แต่ว่าใจไม่รำคาญ อันนี้ชื่อว่า จิตของเราเป็นปฐมฌาน ถ้าหากว่าเสียงเราได้ยินเบาลง อารมณ์แช่มชื่น ขาดคำภาวนาขาดไป อันนี้ชื่อว่าเป็นฌานที่ ๒ ถ้าลมหายใจเข้าออกรู้สึกว่าแผ่วเบาลงมาก อาการตึงเป๋ง ร่างกายเหมือนเครียด หูได้ยินเสียงแว่วๆ น้อยๆ จิตทรงสมาธิได้ดี อันนี้เป็นฌานที่ ๓ ขณะใดถ้าภาวนาไป พิจารณาไป บังเอิญหูไม่ได้ยินเสียงเลย คิดว่าเขาเลิกไปแล้ว ใจสบาย โปร่ง อันนี้เป็นฌานที่ ๔

นี่เป็นเครื่องวัดสำหรับวันนี้ว่าการเจริญ เราเจริญพระกรรมฐานกันมาตั้งนานแล้ว นี่มีผลเป็นประการใด
 
เอาละ ต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน พยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา ลองซ้อมใจดูนะว่า สมาธิเราฝึกกันมามีผลหรือไม่มีผล วันนี้มันดีมากเป็นการซ้อมไปในตัวเสร็จ


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 22 พฤษภาคม 2558 11:46:05
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๙ อานาปานสติโดยย่อ

ต่อแต่นี้ไปเป็นวาระที่ท่านทั้งหลายจะเจริญสมาธิจิตและวิปัสสนาญาณ ขอได้โปรดทราบว่าการเจริญพระกรรมฐาน ไม่ว่าจะเป็นการเจริญสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาก็ตามที อย่างนี้ท่านเรียกว่าเป็นปรมัตถปฏิบัติ ถ้าจัดเป็นบารมีก็เรียกว่าเป็นปรมัตถบารมี เป็นการสร้างกำลังใจในส่วนของกุศล
 
วันนี้จะขอพูดย่อพอเล็กน้อย การที่เราทำแบบนี้ก็เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้ว่าความเกิดเป็นทุกข์ ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ เราก็จะเห็นได้ง่ายๆว่า การเกิดเป็นทุกข์ การเกิดนี่เราหยุดไม่ได้ ต้องทำงานทุกอย่างเพื่อความเป็นอยู่ของเราและความเป็นอยู่ของครอบครัว แม้ว่าเราจะประกอบกิจการงานใดก็ตาม มีทรัพย์สินมากเพียงใดก็ตาม ในที่สุดเราก็ต้องตาย ถ้าหากว่าเราตายไปแล้วและความชั่วมันเกาะใจ มันก็จะพาไปลงอบายภูมิ ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรตอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น ถ้าเรามีความดีเกาะจิตของเรา เราก็ไปเกิดอย่างเลวที่สุดก็เป็นมนุษย์ชั้นดี หรือเป็นเทวดาเป็นพรหม ถ้าบริสุทธิ์เต็มที่ก็ถึงพระนิพพาน
 
การที่จิตของเราจะเกาะความดีหรือว่าความดีจะเกาะจิตเราไปได้ก็ต้องอาศัย
๑. การให้ทาน
๒. การรักษาศีล
๓. การเจริญภาวนา
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการภาวนานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการทำจิตให้ชินกับจิตที่เป็นกุศล เพราะว่าการเจริญพระกรรมฐานฝ่ายกรรมฐาน ๔๐ ก็ดี วิปัสสนาญาณก็ดี จัดว่าเป็นกุศลทั้งหมด ทีนี้องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงกล่าวว่าเป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพาน เพราะฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโปรดทราบว่าการเจริญพระกรรมฐานอันดับแรกก็มีความประสงค์ให้ทรงสติสัมปชัญญะ คือให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่ลืมความดี มีการให้ทานรักษาศีล มีการเจริญภาวนา
 
การเจริญสมถภาวนานี่เราต้องการให้จิตสงบจากอกุศล และจิตน้อมอยู่ในส่วนของกุศลเป็นปกติ โดยปกติพระโบราณาจารย์ท่านแนะนำให้นึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ โดยใช้คำภาวนาว่า พุทโธ แต่ว่าถ้าภาวนาเฉยๆ จิตก็จะลอยเกินไปไม่มีที่เกาะ เพราะจิตมีสภาพกวัดแกว่ง เพราะฉะนั้น ท่านจึงแนะนำให้จับอานาปานสติกรรมฐาน จับลมหายใจเข้าออก กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ สำหรับอานาปานสติกรรมฐานหรือการกำหนดลมหายใจเข้าออกนี้เป็นกรรมฐานที่ลดความฟุ้งซ่านของจิต อีกอย่างหนึ่งเรียกว่าเป็นกรรมฐานที่ระงับกายสังขาร เวลาที่เราป่วยไข้ไม่สบายอาการมันมาก มีอาการเครียดจัดให้ใช้อานาปานสติกรรมฐานเข้าระงับจับลมหายใจเข้าออกจนอารมณ์จิตเป็นฌาน หรืออุปจารสมาธิ อาการหรือว่าทุกขเวทนาจะบรรเทาลง ความจริงอาการมันไม่ได้ลดลง แต่ว่าจิตเราไม่ยอมรับความรู้สึกจากอาการทางกายก็ทำให้สบายได้ แล้วประการที่สอง สำหรับอานาปานสตินี้เป็นกรรมฐานระงับโมหจริตและวิตกจริต รวมความว่าตัดความโง่ของจิต โมหะก็คือความโง่ ทำให้จิตฉลาดขึ้น
 
สำหรับพุทธานุสสติกรรมฐานการนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ประเภทนี้ถ้าไปเกิดเป็นคนก็มีแต่ความรุ่งเรือง ไม่ถอยหลัง ไม่น้อยหน้ากว่าใคร ถ้าเป็นเทวดาหรือพรหมก็มีรัศมีกายมาก เทวดากับพรหมเขาวัดความดี บารมีกันด้วยรัศมีกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานนี่ท่านกล่าวว่า เข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายที่สุด
 
เอาละต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ ขณะใดที่เรารู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้คำภาวนา พุทโธ ขณะนั้นชื่อว่าจิตของเราเป็นสมาธิตามความต้องการ ถ้าหากว่าภาวนาไปๆ ใจมันเกิดความสบาย คำภาวนาหยุดไปเฉยๆ เป็นความสุขที่ยิ่งกว่า อย่างนี้ก็จงอย่าตกใจ อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ ๒ ซึ่งเป็นอารมณ์ดีขึ้น หากว่าทำไปความชุ่มชื่นหายไป มีอาการเครียด ลมหายใจเบาลง หูได้ยินเสียงภายนอกเบามาก จิตใจทรงตัวแนบสนิทอย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ ๓ ถ้าบังเอิญภาวนาไป กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ปรากฏว่าไม่รู้ว่าลมหายใจเข้าออกมีหรือเปล่า มันมีอาการเฉยๆ มีอาการจิตใจสบาย อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ ๔ จัดว่าเป็นอารมณ์ฌานที่มีความสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา
 
ต่อจากนี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้าพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา



หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 27 พฤษภาคม 2558 10:12:45
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๑๐ โทษของกาม

นี่เป็นอันว่าการสมาทานพระกรรมฐานจบลง ต่อแต่นี้ไปก็ขอทุกท่านพากันสำรวมใจทำจิตให้เป็นสมาธิ คือทรงสติสัมปชัญญะ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นพื้นฐาน หายใจเข้าหายใจออกนี่เป็นพื้นฐานใหญ่ พร้อมกันนั้นก็ใช้คำภาวนาตามอัธยาศัยว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือว่าอรหัง หรือว่าอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ตามถนัด แต่ทว่าขอให้จิตใจนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เป็นสำคัญ ว่าเราเข้ามาในเขตพระพุทธศาสนานี้นั้นก็เพราะว่ามีความเชื่อในพระองค์ ไม่มีความสงสัยในคำสั่งสอนของพระองค์ และอธิษฐานความตั้งใจของเราไว้ว่าเราจะยอมรับนับถือในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ว่าเป็นผู้นำเราไปสู่ความสุขทั้งในชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ
 
เมื่อน้อมใจนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็นำเอาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่ทรงสั่งสอนเราว่าโลกนี้เป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง มีแต่ความทุกข์ อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างมีการสลายตัวไปในที่สุด การเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม เกิดเป็นสัตว์ก็ตาม ย่อมเต็มไปด้วยความทุกข์ เราต้องบริหารประกอบกิจการงานเพื่อความเป็นอยู่ของตน ในงานทุกประเภทนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ทำแล้วมันก็ต้องทำอีก ทำแล้วก็ต้องทำอีกอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ทำไปจนจะตายเราก็ยังไม่ว่าง ตายแล้วถ้าหากว่ายังไม่หมดกิเลสเพียงใดเราก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ก้าวลงไปเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เราก็ชื่อว่าเราขาดทุน ถ้าหากว่าเราวนมาแค่มนุษย์อีกก็ชื่อว่าขาดทุนเหมือนกัน เพราะว่าถ้าเราเป็นมนุษย์แล้วเรากลับเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ชื่อว่าเราไม่มีอะไรดีขึ้น เรายังเป็นทาสกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมอยู่ เราก็จะขอยึดถือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู อย่างเลวที่สุด เมื่อตายแล้วชาตินี้เราก็จะเป็นเทวดา หรือว่าเราจะทำความดีอย่างกลางเราก็จะเกิดเป็นพรหมหรือมิฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการที่สุดนั่นก็คือพระนิพพาน นี่เพราะพระนิพพานเป็นที่แห่งเดียวเท่านั้นเป็นที่เสร็จกิจไม่ต้องทำอะไรต่อไป กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีอีกแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงเทศน์ไว้ในธรรมจักกัปปวัตนสูตรก็ดี อาทิตตปริยายสูตรก็ดี อนัตตลักขณสูตรก็ดี ลงท้ายองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์แบบนี้ว่าสิ่งที่เราจะต้องทำเราทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่เราจะต้องทำไม่มี นี่หมายความว่าเราเป็นพระอรหันต์ ถ้ายังไม่ถึงพระอรหันต์เพียงใดเราก็ยังคงต้องทำต่อไป กิจประเภทนี้ก็คือกิจที่ต้องทำต้องปฏิบัติบริหารเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่อเพื่อนฝูง เพื่อหมู่คณะ หรือเพื่อประเทศชาติ เป็นต้น มันก็เป็นกิจเหน็ดเหนื่อย
 
การเบื่อกิจที่ทำแล้วทำอีกอย่างนี้มีตัวอย่างในพระธรรมบท ขุททกนิกาย สมัยเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วประมาณ ๑๐ ปี ในระยะนี้ไม่เกิน ๑๐ ปี ในระหว่างนั้นในบรรดาศากยราชก็ดี เทวทหะก็ดี ศากยราช คือ พระญาติขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทหะเป็นญาติขิงทางฝ่ายพระนางพิมพาราชเทวี ตระกูลทั้ง ๒ นี้เป็นพระญาติในเครือเดียวกัน ต่างคนต่างก็ออกบวชในพระพุทธศาสนากันมาก ทีนี้สมัยนั้น ท้าวมหานามเป็นกษัตริย์ทางศากยราชที่กบิลพัสด์ ท่านท้าวมหานามทรงมีพี่น้องอยู่ ๒ คน คือ ท่านท้าวมหานาม พระอนุรุทธและพระนางโหริณี สำหรับพระนางโหริณีนี้เห็นจะไม่ต้องเกี่ยวเพราะเธอเป็นผู้หญิง ท้าวมหานามจึงเรียกพระอนุรุทธเข้ามาว่า ศากยะก็ดี เทวทหะนครก็ดี ต่างคนต่างบวชตามองค์สมเด็จพระชินสีห์กันหมด เหลือแต่ตระกูลเรา ๒ คนนี่เท่านั้นที่ยังไม่มีคนบวช ก็จะกลายเป็นคนหมันไป ถ้ากระไรก็ดีพี่จะขอบวช ขอน้องจงอยู่ครองสมบัติขึ้นเป็นพระราชา พระอนุรุทธก็นิ่งฟัง แล้วท่านท้าวมหานามก็กล่าวว่าถ้าเจ้าจะเป็นพระราชาปกครองคน จงเรียนถึงกิจของพระราชาหรือของประชาชนทั่วไปที่มีความต้องการ สมัยนั้นพระราชามีงานมาก ต้องทำนา แต่พระอนุรุทธเป็นพระอนุชาไม่เคยลำบากต้องทำงานกับเขา

จึงถามว่าวิธีทำนาเป็นอย่างไร
ท่านท้าวมหานามก็กล่าวว่าเวลาที่จะทำระยะแรกก็นำวัวควายออกไป นำไถออกไป นำอุปกรณ์ออกไป ไถให้เป็นรอย แล้วก็เอาข้าวหว่านลงไป แล้วก็ไถกลบ เอาคราดคราดแล้วก็เก็บขี้หญ้า
 
พระอนุรุทธถามว่าเสร็จหรือยัง ท้าวมหานามก็บอกว่ายังไม่เสร็จ ต่อนี้ไปก็ดูน้ำ พืชข้าวว่าจะเกิดขึ้นดีหรือไม่ ถ้าปรากฏว่ามีวัชชพืช คือพืชที่จะเป็นอันตรายแก่ต้นข้าวก็ต้องถากต้องถางต้องถอน เป็นการรักษาต้นข้าว ถ้ามีตัวเพลี้ยตัวหนอนก็ต้องหาวิธีไล่เพลี้ยหนอนที่กินกอข้าว
 
พระอนุรุทธถามว่าเสร็จหรือยัง ท้าวมหานามก็บอกว่ายังไม่เสร็จ ต่อไปเมื่อข้าวโตขึ้นมาก็เป็นรวง เมื่อเป็นรวงแล้วก็มีเมล็ดแก่เต็มที่ก็ต้องเก็บเกี่ยว เกี่ยวเสร็จแล้วก็มานวด นวดเสร็จแล้วก็เก็บมาไว้ในยุ้งในฉาง
 
ท่านพระอนุรุทธถามว่าเสร็จหรือยัง ท่านมหานามก็บอกว่ายัง ก็บอกต่อไปว่าต่อไปก็ต้องนำข้าวมาสะสางมาสีให้พร้อมเป็นข้าวสารแล้วนำมา
 
ท่านพระอนุรุทธถามว่าเสร็จหรือยัง ท่านท้าวมหานามก็บอกว่ายัง กินข้าวป่าเก่าเข้าไปแล้ว เมื่อถึงฤดูทำนาใหม่ก็ต้องนำเอาข้าวเก่าไปทำพันธุ์ข้าวปลูกมาใหม่ แล้วทำมันอย่างนี้เรื่อยไป ถึงปีก็ต้องทำใหม่ ได้ข้าวก็เกี่ยวอย่างนี้ตลอดชีวิต
 
ท่านพระอนุรุทธถามว่า กิจของการทำนาทำมาหากินนี่มันไม่มีการหยุดกันหรือ ท่านท้าวมหานามก็บอกว่า หยุดไม่ได้เพราะเราต้องกิน ญาติผู้ใหญ่ของเราทุกระดับชั้นก็ทำแบบนี้ ถึงแม้ว่าจนกระทั่งตายท่านก็ไม่มีโอกาสหยุด เพราะเป็นกิจที่เราจะต้องทำ นี่พระอนุรุทธบอกว่าถ้าเช่นนั้นเราจะบวช ท่านเป็นพระราชาต่อไป
 
เป็นอันว่าท่านท้าวมหานามก็ตามใจ ความจริงเวลานั้นท่านท้าวมหานามเป็นกษัตริย์ก็จริง แต่ว่าปฏิบัติธรรมะได้ถึงพระอนาคามี เมื่อพระอนุรุทธได้รับคำอนุญาตจากพี่ชายแล้วก็ชวนเพื่อนอีก ๔ คนด้วยกัน มีพระเทวทัตร่วมไปด้วย และมีพระอุบาลีที่เป็นช่างตัดผมติดตามไปด้วย เวลาที่จะบวชก็ให้พระอุบาลีบวชก่อน ทั้งนี้ก็เพราะว่าในพระพุทธศาสนาถือว่าใครบวชก่อนเป็นผู้อาวุโส ผู้เป็นพี่ คนที่บวชทีหลังจะต้องเคารพเป็นลำดับกัน การที่ให้พระอุบาลีบวชก่อนในฐานะที่เป็นคนรับใช้ก็มีความอยู่ในใจว่าเราได้ตัดมานะไม่ถือตัวว่าเป็นเจ้าเป็นนาย ถือว่าเขาเป็นนายจะละมานะตัวนี้เป็นขั้นแรก ต่อมาท่านก็บวชในพระพุทธศาสนา อาศัยที่ได้ฟังธรรมจากท่านท้าวมหานามบอกว่าเกิดเป็นมนุษย์หาความหยุดไม่ได้ ต้องทำมาหากินกันต่อไป แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ก็ต้องหากินกันแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ท่านจึงไม่ต้องการหากินต่อไป เมื่อบวชแล้วก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพรจอมไตร องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคก็ตรัสพระนิพพานเป็นที่หมาย ว่าพระนิพพานเป็นเอกันตบรมสุข มีความสุขอย่างยิ่ง ขึ้นชื่อว่าความทุกข์นิดหนึ่งย่อมไม่มีในขันธ์ ๕ มีความสุขบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความเบา
 
แต่ว่าคนที่จะถึงพระนิพพานได้ก็ต้องพยายามตัดโลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง เห็นว่าร่างกายไม่เป็นสาระเป็นแก่นสาร เป็นอนิจจัง เกิดมาแล้วมันหาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง เต็มไปด้วยความทุกข์ อนัตตา มีความสลายตัวไปในที่สุด ถ้าเรายังโง่รอความเกิดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้โทษให้พระอนุรุทธและบรรดาพระทั้งหลายฟัง ว่าร่างกายเป็นโรคนิทธัง เป็นรังของโรค เกิดมาแล้วทุกวันมีแต่โรค ไม่มีมนุษย์ตนใดไม่มีโรคแม้แต่ ๑ วินาที อาการโรคอย่างอื่นไม่มีก็มีโรคอย่างหนึ่งขังอยู่ในกาย คือ ชิฆัจฺฉา ปรมา โรคา ซึ่งกล่าวว่าความหิวเป็นโรคอย่างหนึ่ง โรคเขาแปลว่าเสียดแทง เวลามันหิวขึ้นมามันหาความสบายไม่ได้ มันไม่มีความสบาย ถ้าหากว่าเราตัดความหิวเสียได้ โรคร้ายคือความยากเสียได้เราก็จะมีความสุข
 
พระอนุรุทธถามว่าทำอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระบรมศาสดาก็บอกว่า พิจารณาเห็นว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเราเมื่อเราตัดร่างกายเสียได้แล้ว ไม่เห็นว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา ก็ตัดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้หมด เพราะว่าที่เราต้องการทรัพย์สินหรือต้องการมีครอบครัวก็เพราะถือว่าคำว่าร่างกายนี้เป็นสำคัญ ฉะนั้น ถ้าหากว่าตัดความเป็นของเราในร่างกายเสียได้ ก็ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระพิชิตมารแต่เพียงเท่านี้ก็เข้าป่าเจริญสมณธรรม คือ กรรมฐาน ทรงจิตให้เป็นสมาธิดีแล้วก็พิจารณาขันธ์ห้าว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุสี่ คือ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ผสมกันเป็นกองชั่วขณะหนึ่ง และก็มีความตายไปในที่สุด ในระหว่างที่ยังไม่ตายร่างกายก็เป็นอนิจจัง หาความเที่ยงแท้แน่นนอนไม่ได้ ทุกขัง เต็มไปด้วยความทุกข์ โรคนิทธัง เป็นรังของโรค ปภังคุณัง มันจะต้องเปื่อยเน่าไปในที่สุด ร่างกายของเราก็ดีร่างกายของบุคคลอื่นก็ดีไม่มีสิ่งใดที่เป็นสาระแก่นสาร ไม่มีความสะอาด มีแต่ความสกปรกหาความเยือกเย็นไม่ได้ เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ท่านพิจารณาตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระชินวรเพียงเท่านี้ ปรากฏว่าได้บรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
 
ฉะนั้น ต่อแต่นี้ไปขอภิกษุสามเณรโดยถ้วนหน้าตลอดจนบรรดาท่านญาติโยมพุทธบริษัทจงจั้งจิตกำหนดจิตของตนให้เป็นสมาธิ คือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาและเมื่อจิตสบายแล้วก็พิจารณาเช่นเดียวกับพระอนุรุทธ ผลที่ท่านจะพึงได้ก็คือ ความสุขกายสุขใจในชาตินี้และในสัมปรายภพ เอาละต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านทั้งหลายจงตั้งใจเจริญพระกรรมฐาน จะนั่งก็ได้ ยืนก็ได้ นอนก็ได้ เดินก็ได้ ตามอัธยาศัย และให้ทรงสติสัมปชัญญะไว้ว่าเราจะรู้ลมหายใจเข้าออก หรือว่าเราจะรู้คำภาวนา หรือว่าภาวนาไว้ตลอดเวลาที่เรากำลังปฏิบัติอยู่ การปฏิบัตินี้เวลาจะไม่แจ้งให้เป็นไปตามอัธยาศัย ถ้านอนอยู่ก็อาศัยการภาวนาหรือพิจารณาไปจนหลับได้ก็ยิ่งดี คือว่าถ้าภาวนาหรือพิจารณาแล้วหลับก็แสดงว่าจิตถึงปฐมฌานจัดเป็นความดี ทีนี้สำหรับการเจริญพระกรรมฐานของเรานี้ในด้านปัญญารู้สึกว่าบกพร่องกันอยู่มาก ขอให้ใช้ปัญญาใครครวญกันให้มากให้สติสัมปชัญญะควบคุม คือทำใจให้สบาย แล้วใช้ปัญญาพิจารณาขันธ์ห้าและอาการรอบๆกันไป ผลดีจะเกิดแก่ท่านทั้งหลาย เอาละต่อไปนี้ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านต้องการจะเลิก



หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 29 พฤษภาคม 2558 16:22:44
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๑๑ ทางของบุคคลคนเดียว

โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทได้พากันสมาทานศีลและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว การเจริญพระกรรมฐานย่อมมีแนวปฏิบัติต่างๆ ๔๐ อย่างด้วยกัน ในด้านสมถภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิปัสสนาภาวนาก็มีอย่างเดียว คือการพิจารณาขันธ์ห้า แต่ว่าสำนวนของพระพุทธเจ้าย่อมไม่ซ้ำกัน แสดงไว้หลายอย่างด้วยกัน ต่อแต่นี้ไปก่อนที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะทำอารมณ์เป็นอารมณ์ฌาน ในอันดับแรกต้องทำจิตให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณเสียก่อน แต่ความจริงวิปัสสนาญาณนี้มีความสำคัญมาก แต่ก็ต้องอาศัยควบคุมกับสมถะ ถ้าปราศจากสมถะเสียแล้ววิปัสสนาภาวนาก็ไม่มีผล ท่านพระโบราณาจารย์ทั้งหลายก็พยายามสอนศิษยานุศิษย์ว่าก่อนที่จะภาวนาว่าอย่างไรก็ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาเสียก่อนตามหลักของวิปัสสนาญาณ ถ้าพิจารณาไปตามแบบนี้จนกระทั่งท่านทั้งหลายตั้งอยู่ครบกำหนดเวลาที่นั่งอยู่โดยไม่ใช้คำภาวนาเลยก็ดี อย่างนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์ถือว่าเป็นยอดของนักปฏิบัติ คือมีจิตเข้าถึงความเป็นธรรมจริงๆ การเจริญสมถะ ก็คือการฝึกใจเป็นภาคพื้นเท่านั้น แต่ตัวตัดกิเลสจริงๆ ก็คือ การพิจารณาตามแบบฉบับของวิปัสสนาญาณ
 
ตามแบบของวิปัสสนาญาณที่เราจะเห็นกันได้ง่ายๆ กล่าวคือ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา เป็นต้น กล่าวเป็นใจความว่า ทางนี้เป็นทางเอกเป็นทางของบุคคลคนเดียว เมื่อปฏิบัติเข้าถึงแล้วก็จะพาสิ้นความทุกข์เข้าถึงที่สุดแห่งความทุกข์ คือพระนิพพาน นี่เป็นอารมณ์ของบุคคลที่เข้าถึงพระนิพพานได้ก็ต้องเป็นอารมณ์ที่ปล่อย มีจิตที่รู้เท่าทันสภาวะตามความเป็นจริง ยอมรับนับถือความเป็นจริงและไม่ยึดมั่นในสิ่งที่เป็นอุปาทาน คือสร้างอารมณ์จิตให้เข้าถึงความมัวหมองมีใจสบาย มีใจเป็นปกติ มีใจโปร่ง อย่างนี้เรียกว่าเป็นอารมณ์ของพระนิพพาน

อารมณ์อย่างนี้ที่เราต้องการ อารมณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นมาได้ ก็ต้องอาศัยปัญญาพิจารณาว่า
ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
โสกปริเทวทุกขโทมนัสสุปายาส ความเศร้าโศกเสียใจก็เป็นทุกข์ ความพรัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์
 
อาการทั้งหลายเหล่านี้เป็นอาการปกติของคนและสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลก ชาติปิทุกขา พระพุทธเจ้าว่าความเกิดเป็นทุกข์ เราก็มานั่งพิจารณาดูว่าคนและสัตว์ที่เกิดมาในโลก มีทุกข์เป็นประจำ หาความสุขอะไรไม่ได้ ถ้าเราใช้ปัญญาพิจารณาจริงๆละก็เราจะไม่เห็นว่าความสุขมีเลยนับตั้งแต่วาระที่ลืมตาตืนนอนจนกระทั่งหลับลงไป เราจะไม่พบกับความสุข เราจะพบแต่ความทุกข์เท่านั้นเว้นไว้แต่เพียงว่า เราจะไร้สติสัมปชัญญะ เราจะขาดสติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเราก็จะมองเห็นความทุกข์ไม่ได้ มีความทุกข์ก็เพราะอาการเกิดของคน เราเห็นกันได้ง่ายๆ ตอนเด็กก็จะไม่พูด พูดกันแต่ปัจจุบันว่าชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ คำว่าทุกข์ในที่นี้ก็หมายความว่ากิจที่จะต้องพึงทน อะไรก็ตามที่จำจะต้องทนทำ จำทีจะต้องทนคิด นี่มันเป็นเรื่องของความทุกข์ทั้งหมด กิจที่จำจะพึงทำคือ ความหิว เมื่อความหิวเกิดขึ้นพระพุทธเจ้ากล่าวว่า ชิฆัจฉา ปรมา โรคา ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง ความหิวนี่ก็แปลว่าเสียดแทงความไม่สบายกายไม่สบายใจก็เกิด ความไม่สบายกายไม่สบายใจนี่เองที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นทุกข์ เมื่อความหิวมันบังคับเราก็ต้องทำมาหากินด้วยประการต่างๆ ประกอบกิจด้วยสัมมาอาชีวะ มิฉาชีวะบ้าง คำว่าสัมมาอาชีวะ หาเลี้ยงชีพโดยชอบบ้าง บางทีมีความจำเป็นบังคับก็เลยหาเลี้ยงชีพโดยไม่ชอบธรรม ถึงแม้ว่ามันจะผิดมันจะเสียด้วยประการใดก็ดี เราก็พร้อมที่จะปฏิบัติเพื่อความอยู่เป็นสุขของร่างกายแต่ใจก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ในเมื่อเราหากินด้วยสัมมาอาชีวะ ความเหนื่อยยากมันก็เกิดขึ้นกับเราก็เป็นอาการของความทุกข์ นี่เวลามันน้อยก็เอาใจความแต่ย่อๆ ให้พิจารณากันเอง การทำกิจการงานทุกอย่างเพื่อให้การบริโภคเข้าไปนี่มันเป็นความทุกข์ ที่เราเหนื่อยมากที่สุดก็เรื่องการบริโภคเป็นสำคัญ ผ้าผ่อนท่อนสไบเราซื้อมาคราวหนึ่งมันอยู่ได้นาน แต่ว่าจะกินนี่กินเข้าไปประเดี๋ยวเดียวมันบอกว่าอิ่ม แต่ว่าไม่นานนักไม่ช้านักมันก็บอกว่าหิวต้องหากินใหม่ กินเข้าไปแล้วถ้าไม่เตรียมอาหารไว้ต่อไปไม่เตรียมทรัพย์สินไว้ ต่อไปหิวก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องเตรียมต่อไป เป็นอันว่าคนเราทำกิจการงานทุกอย่างได้มา หาเวลาพักผ่อนหย่อนใจไม่ได้ ก็เพราะอาศัยความหิวเป็นสำคัญ เราก็จะเห็นว่าความหิวนี่เป็นยอดของความทุกข์จริงๆ นี่เราต้องลำบากตรากตรำด้วยกิจการงานทั้งปวง ฟันฝ่าอุปสรรคเอาชีวิตเข้าแลกก็เพื่อความหิวเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายมันหิว นี่เฉพาะความหิวตัวเดียวเราก็จะเห็นว่ามันเป็นทุกข์ตลอดชีวิต ไม่ว่าในขณะใดที่ทรงชีวิตอยู่ยังมีลมปราณอยู่เราก็ต้องลำบากกับความหิว เมื่อความหิวปรากฏขึ้นมาแล้วเราหาอาหารให้มันกินเข้าไปแล้วต้องการถ่ายอุจจาระปัสสาวะอีก นี่เขาเรียก นิพัทธทุกข์ อย่างนี้มันก็เป็นอาการของความทุกข์
 
ทีนี้ ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ แก่นี่หมายความว่าชีวิตเคลื่อนไปทุกวัน จากความเป็นเด็กถึงความเป็นหนุ่มสาว แต่ว่าแก่ตัวนี้เรากลับใช้คำว่าเจริญขึ้น ใหญ่โตขึ้น ดีขึ้น ความจริงร่างกายมันโตจริง แต่ทว่าในเมื่อร่างกายมันโตขึ้นท่านบอกว่าความแก่ ทุกข์มันก็เพิ่มมาเท่าๆ กับร่างกายที่โตขึ้น ในขณะที่เราเป็นเด็ก ภาระที่เราจะต้องปฏิบัติก็คือหากินจากพ่อแม่ พ่อแม่ผู้บังคับบัญชาผู้ปกครองเป็นผู้หาให้ จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะท่านก็ชำระให้ จะอาบน้ำอาบท่าท่านก็อาบน้ำอาบท่าให้ รวมความเด็กมีความทุกข์แค่ หนึ่งอยากกินขอให้ได้กินตามความประสงค์ สองอยากเล่นขอให้ได้เล่นตามความประสงค์ ทีนี้ความแก่มันเกิดขึ้น ร่างกายมันโตขึ้น ความทุกข์มันก็เพิ่มตามตัว เพราะว่าความปรารถนามันก้าวขึ้น จิตมีความปรารถนามากขึ้น อยากมีทรัพย์สินมากขึ้น เด็กๆละมันไม่อยากมี นี่ต้องการมีความต้องการอย่างเดียว หวังอยู่ที่พ่อแม่บิดามารดา หรือท่านผู้ปกครองเป็นผู้ให้พอโตขึ้นมาแล้วการได้เท่านั้นมันไม่พอ ต้องการได้มากกว่านั้นขึ้นไปอีก ความปรารถนามีความต้องการมากกว่าเด็ก ความปรารถนาความต้องการเมื่อไม่สมหวังขึ้นมาก็เกิดความกลุ้มใจ ความกลุ้มนี่มันเป็นความทุกข์ ทีนี้อารมณ์มันก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา มีความปรารถนาในการครองคู่มีขึ้น จิตใจมันก็ดิ้นรนทนไม่ไหว แต่พอแต่งงานเข้าเราก็จะพบกับความทุกข์อย่างมหันต์ ถ้าเราใช้ปัญญาพิจารณาว่าเราคนเดียว กินเมื่อไร นอนเมื่อไร ตื่นเมื่อไรก็ได้ ไม่อยากอาบน้ำสัก ๗ วัน ๘ วัน ก็ไม่เห็นจะเป็นอย่างไร ไม่บ่นเสียคนเดียวก็ไม่มีใครจะมาบ่น เพราะเราเป็นคนๆ เดียว จะทำอะไรๆ ก็ได้ตามอัธยาศัย แต่ว่าพอแต่งงานเข้าไม่ใช่อย่างนั้น ต้องมานั่งเอาใจคู่ครอง เอาใจของคณะของคู่ครองทั้งหมด เพิ่มความหนักใจให้อีกไม่น้อย นี่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาจะเห็นว่าการมีคู่เป็นทุกข์

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา ทางของบุคคลผู้เดียวเป็นทางอันเอกเป็นทางนำมาซึ่งความสิ้นทุกข์ ก็หมายความว่าถ้าเราเป็นบุคคลคนเดียว ถ้าไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้องเข้ามาเป็นกังวล เราสามารถจะเข้าถึงความสิ้นทุกข์ได้ง่าย เพราะภาระอื่นใดไม่มีนอกจากภาระของตัวเราเท่านั้น มีความแก่ขึ้นมันก็ทุกข์ ความปรารถนามันมากขึ้น คนเป็นเด็กกับคนเป็นหนุ่มสาวมีความต้องการไม่เหมือนกันจิตใจดิ้นรนมากกว่ากัน ชราปิ ทุกขา เมื่อความเป็นหนุ่มเป็นสาวพ้นไป ความเป็นคนแก่จริงๆ ร่างกายปรากฏ อันนี้มันก็สร้างความเป็นทุกข์ ตาเคยมีมันก็ไม่ดี มองอะไรไม่ค่อยจะเห็น หูเคยฟังได้ยินถนัด ก็ฟังได้ยินไม่ถนัด ของที่เคยใช้คล่องตัวมาแล้วก็เริ่มความทุกข์ความหนักใจมันเกิดขึ้น ต้องยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ ก็ไม่สะดวก นอกไปจากหูตาจะไม่ดีแล้ว ร่างกายมันก็ทรุดโทรม มันเกิดความกระปรกกระเปรี้ย เอาความดีอะไรไม่ได้ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ เราเคยเดินคล่องทำอย่างนั้นได้อย่างนี้ได้ ใช้คนอื่นเขามันไม่ได้ตามความประสงค์ อารมณ์ความทุกข์หนักมันก็เกิด มันตัวทุกข์ที่เราเห็นได้ชัด
 
ทีนี้มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ แก่มันก็ทุกข์หนักอยู่แล้ว ความใกล้จะตายมันเข้ามา ความทุกข์มันก็เกิด มันเกิดอย่างไร คนที่จะตายนี่มันมีทุกขเวทนาอย่างสาหัส ทุกขเวทนามันบีบคั้น มันสร้างความไม่สบายกายสบายใจ มันปวดโน่นเสียดนี่แทงนั่นมีทั้งอารมณ์กลัดกลุ้ม เพราะว่าเราไม่ต้องการอาการอย่างนั้นมันก็จะมี ความตายจริงๆ มันไม่น่าจะทุกข์ แต่ว่าเราทุกข์กันก่อนที่มันจะตาย ความไม่อยากตายมันทำให้เราเป็นทุกข์ ทำไมถึงจะต้องแก่ ทำไมถึงจะต้องตาย เพราะกปณธรรมดาของคนที่เกิดขึ้นมา ความเกิดมีขึ้นความเปลี่ยนแปลงย่อมปรากฏ ความสลายตัวย่อมปรากฏ นี่เป็นกฎธรรมดา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเรารู้ว่าเป็นธรรมดาเสียอย่างเดียว อารมณ์ที่มันเป็นความทุกข์มันก็ไม่เกิด ท่านที่เป็นพระอรหันต์ส่วนมากไม่ได้ศึกษาอะไรมาก เพียงแต่ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาเท่านั้น ท่านเรียกว่าเป็นพระอรหันต์
 
แล้วต่อไปที่ท่านเรียกว่าเป็น โสกปริเทวทุกขโทมนัสสุปายาส คือความเศร้าโศกเสียใจ และการพลัดพรากจากของที่รัก ทำให้เกิดความทุกข์

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ โลกมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง เป็นอาการของความทุกข์ อนัตตา เราไม่สามารถบังคับใครได้แม้แต่ร่างกายของเรา เราก็บังคับมันไม่ได้ ถ้าหากว่ามันจะแก่ มันจะตาย มันจะพัง ทีนี้สิ่งของที่เรารักเราคิดอยู่เสมอว่ามันต้องอยู่กับเรา เราต้องอยู่กับมัน อาการอย่างนี้เป็นอาการของความยึดมั่นอุปาทาน เป็นยอดของกิเลส คืออวิชชาคือความไม่รู้ ถ้าหากว่าเราจะวางอวิชชา เอาอวิชชาเข้ามาใช้ เราจะเอาตัวรู้เข้าใช้ รู้ตามความเป็นจริง ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากของที่รักของชอบใจย่อมมีแก่คนและสัตว์ที่เกิดมา นี่เราก็นั่งนึกดูว่าคนที่เกิดมาแล้วนี่มันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไหม เราเองเราก็นั่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกาย เพราะว่าเติบใหญ่ขึ้นมาหรือว่าแก่ลง คนรุ่นราวคราวเดียวกันสมัยเมื่อเป็นเด็กนักเรียน เวลานั้นร่างกายยังมีความกระฉับกระเฉงยังมีความคล่องตัว เวลานี้เราไปพบเพื่อนสมัยนั้น แต่ว่าระยะเวลามันเป็นสมัยนี้เราจะไปดูว่ารูปร่างของเขานั้นเปลี่ยนไปมากไม่เหมือนกับเมื่อสมัยเราเป็นนักเรียนด้วยกัน เราเห็นเขาแก่เขาเปลี่ยนแปลงไปได้แล้วเราคิดหรือเปล่าว่าเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามนั้น นี่ความเป็นอนิจจังของร่างกายมันปรากฎ
 
ทีนี้ความเป็นอนิจจังของอารมณ์มันก็มีอีก อารมณ์ที่เรารักเรายึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ว่ามันจะคงอยู่ไปกับเราตลอดกาลตลอดสมัย อารมณ์ประเภทนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นอารมณ์ที่สร้างความทุกข์ เพราะว่าตามกฎธรรมดาของโลก มีอะไรที่มันจะมีการทรงตัว คนหรือสัตว์ที่เรารัก มันจะอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัยไม่พลัดพรากจากกันมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าความเป็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงมันบังคับ อนัตตาการสลายตัวมันบังคับ คนและสัตว์ที่ปรากฏว่าอยู่กับเรามันก็มีอาการแก่ อาการเสื่อม มีการสลายตัว การสลายตัวมีอยู่ ๒ อย่าง สลายตัวเพราะการสิ้นลมปราณ ที่เราเรียกว่าตาย หรือว่าสลายไปจากใจของเรา เอาจิตห่างออกไปก็เรียกว่าสลายตัวไป ถ้าหากว่าเราเอาปัญญาพิจารณาไว้เสมอว่าสิ่งทั้งหลายในโลกไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เราไม่มีในสิ่งนั้น สิ่งนั้นไม่มีในเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเราเป็นแต่เพียงอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น และไม่ช้ามันกับเราก็ต้องพลัดพรากจากกัน ทำใจให้สบายไว้แบบนี้ เวลาร่างกายที่ความแก่มันเกิดเราก็ไม่หนักใจ เรารู้ตัวว่ามันจะแก่ เวลาความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นเราก็ไม่หนักใจเพราะว่าเรารู้ตัวว่ามันจะเกิด นี่รู้ตัวไว้ก่อน ทีนี้ความตายจะเข้ามาถึงเราก็ไม่หนักใจ เพราะรู้ว่ามันจะตาย รู้ว่าเกิดมาแล้วมันต้องตาย ทีนี้อาการอย่างหนึ่งอย่างใด อาการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น เราก็ไม่หนักใจ เพราะเราคิดอยู่แล้วว่าคนก็ดีสัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันจะต้องพรัดพรากจากเรา เราจะต้องพลัดพรากจากมัน มันเป็นของธรรมดาของชาวโลก มันไม่เป็นของแปลกสำหรับเรา

ถ้าเราใช้ปัญญาพิจารณาตัวนี้เข้า จิตใจของเราก็จะมีความสุข เหมือนอย่างพระอรหันต์ เราจะเห็นว่าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่มีอารมณ์ความทุกข์ แต่ว่าท่านรู้ว่าร่างกายหรือขันธ์ห้าหรือวัตถุเป็นปัจจัยของความทุกข์ ท่านไม่หนักใจ ขันธ์ห้ามันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ขันธ์ห้ามันจะป่วยก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาก็รู้ว่าจะป่วย เมื่อป่วยแล้วก็มีทางรักษาเพื่อเป็นการบรรเทาเวทนา หายก็หาย ไม่หายจะตายก็ช่าง นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อร่างกายมันจะตายเราก็ไม่แปลกใจ รู้ตัวว่าเราจะตาย ถึงแม้ว่ารู้ตัวว่าเราจะตาย คิดไว้อยู่เสมอว่าเราจะตาย นี่จิตเราคิดไว้ตลอดเวลา ของรักของชอบใจที่มันมีไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือวัตถุก็ตาม ต้องคิดไว้เสมอว่าวันหนึ่งข้างหน้ามันจะต้องพลัดพรากจากเราไป นี่จงมีความเข้าใจตามนี้ มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ถ้าสิ่งใดก็ตามที่เรารักแล้วพลัดพรากจากเราไปก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเรารู้ว่ามันไม่ใช่เรา เราไม่ใช่มัน ให้มันเป็นปกติวิสัย
 
แล้วถือไว้อย่างเดียวว่าเราเกิดมานี้เป็นบุคคลคนเดียว ถึงแม้จะมีคู่ครองมีพี่มีน้องมีพ่อมีแม่ แต่ทว่าความหิวเกิดกับเราเราหิวคนเดียว ชาวบ้านเขาไม่ได้มานั่งหิวกับเราด้วย ถ้าเราป่วยไข้ไม่สบายทุกขเวทนาเกิดกับเราผู้เดียว การพลัดพรากจากของรักของชอบใจการกระทบกระทั่งทางอารมณ์ใจมันก็มีกับเราผู้เดียว คนอื่นเขาไม่มายุ่งด้วยเวลาที่เราจะตายเข้ามาจริงๆ ไม่มีใครเขามาแบ่งเบาภาระทุกขเวทนาไปได้ เราผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้รับ ฉะนั้น เมื่อเราผู้เดียวจะต้องเป็นผู้รับอารมณ์ทั้งหมด องค์สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้บอกว่า ก็ต้องใช้คำว่าเราผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ยอมรับนับถือกฎธรรมดาใดๆ ว่าเป็นเราเป็นของเรา เมื่อความเกิดปรากฏขึ้น ความแก่จะปรากฎก็เชิญฉันไม่ยุ่งกับนาย จะป่วยไข้ไม่สบาย ฉันไม่ยุ่งด้วย มันจะพลัดพรากจากของรักของชอบใจเราก็ยิ้มได้ว่าธรรมดา ฉันรู้แล้วว่านายจะต้องเป็นอย่างนั้น แก้วที่ชอบใจหล่นลงไปแตกแทนที่จะโมโหกลับชอบใจว่าฉันรู้แล้วว่ามันจะต้องแตก คนเป็นที่รัก สัตว์เป็นที่รักมันจะตายมันจะพลัดพรากจากกันไป เราก็ยิ้มได้ว่ามันเป็นกฎธรรมดา อย่าว่าแต่เขาเลย ไม่ช้าเราก็มีสภาพเป็นอย่างนั้น อารมณ์ของพระอรหันต์ท่านยอมรับนับถือกฎธรรมดา ท่านใช้กฎของธรรมดา ยิ้มให้กับอาการทั้งหมดที่ปรากฏกับตัว พระอรหันต์ดูเหมือนท่านไม่มีความทุกข์ แต่ความจริงท่านรู้ทุกข์ของขันธ์ห้า ขันธ์ห้าคือร่างกายมันแก่เดินไม่ค่อยจะไหวท่านก็รู้ว่ามันเป็นทุกข์ แต่ใจท่านมีความสุข เพราะรู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แก่ก็แก่ไป เกิดมาเพื่อแก่ ของที่รักของที่ชอบใจปรากฏ บังเกิดไปท่านก็ยิ้มให้ไม่รู้สึกหนักใจอะไร
 
ตัวอย่างของท่านอำมาตย์ชื่อพันธุลเสนา เป็นคู่การศึกษากับพระเจ้าปเสนทิโกศลและพระเจ้าพิมพิสาร มีกำลังมาก มีฤทธิ์มาก มีความรู้มาก ต่อมาพระราชาใช้ให้ไปปราบโจรพร้อมด้วยลูก แต่ปรากฎว่าถูกโจรฆ่าตายหมด มีคนเขามีใบบอกมาถึงภรรยา วันนั้นภรรยาของท่านพันธุลเสนากำลังทำบุญที่บ้านพอดี เมื่อได้รับอ่านจดหมายแล้วท่านก็เก็บไว้ในอกเสื้อ มานั่งบำเพ็ญกุศลรับศีลถวายของพระเป็นปกติ เมื่อสมาทานศีลแล้วพระกำลังฉันอาหารอยู่ก็ปรากฎว่ามีสาวใช้นำแก้วน้ำมาให้ มาไม่ถึงก็ปรากฏว่าแก้วน้ำหล่น แม่นั่นล้มลงมา แก้วแตกเสียหายหมด เป็นของดีทั้งนั้น พระจึงเตือนใจบอกว่า โยมสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นของนอกกาย แล้วก็ร่างกายเหมือนกันมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง ประกอบไปด้วยความทุกข์ แล้วก็อนัตตามันก็ต้องสลายตัวไปในที่สุด โยมอย่าหนักใจเลยนะ คือวันนั้นเป็นวันทำบุญ พระเกรงว่าจิตของนางจะเศร้าหมอง พอพระเตือนเช่นนั้นนางก็ยิ้ม แต่ความจริงนางไม่แสดงความสลดใจเลย ที่รู้ข่าวว่าผัวกับลูกตายทั้งหมด นางก็หยิบจดหมายมาส่งให้กับพระ พระรับมาอ่านดูก็ตกใจถามว่า ภคินิ ดูกรน้องหญิง เมื่อข่าวนี้ปรากฏเธอมีความรู้สึกเป็นอย่างไร นางก็ตอบว่าเรื่องนี้ดิฉันทราบเมื่อพระคุณเจ้ามาถึงบ้านแล้ว แต่พระคุณเจ้าสังเกตบ้างหรือเปล่าว่าดิฉันมีความรู้สึกเป็นอย่างไร พระก็มองเห็นว่าท่านมีอาการเป็นปกติท่านไม่มีความรู้สึกเป็นอย่างไร พระก็ดีใจกล่าววาจาว่า คิดว่าโยมเพิ่งได้ยินข่าว ความจริงได้ยินข่าวมาก่อนหน้านั้นแล้ว นางจึงบอกว่าแก้วมันเป็นของนอกกายเจ้าข้า นี่สามีชื่อว่าเป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้า ลูกก็ถือว่าเป็นเลือดในอกตายพร้อมกันข้าพเจ้ายังไม่หนักใจ จะมาหนักใจอะไรกับแก้วแตกเพียงเท่านี้ มันเป็นเพียงของหาได้ง่าย พระทั้งหลายจึงได้รู้ว่าเมียของพันธุลเสนาเป็นพระอริยเจ้า นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าจะทำอารมณ์ของเราให้เป็นสุข ก็ต้องทำใจอย่างเมียของพันธุลเสนา ทำจิตเป็นปกติยอมรับนับถือกฎของธรรมดา คิดว่าอะไรที่มันมีมาได้มันก็ต้องหมดไปได้เป็นธรรมดา ช่างมัน จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม แต่ในเมื่อมันยังอยู่กับเรา เราก็หวงแหนรักษาไว้ให้ดีที่สุดที่จะทำได้ และเมื่อโอกาสที่จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แทนที่จะเอาจิตไปเกาะเป็นห่วงก็ต้องถือว่าช่างมัน มันเป็นของธรรมดาที่มันจะเป็นเช่นนั้น มันเป็นกฎธรรมดาไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ แล้วก็ทำใจให้เป็นธรรมดาว่าสิ่งทั้งหลายที่เหล่านี้มันพลัดพรากจากเราไปแล้ว เหลือแต่เราเท่านั้นที่จะต้องพลัดพรากจากร่างกาย และก่อนที่จะพลัดพรากจากร่างกายเราจะไปไหนก็ต้องเลือกทางเอก
 
เมื่อวันก่อนพูดถึงฌาน ๒ วันนี้ก็จะพูดถึงฌาน ๓ ฌาน ๓ ก็คือการทรงสติสัมปชัญญะรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ เอาเท่านี้พอ เวลานึกใช้ลมหายใจเข้าออกคู่กับคำภาวนาว่า พุทโธ เท่านี้แหละมีอานิสงส์เหลือแหล่เหลือกินเหลือใช้ ทีนี้มาดูอารมณ์ใจถ้าจิตใจของเราสบาย หูได้ยินเสียงไม่รำคาญในเสียง เวลานั้นเป็นปฐมฌาน ถ้าภาวนาๆ คำภาวนาหายไปเอง มันหายไปเฉยๆโดยเราไม่ได้หยุดมันหยุดเอง และจิตใจชุ่มชื่นดีขึ้นอย่างนี้เป็นฌานที่ ๒ ถ้าเป็นอาการของฌานที่ ๓ คำภาวนามันจะไม่ปรากฏมันจะหายไป ลมหายใจแผ่วเบาลงไปมากร่างกายทรงตัวดีมีจิตใจทรงตัวไม่หวั่นไหว มีความรู้สึกทางกายคล้ายกับเรานั่งตรงเป๋ง หรือว่านอนตรงเป๋งคล้ายกับเชือกมัดไว้ มันมีความรู้สึกตรงแบบนั้นมันตรงแบบนั้น มันมีความรู้สึกว่าตั้งตัวตรงมาก เพราะทรงอารมณ์มาก หูได้ยินเสียงภายนอกเบาจัด ลมหายใจเบาจัด จิตไม่อยากจะเคลื่อนจากอารมณ์ ไม่อยากจะคุยกับใคร จิตมันนิ่งจากอารมณ์ต่างๆ มีความสบาย นี่เป็นอาการของฌาน ๓ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทรงอารมณ์ของฌาน ๓ ได้แล้ว ตายจากความเป็นมนุษย์ก็เป็นพรหมชั้นที่ ๗ ที่ ๘ ที่ ๙ สามชั้นด้วยกัน อย่างหยาบก็เป็นพรหมชั้นที่ ๗ อย่างกลางก็เป็นพรหมชั้นที่ ๘ อย่างละเอียดเป็นพรหมชั้นที่ ๙ แสดงว่าใกล้นิพพานเข้ามา ถ้ามีอารมณ์ถึงฌาน ๓ ด้วย แล้วก็พิจารณาตามวิปัสสนาญาณดังที่กล่าวมาแล้วเมื่อสักครู่นี้

การเป็นพระอรหันต์เป็นของไม่ยาก การวางภาระคือความโง่ อวิชชาเป็นของไม่หนักนัก เป็นไปได้ง่ายเพราะจิตทรงตัว
 
เอาละต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดคำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 05 มิถุนายน 2558 16:13:22
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๑๒ อริยสัจโดยย่อ

ต่อไปนี้เป็นเวลาที่ท่านทั้งหลายจะเจริญสมาธิจิตและวิปัสสนาญาณ สำหรับวันนี้ก็จะขอพูดอริยสัจย่อเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความจริงเรื่องใจนี่เราบอกให้เตือนกันมาทุกวัน แต่ทว่ายังมีบางท่านลืมเตือนตลอดจนกระทั่งลืมกาลลืมสมัยไม่รู้กาลอันใดควรอันใดไม่ควร อันนี้ก็เป็นที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง คือว่าคำสอนตลอดพรรษาไม่มีประโยชน์ จงรู้ตัวไว้ด้วยว่าการทำอะไรไม่รู้กาลไม่รู้สมัย มันเป็นโทษสำหรับตัวเอง คือเป็นคนขาดเสน่ห์สำหรับตนเอง คือไปอยู่สังคมไหนเขาก็รังเกียจ ไม่ว่าไปอยู่กลุ่มไหนทั้งหมดไปอยู่ในกลุ่มบัณฑิตๆ ก็รังเกียจ ไปอยู่กลุ่มโจรๆ ก็รังเกียจ นี่เราจะดีได้อีกมุมหนึ่งก็คือ กาลัญญุตา รู้จักกาลรู้จักสมัย เมื่อเวลาใดควร เวลาไหนไม่ควร ปริสัญญุตา รู้จักบริษัท คือ คณะของบุคคล กิจที่เราจะทำ คำที่เราจะพูด ในบุคคลนั้น คณะนั้น เวลานั้น จะควรหรือไม่ควร อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ และจริยาที่เราพึงปฏิบัติก็เหมือนกัน ดูกาล ดูสมัย ดูบริษัท ดูคณะบุคคล ถ้าเราทำตนไม่เหมาะสมกับกาลสมัยก็กลายเป็นแกะดำในกลุ่มนั้นไป นี่บรรดาท่านทั้งหลายที่จะอยู่ต่อไปก็ดีหรือว่าจะสึกก็ดี จงใคร่ครวญเรื่องนี้ไว้เป็นเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการปฏิบัติเพื่อการอยู่เป็นสุข ถ้าเรากลายเป็นคนที่ไม่รู้กาลไม่รู้สมัยไม่รู้บริษัท คือหมู่คณะหรือบุคคลว่ากาลใดมันควรหรือไม่ควร การใดที่ไม่ควรเราทำก็จะเป็นเป็นเครื่องแสลงใจของบุคคลบริษัทหรือหมู่คณะเหล่านั้น นี่ก็เป็นภัยใหญ่สำหรับเรา พอที่จะได้กินข้าวเลยไม่ได้กิน ถ้าจะไปอาศัยที่พักนอนเขาก็เลยไม่ให้พักไม่ให้นอน ไม่ให้อาศัยมันเป็นภัยใหญ่คือ ความเดือดร้อนของเราเอง คือการที่จะทรงตัวอยู่อย่างเป็นสุข ก็ต้องรู้จักระมัดระวัง รู้จักกาลรู้จักวาระ รู้จักเวลาที่เราจะต้องพูด ควรพูดหรือไม่ควรพูด กิจที่เราควรทำหรือไม่ควรทำ พระวินัยเราฟังกันมาทุกวันจะดีได้เหมือนกัน แต่ทว่าเข้าใจว่าฟังเข้าหูซ้ายแล้วก็ออกหูขวา บางทีก็เลยหัวไปเลย จำอะไรไม่ได้ นี่มันเป็นโทษใหญ่สำหรับเราเอง

นี่เราจะพิสูจน์กันได้ว่าท่านทั้งหลายจะสนหรือไม่สนใจในธรรมวินัย กรรมฐานทำทุกคืน เช้ามืดก็มีกลางวันก็มี และตอนเย็นมีพระวินัย แต่ทว่าพวกเราก็ยังไม่สนใจ แต่จริยาที่ประพฤติปฏิบัติออกมามันเป็นการไม่สมควรนั่นเป็นอาการแสดงออกชัดว่า เราบวชเข้ามาในศาสนาขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์นี่สักแต่ว่าบวชเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจบวชด้วยดี อย่างนี้บวชแล้วเอานรกไป ไม่ได้เกิดแม้แต่มนุษย์ เกิดมาอย่างไรเล่า ปฏิบัติตนไม่ครบถ้วนไม่มีใจสนใจในธรรมวินัย ความเป็นพระมันก็ไม่ปรากฏ ในเมื่อความเป็นพระไม่มี แต่แต่งกายอย่างพระมันก็มีอเวจีเป็นที่ไป ขอท่านทั้งหลายจงระวังใครที่มีจิตบกพร่องไม่สนใจในพระธรรมวินัย และยังปรารถนาจะอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาต่อไปก็ตั้งใจปฏิบัติในพระธรรมวินัยให้มันครบถ้วน เวลากาลที่ผ่านมาเป็นเวลา ๓ เดือน นี่มันควรแล้ว สำหรับเก่ายิ่งกว่านั้นก็ยิ่งร้ายไปใหญ่ คือเป็นเวลาสมควร คอเวลาปฏิบัติกัน ๓ เดือน นี่ตามปกตินี่มันเลยฌาน ๔ กันไปไหนๆ ว่ากันถึงด้านสมถภาวนา สำหรับผู้ทรงฌานโดยมากเขาไม่เผลอ ในด้านจริยาที่เป็นกุศลและอกุศล แต่ความบกพร่องก็ยังมีอยู่บ้างสำหรับผู้ทรงฌานแต่ก็น้อยเต็มที่
 
ต่อแต่นี่ไปเรามาพูดกันถึงเรื่องอริยสัจย่อ พระอัสสชิ แสดงกับพระสารีบุตรว่า ธัมมา เหตุปัปภวา เตสัง เหตุง ตถาคโต เต สัญจะโย นิโรโธจ เอวัง วาที มหาสมโณ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าตรัสเหตุแห่งธรรม และความดับแห่งธรรมนั้น พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ นี่เพียงธรรมะหัวข้อย่อเพียงเท่านี้ พระสารีบุตรเมื่อเป็นปริพาชกฟังจบก็ได้พระโสดาบัน จึงกลับไปหาพระโมคคัลลานะที่เป็นปริพาชกร่วมกัน บอกว่าเวลานี้เราได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว พระโมคคัลน์จึงว่าได้อย่างไรจงว่าให้ฟังซิ ท่านเลยว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าตรัสแห่งธรรมนั้น และความดับของธรรมนั้น พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ พอฟังเพียงเท่านี้พระโมคคัลน์ก็ได้พระโสดาบัน ง่ายไหมบรรดาท่านทั้งหลาย รู้สึกว่าเขาได้กันง่าย เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้สนใจเป็นปกติ

การบวชของท่านมุ่งหวังอย่างเดียว คือ โมกขธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้น หลุดพ้นจากความเกิด
 
เหตุที่ท่านทั้งหลาย จะบวชก็เพราะว่าวันหนึ่งท่านไปดูมหรสพ ความจริงท่านดูทุกวันเสมอมา องค์หนึ่งมีบริวาร ๒๕๐ คนเป็นลูกมหาเศรษฐีด้วยกันทั้งคู่ รวมสององค์มีบริวาร ๕๐๐ เวลาไปดูมหรสพชอบใจก็ให้รางวัล มีอาการรื่นเริงหรรษา แต่ว่าวันนั้นเป็นประหลาด ท่านทั้ง ๒ นั่งดูมหรสพทั้งวัน เขาก็แสดงดี แต่ว่าทั้งสององค์ปรากฏว่ามีจิตสลดอยู่ตลอดเวลา เมื่อมหรสพจบแล้ว การแสดงเลิกแล้ว ท่านอุปติสสะ คือ พระสารีบุตร จึงได้ถามท่าน โกลิตะ คือพระโมคคัลลาน์ว่า ทำไมเวลานี้หงอยเหงา ไม่รื่นเริงเหมือนวันก่อน ท่านโกลิตะ จึงถามท่านอุปติสสะ คือ พระสารีบุตรว่า ท่านก็เหมือนกันวันนี้ทำไมจึงไม่รื่นเริง เรานั่งดูมหรสพทุกวันจิตใจเรารื่นเริง แต่วันนี้จิตใจมันประหลาด มานั่งดูไปดูมาว่า นักแสดงเหล่านี้นี่ไม่ช้าก็ตายหมด คนที่มาดูมหรสพนี่ไม่ช้าก็ตายทั้งหมด เรานี่ไม่ช้าก็ตายเหมือนกัน เพราะชีวิตมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปแก่ลงไปในชั้นกลางและมีความตายในที่สุด ที่นี้เมื่อคนเราเกิดแล้วตายเหมือนกันหมด ที่นี้เมื่อความตายมีอยู่ ธรรมที่ทำให้บุคคลเกิดแล้วตายมี ธรรมที่ทำให้บุคคลเกิดแล้วไม่ตายก็ต้องมีอยู่ เราทั้งสองไปแสวงหาธรรมที่ทำให้บุคคลเกิดแล้วไม่ตายดีไหม เลยท่านขี้เกียจตายกัน เพราะว่าตายแล้วมันก็เกิดใหม่ เกิดแล้วมันก็ลำบากลำบนแล้วก็ตาย เวลานั้นท่านยังไม่พบพระพุทธเจ้า ธรรมะก็เกิดขึ้นกับใจ นี่เป็นเรื่องของคนมีปัญญา

คนมีปัญญาเขาคิดอย่างนี้ เขาคิดหาความเป็นจริง วิปัสสนาญาณหรือว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในตำรา อยู่กับความเป็นจริง ถ้าจิตใจของเราเข้าถึงความเป็นจริง ก็ชื่อว่าจิตของเราเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า นี่เมื่อท่านทั้งสองตกลงกันแล้วก็กลับบ้านมาจะมาบอกพ่อแม่ ทั้ง ๒ ฝ่าย บอกว่าจะแสวงหาธรรมที่จะให้ไม่ตาย พ่อแม่ก็ดีใจหายอนุญาต ท่านก็พาบริวารของท่านองค์ละ ๒๕๐ เป็น ๕๐๐ ด้วยกัน รวมแล้ว ๕๐๒ ท่านออกจากสำนักไปหาธรรมที่ไม่ตาย คือโมกขธรรมเป็นเครื่องพ้น พ้นจากความตาย ก็ไปพบพระอาจารย์ใหญ่เขาองค์หนึ่ง คือ สัญชัยปริพาชก ท่านเป็นคณาจารย์ใหญ่ สอนลูกศิษย์ลูกหามาก ท่านพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร คือท่านอุปติสสะและท่านโกลิตะ ทั้ง ๒ ท่านนี้ก็เข้าไปอยู่ในสำนักนั้นพร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ ท่านเป็นลูกมหาเศรษฐี เมื่อทั้ง ๒ ท่านมาอยู่พวกพ้องบริวารคนที่เขาเคารพนับถือบูชาสำนักนี้มาก ทำให้เจ้าของสำนักร่ำรวยไปด้วยลาภสักการะ เป็นที่ชอบใจของคณาจารย์ ต่อมาเมื่อท่านเรียนจบในสำนักของท่านสัญชัยปริพาชกแล้วก็พิจารณาดูว่า นี่ไม่ใช่ธรรมเป็นเครื่องพ้นจากความตาย คนที่เขามีปัญญาเขาทำกันแบบนี้ เขาคิดกันแบบนี้ ไม่ใช่ฟังส่งเดช ฟังไปฟังมาฟังจนชินจนไม่ได้ฟัง ฟังแล้วก็ไม่ได้สนใจ ในที่สุดสามเดือนแล้วก็เอาดีอะไรไม่ได้ แต่ที่ดีก็มีเยอะก็ไม่รู้กาลรู้สมัยก็มี นี่น่าสลดใจอย่างยิ่ง
 
นี่ท่านใช้ปัญญาพิจารณาว่าสัญชัยปริพาชกบอกว่าจบแล้วอย่างนี้เป็นพระอรหันต์ แต่ว่าท่านทั้ง ๒ บอกว่าไม่ใช่อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์ เราแสวงหาต่อไปกันดีกว่า ท่านทั้งสองจึงนัดหมายกันว่าถ้าใครพบธรรมที่เป็นเครื่องพ้นจากความตายนี่ต้องมาบอกกัน ก็พอดีพระสารีบุตรเดินออกไปหลังบ้าน ไปในระหว่างทาง เวลานั้นพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกใหม่ๆ เทศน์สอนปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ มีท่านอัญญาโกญทัญญะ ท่านวัปปะ ท่านมหานามะ ท่านภัททิยะ และท่านอัสสชิ เป็นพระอรหันต์ ๕ องค์ ๖ องค์ทั้งพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงส่งท่านทั้ง ๕ นี่ไปประกาศพระศาสนา แต่ไปคนเดียว สายหนึ่งคนเดียว ไม่ให้ไปด้วยกันเพราะมีบริษัทน้อย พอดีพระอัสสชิเดินไปทางนั้น ไปบิณฑบาต ท่านอุปติสสะหรือท่านสารีบุตรเห็นพระอัสสชิเดินสงบเสงี่ยมมีความสำรวมทอดจักษุแค่ชั่วแอก มีลีลาแห่งการเดินสำรวมจึงคิดว่าสมณะ องค์นี่น่าเคารพ น่าเลื่อมใส น่าบูชา น่าไหว้ เราอยากจะทราบว่าท่านเป็นสาวกของใคร ถ้าจะถามเวลาเดินไปบิณฑบาตก็เห็นจะเป็นการไม่สมควร นี่คนที่มีปัญญาเป็นคนรู้กาลรู้สมัย ไม่ใช่นึกว่าอยากจะทำอะไรก็ทำส่ง ก็รอเวลาท่านกลับ นั่งคอยอยู่ทางนั้นนึกว่า ถ้าท่านมาทางนี้ก็ต้องกลับทางนี้ พอพระอัสสชิท่านกลับก็กลับทางนั้น ท่านพระสารีบุตรก็เข้าไปไหว้ ยกมือไหว้ว่าท่านพระคุณเจ้าข้า ท่านเป็นสาวกของใคร ท่านชอบใจธรรมของใคร พระศาสดาของท่านสอนว่าอย่างไร
 
พระอัสสชิท่านเป็นพระอรหันต์รุ่นแรกมีความสำคัญ มองหน้าอุปติสสะปริพานหรือพระสารีบุตรทราบชัดได้ทันที ว่าปริพาชกคนมีความฉลาดมาก ถ้าเราพูดมากไปถ้าจะไม่สมควร เราจะต้องพูดคำโดยย่อ ท่านก็กล่าวว่า เราเป็นสาวกของพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาสอนเราๆเป็นผู้ใหม่ในศาสนา เราจะกล่าวเนื้อความยาก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นเนื้อความโดยย่อละก็พอได้ ความจริงท่านถ่อมตัว พระอรหันต์พูดยาวไม่ได้ ไม่มี พระสารีบุตรก็กล่าวว่าท่านจะกล่าวเนื้อความยาวเพื่อประโยชน์อะไร เราต้องการเนื้อความย่อ พระอัสสชิท่านจึงกล่าวว่า เย ธัมมา เหตุปัปภวา เตสํ เหตุง ตถาคโต เตสญจ โย นิโรโธ จ เอวังวาที มหาสมโณ ว่าธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าตรัสเหตุของธรรมนั้น และความดับของธรรมนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสอย่างนี้ พอท่านฟังจบท่านก็เป็นพระโสดาบัน ธรรมปิติก็เกิด จึงถามว่าเวลานี้พระศาสดาของเราอยู่ที่ไหน พระอัสสชิก็บอกว่าพระองค์เสด็จอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร ฉะนั้น พระอัสสชิก็หลีกไป
 
พระสารีบุตรก็ลากลับ จึงนำพระโมคคัลลาน์ และบริษัทอีก ๕๐๐ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าเห็นเข้าเท่านั้นก็ประกาศกับพระสงฆ์ทั้งหลายว่า อัครสาวกทั้ง ๒ ของเรามาแล้ว พอเข้าไปพระพุทธเจ้าก็เทศน์อริยสัจย่อตามเดิม ตามนิสัยเดิม แต่คราวนี้เห็นจะเทศน์พิสดารกว่าปกติอยู่สักหน่อย คือว่าเวลาที่พระองค์เทศน์ก็บอกว่า เย ธัมมา เหตุปัปภวาเหมือนกัน ธรรมใดเกิดแต่เหตุ ทรงตรัสเหตุของธรรมนั้น และความดับของธรรมนั้น ก็หมายความว่าอาการเกิดของเราทุกคนมาจากกิเลส ความเศร้าหมองของใจ ความอยาก ตัณหาความทยานอยาก ความอยากทุกอย่าง อยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากเป็นอย่างนั้นอยากเป็นอย่างนี้ อยากเกลือกกลั้วอยู่กับกามารมณ์ คำว่ากามารมณ์ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าคลุกคลีระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายเสมอไป อยากรวยอยากจน อยากมียศฐานบรรดาศักดิ์ อยากมีศักดิ์ศรีใหญ่ เขาเรียกว่ากามารมณ์ทั้งนั้น คืออารมณ์ที่ประกอบไปด้วยกามความใคร่มีอารมณ์ไม่รู้จักหยุด และอุปาทานตัวยึดมั่นว่านั่นเป็นของเรา ร่างกายเป็นเราเป็นของเรา นั่นลูกเราเมียเราผัวเรา ข้าทาสบริวารหญิงชายของเรา บ้านของเราและอกุศลกรรม เมื่อจิตมันเลวเสียแล้วก็ทำในกรรมที่เป็นอกุศล อกุศลนี่แปลว่าบาป กุศลแปลว่าฉลาด อกุศลก็แปลว่าโง่ ไม่ฉลาด ก็ประกอบกรรมที่เป็นอกุศล คือ โง่ๆ กอบโกยทุกสิ่งทุกอย่าง ปรารภตนเป็นสำคัญ ไม่ได้ปรารภการปลดเปลื้องความทุกข์ ความทุกข์ก็มาหาตัว
 
ความจริงในพระพุทธศาสนานี่ก็สอนให้เข้ามาหาตัวอย่างเดียว ตัดภายนอกออกไปให้หมดเหลือแต่กาย เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง ทางเป็นทางสายเดียวเป็นทางเอก เป็นทางหมดทุกข์ เป็นทางที่เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเราคนเดียวนี่เราไม่มีใคร ในโลกนี้ถ้าเราบอกว่า มีพ่อมีแม่ มีพี่มีน้อง มีผัวมีเมีย มีลูกมีหลาน มันจริงตามสมมติ แต่เนื้อแท้จริงๆเราคนเดียว เราหิว หิวคนเดียว ไม่มีใครเขาหิวด้วย บางทีเราหิวเกือบตายชาวบ้านเขายังไม่หิว เขานั่งคุยหัวเราะกัน ฮาๆ เราไปไม่ไหวแล้ว หิวจัด นี่แสดงว่าโลกนี้มีเราคนเดียว ป่วยก็ป่วยคนเดียว พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้อง ข้าทาสหญิงชาย เพื่อนฝูงมาเยี่ยมกันเป็นกลุ่มเขาไม่ยอมป่วยกับเราด้วย นี่เราเป็นผู้เดียว ป่วยเราก็ป่วยคนเดียว เวลาตายเราก็ตายคนเดียว คนที่เรารักหรือหวงแหนถือว่าเป็นเราเป็นของเราก็ไม่ยอมมาป่วยด้วย ไม่ยอมมาตายพร้อมกับเรา ที่นี้เราจะตกนรกเราจะขึ้นสวรรค์เราก็เป็นบุคคลคนเดียว ถ้าเราทำความชั่วเราก็ตกนรกคนเดียว ทำความดีไปสวรรค์ไปพรหมโลกไปนิพพานคนเดียว คำว่าคนเดียวในที่นี้เราเป็นแต่เพียงตัวคนเดียว พระพุทธเจ้าว่า ร่างกายนี้ผู้เดียวสำหรับเรา ยังสอนตัดเข้าไปอีกว่าร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา มันเป็นเรือนร่างที่เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเป็นบ้านเช่าเท่านั้น กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม สร้างขึ้นมาให้เราเช่าชั่วคราว และมันก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่มีการทรงตัว ทรุดโทรมอยู่ตลอดเวลา ไม่ช้ามันก็พัง ถึงเวลาแล้วมันก็ไล่เราออกจากบ้านไป ปล่อยเอาไฟเผาบ้านเสียอีก หรือไม่งั้นก็เอาบ้านไปฝังดิน นี่พูดถึงตาย
 
เราคือใคร เราคือจิตที่ติดอยู่ในบ้านหลังนี้ คือร่างกาย พระพุทธศาสนาท่านสอน ให้ตัดภายนอกมาเหลือแค่กาย ตัดกายออกไปเหลือแค่ใจเราคือใจเท่านั้น ในเมื่อร่างกายของเราจะดีขึ้นมาได้มันก็ต้องอาศัยเหตุเป็นปัจจัย ธรรมใดเกิดแต่เหตุพระพุทธเจ้าตรัสเหตุของธรรมนั้น การเกิดที่มันจะปรากฏ เราไม่ต้องการความเกิดอีก เพราะความเกิดมันปรากฏขึ้นมาได้ก็เพราะอาศัยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม อันนี้ฟังยากนิด จะให้ง่ายขึ้นมาอีกหน่อยก็เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง โลภอยากเกิดใหม่ก็โลภอยากมีผัวอยากมีเมีย อยากมีลูก อยากมีทรัพย์สินทั้งหลาย อยากอะไรต่ออะไรจิปาถะอย่างชาวโลก เรียกว่าโลภะ แปลว่าอยากได้
 
ที่นี่อยากได้ในส่วนที่สร้างความเกิดให้ปรากฏ ปัจจัยใดมันเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ใจเราชอบแบบนั้น อยู่คนเดียวสบายๆไม่ไหวมันเหงา ต้องหาคู่ครอง พอได้คู่ครองมาก็แสนลำเค็ญละที่นี่ พ่อเทวดาแม่นางฟ้าถ้าดีก็ดี ถ้าไม่ดีก็กลุ้มใจตาย เขาบอกว่าปลูกเรือนผิดคิดจนเรือนทลาย มีผัวมีเมียผิดคิดจนผัวตายหรือไม่ต้องหาใหม่ มีความช้ำใจความลำบากใจมันเกิดขึ้นในระหว่างการครองคู่ มีผัวมีเมียแล้วยังไม่พอ ยังอยากมีลูกกันต่อไป พ่อเทวดาแม่นางฟ้าเล็กๆ โผล่ขึ้นมาเจ้าพ่อเจ้าแม่ก็นอนไม่ค่อยได้แล้ว ดีไม่ดีตอนดึกๆ นอนกำลังสบายๆ พ่อเทวดาแม่นางฟ้าโผล่ขึ้นมาแล้ว ขี้แตกไม่สบายขึ้นมาเจ้าแม่ก็ต้องลุกขึ้นมา เจ้าแม่ก็ต้องลุกจากตื่น ง่วงเหงาหาวนอนเพียงใดก็ตามที เพราะความรักลูกมันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ยอมลำบากทุกอย่าง นี่เพราะความรักลูกเป็นสำคัญนี่เราต้องการแบบนี้ มันเป็นตัณหาหรือว่าโลภะความโลภมันเป็นตัวอยาก ถ้าอยู่คนเดียวมันจะมีหรือ มันก็ไม่มี คนเดียวจะกินเมื่อไรจะนอนเมื่อไรก็ไม่มีใครว่า
 
แต่ว่าคนเดียวนี่มันก็ยังไม่ดีมันก็ยังมีความทุกข์ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงกล่าวว่า ความทุกข์เกิดจากตัณหา คือความอยาก อยากรวย อยากมีคู่ครอง อยากมีทรัพย์สิน มีบ้าน มีช่อง อยากโกรธพิฆาตเข่นฆ่า อยากเหมือนกันหมด ถ้าหากว่าเราจะตัดความเกิดให้ได้ ความอยากตัวนี้มันทำให้เกิด ธรรมใดเกิดแต่เหตุพระพุทธเจ้าตรัสเหตุของธรรมนั้น แลความดับของธรรมนั้น ก็ต้องตัดตัวอยากเสีย ให้เข้าถึงความดับความโลภเสีย หากินโดยสัมมาอาชีวะ แต่คิดอยู่เสมอว่าทรัพย์สินทั้งหลายหามาได้นี่มันเป็นเครื่องพยุงกายเท่านั้น แต่มันก็พยุงไม่ได้ดี มันถึงแค่บรรเทาทุกขเวทนา เวลามาถึงมันก็ห้ามความตายของเราไม่ได้ เมื่อความตายมันเข้ามาถึง ความป่วยไข้ไม่สบายมันจะเข้ามาถึง ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจมาถึง ทุกข์ต่างๆ จะเข้ามาถึง ทรัพย์สินต่างๆ ช่วยเราไม่ได้เลย เวลาตายไปนี่ หนวดเส้นหนึ่งก็เอาไปไม่ได้ เราก็คิดไว้เสมอว่าเวลาเรามีชีวิตอยู่สัตว์ทั้งหลายต้องการอาหารเลี้ยงชีพ นี่เราก็ต้องหาทรัพย์สินมาเพื่อเป็นการใช้ประโยชน์ในการพยุงตัว เป็นการระงับเวทนา แต่เราจะไม่ยึดว่าทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดที่ปรากฏเราหามาได้เป็นเราเป็นของเรา ว่าเราจะอาศัยมันได้เมื่อร่างกายทรงอยู่เท่านั้นตายแล้วก็เลิกกัน มีทรัพย์กี่ล้านกี่โกฏิก็ตามทีตายแล้วใช้ไม่ได้ ที่สำนักพญายมจะไปเสียแป๊ะเจี๊ยะเขาก็ไม่เอา แล้วเราก็แบกไปไม่ได้ด้วย ธรรมแบบนี้มันทำให้เราเกิดแล้วก็ตาย
 
การพ้นจากความตายเราก็ละความอยากไปเสีย อะไรก็ตามถือว่าทำตามหน้าที่เป็นพ่อบ้านแม่เรือนต้องหาทรัพย์สินมาเพื่อเป็นการประคับประคองการทรงตัวเราก็ต้องหาไม่ใช่ไม่หา พระพุทธเจ้าไม่เคยห้ามหา หามาแล้วจงอย่ายึดถือเป็นสำคัญ เราต้องเก็บรักษาเป็นที่อาศัยในขณะที่มีชีวิตอยู่ ตายแล้วก็เลิกกัน นั่งนึกอยู่เสมอว่าเจ้าทรัพย์สินกับเรานี่ไม่ช้ามันก็เลิกกัน เลิกคบกันต่อไป เราตายแล้วมันไม่ไปกับเรา ทำใจให้สบายไม่ติดอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่เมาในชีวิต คิดว่าเราจะตาย คิดไว้อยู่เสมอว่าร่างกายนี้ไม่ช้ามันก็พัง มันทรงอยู่ด้วยอาการของความเป็นทุกข์ เมื่อตายแล้วจิตเรายังเกาะในกิเลส ตัณหา อุปทาน และอกุศลกรรม กิเลสคือความเศร้าหมองของจิต มีความโลภ เป็นต้น ตัณหามีความทะยานอยากตามที่กล่าวมา อุปทานยึดมั่นว่าเรากับมันจะทรงตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่จากกัน และอกุศลกรรมเป็นการทำแบบโง่ๆ เป็นการสร้างกิเลส ตัณหาอุปาทาน เราตัดโยนทิ้งไป ในเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องตายมันมีความลำบาก เราก็เชื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ธรรมคือตัณหานี่มันเป็นตัวแห่งความทุกข์ เราไม่เอามันต่อไป ถ้าเราละตัณหาได้ทุกข์ก็ไม่มีสำหรับเราต่อไปทั้งในชีวิตปัจจุบันและสัมปรายภพ เมื่อตัณหาความอยากความทะเยอทะยานได้เสียแล้ว ใจมันก็สบาย อะไรจะมาในรูปไหนก็ถือเป็นกฎธรรมดา มีความเข้าใจทุกอย่าง ใช้ปัญญาพิจารณาหาความจริง สิ่งที่ประสบมันมีอยู่ทุกวันสำหรับเรา เห็นเด็ก เห็นคนหนุ่มคนสาว เห็นคนวัยกลางคน เห็นคนแก่เห็นคนตายอยู่ตลอดเวลา ให้ถือว่าร่างกายนี้มันไม่ดี มันเป็นทุกข์ มีการเสื่อมโทรม มีการตายไปในที่สุด เราไม่เอากับมันต่อไป เลิก
 
วิธีเลิกทำอย่างไร ก็ให้ทานเป็นการตัดความโลภ รักษาศีลเป็นการตัดโทสะ เจริญภาวนาเป็นการค้นคว้าหาความจริงในการวางขันธ์ห้าเสีย คิดว่าร่างกายนี้เราไม่ต้องการมันเป็นโทษ ขึ้นชื่อว่าร่างกายอย่างนี้ ต่อไปภายหน้าจะไม่มีสำหรับเรา เราไม่สนใจในมัน มันจะแก่ก็เชิญแก่ รู้ตัวอยู่แก่ก็ดี มันจะป่วยก็เชิญป่วย ป่วยก็ดี ภาวะมันเป็นอย่างนี้ห้ามมันไม่ได้ ก็ดีมันเสียส่งไปเลย ใจมันจะได้สบาย นี่พระอรหันต์ท่านคิดอย่างนี้ มันป่วยก็ธรรมดาของการป่วย แต่ว่าท่านก็นึกว่ามันจะป่วยก็ป่วยไปซิ เราใช้เวลาไม่ถึงร้อยปี เราก็พ้นมันไปแล้วนี่ ไปนิพพาน ถ้ามันจะตายก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มันจะหายก็หายไป มันพังก็พังไป มันเกิดมาเพื่อพัง มันมีอยู่เพื่อพัง เราหามาได้เมื่อหายหกตกหล่น มันจะหายไปก็ช่างมัน ใจมันก็สบาย พอใจสบายอย่างนี้แบบนี้ในวัตถุภายนอกเข้ามาถึงกาย ว่ากายนี่มันแก่แบบนี้ มันป่วยแบบนี้ไม่เอามันอีกแล้ว ไม่ช้ามันก็ตาย ถ้ามันตายแล้วเราเลิกไม่ต้องการมันอีก ขึ้นชื่อว่าขันธ์ห้าที่มันประกอบไปด้วยธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ จะไม่มีสำหรับเรา ไม่ว่าเป็นขันธ์ห้าที่มันประกอบไปด้วยธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ จะไม่มีสำหรับเรา ไม่ว่าจะเป็นขันธ์ประเภทไหนก็ตาม แม้แต่ทรงกายอยู่ในขั้นทิพย์อย่างต่ำ คือพรหมหรือเทวดาอย่างนี้เราไม่ต้องการ เพราะไม่เป็นแดนของความพ้นทุกข์ แดนที่มีความพ้นทุกข์ มีความสุขอย่างยิ่งมีแดนเดียว คือแดนของพระนิพพาน
 
เราก็ตั้งใจให้ทาน เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน เป็นอารมณ์ คิดจะสงเคราะห์เมตตา แผ่ความดีให้กับคนและสัตว์ที่มีความทุกข์ให้มีความสุขเท่าเทียมเท่าที่จะทำได้
 
กรุณา มีความสงสารเอื้อเฟื้อตลอดเวลา
 
มีศีลบริสุทธิ์ผ่องใส
 
มีกำลังใจแจ่มใสทรงฌานสมาบัติ มีอารมณ์นิ่ง มีอารมณ์ทรงตัว ฟังอะไรครั้งเดียวจำได้ เพราะนึกอยู่ การทรงฌานนี่จิตทรงนี่เขาไม่ต้องเกณฑ์กันหรอก ฟังคราวเดียวกี่ร้อยปีจิตมันก็จำได้จิตมันก็ทรงตัว นึกได้อยู่เสมอ
 
และมีสติสัมปชัญญะ รู้กาลที่ควรหรือไม่ควร นี่ลักษณะของผู้ทรงฌาน คือจิตใจมันไม่รุ่มร่ามมันไม่ฟุ้งมันไม่เฟ้อ จิตใจมันอยู่ในขอบเขตของสมาธิจิต คือ สติสัมปชัญญะ
 
เมื่อจิตทรงอารมณ์ฌาน มีอารมณ์แจ่มใส มีอารมณ์เข้มแข็ง มันก็เห็นอริสัจ ว่าเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ อยากโลภ อยากโกรธ อยากหลง ไม่อยากเสียอย่างเดียว ตัวโลภ ตัวโกรธ ตัวหลงมันก็ไม่มา มันก็ไม่มี
 
เราก็ตัดความโลภเสียด้วยการให้ทาน
 
ตัดความโกรธเสียด้วยการรักษาศีล
 
ตัดโมหะความหลง คือความโง่ด้วยการเจริญภาวนา เจริญภาวนาไม่ใช่ว่านั่งว่าอย่างนกแก้วนกขุนทอง มองดูอะไรก็ดี กลางวันก็ดีกลางคืนก็ดี ลืมตาอยู่ เห็นตึกใหม่ๆ นี่ไม่ช้ามันก็เก่าแล้วมันก็พัง ถนนหนทางเราสร้างดีๆ ไม่ช้าก็ต้องซ่อม รู้ ก็ดูร่างกายเรานี่ไม่ช้าก็พัง มันทรุดโทรมทุกวัน เห็นชาวบ้านเขาป่วย ไม่ช้าเราก็ป่วย เตรียมพร้อมเข้าไว้ไม่ใช่เตรียมพร้อมหนีป่วย เตรียมพร้อมว่าเวลาเราป่วยนี่เราจะวางอารมณ์เป็นอย่างไร อารมณ์ที่เราจะวางก็ช่างมันสิ ก็ธรรมดาของมัน การรักษาถือว่าเป็นการบรรเทาความเวทนา ไม่ใช่ตัดป่วยให้หายไป มันจะไหวก็ไหว ไม่ไหวจะพังก็ช่างมัน พังเมื่อไรก็นิพพานเมื่อนั้น เราไม่สนใจในขันธ์ห้าต่อไป
 
เพียงเท่านี้แหละ ท่านที่ปฏิบัติอย่างนี้ละก็ไม่ใช่ได้ดวงตาเห็นธรรม ไม่ใช่พระโสดาบันอย่างพระสารีบุตรพระโมคคัลลาน์ คือเป็นพระอรหันต์ นี่อริยสัจโดยย่อ ถ้าเราพิจารณากัน พิจารณากันแค่นี้ ไม่ต้องไปนั่งเปิดตำรากันให้เมื่อยลูกตา ของดูอยู่ตลอดเวลา ที่นั่งกันอยู่นี่อายุเท่ากันที่ไหน เดิมทีเดียวก็ออกมาจากท้องพ่อท้องแม่เป็นเด็กเหมือนกัน โตขึ้นมาเป็นหนุ่มเหมือนกัน แต่ว่าแก่ไม่เท่ากัน เกิดไม่เท่ากันนี่ ในที่สุดคนที่เคยมาคุยกับเรานี่ตายไปกี่คนแล้ว แล้วเราล่ะ จะไม่เป็นอย่างนั้นหรือ การเกิดมามีสภาพอย่างนี้มันดีหรือมันเลว มันเลวไม่ใช่ดี เมื่อมันไม่ดีแล้วจะเกิดขึ้นมาทำไมต่อไป เราไม่เกิด เราเกิดเพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง เราไม่ต้องการความเกิด เราต้องไม่คบความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็หมดกันเท่านั้น นี่เรื่องของอริยสัจ ถ้าเราพิจารณากันจริงๆ ก็ง่ายจะตายไป
 
ความเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ไม่ใช่ของยาก ถ้าใจของเราดีพอเว้นไว้แต่อารมณ์ใจของเราจะไม่ยอมรับนับถือความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสนาสมัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ เห็นว่าพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเป็นของที่เราจะเกาะไว้หากินเท่านั้น จิตเราคิดอย่างนี้ละก็มันถึงไม่ได้พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ เพราะว่าพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นสิ่งที่เราจะต้องปฏิบัติตามสร้างความสุข ให้จิตเราตั้งกันจริงๆ อย่างนี้ไม่เห็นใครเขาเกิน ๓ เดือน เขาเป็นพระโสดาบันกันทั้งนั้น นี่พูดถึงเอาจิตตั้งกันจริงๆ
 
นี่เราจะพูดถึงพระโสดาบันเรารู้ได้อย่างไร พระวินัยทุกสิกขาบท ระมัดระวังไว้เต็มที่ ถ้ามีอารมณ์เคยชิน สติของเราทรงสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา ที่นี้เราก็ดู ว่าเราจะดีตามนั้นหรือยัง ก็ดูกิจการงานที่เราทำแม้แต่ของหยาบ รู้ว่าอะไรบ้างที่จะวางแรง อะไรที่จะวางเบา อะไรจะวางที่ไหน จะยืนที่ไหน จะนอนที่ไหน จะนั่งที่ไหนถึงจะเป็นสุข ไม่ใช่นอนหลบงานนะ เวลานอนเวลาไหนควรจะนอน เวลายืนควรจะยืนตรงไหนจะเหมาะต่อหน้าผู้ใหญ่เขาห้ามยืนข้างหน้าผู้ใหญ่ห้ามยืนข้างผู้ใหญ่เกินไป และห้ามยืนข้างหลังเพราะเวลาผู้ใหญ่พูดด้วยไม่ได้ยิน ยืนเฉียงหน้าไปทงซ้ายหรือทางขวานิดหน่อยพอไม่บังทานไม่ต้องเหลียวไปหาลำบาก นี่คนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ กิจเล็กๆน้อยๆเท่านี้ก็พึงระวัง มีความละเอียดในจิต และอารมณ์เราก็คิดรักษาเป็นปกติ ธรรมวินัยของพรสะพุทธองค์ทั้ง ๒ ประการ คือ ทั้ง ธรรมะ และวินัย ไม่ยอมข้ามแม้แต่ ๑ สิกขาบท เอาจิตกำหนดไว้แล้วด้วยดีทุกอย่างไม่ยอมให้บกพร่อง ขึ้นชื่อว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วไม่ยอมข้าม ไม่มีการแก้ไข ปกตินึกถึงความตายเป็นธรรมดา มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ เพียงเท่านี้ก็เป็นพระโสดาบัน ไม่เห็นจะยากตรงไหน แต่ที่ยากก็เพราะเราไม่สนใจ ชินกับพระศาสนาเกินไป บวชเข้ามาแล้วไม่ได้อะไร สักแต่ว่าบวช ใครเขาพูดอะไรบ้างเรื่องเล็กฉันไม่ฟังเสียอย่างก็หมดเรื่อง ฟังแล้วฉันไม่สนใจเสียอย่างก็ไม่เป็นไร ความจริงไม่เป็นไรสำหรับผู้บอกเขาก็ไม่เป็นไร เราผู้รับมันก็ไม่เป็นไร เวลาตายแล้วถึงแน่ คือ อเวจีมหานรกสำหรับพระเป็นที่ไป พระนี่ไม่ไปไหน ไปอเวจีแน่นอน ถ้าเราอยู่ในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินวร ถ้าเราไม่ไปปฏิบัติตาม ไม่ต้องเป็นห่วงไม่ต้องเป็นกังวลว่าเราจะไม่ได้ไปอเวจีมหานรก เพราะว่าเราเอาเพศเข้ามาหลอกชาวบ้านเขา ให้ชาวบ้านเขามาไหว้บูชา เอาของมาถวาย ท่านทั้งหลายเหล่านี้เขาถวายแก่พระรัตนตรัยเท่านั้น ไม่ใช่ถวายแก่ลูกชายบ้านที่บวชเข้ามาไม่มีศีล มีศีลไม่ครบ ไม่สนใจในพระธรรมวินัย นี่ที่เราบกพร่องขาดความเป็นอริยเจ้ากัน เราเป็นไม่ได้เพราะบกพร่องตรงนี้ คือว่าบวชสักแต่ว่าบวช คือ อุปสมชีวิกา อาศัยศาสนาเลี้ยงชีวิต นี่ขอท่านทั้งหลายจงกำหนดจิตไว้ให้ดีว่าเราบวชเพื่อมรรคผล บวชเข้ามาในศาสนาขององค์พระสมเด็จพระทศพลไม่ใช่สักแต่ว่าบวชเป็นประเพณี เราตั้งใจไว้ในเรื่องนี้ ตั้งใจไว้เสมอว่า เราจะเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เราจะเป็นผู้มีสมาธิตั้งมั่น คือมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ทำงานทำอะไรก็เหมือนกัน ไม่สักแต่ว่าทำ

การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยก็เหมือนกันไม่สักแต่ว่าทำ ถ้าหากว่าธรรมวินัยดีการงานหยาบๆที่เราทำมันก็ดีด้วย ดูได้เลยสังเกตเห็นได้เวลาทำงานนี่ ถ้าหยาบๆชุ่ยๆและก็อีกนานนัก จะได้พระโสดาน่ะ แต่ว่าอเวจีนี่ได้แน่ เพราะจิตละเอียดไม่พอนี่เป็นเครื่องสังเกตในการปฏิบัติ อะไรที่เป็นประเพณีตามคำสั่ง พอรับคำสั่งเขาจะต้องจำเวลาตามกำหนดทันที ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่รับคำสั่งแล้วทำเฉย ไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนี้ เราก็สังเกตได้ว่านี่เราลงอเวจีไปแค่ไหนแล้วไม่รู้ เมื่อไรเราจะขึ้นเสียที เราจะขึ้นจากอเวจีก็โดยสติสัมปชัญญะเราดี ระมัดระวังไม่ให้ความชั่วปรากฏ โลกไม่ให้ช้ำธรรมไม่ให้เสีย ประเพณีของโลกเราไม่ขัด ถ้าจิตของเราไม่ยืดถือ ไม่สงสัย คือไม่ฝ่าฝืนในคำสั่งสอนนของพระพุทธเจ้า มีศีลบริสุทธิ์ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ว่าเราต้องตายแน่ไม่เสียดายในชีวิตในขณะที่เราจะตาย ใจนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ เท่านี้เราก็เป็นพระโสดาบัน
 
นี่เราพูดกันมานานแล้ว เช้ามืดเราก็พุดกันถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามสี่เดือนยังไม่ได้พระโสดาบันละก็น่าสลดใจอย่างยิ่ง เพราะว่าเราจ้ำจี้จ้ำไชกันอย่างบอกไม่ถูก ที่จริงที่เขาได้กันเขาไม่ได้เรียนกันแบบนี้นะ ผมก็ไม่ได้เรียนแบบนี้ ผมฟังจากหลวงพ่อปาน วันหนึ่งผมก็เข้าป่าไปแปดวันสิบวัน โผล่หน้ามาถามท่านเสียที อะไรที่เราสงสัยก็มาถามท่านเฉพาะจุดแล้วเราก็เข้าป่าไปอีก เราก็ไปฝึกใจของเราในป่า พระที่ท่านได้ดีท่านทำกันอย่างนี้ ไม่ต้องมานั่งสอนกันอยู่ทุกวันเขานั่งสอนเขาเองกันอยู่ตลอดเวลา อัตตนาโจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง นี่พระพุทธเจ้าทรงสั่งอย่างนี้ นี่เราสอนกันเฟ้อเกินไป ผมรู้ตัวเหมือนกันว่าคำสอนนี่มันเฟ้อเกินไป แต่ว่าผมก็ถือว่าผมทำตามหน้าที่ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครรักดีก็รับเอาไป ใครไม่รักดีก็ปฏิบัติเอาตามชั่ว ใครอยากเอาแค่สวรรค์ก็เอาสวรรค์ไป ใครอยากไปพรหมก็เอาพรหมไป ใครอยากไปนิพพานก็เอานิพพานไป สอนกันทุกระดับ ใครอยากจะลงนรกก็เอานรกไปไม่ได้ว่าอะไรใคร
 
ต่อแต่นี้ไปให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น พยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 09 มิถุนายน 2558 13:11:54
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๑๓ กายคตา

บัดนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้พากันสมาทานศีลและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปนี้ก็เป็นโอกาสที่บรรดาที่ท่านจะได้เจริญสมาธิจิตและวิปัสสนาญาณ วันนี้ก็จะขอพูดเรื่อง สมถะ คือ กายคตานุสสติกรรมฐาน กับวิปัสสนาญาณควบคู่กันไป แต่ก่อนที่บรรดาท่านทั้งหลาย จะพิจารณาอย่างอื่น อันดับแรกให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่เป็นปกติ เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก เป็นการทรงอารมณ์เข้าไว้ และก็พร้อมกันนั้นก็ใช้หูฟังเสียงอารมณ์จิตคิดตามเสียง ถ้าหูได้ยินเสียงอยู่ จิตคิดตามเสียงอยู่ก็ไม่ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ขณะใดหูยังฟังเสียง จิตคิดตามเสียงรู้เรื่อง แสดงว่าสติสัมปชัญญะของเราดีมีสมาธิ ถ้าหากว่าจิตของเราพิจารณาตามเสียงไปด้วย มีความเข้าใจตามเสียงเกิดนิพพิทาญาณปรากฏก็จัดว่าเกิดปัญญาเป็นวิปัสสนาญาณ นี่เป็นการศึกษาพระกรรมฐานต้องศึกษาแบบถูกต้อง เป็นของไม่ยาก เพราะกรรมฐานขององค์พระผู้มีพระภาคไม่ได้สอนให้ยาก สอนแบบง่ายๆ แต่ที่ทำกันไม่ได้เพราะไม่สนใจจริงเท่านั้น ถ้าเป็นของยากจริงๆละก็ จะไม่มีใครได้กันเลย เวลานี้หรือกาลต่อมาตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดพุทธบริษัทจนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่เคยขาดพระอริยเจ้า ก็แสดงว่ากรรมฐานขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ยาก แต่ที่ยากก็เพราะว่าเราไม่ต้องการ
 
การเจริญพระกรรมฐานอันดับแรกต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอันนี้เป็นการป้องกันความฟุ้งซ่านของจิต แล้วต่อมาก็มาคิดถึงเรื่องกาย เพราะกรรมฐานนี่สอนเฉพาะในร่างกายเท่านั้น ให้มีความเบื่อหน่ายในร่างกายว่าความเกิดมันเป็นทุกข์ ถ้าเกิดแล้วมีแก่มีเจ็บ มีป่วยไข้ไม่สบาย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวังมีความตายไปในที่สุด ถ้าเอาจิตมันก็เป็นทุกข์ เอาจิตเข้าไปเกาะอยู่ในร่างกายก็แสดงว่าเราไม่พ้นจากโลกธรรม ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ ก็แสดงว่าเรายังรักโง่เกลียดดี ถ้าเรารักดีเกลียดโง่เราก็ต้องทิ้งวัฏฏะ การทิ้งวัฏฏะก็คือการทิ้งขันข์ห้า คือร่างกายเท่านั้น นี่การพิจารณาร่างกายนั้นพระอรหันต์ทุกองค์จะต้องผ่าน หมายความว่าท่านที่เป็นพระอรหันต์จะต้องผ่านกรรมฐานกองนี้ ถ้าไม่ผ่านกองนี้ทั้งหมดจะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ กรรมฐานกองสำคัญนี้ก็คือกองที่ชื่อว่า กายคตานุสสติกรรมฐาน มีการพิจารณากายร่วมกับอสุภกรรมฐาน สองอย่างควบกัน การที่พระพุทธเจ้าพิจารณากายว่ามี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ตับ ไต ไส้ ปอด อาหารใหม่ อาหารเก่า อุจจาระ ไส้ใหญ่ ไส้เล็กและน้ำเลือด น้ำหนองที่มันมีอยู่ในกาย นั่งนึกไปด้วยนะ นึกไปด้วยว่าในกายของเรามีอะไร อย่างนี้ ความจริงร่างกายไม่ใช่เป็นสภาพแท่งทึบ มันเป็นโครง ภายในเต็มไปด้วยจักรกล
 
อาการที่เห็นว่าร่างกายเต็มไปด้วยจักรกลนี่เป็นเรื่องสำคัญ ที่องค์สมเด็จพระภควันต์ ให้พิจารณาว่าร่างกายนี่มันมีสภาพเที่ยงหรือไม่เที่ยง ถ้าเที่ยงจริง มันย่อมมีการทรงตัวไม่มีการเปลี่ยนแปลง ร่างกายของเราเที่ยงไหม นึกดู ถ้าเราเที่ยงจริง เมื่อเกิดมาร่างกายเราเป็นเด็กมันก็ต้องไม่รู้จักโต เรายังพูดภาษาที่ชาวบ้านไม่รู้เรื่องมันก็ต้องยังพูดไม่ได้ เกิดวันแรกเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เวลานี้เรากับเด็กมีสภาพเหมือนกันไหม มันไม่เหมือนแล้ว มันโตกว่า พูดรู้เรื่อง ทำงานได้ทุกอย่างรับผิดชอบ ดีไม่ดีก็ไม่ใช่ตัวคนเดียว มีสามี มีภรรยา มีบุตรธิดา แสดงว่าร่างกายมันมีสภาพไม่เที่ยง สภาพความเป็นเด็กหายไป ความเป็นผู้ใหญ่เข้ามาถึง นี่มันไม่เที่ยง แล้วไม่เที่ยงมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ นั่งนึกให้ถึงนี่เป็นอริยสัจ มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถ้าอาการเที่ยง ถ้ากินข้าวอิ่มเดียวมันก็ต้องอิ่มไม่มีการหิว กินแล้ว เดี๋ยวก็หิวใหม่ อาการหิวมันเป็นความทุกข์ กินข้าวแล้วก็มีอาการปวดอุจจาระปัสสาวะ การปวดอุจจาระปัสสาวะมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ นี่ถ้าตอบกันแบบธรรมดา การปวดปัสสาวะมันก็เป็นทุกข์ ท่านก็ต้องเห็นว่ามันเป็นทุกข์ นี่เราเกิดขึ้นมาแล้ว ความปรารถนาไม่สมหวัง อยากได้อะไรไม่ได้ตามใจนึก แสวงหาธรรมะทุกอย่างไม่ได้ตามปรารถนา อาการอย่างนี้มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ นึกเอา ถ้ายังเห็นว่าเป็นสุขก็เกิดต่อไปก็แล้วกัน มันก็ทุกข์ ถ้าเราเกาะอยู่มันก็ไม่ทุกข์ ถ้าชีวิตเราใกล้จะตายมันเป็นสุขหรือทุกข์ มันก็เป็นอาการของความทุกข์ ร่างกายของเรามีขึ้นมาก็เพราะอาศัยเหตุ คือปัจจัยให้เกิดความทุกข์ ไม่ใช่เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข ร่างกายเป็นทุกข์
 
ร่างกายก็มีอะไรอีก ร่างกายก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง อุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น เราเห็นว่ามันสกปรกหรือเห็นว่ามันสะอาด เห็นจะไม่ต้องตอบกัน จะเห็นว่าสะอาดก็ตามใจ ฝืนความจริงใจ ใจก็พ้นจากร่างกายไปไม่ได้ พ้นจากโลกไปไม่ได้ เป็นอันว่ามันสกปรก เมื่ออาหารใหม่เก่าน้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองในร่างกาย เราจะเห็นว่าร่างกายมันสะอาดได้อย่างไร ที่นี้สิ่งทั้งหลายภายนอก เช่นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ อย่างนี้เป็นต้น เอาเฉพาะหนังไม่ต้องถึงเนื้อ มันอยู่ภายนอกที่เราเห็นความสวยสดงดงามมันก็แค่หนังกำพร้าที่มันหลอกตาเรา เราชอบหลอกตัวเอง ร่างกายของเราเต็มไปด้วยความสกปรก เวลาที่จะโชว์ก็อาบน้ำอาบท่า ชำระร่างกายขัดสีฉวีวรรณ เอาโน่นมาแต้มนิดเอานี่มาแต้มหน่อย ทาโน่นนิดทานี่หน่อย หวีผมเสียให้เรียบร้อย เอาผ้าที่สีสวยๆ เข้ามาแต่งร่างกาย แล้วก็ไปส่องกระจกแล้วก็มาชมตัวเองว่าสวยนี่เราก็นั่งโกหกตัวเอง โกหกชาวบ้าน มันจะสวยที่ไหน ในเมื่อร่างกายของเรามีสภาพเหมือนกับส้วมเดินได้ ภายในเหมือนส้วม แล้วท่านเห็นว่าส้วมสะอาดหรือส้วมสกปรก นี่เป็นอันว่าร่างกายของเราเต็มไปด้วยความสกปรก กายคตานุสสติกรรมฐาน เห็นว่าร่างกายเป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นอันไม่เป็นแท่งทึบ อสุภกรรมฐานบวกเข้ามาเห็นว่าร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม นี่เป็นของจริง ต้องพิจารณาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้เป็น เอกัคตารมณ์ คำว่าเอกัคตารมณ์ แปลว่าอารมณ์เดียว นั่งอยู่ นอนอยู่ เดินอยู่ ยืนอยู่ จะเป็นเวลาไหนก็ตาม จิตใจเห็นอยู่เสมอว่าร่างกายเป็นแต่เพียงเต็มไปด้วยความทุกข์ ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก คนอื่นเดินผ่านมาเราอย่าเอาตาไปติดแค่ผ้าหรือแค่หนัง มองเลยหนังทะลุเนื้อเข้ามาถึงตับ ไต ไส้ ปอด ปรากฏอยู่ แล้วก็ดูให้ดี เห็นคนเดินมานึกว่านี่ส้วมเคลื่อนที่มาแล้ว นี่ส้วมมันเป็นของสกปรก เราต้องการส้วมเข้ามาประคับประคองหรืออย่างไร
 
 
นี่ใจของเรานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้หาความจริงจากกายให้พบอันนี้แหละเป็นกรรมฐาน ถ้าเราปฏิบัติกองนี้กองเดียวจนจิตเป็นเอกัคตารมณ์ เรื่องการเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ มันก็เป็นของไม่ยาก มันจบแค่กองนี้กองเดียวเท่านั้น ถ้าเราเอาจริงๆ สำคัญจะลืมซิ พระวินัยฟังทุกวัน ธรรมะฟังทุกวันยังลืม ถ้าลองฟังทุกวันลืมละก็ตั้งใจไว้เลยว่าจะนรกขุมไหน อย่าไปนั่งนึกเลยว่าจะไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือว่าเป็นพรหม เลือกไว้ให้ดีเชียวว่าจะเอานรกขุมไหนจะได้ตั้งใจไปให้มันตรง ไม่ต้องไปผ่านสำนักของพญายม ถ้าหูยังสัมผัสอยู่กับธรรมะเราก็ยังเลว หูสัมผัสกับพระวินัยเราก็ลืม นี่แสดงว่าเราลืมดี ถ้าไปไหนเราลืมสตางค์ก็กลายเป็นคนไม่มีสตางค์ คนที่ไม่มีทรัพย์ ไปไหนก็มีแต่ความลำบาก มีธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นทรัพย์เป็นอริยทรัพย์ คือ ทรัพย์อันประเสริฐ การที่จิตออกจากร่างกายนำทรัพย์สินไปไม่ได้ นำอริยทรัพย์ไปได้ ถ้าหากว่าเวลาเรามีชีวิตอยู่เราลืมอริยทรัพย์ ตายมันก็ลืม ไม่มีโอกาสจะเอาไป การที่องค์สมเด็จพระจอมไตรสอนให้เราภาวนาหรือว่าพิจารณาเป็นปกติก็เพื่อให้จิตมันชิน จิตมันจะได้เกาะ จะมีอารมณ์เป็นฌาน คือทรงอารมณ์ไว้ไปไหนก็ตาม ข้อนี้ถ้าอารมณ์เป็นฌานนะ เห็นคนเห็นสัตว์เดินมา เห็นร่างกายของเรามันเป็นของสกปรกอยู่ตลอดเวลา มันมีความรังเกียจร่างกาย ร่างกายของเราเองมันก็แสนที่จะรังเกียจ แล้วร่างกายคนอื่นล่ะ ถ้าเรารังเกียจร่างกายของเราเอง แล้วไปรักร่างกายของคนอื่น ก็น่ากลัวจะสติไม่ดี คนสติสัมปชัญญะดีเขาไม่ทำแบบนั้น นี่ในเราพิจารณาร่างกายของเราเป็นของสกปรก แล้วก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นที่น่ารัก ถ้าเอาจิตของเราเข้าถึงฌานจริงๆมันจะเกิดความรังเกียจกายว่ามันสกปรกเต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ นี่ทำอย่างไรมันรังเกียจเสียแล้วนี่ ก็ไม่อยากจะมีมันอีกร่างกาย คือขันธ์ห้า ความรังเกียจร่างกายปรากฏ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่านิพพิทาญาณ เป็นวิปัสสนาญาณตัวที่ ๖ นี่ใกล้จะจบวิปัสสนาญาณอยู่แล้ว
 
เห็นร่างกายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตามีความสกปรกโสมมเป็นที่สุด จิตของเราจะมีความรู้สึกอย่างไรกับร่างกาย ร่างกายมันหิว ร่างกายมันร้อน ร่างกายมันหนาว จิตของเราจะมันก็ตั้งอยู่ในสังขารุเบกขาญาน ถือว่าอาการทั้งหมดเป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย มันจะประสบใจของเราไม่เดือดร้อน ถ้ามันร้อนเกินไปก็หาเครื่องเย็นให้มัน มันหิวก็หาอาหารให้มัน เพราะว่าเราต้องอาศัยมัน มันหนาวก็หาความอบอุ่นให้ แต่ก็ใจคิดไว้เสมอว่าร่างกายกับเรานี่มันสกปรก เราอาศัยมันอยู่เราก็ปฏิบัติตามหน้าที่ ถ้ามันสลายตัวเมื่อไร เรากับมันก็เลิกกัน ขึ้นชื่อว่าร่างกายจะไม่มีกับเราต่อไปอีก จะมีกันได้อย่างไร ร่างกายมันสกปรกอย่างเดียวยังไม่พอ เต็มไปด้วยความทุกข์ สร้างความทุกข์ความยากให้เกิดขึ้น นี่เมื่อสังขารุเบกขาญาณเกิดขึ้นแล้ว เราไม่เมาในร่างกาย นึกว่าร่างกายไม่ดี มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มักสกปรกและเต็มไปด้วยความทุกข์ มันจะแก่ก็ใจสบาย เรารู้แล้วว่ามันจะแก่ อย่างนี้เรียกว่าสังขารุเบกขาญาณ ถ้าป่วยไข้ไม่สบาย เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่าธรรมดาของมันต้องป่วยไข้ไม่สบาย อย่างนี้เรียกว่าสังขารุเบกขาญาณ การรักตัวเป็นการระงับเวทนาเป็นเรื่องธรรมดา แต่คิดไว้เสมอว่าถ้าจะพังเมื่อไรก็เชิญพัง พังเมื่อไรก็เลิกกันเมื่อนั้น ที่นี้เมื่อจิตใจเราทรงได้อย่างนี้แล้ว การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ภายนอก การนินทา ความสรรเสริญ ความมีลาภ ได้ลาภ ความมียศ อะไรก็ตามที่บังเกิดขึ้นกับใจเรา ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีอารมณ์ไม่หวั่นไหว เห็นว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นอาการของร่างกายที่รงอยู่ในโลกมันต้องเป็นอย่างนั้น ให้เป็นปกติไม่เดือดร้อน อย่างนี้เรียกว่าสังขารุเบกชาญาณ ถึงเวลาที่มันจะตายเข้ามาจริงๆ เราก็ถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เกิดมาแล้วมันต้องตาย เราหนีความตายไม่ได้ ใจปกติ จะตายก็เชิญตาย เราพร้อมแล้ว กิจที่จะถึงทำเราทำครบถ้วนแล้ว ทางใดที่จะไปสวรรค์เราสร้างแล้ว ทางที่จะไปพรหมโลกเราสร้างแล้ว ทางใดที่จะไปพระนิพพานเราทำแล้ว เมื่อสิ่งทั้ง ๓ ประการครบถ้วน ความตายเป็นของปกติ ตายจากความเป็นมนุษย์ดีกว่า ไปเป็นเทวดาสบายกว่ามนุษย์มาก ถ้าเป็นพรหมก็สบายกว่าเทวดา ถ้าไปนิพพานสบายที่สุดไม่กลับถอยหลังลงมาอีก นี่อารมณ์ใจของเราที่มีเป็นปกติอยู่อย่างนี้ ก็ชื่อว่าจิตใจเราเข้าถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระชินสีห์แน่นอน องค์สมเด็จพระชินวรได้กล่าวว่าสิ่งที่ท่านจะต้องทำได้ทำแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีอีก นั่นคือความเป็นพระอรหันต์
 
นี่กล่าวโดยย่อการเจริญพระกรรมฐานความมุ่งหายมีเท่านี้ แล้วก็ทำกันจริงๆแค่นี้มันก็เป็นพระอรหันต์ แต่ขอให้เรารักจริงๆเท่านั้น อย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกชาวบ้าน อย่าเมาในความชั่ว คิดว่าเป็นของดี จงเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สตินึกไว้สัมปชัญญะรู้ตัว สิ่งใดที่ควรไม่ควรมันต้องรู้ ไม่ใช่จะไปนึกว่าควรไม่ควรตามอัธยาศัย พระวินัยมีอยู่ ศีลมีอยู่ คำสอนของพระพุทธเจ้ามีอยู่ ศึกษาคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูให้ครบถ้วน แล้วปฏิบัติตามนั้นให้มันตรงตามจุดที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คำว่าดีมันจึงจะปรากฏ ถ้าจิตใจของเรามันยังไม่เคารพในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คือไม่ยึดถือเป็นกำลัง ไม่ค้นคว้า ไม่สนใจ แล้วปฏิบัติตามอัธยาศัย สิ่งที่ไม่ควรว่าควรสิ่งที่ควรคิดว่าไม่ควร ไปคว้าอารมณ์ผิดเข้ามาปฏิบัติ แทนที่จะมีผลตามที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดีโสภาคย์ทรงแนะนำ ว่าเราจะไปสวรรค์ พรหมโลก หรือว่านิพพาน ก็ไม่ต้องไปกันแล้ว กลับไปเหลียวหลังตั้งต้นจากนรกขึ้นมาใหม่ เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรจริงๆ ถ้าเราไม่หลอกลวงชาวบ้านเขา ทั้งบรรดาภิกษุสามเณรและพุทธบริษัททั้งชายและหญิง เรื่องการเป็นอริยเจ้านี่มันเป็นของไม่ยาก ที่ยากก็เพราะมันเลวเกินไป ถ้าเราไม่ชอบเลวเสียอย่าง ถ้าเราชอบดีมันก็ได้ดีมา นี่จิตใจของเราบางทีปากก็พูดอยากจะดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อารมณ์ของความดีเราไม่บูชาเราบูชาความเลว แล้วมันจะเอาดีมาจากไหน
 
ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 15 มิถุนายน 2558 15:20:00
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๑๔ มรณัสสติ

สำหรับวันนี้จะขอพูดถึงเรื่องสมถะและวิปัสสนาควบกัน เพราะว่าสมถะและวิปัสสนานี้ถ้าเราจะปฏิบัติให้ได้ผลจริงๆก็ต้องควบกันอยู่เสมอๆ เมื่อวานนี้เราพูดกันถึงกายคตาสติ และอสุภกรรมฐานบวกกับวิปัสสนาญาณ คำว่ามรณัสสติกรรมฐานคือการนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ กรรมฐานกองนี้เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญกองหนึ่ง คือบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายแม้กระทั่งพระพุทธเจ้าก็ดี ไม่ยอมละ แม้แต่พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตามก็ไม่ทรงยอมละกรรมฐานกองนี้เหมือนกัน
 
เราจะเห็นได้ว่าการที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเรียกพระอานนท์เข้ามาหาแล้วองค์สมเด็จพระศาสดาทรงถามว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์ทรงตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้านึกถึงความตายวันละเจ็ดครั้ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ ยังห่างมากนัก ความจริงท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านนึกถึงความตายวันละประมาณ ๗ ครั้ง พระพุทธเจ้าท่านทรงบอกว่าห่างมากเกินไป ตถาคตนี่นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก การนึกถึงความตายนี่เป็นสมถภาวนา ถ้าใครเขาว่าสมถภาวนาไม่มีความสำคัญ ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของการบรรลุมรรคผล ก็อย่าไปเชื่อเขา เพราะสมถภาวนาถ้าไม่ดีจริงๆ พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงสอนให้เราปฏิบัติ และพระพุทธเจ้าก็จะไม่ยึดสมถภาวนาไว้เป็นอารมณ์ ทั้งที่พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว นี่จงอย่าลืมว่าพระอรหันต์ทุกท่าน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี ใช้กรรมฐาน ๔๐ กอง ควบกับวิปัสสนาญาณเพื่อความอยู่เป็นสุข ไม่ใช่ว่าเป็นพระอรหันต์แล้วเลิกกัน อย่างนั้นเข้าใจผิด พระอรหันต์นี่เขากลับขยันกว่าเราทั้งหมด เพราะเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คำว่ามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ก็หมายถึงว่าการเห็นสภาวะตามความเป็นจริงของขันธ์ห้า ท่านเห็นเป็นปกติ ท่านไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมละ เพราะการทรงขันธ์ห้าเป็นอาการของความทุกข์ ถ้าเราละสมถะภาวนาทั้ง ๒ประการเสียแล้ว อารมณ์มันปล่อย มันไม่ยอมรับความเป็นจริง อาการความทุกข์มันเกิด ถ้าอารมณ์จิตของเราทรงสติสัมปชัญญะเป็นปกติ นึกถึงสมถภาวนาเป็นอารมณ์จิตใจมันก็สบาย ปล่อย ยอมรับนับถือกฏของธรรมดา

นี่การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์เป็นของดีเพราะเราจะได้ไม่ประมาท และจงอย่าคิดว่าอายุของเรายังน้อย ยังไม่ตาย คิดอย่างนี้ก็ผิด การคิดถึงความตายต้องคิดอยู่ทุกขณะจิตว่าเราจะตายเมื่อไรก็ได้ ทีนี้ก่อนที่เราจะนึกว่าเราจะตาย เราก็ต้องหาทางไปให้มันเหมาะสม เวลานี้ การเกิดมาเวลานี้นับว่าเป็นโชคดีมาก พระศาสนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังมีความสมบูรณ์บริบูรณ์ดีอยู่ เว้นไว้แต่เพียงว่าเราจะไม่ยอมรับนับถือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู กลายเป็นแกะดำในพระพุทธศาสนา นั่นแหละความทุกข์มันจะเข้ามาถึงใจ
 
เมื่อเรารู้ว่าเราจะตาย เราก็ตั้งใจไว้ มันเป็นของไม่ยาก ถ้าเราไม่อยากไปอบายภูมิเราก็รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ อันนี้ถ้าเรารักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์แล้ว เราก็ไม่ไปอบายภูมิ เรามีการเกิดเป็นมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ ถ้าเราอยากจะเกิดเป็นเทวดาก็ทรงหิริโอตตัปปะ หิริแปลว่าความละอาย ละอายต่อความชั่ว โอตตัปปะเกรงกลังผลของความชั่วจะให้ผลเป็นทุกข์ นี่คนที่นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ต้องหาทางเลือกแบบนี้ อาการที่เราจะเลือกก็เลือกอยู่ทุกวัน หิริ ความละอายต่อความชั่ว ขึ้นชื่อว่าความชั่วคนอย่างเราไม่ทำ โอตตัปปะความเกรงต่อความชั่วจะให้ผลเป็นความทุกข์ เราก็ไม่ทำ เพราะกลัวเสียแล้ว จะทำได้อย่างไร ความชั่วมี ๒ ฝ่าย ได้แก่ฝ่ายวินัย คือ ศีล และฝ่ายธรรมะ ธรรมะส่วนใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงกล่าวว่าเป็นอธรรม เป็นธรรมที่ทำให้เกิดเป็นความทุกข์ ตัวอย่างเช่น นิวรณ์ห้าประการ ถ้าเราไปพบนิวรณ์ห้าประการเข้าถึงแม้ว่าเราไม่ขาดศีล เราก็ไปอบายภูมิได้ เพราะจิตมันมัวหมอง นี่การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์มันดีอย่างนี้
 
ถ้าเราต้องการเป็นพรหมก็ทรงสมาธิจิตให้เข้าถึงอารมณ์ฌาน ถ้าทรงฌานไว้ตลอดเวลา ทีนี้ถ้าหากว่าเราคิดว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี หรือพรหมก็ดี ย่อมไม่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ กล่าวคือไม่สามารถจะทรงความสุขได้ตลอดกาลตลอดสมัย มันสุขชั่วขณะแล้วก็กลับมาแสวงหาทุกข์ใหม่ในเมื่อหมดบุญวาสนาบารมี เราไม่เอา เราก็ตั้งใจไปพระนิพพาน
 
การที่จะตั้งใจไปพระนิพพานก็ตั้งใจเอามรณานุสสติกรรมฐานเป็นเครื่องนำทาง การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ นึกถึงตัวเราจะต้องตาย ถ้าเราหวังจะอาศัยใครเขาเป็นที่พึ่งเราก็ต้องนึกว่าที่พึ่งของเราคนนั้น ไม่ช้าท่านก็ต้องตายเหมือนกัน ถ้าเราหวังจะเอาวัตถุใดเป็นที่พึ่งก็จงรู้ว่า วัตถุส่วนนั้นก็สลายเช่นกัน ไม่มีอะไรทรงตัว นี่การที่เราจะเข้าถึงที่พึ่งได้จริงๆ ก็ต้องเข้าถึงตัวเองเป็นสำคัญ การที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า อัตตาหิ อัตตโนนาโถ โต หิ นาโถ ปโรสิยา อัตตาหิ สุทันเตนะ นาถัง ลภติ ทุลภัง แปลเป็นใจความว่า ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน บุคคลอื่นใดใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ เมื่อเราฝึกฝนตนเองดีแล้วเราจะได้ที่พึ่ง อันบุคคลอื่นจะได้โดยยาก

นี่เป็นพุทธภาษิตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเตือน อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน คำนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะละพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และความดีทั้งหมด เราจะเข้าถึงความดีได้ก็เพราะอาศัยการฝึกฝนตนเอง คือ จิต คำว่าตนในที่นี้ได้แก่จิต ไม่ใช่ร่างกาย คือเอาจิตของเราเข้าไปเกาะความดีเข้าไว้ ธรรมส่วนใดที่สามารถจะทำให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้เราทำส่วนนั้น ธรรมที่มีความสำคัญที่เราเห็นได้ง่าย คือตัดรากเหง้าของกิเลส ได้แก่
 
โลภะ ความโลภ เราตัดด้วยการให้ทาน ทำจิตอยู่เสมอว่า เราจะให้ทานเพื่อทำลายโลภะ ความโลภ แล้วความโลภจะได้ไม่เกาะใจ
 
ทีนี้อีกประการหนึ่งรากเหง้าของกิเลส ได้แก่ความโกรธ เมื่อจิตเราทรงพรหมวิหารสี่ เป็นปกติ เพื่อเป็นการหักล้างความโกรธ เมื่อจิตเราทรงพรหมวิหารสี่ ความโกรธความพยาบาทมันก็ไม่มี
 
ประการที่ ๓ โมหะ ความหลง ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ เป็นรากเหง้าใหญ่ เป็นตัวบัญชาการให้เกิดความรัก ความโลภ ความโกรธ ถ้าหลงไม่มีเสียอย่างเดียว ถ้าเราตัดความหลงได้เสียอย่างเดียวละก็ เราตัดได้หมด ทีนี้การตัดตัวหลงเป็นอย่างไร ตัดตรงมรณานุสสติกรรมฐาน ก็คิดเสียว่าคนเราและสัตว์ทั้งหมดเกิดมาแล้วก็มีความตายเป็นที่สุด วัตถุต่างๆที่เป็นสมบัติของโลก มันมีการเกิด มีการก่อตัวเป็นเบื้องต้น และก็สลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน พัง วัตถุเรียกว่า พัง คนและสัตว์เรียกว่าตาย นี่เป็นอันว่าความแน่นอนของชีวิตที่ทรงอยู่มันไม่มี หาความแน่นอนอะไรไม่ได้ มันมีความสลายตัวไปในที่สุด เราก็มาหวนกลับจับเอาวิปัสสนาญาณ จะแลเห็นว่ามันเกิด มันตายน่ะเป็นสมถะ ถ้าหันมาจับตัวตายนี่ก็เป็นสักกายทิฏฐิเป็นวิปัสสนาญาณไปว่าทำไมมันถึงต้องตาย ร่างกายนี่มันเป็นของเราหรือเปล่า ถ้าร่างกายเป็นเราเป็นของเราจริงมันจะตายได้อย่างไร เราคือจิต คิดอยู่เสมอว่าเราประคบประหงมร่างกายของเราให้เป็นปกติ สร้างสรรค์ความเจริญขึ้นให้เกิดกับร่างกาย อาหารประเภทไหนที่เขากล่าวว่ามีประโยชน์ เราพยายามหามากินถึงว่ามันจะแพงมันจะเหนื่อยมันจะยากอย่างไรก็ตาม ก็หามาบำรุงบำเรอร่างกายให้มันทรงตัว แต่แล้วในที่สุดร่างกายของเรามันทรงตัวหรือเปล่า มันหาความทรงตัวไม่ได้ มันเดินเข้าไปหาความตายทุกวัน ทรุดโทรมไปตลอดเวลา ทุกวันเวลาเรากินอาหารเข้าไป ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริง เราไม่ต้องการให้มันหิว กินแล้วให้มันอิ่มตลอดกาลมันก็ไม่ยอม เราไม่ต้องการให้มันแก่มันก็จะแก่ เราไม่ต้องการให้มันป่วยมันก็จะป่วย เราไม่ต้องการให้มันตายเราก็จะตาย นี่เราไม่ต้องการให้มันทุกข์ แต่เราห้ามไม่ได้ ห้ามแก่ไม่ได้ ห้ามป่วยไม่ได้ ห้ามทรุดโทรมไม่ได้ ห้ามตายไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าป้องกันความทุกข์ไม่ให้เกิดแก่มัน หมอชั้นดีที่ไหนมีอยู่ นักวิชาการที่ไหนปรากฏอยู่ เข้าไปพยายามทำทุกอย่างให้ร่างกายมันมีความสุข เราหาความสุขจากร่างกายได้หรือเปล่า มันก็เปล่า ร่างกายมันมีแต่ความทุกข์ทุกลมหายใจเข้าออก
 
ในเมื่อมีร่างกายอยู่ ทุกข์จากความหิวมันก็เกิด ทุกข์จากความหนาวความร้อนมันก็เกิด ทุกข์จากความปวดอุจจาระปัสสาวะมันก็เกิด ทุกข์เพราะความไม่สบายกายไม่สบายใจ ไม่สบายกายได้แก่โรคภัยไข้เจ็บรบกวนมันก็เกิด ทุกข์จากความไม่สบายใจได้แก่ ความปรารถนาไม่สมหวัง กระทบกับอารมณ์ที่เราไม่ต้องการมันก็เกิด เป็นอันว่าตลอด ๒๔ ชั่วโมง เราหาความดีจากร่างกายไม่ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา โรคที่ประจำกายอย่างยิ่งนั้น ก็คือ โรคหิว หิวในอาหารมันก็หิว มันก็สร้างความทุกข์ให้เกิดแต่ความหิวในอาหาร เราไม่มีโอกาสบริโภคอาหารได้ ความทุรนทุรายมันก็เกิด อาการเสียดแทงทางร่างกายมันก็เกิด เสียดแทงจิตใจ มันจะเป็นความสุขได้อย่างไร มันก็เป็นความทุกข์ หิวมันก็ไม่ใช่หิวแค่อาหาร หิวอยากจะได้อย่างโน้น หิวอยากจะได้อย่างนี้ มันหิวทางใจ ความปรารถนาทางใจมันเกิดขึ้นมา และความต้องการความปรารถนามันเกิดขึ้นมันก็มีความทุกข์อีก ถ้าความปรารถนาไม่สมหวัง คือว่าความปรารถนาจะสมหวังได้ก็ต้องตั้งใจตะเกียกตะกายประกอบกิจการงาน รวบรวมทรัพย์เพื่อจะได้ของสิ่งนั้นมาเป็นสมบัติของเรา นี่ก็เป็นภัยใหญ่ คือความเหน็ดเหนื่อยของร่างกาย เป็นการทรมานร่างกาย แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เราปรารถนาได้มาสมหวังแล้ว ถ้าตายเราเอาไปได้หรือเปล่า มันก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรเอาไปได้เลย
 
เป็นอันว่าร่างกายนี้ไม่มีประโยชน์ การเกิดมามีร่างกายมีแต่โทษ มีแต่ความทุกข์มีแต่ความเดือดร้อน มันหาประโยชน์อะไรไม่ได้ นี่เราจะมานั่งเมาร่างกายเพื่อประโยชน์อะไร ทีนี้เรามาตัดตัวหลงกัน ในเมื่อเรามาหลงตัวเป็นสำคัญ ที่เราต้องมีความเหน็ดเหนื่อยด้วยประการทั้งปวงก็เพราะเราหลงตัวเรา การทำทุกอย่าง แสวงหาของทุกอย่างก็เพื่อประโยชน์แก่ร่างกายอย่างเดียว สำหรับจิตใจเป็นแต่แค่ความปรารถนาเท่านั้น ถ้าหากว่าตายไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่มีประโยชน์ แต่ว่าการหากิน การแสวงทรัพย์ถือว่าเป็นหน้าที่ของการทรงอยู่ แต่ว่าทำใจของเราปลดไปเสีย อย่าไปเมาในทรัพย์สิน ที่คิดว่าจะอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัยทำใจให้สบาย เหมือนกับในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังอยู่ มีพระองค์หนึ่งท่านเคยเป็นพระราชามาก่อน ท่านจำพรรษาอยู่ในป่าซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านเมืองนัก วันหนึ่งเขามีงานนักขัตฤกษ์ประจำปี เห็นโคมไฟสว่างไสวทั้งเมือง เรียกว่ามีความสวยสดตระการตาอย่างยิ่งในเวลาราตรี แสงไฟทำให้สว่างทำให้สวย ตัวท่านเองยืนอยู่ในป่า นั่งอยู่ในป่าอยู่ผู้เดียว มองไปดูแสงไฟก็มานั่งนึกอยู่ในใจ อจิรัง วต ยัง กาโย ปฐวิง อธิเสสะติ ฉุฑโฑ อเปตวิญญาโณ นิรัตถังวะ กลิงครัง แปลเป็นใจความโดยย่อว่า ตัวเรานี้เวลานี้มีอุปมาเหมือนท่อนไม้ที่เขาทิ้งอยู่ในป่า ย่อมไม่มีใครมีความสนใจ ร่างกายของเรานี่หาสาระประโยชน์อะไรไม่ได้ เวลานี้ไม่มีประโยชน์ ไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ที่เคลื่อนที่ได้ ในไม่ช้าความดับจะเข้ามาถึง นี่ท่านคิดเพียงเท่านี้ พออารมณ์จับเข้าจริงๆ ท่านก็ได้สำเร็จอรหัตผล ที่การจะนึกว่าร่างกายมันไม่ดี เราไม่ยึดถือร่างกายเป็นสรณะ แต่ว่าการบริหารร่างกายก็มีความจำเป็น ในเมื่อมันยังไม่ตาย ถ้าเราไม่บริหารร่างกาย ไม่หาอาหารให้กิน ไม่ประคบประหงมมัน ทุกขเวทนามันก็บีบคั้นหนัก ในการที่เราจะหาอาหารให้มันกิน หาเครื่องนุ่งห่ม หายารักษาโรคให้ หาเครื่องทำความเย็นความร้อนให้ ก็คิดว่าเราหามาเพื่อทุกขเวทนาชั่วขณะเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะหามาให้ทรงกายตลอดกาลตลอดสมัย และก็จำไว้เสมอว่าร่างกายมันจะต้องตาย ร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์ ร่างกายไม่ใช่แดนแห่งความสุข เป็นปัจจัยสร้างความทุกข์ให้เกิด เราเกิดชาติใดก็ดีต่อไป ในชาติต่อๆไป ชาตินี้มีภาระเป็นอย่างไรชาติต่อไปก็มีภาระเป็นอย่างนั้น คือ มันจะเต็มไปด้วยความทุกข์ เราก็ไม่ต้องการขันธ์ห้า และตั้งจิตใจไว้ว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่าขันธ์ห้าคือร่างกายจะไม่มีสำหรับเรา เราไม่ต้องการการเกิดที่มีร่างกายต่อไป สิ่งที่เราต้องการคือพระนิพพาน
 
แต่เราคิดเฉยๆ มันก็นิพพานไม่ได้ ก็ต้องหันเข้ามา
 
ตัดความรักในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ด้วยอำนาจอสุภสัญญา ก็เรียนกันมาแล้ว
 
มาตัดการโลภด้วยการให้ทาน สักกายทิฏฐิ คือ ร่างกายของเรานี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเรา
 
เดินไปเดินมาคิดอยู่เสมอว่าร่างกายมันจะพังเมื่อไรก็ได้ ร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์ ร่างกายเต็มไปด้วยความโสโครก คือความสกปรกโสมม มันเป็นดินแดนนำมาซึ่งความทุกข์ ร่างกาย คือ โรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค ปภังคุณัง มันต้องมีความเปื่อยเน่าเป็นธรรมดา เราไม่ต้องการมันอีก ชาตินี้ถือเป็นชาติสุดท้ายสำหรับเรา เราไม่ต้องการร่างกายอีก การเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ หมดเพียงแค่นี้เท่านั้น แล้วจงพยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ มีสติสัมปชัญญะควบคุมไว้ เรื่องของศีล เรื่องของทาน เรื่องของการเจริญภาวนา ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้ามีจิตแบบนี้เป็นเอกัคตารมณ์ คืออารมณ์อันเดียว หมายความว่าเห็นว่าร่างกายเป็นแดนแห่งความทุกข์ ร่างกายเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา มันจะสลายตัวไปในที่สุด เราไม่ต้องการร่างกายอีก ทรงสติสัมปชัญญะให้ดี ทรงอสุภสัญญาเป็นปกติ มีจาคะ จาคานุสสติกรรมฐาน จิตใจต้องการให้ทานเป็นปกติ มีศีลานุสสติกรรมฐาน มีการทรงศีลเป็นปกติ มีพรหมวิหารสี่เป็นปกติ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันจะพังเมื่อไรก็ช่างมัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดาเป็นปกติ อย่างนี้เราก็เข้าอริยมรรค อริยผลได้โดยไม่ยากนัก ธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีความสำคัญอยู่เพียงเท่านี้ ในการเข้าถึงอริยมรรคอริยผล ไม่ใช่จะมาศึกษากัน ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด คิดตลอดกาลตลอดสมัย ทำใจให้สบาย ไม่มีอารมณ์หวั่นไหวเมื่อร่างกายเกิดทุกขเวทนา เพียงเท่านี้จิตใจของทุกท่านโดยถ้วนหน้าก็จะเข้าถึงความสุข คือ อริยมรรค อริยผล ตามที่ตนพึงปรารถนา
 
ต่อจากนี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก เมื่อจิตสบายแล้วก็พิจารณาตามที่กล่าวมาแล้ว จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 19 มิถุนายน 2558 11:05:35
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๑๕ อาณาปานสติ

วันนี้จะขอพูดเรื่องอานาปานสติกรรมฐานต่อ อานาปานสติกรรมฐานเป็นสมถภาวนา ได้แก่การพิจารณากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก อานาปานสติกรรมฐานนี่เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญที่สุด และเป็นกรรมฐานที่มีกำลังใหญ่อย่างยิ่ง เพราะกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง ยกอานาปานฯ เสียกองหนึ่งเหลือ ๓๙ กองย่อมขึ้นอยู่กับอานาปานสติกรรมฐาน เพราะว่าการบำเพ็ญพระกรรมฐานให้เป็นสมาธิกองใดกองหนึ่งก็ตาม ต้องขึ้นอานาปานสติกรรมฐานก่อนเสมอไป คืออันดับแรกให้จับลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่ หายใจเข้ายาวหรือสั้นออกยาวหรือสั้น นี่เป็นแบบฉบับตามในมหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งก็ได้ผลเหมือนกัน ได้ผล สามารถจะทรงฌานได้เหมือนกัน มีผลมาก
 
ตามอีกนัยหนึ่งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเทศน์ไว้ในกรรมฐาน ๔๐ ท่านพิจารณาไว้อีกอย่างหนึ่งว่า เวลาหายใจเข้าให้จับลมหายใจเข้าว่ามันจะกระทบจมูก แล้วกระทบที่หน้าอก แล้วกระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย หายใจออกกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก แล้วก็กระทบที่หน้าอกหรือว่าริมฝีปาก ถ้าเป็นคนริมฝีปากงุ้มจะรู้สึกกระทบที่จมูก ถ้าเป็นคนริมฝีปากเชิดมันก็จะกระทบที่ริมฝีปาก
 
สำหรับในกรรมฐานที่ ๔๐ ให้รู้อารมณ์กระทบ หากว่าท่านทั้งหลายจะสงสัยถามว่า เฉพาะอานาปานสติกรรมฐานทำไมพระพุทธเจ้าตรัสคนละแบบ ความจริงก็แบบเดียวกันแต่ใช้อาการสังเกตต่างกัน ในมหาสติปัฏฐานนั้นให้สังเกตลมหายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้น หรือว่าหายใจเข้าหรือว่าหายใจออก ในกรรมฐาน ๔๐ ให้สังเกตอารมณ์กระทบของจิต อารมณ์กระทบสัมผัสทางกาย คือกระทบจมูก หน้าอก และที่ศูนย์เหนือสะดือ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับมหาสติปัฏฐานสูตรนี่พระพุทธเจ้าเทศน์เฉพาะชาวแคว้นกุรุเท่านั้น เป็นกรรมฐานละเอียด เพราะว่าชาวแคว้นกุรุนี่มีอารมณ์จิตละเอียดมาก ถ้าหากว่าจะไปแคว้นนั้นเมื่อไรก็ตาม พระพุทธเจ้าจะเทศน์เฉพาะมหาสติปัฏฐานสูตร ไม่เทศน์เรื่องอื่น อาการอย่างนั้นนะพระพุทธเจ้าเทศน์ในสายอื่น จริยาอาการของคนฟังที่มีความเข้าใจย่อมไม่เสมอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวกุรุรัฐเป็นปกติของเขา นับตั้งแต่ก่อนที่จะพบพระพุทธเจ้า เขาก็เจริญมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นปกติ ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า แม้แต่นกที่เขาเลี้ยงไว้อย่างนกแขกเต้านางภิกษุณีเลี้ยงไว้ คำว่านางภิกษุณีนี่ ก็ในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว แต่ว่าจริยาของชาวกุรุรัฐทั้งหมด เขาเจริญมหาสติปัฏฐานสูตรทั้งสี่มาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะสอน ในเมื่อแคว้นนั้นเขาปฏิบัติอย่างนั้นเป็นปกติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับรองผล จึงเข้าไป แล้วอธิบายให้มันสูงไปกว่านั้น ให้เขาเข้าใจว่านอกจากจะทรงสติสัมปชัญญะแล้ว ก็ยังมีวิปัสสนาญาณ อันนี้พระพุทธเจ้าต่อท้ายด้วยอำนาจวิปัสสนาญาณ มีอริยสัจ เป็นต้น เพื่อให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน
 
นี่คนแดนนี้เป็นคนที่มีจิตละเอียด ท่านบอกว่าแม้แต่นกแขกเต้าซึ่งนางภิกษุณีเลี้ยงไว้ เมื่อถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไปในอุ้งเล็บ นางสามเณรีเห็นเข้าก็ส่งเสียงดังให้เหยี่ยวตกใจ เหยี่ยวตกใจคลายกรงเล็บนกแขกเต้าตกลงมา สามเณรีถามนกว่าขณะที่เหยี่ยวเฉี่ยวเจ้าไปอยู่ในอุ้งเล็บ เจ้ามีความรู้สึกอย่างไร นกแขกเต้าบอกว่า เวลานั้นมีความรู้สึกเหมือนว่า ร่างกระดูกกำลังนำร่างกระดูกจะไปกิน นี่แสดงว่านกแขกเต้าตัวนั้นสนใจในอัฏฐิกังปฏิกุลัง ในกรรมฐาน ๔๐ หรือว่าในมหาสติปัฏฐานสูตรที่เรียกว่าสนใจในนวสี ๙ และก็อสุภสัญญา มหาสติปัฏฐานสูตรพระพุทธเจ้าจึงเทศน์เฉพาะแคว้นนี้ ในด้านกรรมฐาน ๔๐ เทศน์ในวงการภายนอกเพราะอารมณ์ไม่เสมอกัน
 
การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ลมหายใจเข้าหายใจออกนี้ เป็นอาการที่ละเอียด เราต้องสนใจมาก ถ้าเราเผลอนิดเดียวก็จะรู้สึกว่าเราเผลอไป ว่าเราไม่รู้ว่าลมหายใจเข้าหรือหายใจออก นี่เป็นการบังคับจิตให้ทรงสติสัมปชัญญะให้ดีขึ้น การเจริญสมถภาวนานี่ต้องการสติสัมปชัญญะเป็นสำคัญ ขณะใดที่รู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ขณะนั้นชื่อว่าจิตเป็นสมาธิ สมาธิในอานาปานสติกรรมฐาน แล้วก็เป็นกรรมฐานกำจัดโมหจริต คือวิตกจริต เรียกว่ากำจัดความโง่ของจิต ป้องกันอารมณ์ฟุ้งซ่าน คืออุทธัจจะกุกกุจจะในนิวรณ์ห้าประการ ใครที่อารมณ์ฟุ้งซ่านไม่ทรงตัวละก็ ถ้าใช้อานาปานสติกรรมฐานเป็นปกติจิตจะทรงสมาธิเอง
 
การเจริญอานาปานสติกรรมฐานนี้ก็ต้องสังเกตไว้ เวลาหายใจเข้าหายใจออก ถ้าเราจะภาวนาด้วยก็ใช้คำภาวนาพุทโธ เวลาหายใจเข้านึกพุธ หายใจออกนึกว่าโธ สำหรับพุทโธเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เวลาหายใจจงอย่าหายใจให้แรงกว่าปกติหรือเบากว่าปกติ ปล่อยลมหายใจให้เป็นไปตามปกติ ให้จิตกำหนดรู้เอง ไม่ใช่ว่าเวลากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกบางทีมันจะไม่รู้สึกเลยหายใจแรงๆ แบบนี้ใช้ไม่ได้ ต้องปล่อยให้เป็นปกติแล้วก็รู้ตัวอยู่
 
อานาปานสติกรรมฐานจะเข้าฌานได้ง่าย จะสังเกตได้ในฌานสูงสุด คือว่าเวลาจับลมหายใจเข้าออก จะมีคำภาวนาด้วยหรือไม่ก็ช่าง ใช้ได้ เมื่อถึงฌานสี่แล้วจะรู้สึกว่าเรามีสภาวะเหมือนไม่หายใจ ไม่รู้ลมหายใจมีหรือไม่ แต่จิตใจสบาย มีความโปร่งมีความสว่างไสวภายในจิต มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แบบ มีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าไม่รับสัมผัสภายนอก ยุงจะกินริ้นจะกัด ไอ้นี่ความจริงยุงไม่กิน นักเจริญฌานนี่จะไปนั่งที่ไหนก็ตาม ถ้าจิตเข้าถึงระดับฌานแล้วยุงไม่กิน ยุงกินริ้นกัดท่านว่าอย่างงั้นไม่รู้สึก แต่ว่าสิ่งที่สังเกตได้คือเสียง เสียงจะดังขนาดไหนก็ตามถ้าจิตตกอยู่ในฌานสี่ละก็เราไม่ได้ยินเสียงนั้น อย่างนี้เป็นอาการของฌานสี่
 
การเจริญพระกรรมฐานก็ยังไม่แน่นัก การเข้าถึงฌานย่อมเป็นไปได้ แต่การทรงฌานอาจจะยากสักหน่อย เพราะการทรงฌานหมายถึงว่า เราตั้งเวลาไว้ตั้งแต่เวลานี้ ถึงเวลานี้เราจะเข้าฌานสี่ หรือจะออกเวลานั้น แล้วมันก็ออกตรงตามจุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้ อย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌาน สำรหรับอานาปานสตินี่ก็บอกแล้วว่าเป็นกรรมฐานที่ทรงฌานได้ง่าย เป็นกรรมฐานที่ระงับฟุ้งซ่านของจิต เป็นกรรมฐานที่ระงับวิตกคือ โมหะ คือระงับความโง่ เพราะฉะนั้นก็เหลือแต่ความฉลาด ความโง่มันก็หายไป เมื่อความฉลาดเกิดขึ้น สมาธิเกิดขึ้น ในระหว่างนั้นอารมณ์มันก็จะมีความรู้สึกต่อไปอีก พอจิตทรงฌานไว้เต็มที่แล้ว ถ้ามันคลายตัวนิดหน่อย ปัญญามันก็จะเกิดเมื่อนั่งนึกดูว่า คนเรานี้มีชีวิตอยู่แค่เพียงลมหายใจเข้าออกเท่านั้นเอง ถ้าลมปราณนี้สิ้นไปแล้วเมื่อไร ขณะนั้นก็เรียกกันว่าตาย อาการตายของคนที่เป็นการตายตามปกติ
 
ความจริงถ้าเข้าถึงจริงๆ แล้วปัญญามันดีกว่านี้มากนะ ไอ้ที่พูดนี้ก็เพื่อจะเทียบเข้าไปหาของจริงๆ ตามความรู้สึกของอารมณ์จิตันไม่ถึงหรอก ๑๐ เปอร์เซ็นต์มันก็ไม่ได้แต่พูดกันเป็นแนวแล้วมันก็จะเห็นชัดถึงร่างกายว่า ร่างกายนี้มันเป็นแต่เพียงธาตุสี่ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ แล้วก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสมม เต็มไปด้วยอาการของความทุกข์ จะทุกข์จากความหิว ความกระหาย การป่วยไข้ไม่สบาย การปวดอุจจาระปัสสาวะ ทุกข์จากการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ กระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น มันมองเห็นทุกข์ชัด ปัญญามันเกิดเอง นี่เขาเรียกว่าปัญญามันเกิดด้วยอำนาจของสมาธิ อย่างที่พระท่านบอกศักราช ท่านบอกต้องทำศีลให้บริสุทธิ์ เมื่อศีลบริสุทธิ์แล้ว จิตจะเกิดสมาธิ เมื่อสมาธิตั้งมั่นแล้ว ปัญญาก็จะเกิด ในที่สุดจะถึงซึ่งพระนิพพาน ทำอริยมรรคอริยผลให้เกิดขึ้น สำหรับอานาปานสติก็เหมือนกัน ถ้าทำใจสบาย จิตเข้าถึงฌานสี่ หรือฌานหนึ่ง ฌานสอง ฌานสามก็ตาม เวลาที่จิตสงัดปัญญามันจะเกิดเอง มันจะบอกชัด มันจะมีความเบื่อหน่ายในร่างกายขึ้นมาเอง มีความรู้สึกว่าร่างกายนี่มันไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร ไม่มีการทรงตัว เพราะอะไร เพราะเมื่อมีความเกิดขึ้นแล้วก็มีความแก่ ความป่วย ความตาย แต่ว่าในขณะที่ทรงกายอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขอะไรไม่ได้ เราจะบริหารร่างกายสักเพียงใดก็ดี ร่างกายก็เต็มไปด้วยความทรุดโทรมอยู่ตลอดเวลา เป็นอันว่าทำให้เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในขันธ์ห้า คือร่างกายเสีย นี่ตัวปัญญามันจะเห็น เมื่อเบื่อหน่ายในร่างกายแล้วก็คิดต่อไปถึงโมกขธรรม ถ้าเราไม่เกิดเสียอย่างเดียว ขึ้นชื่อว่าความแก่ ความเจ็บ ความตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจมันก็ไม่มี นี่อาการอย่างนี้ที่มันจะมีขึ้นมาได้ก็อาศัยความเกิดเป็นปัจจัย
 
อานาปานสติกรรมฐานนี่สร้างจิตให้เกิดปัญญา มันก็จะสอนต่อไปว่า ถ้าหากว่าเราไม่ต้องการการเกิดต่อไปแล้ว ก็ตัดรากเหง้าของกิเลสทั้ง ๓ ประการทิ้งเสียให้หมดคือตัดอำนาจของความโลภ ด้วยการให้ทาน ตัดรากเหง้าของกิเลสคือความโกรธ ด้วยการเจริญเมตตาบารมี แล้วก็ตัดรากเหง้าที่ ๓ ความหลงด้วยการพิจารณาหาความจริงของขันธ์ห้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราก็มาตัดกันตัวเดียว ตัดตรงพิจารณาหาความจริงของขันธ์ห้าคือร่างกายที่เรียกกันว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ปัญญามันจะเห็นชัดว่าร่างกายเป็นเพียงธาตุสี่ ไม่มีการทรงตัว มีการเปลี่ยนแปลง ภายในเต็มไปด้วยความสกปรก อย่างนี้เขาเรียกว่าสมถะคละวิปัสสนาญาณ มันไปด้วยกันเสมอ ถ้าไปกันอย่างเดียวเฉพาะสมถะ ไม่ช้าก็พัง ถ้าวิปัสสนาญาณมันเดินคู่ไปด้วยละก็มันไม่พัง มันมีแต่ก้าวไป
 
ร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุสี่ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มันโทรมตลอดเวลา มันทุกข์ตลอดเวลา อาการเห็นว่าโทรมตลอดเวลา ทุกข์ตลอดเวลา นี่เป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าหากว่าเราจะทรงร่างกายอยู่แบบนี้ ต้องการแบบนี้ต่อไปในชาติหน้ามันก็จะมีแต่ความทุกข์อย่างนี้ ถ้าเราจะตัดความทุกข์เสียได้ก็ต้องตัดโลภะ โทสะ โมหะ โลภะโทสะโมหะนี่ถ้าตัดจริงๆ ด้วยกำลังใจละก็ เขามาตัดกันที่กายนี่เอง มาพิจารณาหาความจริงว่าร่างกายนี่มันเป็นเราหรือมันไม่ใช่ของเรา นี่มันจะบอกชัด ปัญญามันดีกว่านี้มาก มันมีความหลักแหลมมาก ถ้ามันได้ถึงจริงๆ มันจะเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสารเป็นของน่าเบื่อ เต็มไปด้วยของสกปรกโสโครก เต็มไปด้วยอาการไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการสลายตัวไปในที่สุด แล้วเราก็ไปคิดว่ามันเป็นเราเป็นของเรา แต่ความจริงไม่ใช่ ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นบ้านเช่าอาศัยชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าเราก็ต้องจากมันไปเพราะมันพัง ถ้าพังแล้ว ถ้าต้องการความเกิดอีกมันจะไหวไหม มันก็ไม่ไหว มันก็เป็นทุกข์แบบนี้ ถ้าเราไม่ต้องการจะเกิดอีก เราจะทำยังไง เราก็ใช้หลักการตามอำนาจของจิตให้จิตของเราบอกเองเป็นระยะไปว่าเราปล่อยร่างกายเสีย เราไม่ต้องการความเกิดต่อไป ขึ้นชื่อว่าความเกิด จะเป็นคนก็ดี จะเป็นสัตว์ก็ดี จะเป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการก็คือพระนิพพาน นี่จิตมันจะเกิดมีความใสสะอาดด้วยอำนาจของฌาน มันจะคิดไปในทำนองนี้ แต่มันดีกว่านี้มาก มันชัดมาก
 
ต่อแต่นั้นไป เมื่ออาศัยความคลายความพอใจในร่างกายเสียแล้ว อำนาจความรักในเพศก็ดี ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี มันก็คลายตัว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่มันปรากฎแก่จิตก็เพราะว่าจิตไปมั่วสุมอยู่กับกิเลส คือหลงในกายของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อหลงในร่างกายของตัวว่ามันจะคงอยู่ มันเป็นของดี ก็เห็นว่าร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุอื่นดีไปด้วย และความโง่เข้าสิงใจ คิดว่าร่างกายของเราและร่างกายของเขา ร่างของวัตถุใดจะไม่สลายตัว อาศัยอานาปานสติทำลายความโง่ คือโมหจริตหรือวิตกจริตทั้งสองประการ แล้วขับไล่ความฟุ้งซ่านของจิต จิตจึงเป็นสมาธิได้เร็ว ปัญญาเกิดได้ง่าย เป็นอันว่าคำสั่งสอนอันใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้เพื่อพระนิพพาน ถ้าเราเจริญอานาปานสติกรรมฐานไว้เป็นปกติ จิตของเราก็จะมีความผ่องใส จะสามารถตัดสังโยชน์ คือเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ได้ภายในไม่ช้า
 
เอาละต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านทั้งหลายจงพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้อานาปานสติเป็นพื้นฐาน แล้วก็ใช้คำภาวนาและคำพิจารณาไปด้วย ตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 24 มิถุนายน 2558 16:17:15
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๑๖ สัมมาสมาธิ, พุทธานุสสติ

ต่อไปนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลาย จงพยายามรวบรวมกำลังใจให้เป็นสมาธิ คำว่าสมาธิ คือ รวบรวมกำลังใจให้อยู่ในจิตที่เป็นกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งเรียกว่าสัมมาสมาธิ สมาธิแบ่งออกเป็น ๒ ประการด้วยกันคือ สัมมาสมาธิอย่างหนึ่ง มิจฉาสมาธิอย่างหนึ่ง สมาธิถ้าพูดกันตามภาษาไทยก็เรียกว่าการตั้งใจไว้หรือว่าการทรงอารมณ์ไว้ ตั้งใจไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง คิดไว้อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ อย่างนี้เรียกว่าสมาธิ ถ้าหากว่าเราคิดในสิ่งที่ชั่วเป็นการประทุษร้ายตนเองและบุคคลอื่นให้ได้รับความลำบากอย่างนี้เรียกว่ามิจฉาสมาธิ คิดให้จิตของเรามีความสุขเป็นไปในทำนองคลองธรรมอย่างนี้ เรียกว่าสัมมาสมาธิ อารมณ์จะตั้งอยู่อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ถ้าทรงอยู่ในอารมณ์นั้นจะน้อยหรือใช้เวลาได้มาก็ตามหรือว่าน้อยก็ตามก็เรียกว่าสมาธิ
 
ในส่วนของสัมมาสมาธินี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแยกไว้ถึง ๔๐ ประการ เราก็ได้เคยพูดถึงอานาปานสติกรรมฐานมาแล้ว สำหรับวันนี้จะพูดถึงพุทธานุสสติกรรมฐานพอเป็นที่เข้าใจของท่านบรรดาพุทธบริษัทโดยย่อ
 
คำว่า พุทธานุสสติ หมายถึงว่าการนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ การที่คิดถึงคุณของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะเราก็พรรณนากันไม่จบ ใคร่ครวญกันไม่จบ ตามพระบาลีท่านมีอยู่ว่าถึงแม้ว่าจะปรากฎ มีพระพุทธเจ้าขึ้นมา ๒ องค์ นั่งถามกันตอบกันถึงความดีของพระพุทธเจ้าที่ทรงอุบัติขึ้นมาแล้วในโลก แม้แต่สิ้นเวลา ๑ กัปก็ไม่จบความดีของพระพุทธเจ้าได้ ฉะนั้นท่านโบราณาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้านี่หาประมาณมิได้ ในเมื่อคุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณไม่ได้ เราพิจารณาไม่จบ เราจะพิจารณาว่ายังไงกันดี โบราณาจารย์ที่ประพันธ์ไว้โดยตรงว่า อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา สัมพุทโธ เป็นต้น ซึ่งแปลเป็นใจความว่า เพราะเหตุนี้แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบรรลุแล้วโดยชอบ อรหัง เป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้เราก็พิจารณาไม่ไหวเหมือนกัน เป็นอันว่าจะกล่าวโดยย่อว่า คุณของพระพุทธเจ้าที่มีต่อเราก็คือว่า
 
๑. สัพพปาปัสสะ อกรณัง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้พวกเราระงับความชั่วทั้งหมด
 
๒. กุสลัสสูปสัมปทา พระองค์ทรงสงเคราะห์ให้พวกเราปฏิบัติเฉพาะในความดี
 
๓. สจิตตปริโยทปนัง พระองค์ทรงสั่งสอนให้ทำจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส
 
นี่ โดยย่อพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ สอนให้พวกเราปฏิบัติอยู่ในกฎทั้ง ๓ ประการที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ถ้าจะย่อลงไปอีกทีหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเราไม่ประมาท ตามปัจฉิมโอวาทที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถตรัสเป็นปัจฉิมวาจา วันใกล้จะปรินิพพาน ตรัสแก่พระอานนท์ว่า
 
อานันทะ ดูกรอานนท์ พระธรรมคำสั่งสอนที่เราสอนพวกเธอนั้น ย่อมรวมอยู่ในความไม่ประมาท แล้วองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ตรัสว่า อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม
 
นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เราไม่ประมาทในการที่จะละความชั่ว หมายความว่า จงอย่าคิดว่านี่เราไม่ชั่ว พระบาลีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์สอนไว้บอกว่า อัตตนาโจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง นี่ก็หมายถึงว่าพระองค์ไม่ให้เราประมาท จงมองดูความชั่ว มองดูความผิด มองดูความเสียหายของตนเองไว้เป็นปกติ ถ้าเรามองความชั่ว มองความเสียหายของตัวไว้แล้ว เราก็จะมีแต่ความดี เราอย่าเป็นคนเข้าข้างตัว เอาพระวินัยมากาง เอาธรรมะมากางเข้าไว้ ดูพระวินัยดูธรรมะว่าอะไรมันผิดบ้างแม้แต่นิดหนึ่งก็ต้องตำหนิ เหมือนกับผ้าขาวทั้งผืน มีจุดดำอยู่จุดหนึ่งก็ชื่อว่าทำผ้าขาวนั้นให้สิ้นราคา แม้จุดนั้นจะเป็นจุดเล็กเท่ากับปลายปากกาที่จิ้มลงไปก็ตามที เขาก็ถือว่ามีตำหนิ นี่เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราจะพิจารณาหาความดีของพระองค์ก็ต้องหากันตรงนี้ ว่าพระพุทธเจ้าต้องการให้เรามีจิตบริสุทธิ์ ถ้าจิตบริสุทธิ์แล้วไปไหน จิตเตปาริสุทเธ สุคติ ปาฎิกังขา พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ถ้าจิตบริสุทธิ์แล้วอย่างน้อยเราก็ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ คำว่าสุคตินี้ก็ยกยอดไปถึงสวรรค์ก็ได้ พรหมโลกก็ได้ นิพพานก็ได้ นี่เราก็มานั่งใคร่ครวญความดีของพระพุทธเจ้า นั่งนึกเอาว่าพระพุทธเจ้าจะทรงเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็อาศัย ตัดความรัก ตัดความโลภ ตัดความโกรธ ตัดความหลง
 
ตัดความรัก พระพุทธเจ้ามีพระชายาอยู่แล้ว มีพระราชโอรสคือพระราหุล พระราชโอรสคลอดในวันนั้น พระชายาก็ยังสาวอายุเพียง ๑๖ ปี แต่องค์สมเด็จพระชินสีห์เห็นว่าการครองเรือนเป็นทุกข์ จึงแสวงหาความสุขคือพระโพธิญาณด้วยการออกบวช ทรงตัดความรักความอาลัยเสียได้ ออกจากบ้านในเวลากลางคืน
 
ตัดความโลภ พระพุทธเจ้าทรงทราบอยู่แล้วว่าอีก ๗ วัน ตำแหน่งพระเจ้าจักรพรรดิราชจะเข้าถึงพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่อาลัยใยดีในความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชเพราะการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ต้องแก่ ต้องตาย ต้องเดือนร้อนเหมือนกัน นี่องค์สมเด็จพระภควันต์ แม้จะเป็นเจ้าโลก ก็วางทิ้งไปเสียไม่ต้องการ อันนี้เราต้องปฏิบัติตาม ใคร่ครวญตามว่ามันไม่ดี พระพุทธเจ้าจึงวาง ถ้าดีแล้วก็ไม่วาง อะไรที่พระพุทธเจ้าวางไว้และเป็นสิ่งเกินวิสัยที่เราจะครองได้เราจะมีได้ แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์มีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ววางเสียเราก็ต้องวางตาม เพราะของท่านมากกว่าเราสูงกว่าเราหนักกว่าเราดีกว่าเราที่จะพึงมีท่านยังวาง ถ้าเรามีดีไม่เท่าท่านทำไมเราจึงจะไม่วาง
 
ประการต่อมาองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงแสวงหาอภิเนษกรมณ์อยู่ในสำนักอาฬารดาบส กับอุทกดาบสรามบุตร ปฏิบัติในรูปฌานและอรูปฌานทั้งสองประการจนมีความคล่องแคล่วมีความชำนาญมาก อาจารย์ยกย่องให้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นครูสอนแทน แต่พระองค์ก็มาพิจารณาว่าเพียงแค่รูปฌาน และอรูปฌานทั้งสองประการนี้ไม่ใช่หนทางบรรลุมรรคผล สมเด็จพระทศพลจึงได้วางเสียแล้วออกจากสำนักของอาจารย์นั้นแสวงหาความดีต่อไป
 
ในด้านของสมาธินี่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงถึงที่สุดถึงสมาบัติ ๘ ก็ยังเห็นว่าไม่เป็นทางที่สุดของความทุกข์ แต่สมาธินี้ก็ทรงไว้ไม่ทิ้ง หาต่อไปให้เข้าถึงที่สุดของทุกข์คือความไม่เกิด ต่อมาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็พบธรรมะที่ประเสริฐที่เรียกกันว่า อริยสัจ คือทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ปฏิปทาเข้าถึงความดับทุกข์ แล้วก็ความดับทุกข์
 
ทุกข์ได้แก่อาการที่ทนได้ยาก ก็คือการเกิดขึ้นมาแล้วมันเต็มไปด้วยความทุกข์ นี่เราพูดกันมานานแล้ว
 
เหตุให้เกิดความทุกข์ก็คือตัณหา ความอยากเกินพอดี ความอยากนี่ต้องใช้คำว่าเกินพอดี ร่างกายมันหิวอาหาร ร่างกายมันอยากกินน้ำ ร่างกายมันปวดอุจจาระปัสสาวะจะต้องไปส้วม ร่างกายต้องการเครื่องนุ่งห่มตามปกติ ร่างกายต้องการบ้านเรือนตามปกติเป็นไปตามวิสัย อย่างนี้ไม่จัดว่าเป็นตัณหาตามที่พระพุทธเจ้าตรัส เพราะมันเป็นของพอดีพอใช้ที่เราจะพึงใช้พึงมีตามความจำเป็นของร่างกาย แต่ว่าความตะเกียกตะกายเกินพอดีไม่รู้จักพอ มีแค่นี้พอดิบพอดีแล้วยังตะกายมากเกินไปทำให้เกิดความลำบาก มีความอยากไม่รู้จักจบ อยากอย่างนี้เรียกว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
 
ทางดับตัณหาตัวนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกว่า มรรค มรรคนี่มี ๘ อย่าง โดยย่นย่อเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
 
ศีล คือการระงับกายวาจาให้เรียบร้อย ให้ดำรงอยู่ในความดีตามขอบเขตที่เราเรียกว่าพระวินัย
 
สมาธิ แปลว่ามีอารมณ์ตั้งมั่นอยู่ในความดี คือทรงศีล ทรงทานอยู่ จิตน้อมอยู่ในอารมณ์ทั้งสองประการอย่างนี้เป็นต้น
 
ปัญญา พิจารณาเห็นว่าธรรมะที่องค์สมเด็จพระทศพลคือจริยาที่พระองค์ทรงละ ความรัก ละความโลภ ละความปรารถนาความมักใหญ่ใฝ่สูง ละการเกิด นี้องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงปฏิบัติถูกแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้เป็นพระอรหันต์ นี่เราปฏิบัติพิจารณาตามประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดไปอีกนานมันก็ไม่จบ รวมความว่าวันหนึ่งเราก็นั่งใคร่ครวญถึงความดีของพระพุทธเจ้าตามหนังสือที่มีมา จับใจตรงไหนยึดตรงนั้นเป็นอารมณ์ อย่างนี้ก็ชื่อว่าเป็นพุทธานุสสติ การนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า ถ้าปฏิบัติตามนี้สำหรับพุทธานุสสติ และตามคิดแบบนี้จะทรงอารมณ์อยู่ได้แค่อุปจารสมาธิ นี่เป็นแบบหนึ่ง
 
และอีกแบบหนึ่งไม่ปฏิบัติอย่างนั้น ท่านสอนให้ภาวนาว่าพุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท เวลาหายใจออกนึกว่าโธ การหายใจกำหนดตามสบายๆ เป็นการควบกับอานาปานสติกรรมฐาน ทำอารมณ์ใจให้สบายจิตใจชื่นบานนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระพิชิตมารแล้วจับใจว่า พุทโธ พุทโธ ภาวนาไว้ แล้วขณะใดที่จิตผูกพันว่าพุทโธ หรือลมหายใจเข้าออก ขณะนั้นก็ชื่อว่าจิตของเราเป็นสมาธิ การภาวนาแบบนี้สมาธิจะมีอารมณ์สูงเข้าถึงฌานสมาบัติได้
 
การพิจารณาว่าพุทโธก็จะขอข้ามอารมณ์ต่างๆไป (ไว้พูดในตอนต่อไป) ถ้ากำลังใจของเราทรงมัน ถ้าจะมีนิมิตปรากฎขึ้นโดยเฉพาะ นิมิตตรงๆ ก็คือต้องเห็นเป็นพระพุทธรูป หรือว่าเห็นเป็นรูปของพระสงฆ์ แต่มีรัศมีกายผ่องใส อย่างนี้เขาเรียกว่านิมิตของพุทธานุสสติกรรมฐาน อย่างนี้จับเอาได้ ถ้านิมิตอย่างนี้ปรากฏมาเมื่อไร ในกาลต่อไปข้างหน้า ถ้าเราจะภาวนาว่าพุทโธ ก็ให้จิตน้อมนึกถึงภาพนั้นไว้เป็นปกติ อย่างนี้เรียกว่าเกิดอุคหนิมิต
 
ถ้านิมิตนั้นเปลี่ยนแปลง ทีแรกเราเห็นเป็นพระพุทธรูปดำบ้าง ขาวบ้าง เหลืองบ้าง แต่ไม่แจ่มใส ต่อไปถ้ามีสมาธิ สมาธิสูงขึ้นก็เห็นเป็นพระพุทธรูปใสขึ้น ใหญ่โตขึ้น เปลี่ยนแปลงมีความงดงามกว่า อย่างนี้เรียกว่าอุปจารสมาธิระดับสูง นี่จิตนึกถึงภาพนะ ภาพปรากฎชัดภายในใจ ไม่ใช่ไปนั่งหาภาพที่จะมาปรากฎใหม่ ต่อไปเมื่อจิตนึกถึงภาพขององค์สมเด็จพระจอมไตร เกิดมีรัศมีกาย มีอารมณ์ผ่องใสแทนที่จะเป็นสีเหลืองหรือสีเขียวสีดำสีแดงอะไรก็ตาม สีนั้นเปลี่ยนไปทีละน้อยจากเหลืองเข้มเป็นเหลืองอ่อนๆมีความใส ต่อไปก็เป็นแก้ว แก้วใสเป็นประกายพรึกเต็มดวง หรือคล้ายกับกระจกเงาที่สะท้อนแสงพระอาทิตย์ มีความชุ่มชื่นจะนึกให้ใหญ่ก็ได้ จะนึกให้เล็กก็ได้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นปฏิภาคนิมิต นั่นระดับฌาน ถ้าจิตจับอยู่แค่นี้จิตใจของเราชื่นบาน จิตจะทรงฌานไปด้วยอำนาจพุทธานุสสติกรรมฐาน จะมีอารมณ์เป็นสุขตลอดกาล แล้วเมื่อได้ภาพอย่างนี้จงอย่าคลายภาพนี้ทิ้งไป ให้ดำรงภาพนี้เข้าไว้ ขณะใดจิตยังนึกเห็น ไม่ใช่เห็นเฉยๆ นึกเห็น เห็นภาพอยู่ตราบใด ขณะนั้นเรียกว่าจิตทรงสมาธิ จิตของท่านจะมีแต่ความสุข
 
ถ้าหากว่าทำจิตได้ถึงระดับนี้แล้ว ปรากฎว่าปัญญาก็จะเกิด คำว่าอริยสัจก็จะปรากฎขึ้นแก่ใจของบรรดาท่านทั้งหลาย ความรู้เท่าของคำว่า การเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์อย่างนี้มันจะเกิดขึ้นแก่ใจเอง ความเบื่อหน่ายในการเกิดก็จะปรากฎ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเราไว้บอกว่า นี่เป็นอธรรมเป็นความไม่ดี จิตใจของเราจะเห็นน้อมไปตามกระแสพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ด้วยอำนาจของปัญญาอย่างแจ่มใส ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาบอกควรประพฤติปฏิบัติควรทำให้เกิดมีขึ้น เพราะธรรมนั้นจะสร้างความชุ่มชื่นคือความสุขให้เกิดขึ้นกับใจ ใจคือปัญญาของเราก็จะเห็นธรรมนั้นได้แบบผ่องใสไม่เคลือบแคลง เกิดเป็นคุณประโยชน์ การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานพระอัตถกถาจารย์ กล่าวว่าเป็นกรรมฐานที่สามารถสร้างความดีให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ง่าย
 
สำหรับพุทธานุสสติกรรมฐานโดยย่อก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาว่าพุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท เวลาหายใจออกนึกว่าโธ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 01 กรกฎาคม 2558 16:20:59
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๑๗ พุทธานุสสติถึงสมาบัติ

วันนี้จะได้พูดถึงพุทธานุสสติกรรมฐานต่อ เมื่อวานนี้ได้มาพูดถึงการเจริญกรรมฐานด้านพุทธานุสสติกรรมฐาน จากระบบปฏิบัติตามแบบที่พิจารณาพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือใคร่ครวญตามความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงสั่งสอนตามแบบนี้ที่ในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวว่า การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานย่อมมีกำลังแค่อุปจารสมาธิ แต่สำหรับพระอาจารย์ผู้สอนที่มีความฉลาด ท่านสอนต่อๆกันมา คือสามารถดัดแปลงเอาพุทธานุสสติกรรมฐานให้เป็นฌานสามบัติจนกระทั่งเข้าถึงฌาน ๔ ได้ วันนี้ก็จะได้อธิบายการเจริญพระกรรมฐานในด้านพุทธานุสสติกรรมฐานจากอารมณ์อุปจารสมาธิมาเป็นฌาน ๔ การเจริญพระกรรมฐานถ้ามีความเข้าใจ กรรมฐานทุกองค์ก็ทำเป็นฌาน ๔ ได้เหมือนกันหมด แล้วก็ต่อไปเป็นสมาบัติ ๘ ก็ได้
 
การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานให้เป็นฌาน ท่านก็ใช้คำภาวนาเป็นพื้นฐาน คือใคร่ครวญตามความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตามแบบที่กล่าวมาแล้ว ถ้าต้องการให้เป็นฌานอย่างยิ่ง ก็งดการพิจารณานั้นเสีย จิตน้อมยอมรับนับถือเนื้อถือหนัง ถือรูปร่างของท่านเป็นสำคัญ เนื้อหนังรูปร่างของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามิได้ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะความเป็นพระพุทธเจ้ามาจากการบรรลุธรรมะพิเศษ ไม่ใช่ว่าเกิดมาเป็นคนแล้วก็เป็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้น พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ในตอนที่จะเข้าสู่การดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ว่า
 
อานันทะ ดูกรอานนท์ เมื่อเรานิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่เราสอนเธอทั้งหมดนี่จะเป็นศาสดาสอนเธอ ศาสดานี่แปลว่าครู นี่เราจะเห็นได้ว่าความเป็นพระพุทธเจ้าก็คือพระธรรมคำสั่งสอนนั่นเอง
 
เรามาเปลี่ยนแปลงจากการพิจารณาความดี เอาจิตเข้ามาจับความดีจุดเล็ก คือแทนที่จะเป็นการใคร่ครวญ กลับมาภาวนา นึกว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ เราจะผูกใจของเราให้จับอยู่เฉพาะความดีของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ท่านจึงสอนให้ใช้คำภาวนาแทนที่จะพิจารณา แต่ว่าเราก็ไม่ทิ้งคำพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า ให้จิตเข้าถึงความดีของพระองค์ เป็นการสร้างธรรมปีติ ความมั่นใจในความดีก่อน
 
เมื่อเราพิจารณาความดีใคร่ครวญความดีของพระองค์แล้ว เมื่อใจสบายก็จับอารมณ์เป็นสมาธิพิเศษ คือใช้อานาปานสติกับพุทธานุสสติควบกันไป โดยใช้คำภาวนาว่า พุทโธ นี่ง่ายดี ความจริงการภาวนาในด้านพุทธานุสสติกรรมฐานนี่ว่าได้หลายอย่าง อิติปิ โส เบื้องต้นทั้งหมดทั้ง ๙ ข้อ เราว่าได้ทุกข้อ จะว่าข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม ก็ชื่อว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐานทั้งนั้น แต่ว่าการที่ท่านตัดเอาใช้คำว่าพุทโธ เพราะเป็นการสะดวกแก่บุคคลผู้ฝึกจิตในตอนแรก
 
ในตอนต้นให้พิจารณาลมหายใจเข้าออกพร้อมคำภาวนา เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ อันดับแรกจับเอาแค่จมูกก่อน หายใจเข้าก็นึกว่า พุท หายใจออกก็ โธ แค่นี้ให้จิตสบาย พอจิตมีความสบาย มีกำลังเป็นสมาธิสูงขึ้น จิตจะรู้ลมกระทบสัมผัสภายใน หายใจเข้าลมจะกระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบศูนย์เหนือสะดือ หายใจออกกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบริมฝีปากหรือจมูก
 
ถ้าปรากฏว่าลมกระทบ ๓ ฐานมีความรู้สึกแบบสบาย หรือมีจิตละเอียดไปยิ่งกว่านั้น รู้สึกลมไหลลงไปตั้งแต่ต้นยันท้อง ไหลจากท้องมายันจมูก ออกทางจมูกอย่างนี้ก็ยิ่งดีใหญ่ ที่จะมีความรู้สึกอย่างนี้ต้องปล่อยลมหายใจเข้าออกตามธรรมดา อย่าหายใจแรงๆยาวๆหรือบังคับให้หนักๆ อันนี้ไม่ได้ ต้องปล่อยลมหายใจไปตามกฎธรรมดา ที่เราจะรู้ได้ก็โดยอาศัยสติสัมปชัญญะของเรามันดีหรือมันเลวเท่านั้น ถ้าสติสัมปชัญญะของเราดี จิตเป็นสมาธิมากก็รับสัมผัสได้สามฐาน ถ้ามีอารมณ์ละเอียดไปกว่านั้นก็รู้ลมไหลเหมือนกับน้ำไหลเข้าน้ำไหลออก
 
ถ้ารู้ลมได้ ๓ ฐานก็ดี หรือรู้ลมไหลออกไหลเข้าตลอดเวลา อย่างนี้ชื่อว่าจิตเป็นฌาน เรียกว่าปฐมฌาน พร้อมกันก็ทรงคำภาวนาไว้ด้วย
 
ถ้าภาวนาไปภาวนาไป รู้สึกว่าลมหายใจเบาลง เบาน้อยลง จิตใจมีความชุ่มชื่น คำภาวนาหายไปหยุดภาวนาไปเฉยๆ แต่มีใจสบาย ลมหายใจอ่อนลง มีความชุ่มชื่นมากกว่า จิตทรงมากกว่า อย่างนี้เป็นฌานที่ ๒
 
ถ้าต่อไปความชุ่มชื่นหายไป มีแต่อาการเครียด จิตใจสบาย ลมหายใจเบาลง ได้ยินเสียงภายนอกน้อยลงไป เบาลงไปมาก จิตใจทรงตัวดิ่ง มีอาการไม่อยากเคลื่อน มีร่างกายคล้ายกับมีอาการทรงตัวเหมือนหลักปักแน่นๆ หรือว่าใครเขามัดตัวตรึงไว้เฉยๆไม่อยากเคลื่อน ใจสบาย แนบนิ่ง นิ่งสนิท จิตไม่อยากจะขยับเขยื้อนไปไหน อันนี้เรียกว่าฌานที่ ๓ นี่คำภาวนาไม่มีเหมือนกัน คำภาวนานั้นมีแค่ตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรือปฐมฌานเท่านั้น
 
ต่อไปเริ่มต้นเราจับคำภาวนา แล้วก็ต่อมาปรากฎว่าจิตมีอารมณ์สว่างสดใส มีจิตใจชุ่มชื่น มีอารมณ์ทรงตัวเป็นปกติไม่เคลื่อนไหวไปไหน ทรงตัวแบบสบาย มีความโพลงอยู่ในใจ เป็นความสว่างมาก แต่ว่าไม่ปรากฏลมหายใจ หูไม่ได้ยินเสียงภายนอก แม้จะเอาปืนใหญ่หรือพลุมาจุดใกล้ๆก็ไม่ได้ยิน อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ ๔
 
ถ้าจะถามตอบกันตามแบบฉบับของการเจริญสมาธิ ไอ้เรื่องยุงกินริ้นกัดนี่ มันไม่กวนใจเราตั้งแต่อุปจารสมาธิ พอจิตผ่านปีติเข้าถึงสุข มันจะมีความสุขเยือกเย็น มีความสบาย ไอ้เรื่องเสียงที่เราได้ยินก็เหมือนกัน มันก็ไม่กวนใจ ใจเราก็มีความสบาย ร่างกายก็ไม่ปวดไม่เมื่อย ไม่มีอะไรทั้งหมด มันสุขจริงๆ มีแต่ความชุ่มชื่น ยุงกินริ้นกัดหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้กัน ไม่รู้ว่ายุงมันกินหรือเปล่า แต่ว่าส่วนมากยุงไม่กวน แต่บางท่านก็กวนเหมือนกัน บางทีนั่งพอเลิกแล้วเป็นตุ่มหมดทั้งตัวปรากฏว่ายุงกัด แต่เวลาขณะปฏิบัติทรงจิตเป็นสมาธิไม่รู้สึกว่ายุงกัด นี่ความจริงเรื่องการสัมผัสกับอาการภายนอก แต่จิตไม่ยอมรับสัมผัสจากประสาทเริ่มมีตั้งแต่ตอนสุข เพราะคำว่าสุขนี่มันต้องไม่มีคำว่าทุกข์ มันสุขจริงๆหาตัวทุกข์ไม่ได้ ถ้าเมื่อยมันก็ไม่สุข ถ้ารู้ว่ายุงมากวนที่หูมันก็ไม่สุข ถ้ารู้ว่ายุงกินแล้วคันหรือเจ็บมันก็ไม่สุข มันเป็นทุกข์ นี่คำว่าสุขตัวนี้ก็ตัดอาการเหล่านี้ไปทั้งหมด
 
ความจริงเรื่องเสียงก็ดี ที่เราจะรำคาญภายนอก หรือยุงกินริ้นกัดก็ดี มันตัดกันแค่สุขยังไม่ถึงปฐมฌาน แต่ว่าอาการของความสุขและปฐมฌานนี่มันใกล้เคียงกันมาก เขาบอกว่าห่างกันแค่เส้นผมผ่า ๘ เท่านั้น ขอบรรดาทุกท่านจำไว้ด้วย ถ้าว่าใครเขาถามละก็ตอบเขาแบบนี้ ถามว่ายุงกินไหม บอกบางองค์กินบางองค์ก็ไม่กิน ถามว่าทำไมยุงกินหรือไม่กิน กัดหรือไม่กัดไม่เหมือนกัน บางองค์ก็ถูกกวนบางองค์ก็ไม่ถูกกวน ก็ต้องตอบว่า ถ้าองค์ใดหรือท่านใดมีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน มีจิตทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ท่านผู้นั้นยุงไม่กินริ้นไม่กัด ถ้าบกพร่องในพรหมวิหาร ๔ มันกัดแน่ มันกินแน่ นี่ตอบเขาอย่างนี้ แล้วก็ตอบตัวของเราเองเสียด้วย
 
นี่เป็นอาการของฌาน ๔ ปกติ เมื่อถึงฌาน ๔ แล้วก็ต้องพยายามทรงฌานทรงสมาธิจะเป็นอันดับไหนก็ตาม ให้มันมีความคล่องตัวที่เรียกว่า วสี จะเป็นฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ อะไรก็ตาม ให้มันคล่องจริงๆ นึกขึ้นมาเมื่อไรจิตเป็นสมาธิทันที เดินไปเดินมาเหนื่อยๆ นั่งปั๊บจิตจับปุ๊บเป็นสมาธิทันที นี่ต้องหัดให้คล่องอย่างนี้ จึงชื่อว่าเป็นผู้ได้ฌาน ไม่ใช่สักแต่ว่าทำกันส่งเดชไป อารมณ์มันจะใช้อะไรไม่ได้ ถ้าทำกันส่งเดชได้บ้างไม่ได้บ้าง เขาไม่ถือว่าได้ แต่ก็ยังดีตายเป็นเทวดาได้แต่เป็นพรหมไม่ได้ ถ้าจิตเราสามารถจะทรงฌานได้ทุกขณะจิตละก็เป็นพรหมได้แน่นอนเพราะเวลาที่ป่วยไข้ไม่สบายเกิดทุกขเวทนามาก เราก็เอาจิตจับเข้าฌานทันที ทุกขเวทนามันก็คลายตัว ดีไม่ดีไม่รู้สึกตัวเพราะจิตและประสาทมันไม่ยอมรับรู้ซึ่งกันและกัน มันแยกจากกันเด็ดขาด
 
หากว่าเราจะทรงฌานด้านพุทธานุสสติกรรมฐานเข้าถึงฌานที่ ๘ เราจะทำอย่างไร
 
แบบท่านบอกไว้ว่า พุทธานุสสติกรรมฐานและอนุสสติทั้งหมด เว้นไว้แต่อานาปานสติ จะเข้าถึงอุปจารสมาธิเท่านั้น ท่านว่าไว้อย่างนั้น เราก็ดัดแปลงให้เข้าถึงฌาน ๘ เสียให้หมดมันจะเป็นยังไงไป ทำเป็นเสียอย่างเดียวมันก็ทำได้ เข้าใจแล้วก็ทำได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้จำกัด ถ้าเราจะทรงฌาน ๘ ทำยังไง
 
แทนที่เราจะภาวนาเฉยๆ เราก็จับภาพพระพุทธรูป กำหนดภาพไว้ ลืมตาดูภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ที่เราต้องการ เรามีความเลื่อมใสพอใจอยู่ เวลาจับลมหายใจเข้าออกภาวนาว่าพุทโธ ก็นึกเห็นภาพขององค์สมเด็จพระบรมครูจะเป็นพระพุทธรูปก็ได้ให้ปรากฏอยู่ในใจ ไม่ใช่ไปนั่งคอยให้ภาพลอยมาแบบนี้ใช้ไม่ได้ ภาวนาไปแล้วก็นึกถึงภาพไปด้วย จะนึกอยู่ในอกให้เห็นอยู่ในอกหรือเห็นภายนอกก็ได้ไม่จำกัด
 
ถ้านึกถึงภาพนั้นตามภาพเดิม อย่างนี้เรียกว่าอุคหสมาธิหรืออุคหนิมิต
 
ถ้าภาพเดิมนั้นขยายไปเปลี่ยนแปลงไปชักใหญ่ขึ้น จะสูงขึ้นจะเล็กลง แล้วก็มีสีสันวรรณะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยๆ จากสีเดิมกลายเป็นสีจางไปนิดหน่อย จางลงไปจางลงไป แต่เรารู้สึกอารมณ์จิตนึกเห็นชัด นึกเห็นนะ ไม่ใช่ภาพลอยมา อารมณ์จิตนึกเห็นชัดจนกระทั่งปรากฏเป็นแก้วใส อย่างนี้ก็ชื่อว่าเป็นอุปจารสมาธิตอนกลาง
 
ตอนนี้แก้วใสที่กลายเป็นแก้วประกายพรึก แพรวพราวไปหมดทั้งองค์ จิตใจสามารถจะบังคับให้ภาพนั้นเล็กก็ได้ จะให้ใหญ่ก็ได้สูงก็ได้ต่ำก็ได้ ตั้งอยู่ข้างหน้าก็ได้ข้างหลังก็ได้ตามใจนึก นึกอย่างไร ภาพนั้นปรากฏไปตามนั้น มีความใสสะอาดสุกใสเป็นกรณีพิเศษ อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ท่านกล่าวว่าเป็นปฐมฌาน
 
การจับภาพนี่จับให้สนิท ให้คิดอยู่เมื่อไรได้เมื่อนั้น เดินไปบิณฑบาต เดินไปธุระ นั่งอยู่ นึกเห็นเมื่อไรเห็นได้เมื่อนั้นทันที นี่อย่างนี้เป็นกสิณด้วย เป็นพุทธานุสสติกรรมฐานด้วย
 
ถ้าการเห็นภาพแบบนั้นปรากฏว่าคำภาวนาว่าพุทโธหายไป ภาพใสขึ้นผิดกว่าเดิม อันนี้เป็นฌานที่ ๒ แต่มีจิตชุ่มชื่น อาการของจิตมันเหมือนกัน
 
ภาพใสสะอาดขึ้น มีการทรงตัวมากขึ้น มีความแจ่มใสมากขึ้น ความชุ่มชื่นหายไป มีอาการเครียด จิตทรงตัวแนบนิ่งสนิท แล้วก็ลมหายใจน้อย ได้ยินเสียงภายนอกเบา อันนี้เป็นฌานที่ ๓
 
การเห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมากเป็นกรณีพิเศษ สว่างไสวคล้ายกับพระอาทิตย์ทรงกลด หรือว่าคล้ายกับกระจกเงาที่สะท้อนแสงแดดดวงใหญ่ ใจไม่ยุ่งกับอารมณ์อย่างอื่น เป็นอุเบกขารมณ์ทรงสบาย เห็นแนบนิ่งสนิท จะนั่งนานเท่าไรก็เห็นได้ตามความปรารถนา หูไม่ได้ยินเสียงภายนอก ไม่ปรากฏลมหายใจ อย่างนี้เป็นฌานที่ ๔ ก็ยังเป็นรูปฌานอยู่
 
ทีนี้ถ้าหากว่าเราจะทำเป็นอรูปฌาน จะทำอย่างไร เราจะทำถึงฌาน ๘ กันนี่ นี่เป็นวิธีแนะนำปฏิบัติตามผลแห่งการปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่เกาะตำราเสียจนแจ แล้วไปไหนไม่พ้น เขาทำแบบนี้
 
จับภาพพระพุทธเจ้าองค์นั้นแหละ ที่เป็นประกายพรึกอยู่ เพ่งจับจุดให้จิตจับดีเมื่อจิตทรงอารมณ์ดีแล้วก็เพิกภาพนั้นให้หายไป คำว่าเพิกเป็นภาษาโบราณ คือนึกว่าขอภาพนี้จงหายไป จับอากาสานัญจายตนะแทน คือพิจารณาอากาศว่า อากาศนี้หาที่สุดมิได้ มันเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีจุดจบ จับอากาศเป็นอารมณ์อย่างนี้ เรียกว่าอากาสานัญจายตนะ จิตทรงอยู่ในด้านของฌาน ๔ จับอากาศ ความหวั่น การเคลื่อนไหวของอากาศว่า ว่างมากโลกนี้หาอะไรเป็นที่สุดมิได้ หานิมิตเครื่องหมายอะไรไม่ได้เลย หาจุดจบไม่ได้ จนกระทั่งจิตทรงอารมณ์ทรงตัวดีแล้ว อย่างนี้จัดเป็นอรูปฌานที่ ๑ ถ้าจะเรียกกันว่าฌาน ก็เป็นที่ ๕ สมาบัติที่ ๕
 
เมื่อจับอารมณ์ของอากาศได้แบบสบายๆ ใจสบาย นึกขึ้นมาว่าอากาศมันเวิ้งว้าง ทุกอย่างมันว่างเปล่าเป็นอากาศไปหมด โลกทั้งโลกไม่มีอะไรทรงตัว คนเกิดมาแล้วก็ตาย สัตว์เกิดมาแล้วก็ตาย ภูเขาไม่ช้ามันก็พัง บ้านเรือนโรงก็พัง ผลที่สุดมันก็ว่างไปหมด อย่างนี้เรียกว่าจิตเข้าถึงอากาศได้เป็นอย่างดี เป็นอากาสานัญจายตนะ
 
ทีนี้ก็มาเป็นวิญญานัญจายตนะ นึกถึงวิญญาณ คือจิต สภาวะของจิต ที่มีอารมณ์คิดเป็นปกติ มันก็ไม่มีอาการทรงตัว มันหาที่สุดไม่ได้ มันไม่มีอะไรทรงอยู่เฉพาะแน่นอน เดี๋ยวมันก็คิดอย่างนั้น เดี๋ยวมันก็คิดอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็คิดอย่างโน้น ขึ้นชื่อว่าเอาจิตมีอารมณ์เกาะว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นเรา นี่มันไม่ใช่มีอะไรจริง ความจริงจิตมีสภาพไม่นิ่ง จิตมีสภาพไม่แน่นอน เดี๋ยวมันก็ชอบอย่างนั้น เดี๋ยวมันก็ชอบอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็ต้องการอย่างโน้น จึงถือว่าอารมณ์ของจิตนี่หาที่สุดมิได้ นี่เราไม่มีความต้องการอารมณ์อย่างนี้ จนกระทั่งอารมณ์จิตของเรานี้มีความแนบแน่นสนิท ไม่มีความผูกพันอะไร ในด้านร่างกายก็ดี ในวัตถุก็ดี ไม่เอา แล้วก็ไม่สนใจ ต้องการอย่างเดียวอากาศ คือความว่างเปล่าปราศจากแม้แต่จิต ถ้าถือว่าขณะใดยังมีขันธ์ ๕ ยังมีภาพอยู่ ยังมีจิตเป็นเครื่องเกาะ มันมีความทุกข์อย่างนี้ ถ้าจิตมันทรงตัวทรงอยู่ได้ตลอดเวลา นึกขึ้นมาเมื่อไร อารมณ์ว่างไม่เกาะอะไรทั้งหมด มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน สภาวะทั้งหลายในโลกไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเลย มันไม่มีอะไรทรงตัว มีอารมณ์ว่างหาที่สุดมิได้ ถ้าเราเกาะโลกอยู่เพียงใด ก็ชื่อว่าเราเป็นผู้มีทุกข์
 
นี่ อาการอย่างนี้คล้ายคลึงวิปัสสนาญาณมาก อย่างนี้เรียกว่าได้วิญญานัญจายตนะฌาน นี่เป็นอารมณ์ เราพูดกันถึงอารมณ์ ถ้าไปอ่านตามแบบบางทีจะค้านกัน เมื่อเราได้วิญญานัญจายตนะฌานแล้ว ก็ชื่อว่าได้สมาบัติที่ ๖ อย่าลืมนะว่า เราต้องจับภาพพระพุทธรูปเป็นกสิณก่อน ต่อมาเราก็เพิกให้หายไป ถือเอากสิณนำให้จิตมันจับเป็นอารมณ์ทรงตัวก่อนนั่นเอง เพราะกสิณเป็นของหยาบ ภาพพระพุทธรูปเป็นของหยาบ จับให้ทรงตัวแล้วจงนึกว่าขอภาพนี้จงหายไป
 
นี้ก็มาพิจารณาฌานที่ ๗ สมาบัติที่ ๗ คือ อากิญจัญญายตนะฌาน พิจารณาว่าโลกนี้มันไม่มีอะไรเหลือเลยนี่ มันพังหมดมันสลายตัวหมด ตึกรามบ้านช่อง เขาสร้างขึ้นมาอย่างดีๆก็พัง บ้านเมืองเก่าๆ เขาสร้างแข็งแรงก็พัง กำแพงเมืองใหญ่อย่างกำแพงเมืองจีน กำแพงเมืองไทย กำแพงเมืองฝรั่ง เขาสร้างแข็งแรงมากที่สุด มันก็พัง ภูเขามันก็มีอาการผุ เขาเอาดินมาทำลูกรังมันก็ผุจมหายไปหมด คนก็ดี สัตว์ก็ดี ต้นไม้ก็ดี เรือนโรงก็ดี นี่เมื่อถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไรเหลือ อากิญจัญญายตนะ นี่เขาแปลว่าหาอะไรเหลือไม่ได้ จิตใจว่างจากอารมณ์ เลยไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด อะไรเล่าที่เป็นสาระสำหรับเราไม่มี แม้แต่ร่างกายของเรานี้ไม่ช้ามันก็พัง การทรงร่างกายอยู่อย่างนี้มันเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการมีร่างกายอีก ถ้าอารมณ์อย่างนี้มันทรงตัวได้ดีแล้ว ก็ชื่อว่าเราได้อากิญจัญญายตนะฌาน เป็นสมาบัติที่ ๗
 
นี้มาสมาบัติที่ ๘ จับภาพพระพุทธรูปเป็นอารมณ์ทรงอารมณ์แจ่มใสให้ใจสบายเป็นอุเบกขารมณ์ อรูปฌานนี่ก็ทรงฌาน ๔ นั่นเอง แต่มาจับเป็นส่วนอรูป อารมณ์มันเท่ากัน มาจับเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เรามีสัญญาความรู้สึก ทำตนเหมือนคนไม่มีสัญญา เพราะเห็นว่าร่างกายไม่มีสาระ ร่างกายไม่มีแก่นสาร ร่างกายเป็นปัจจัยของความทุกข์ วัตถุทั้งหมดไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ไม่มีอะไรเป็นที่อาศัยจริงจัง ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ทีนี้เวลาร่างกายมันจะหิว มันมีอาหารกินก็กิน ไม่มีกินก็ทำสบาย รู้สึกว่าหิวแล้วทำเหมือนว่าไม่หิว มันหนาวมันไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องปกปิดก็นอนมันเฉยๆ มันหนาวก็หนาวไป ทำเหมือนว่าเป็นคนไม่หนาว ร้อนก็เฉยๆ ทำเหมือนว่าเป็นคนไม่ร้อน ใครเขาด่าว่าอะไรก็ทำเหมือนว่าไม่มีคน ไม่สนใจกับอะไรทั้งหมด มีสัญญาก็เหมือนกับคนที่ไม่มีสัญญา คือความจำมันมีอยู่แต่ทำเหมือนกะคนที่ไม่มีความจำ ทำแบบนี้แล้วจิตมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ จิตมันเป็นสุขถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา หนาวก็หนาวไป ช่างหัวมันไม่สนใจ ร้อนก้อนไป มันอยากหิว หิวก็หิวไป ไม่มีจะกินก็แล้วไป มีกินก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน มันอยากจะแก่ก็แก่ไป มันอยากจะป่วยก็ป่วยไป มันจะตายเมื่อไรก็ช่างหัวมัน ขันธ์ ๕ ไม่ดีไม่มีประโยชน์ เพราะเรามีขันธ์ ๕ คือ ร่างกาย เราจึงมีร้อน มีหนาว มีสุข มีทุกข์ มีหิว มีกระหาย มีปวดอุจจาระปัสสาวะ ขันธ์ ๕ มันไม่ดี เราไม่ตั้งใจจะคบเลย ไม่ต้องการจำอะไรมันทั้งหมด ไม่สนใจอะไรกับมันเลยทั้งหมด อย่างนี้เรียกว่าเป็นสมาบัติที่ ๘ นี่อาการมันใกล้วิปัสสนาญาณเต็มที ฉะนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงกล่าวว่า คนที่ได้สมาบัติ ๘ แล้ว ถ้าเจริญวิปัสสนาญาณพระโบราณาจารย์สมัยโบราณท่านบอกว่าเพียงแค่เคี้ยวหมากแหลกเดียวก็เป็นพระอรหันต์
 
หากว่าเราได้สมาบัติ ๘ แบบนี้แล้ว ใช้สมาบัติ ๘ เป็นพื้นฐาน พิจารณาวิปัสสนาญาณในด้านสังโยชน์ ๑๐ คือ มีสักกายทิฏฐิ เป็นต้น หรือว่าพิจารณาอริยสัจ ๔ วิปัสสนาญาณ ๙ หรือพิจารณาขันธ์ ๕ ก็ตาม ประเดี๋ยวเดียวมันก็เป็นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคา พอเข้าถึงพระอนาคามี เราก็ได้ปฏิสัมภิทาญาณ มีกำลังครอบงำวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ทั้งหมดเราได้ไปหมดเลย ไม่ต้องไปฝึกกันเหมือนสมัยเป็นฌานโลกีย์ อะไรก็ตามที่พระวิชชา๓ ทำได้เราก็ทำได้ พระอภิญญา ๖ ทำได้เราก็ทำได้ การรู้ภาษาคน ภาษาสัตว์ ไม่ต้องเรียนรู้หมด เข้าใจหมดทุกอย่าง มีความฉลาดในการย่อข้อความที่เยิ่นเย้อ ข้อความที่ยาวเราย่อให้สั้นแบบได้ความ เขาพูดมาสั้นๆ เราขายออกไปให้ยาวให้ได้ความชัด เราทำได้อย่างดี อย่างนี้เรียกว่าปฏิสัมภิทาญาณ
 
เอาละบรรดาทุกท่านวันนี้เราพูดถึงพุทธานุสสติกรรมฐานถึงจุดนี้ สมาบัติ ๘ ซึ่งท่านทั้งหลายไม่เคยฟังมาก่อน แต่ว่าผมทำมาก่อน ผมทำได้ ที่พูดให้ฟังนี่ผมทำได้ แต่ว่าทำตามอาจารย์สอนไม่ใช่ผมสร้างขึ้นเอง ความจริงความรู้นี้องค์สมเด็จพระบรมครูก็ทรงแนะนำไว้ แต่ว่าไม่มีใครนำมาสอนกัน ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเลยนะ มีใครมาสอนกันผมก็ไม่รู้ ที่ผมรู้ขึ้นมาได้ก็เพราะอาจารย์รุ่นก่อนท่านมีความฉลาด สามารถดัดแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ไม่ใช่ดัดแปลงหรอก เอามารวมกัน เอาอนุสสติ คือพุทธานุสสติ อานาปานสติ กสิณเข้ามารวมกันเข้าหมดเป็นจุดเดียวกันเมื่อได้เข้าถึงฌานที่ ๔แล้ว ก็จับเอาภาพพระพุทธรูปเป็นกสิณยืนโรงแล้วก็เพิก จับอรูปฌาน นี่ความฉลาดของการเจริญพระกรรมฐานมีคุณแบบนี้
 
เอาละสำหรับวันนี้การพูดสำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา



หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 01 กรกฎาคม 2558 16:22:47
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKnPRp5_-gpWZ3-xDbD08rJqYqLvMOGEI6g0M1Ud34EadWv7qEhw)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๑๘ ศีลานุสสติโดยพิสดาร

ต่อแต่นี้ไปบรรดาท่านทั้งหลายได้สมาทานศีลและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ก็ตั้งใจเจริญสมาธิจิตและวิปัสสนาญาณ การเจริญสมาธิจิตวันนี้ก็จะขอพูดต้นยันปลาย และเป็นการพูดแต่เพียงโดยย่อ การเจริญสมาธิจิตนี่ตามแบบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่แบ่งออกเป็นสองสายด้วยกัน คือตามแบบของกรรมฐาน ๔๐ นี่สายหนึ่ง และตามหลักสูตรของมหาสติปัฏฐานอีกสายหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นการเจริญพระกรรมฐานเพื่อสุกขวิปัสสโกแต่อย่างเดียว สำหรับในกรรมฐาน ๔๐ เป็นสูตรสำหรับเจริญพระกรรมฐานรวมทั้งสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ และปฏิสัมภิทัปปัตโต การปฏิบัติก็ขอให้บรรดาพุทธบริษัทเลือกปฏิบัติกันตามอัธยาศัย การที่จะปฏิบัติแบบไหนก็ตาม ก็ขึ้นกับอารมณ์จิตอย่างเดียว
 
อันดับแรก ให้มีสัจธรรมประจำใจเข้าไว้ สัจจะแปลว่าความจริงใจ ทรงความจริงเข้าไว้ว่า เราตั้งใจจะทรงสมาธิจิต ขอให้จิตมันทรงอยู่ในขั้นของสมาธิ คำว่าสมาธินี่ไม่ใช่แปลว่านอนหลับ หมายถึงว่าจิตทรงอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งไว้โดยเฉพาะ เช่นเราจะทรงอานาปานสติกรรมฐาน คือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ก็ให้จิตจับอยู่เฉพาะลมหายใจเข้าออก ไม่ปล่อยให้จิตซ่านไปสู่อารมณ์อื่น หรือว่าเราจะเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานในด้านอนุสสติ ๑๐ ก็ดี อสุภ ๑๐ ก็ดี กสิณ ๑๐ ก็ดี อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน ๔ หรือพรหมวิหาร ๔ ก็ตาม อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ให้จิตจับเฉพาะอยู่อย่างนั้นโดยเฉพาะ อารมณ์ที่ทรงอยู่ตามที่เราปรารถนานั่นเรียกกันว่าจิตเป็นสมาธิ
 
นี่ การที่เราจะได้ดีหรือไม่ได้ดี มันก็อยู่ที่ความจริงใจของเราเท่านั้น การเจริญพระกรรมฐาน ที่บอกว่าทำแล้วไม่ได้ดีก็เพราะคนเราหาความจริงไม่ได้นั่นเอง ไม่ใช่มีอะไรยากลำบากอะไรที่ไหน เป็นของธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงหาอะไรมาสอนเรา นอกจากนำกฎธรรมดาที่เรามีอยู่ให้เรามาใช้มาปฏิบัติให้ถูกทางเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิจิตเราก็ใช้กันอยู่เป็นปกติ เช่นเรารู้อยู่ว่าเวลานี้เรานั่งอยู่ เราคุยกันอยู่ด้วยเรื่องอะไร เราคุยตามเรื่องตามนั้น ได้เป็นไปตามปกติไม่ผิดพลาด เราทำกิจการงานอะไรอยู่เราก็ทำกิจการอย่างนั้นโดยไม่ผิดพลาด อย่างนี้ชื่อว่าจิตเป็นสมาธิ เราอ่านหนังสืออยู่เราก็รู้ว่าอ่านหนังสือ เราทำงานอย่างใดอยู่เราก็รู้ว่าทำงานอย่างนั้น รวมความว่าสมาธิจิตของเรามันมี
 
แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เห็นว่า สมาธิแบบนั้นเป็นโลกียสมาธิ ไม่เป็นทางหมดทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการให้เรามีความสุข จึงให้ใช้สมาธิในด้านกุศลจิตคิดหากุศลเข้าใส่ไว้เป็นประจำ ให้จิตมันจำไว้เฉพาะด้านกุศลอย่างเดียว ถ้าจิตจำไว้ได้เฉพาะกุศลอย่างเดียวจนเป็นเอกัคตารมณ์ อย่างน้อยที่สุดถ้าเราตายจากความเป็นมนุษย์ก็เป็นเทวดาหรือว่าเป็นพรหม
 
เมื่อจิตทรงสมาธิได้ดีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็สอนวิปัสสนาญาณมีอริยสัจ เป็นต้น ให้พิจารณาเห็นทุกข์ที่มันเกิดขึ้นแก่ร่างกายและจิตใจ เพราะอาศัยความเกิดเป็นปัจจัย พิจารณาไปให้รู้ ให้ปัญญาพิจารณาให้เห็น เรื่องที่จะให้ใครเขามาชี้ว่าอะไรมันเป็นทุกข์ นี่มันไม่ใช่ภาระ ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่าอะไรมันเป็นทุกข์ สิ่งใดก็ตามที่เราจำจะต้องทน สิ่งนั้นเป็นอาการของความทุกข์ทั้งหมด
 
ความหิวเป็นทุกข์ ความกระหายเป็นทุกข์ ความร้อนเป็นทุกข์ ความหนาวเกินไปเป็นทุกข์ การป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ ความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์ ร่างกายมีสภาวะเคลื่อนไปมีการแก่การเฒ่า ร่างการไม่สมประกอบก็เป็นทุกข์ อาการที่เราจะตายเป็นทุกข์ ทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้มันมีอยู่เป็นประจำ แต่ว่าเราไม่พยายามจะคิดถึงกัน ฉะนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์เห็นว่าพวกเราโง่เกินไป สมเด็จพระจอมไตรจึงได้สอนให้เรารู้ว่าการเกิดมันเป็นทุกข์ ตามพระบาลีว่า ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกปริเทวทุกขโทมนัสสุปายาส เป็นต้น เป็นอันว่าความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ นี่เป็นอันว่าเราเกิดมาแล้วเราก็พบแต่ความทุกข์ เราไม่มีความสุข แต่ว่าความทุกข์นั่นมีอยู่ บุคคลใดใครเห็นทุกข์บ้าง นี่เราชินต่อความทุกข์เสียจนชินจนไม่รู้ว่าเราเป็นทุกข์ อาการที่เราไม่รู้ว่าเราเป็นทุกข์ก็เพราะอาศัยความโง่เป็นปัจจัย ตามพระบาลีที่เรียกกันว่า อวิชชา
 
ความทุกข์ที่มันจะเกิดขึ้นมันก็ต้องมีเหตุ พระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าทรงสอนแสดงเหตุกับผลเป็นปกติ ไม่มีอะไรไร้เหตุไร้ผล ทุกข์ที่มันจะเกิดขึ้นกับเราเพราะอาศัยใจเราคบกับตัณหา คือความทะยานอยาก
 
ตัณหาที่เราจะคิดว่ามันเป็นตัณหาด้านกิเลสก็ต้องคิดกันดู พิจารณาดูว่า ถ้าความต้องการของร่างกายคือความหิวก็ดี ความกระหายก็ดี อาการหนาวก็ดี อาการร้อนก็ดี ถ้าความหนาวเกิดขึ้น เราต้องการเครื่องอบอุ่น ความร้อนเกิดขึ้น เราต้องการความเย็น ความหิวปรากฏขึ้น เราต้องการอาหาร ทรัพย์ศฤงคารไม่มีจะใช้จะสอยหามาพอดีพอใช้สอย ความปรารถนาอย่างนี้ไม่เรียกว่าตัณหา เพราะว่าเป็นอาการที่เป็นไปตามปกติที่เราจะต้องปรนเปรอหล่อเลี้ยงร่างกาย
 
ความทะยานอยากเกินไป อันนี้เป็นตัณหา ที่เรามีการพอกินพอใช้แล้วก็ยังตะเกียกตะกายหาความพอมิได้ ความไม่พอมีความปรารถนาสูงเกินกว่าความพอดี นี่เป็นอาการของตัณหา คือ เป็นการแสวงหาให้เป็นการลำบากเปล่า ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า ถ้าบุคคลใดต้องการจะให้พ้นทุกข์ ก็พยายามละตัณหาเสีย คือสร้างความพอให้มันเกิด ทำความพอในใจให้ทรงอยู่ พอตรงไหนกัน การแสวงหาอาชีพพอแก่การอาศัยถือว่าเป็นการพอ คำว่าพอจะถือว่ามีปริมาณเท่าใดนั้นก็แล้วแต่ฐานะและความจำเป็น ไม่ตะเกียกตะกายเกินพอดี อย่างนี้ก็เรียกว่าพอ เมื่อความพอปรากฏ ความสุขใจมันก็เกิดขึ้น
 
การที่จะตัดตัณหาได้จริง ๆ จะมานึกเอาแค่พอ แค่พอตามกฎธรรมดามันก็เป็นไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงสอนต่อไปว่า ถ้าเราจะต้องการความพอของชีวิตก็ให้จิตเกาะอยู่ในคุณธรรมทั้ง ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราเรียกกันว่า อริยมรรค ๘ อริยมรรค ๘ นี่เราย่นลงมาแล้วเหลือ ๓ เหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา
 
ศีล รักษากายวาจาใจของเราให้บริสุทธิ์ เราจะไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง จะไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นเขาทำลายศีล เมื่อเห็นบุคคลอื่นทำลายศีลแล้วเราไม่ยินดีด้วย นี่แบบนี้เป็นจริยาอารมณ์จิตของพระอริยเจ้า เราต้องทำตามนั้น ให้มีอารมณ์ทรงอยู่ในศีลเป็นปกติ ระมัดระวังศีลเป็นปกติ จนกระทั่งเราไม่ต้องระวัง ให้จิตเป็นอัตโนมัติ จิตทรงศีลอยู่ตลอดเวลา ขึ้นชื่อว่าความพลาดพลั้งของศีลนิดหนึ่งย่อมไม่มีแก่ใจ อย่างนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเรียกว่าศีลานุสสติกรรมฐาน ถ้าเรามีศีลบริสุทธิ์ เราก็ปิดอบายภูมิได้ เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งของพระโสดาบัน
 
การที่เราจะทรงศีลให้บริสุทธิ์ ก็ต้องอาศัยอารมณ์สมาธิจิตเป็นเครื่องควบคุม เป็นอันว่าถ้าอารมณ์ของเราทรงศีลได้ตลอดเวลา ระมัดระวังศีลได้เป็นปกติ อย่างนั้นแสดงว่าจิตของเรามีสมาธิอยู่แล้ว สมาธิแปลว่าการตั้งใจ (ถ้าพูดกันตามภาษาไทย) เพราะตั้งใจรักษาศีลให้เป็นปกติ
 
ศีล เรารักษากันเวลาไหน? การสมาทานศีลนี่เป็นแต่เพียงการศึกษาศีลเท่านั้น
 
ถ้าเราไม่มีโอกาสสมาทานศีลมันจะเป็นศีลได้หรือไม่ ?
 
ข้อนี้ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทสงสัยก็พึงทราบว่า ศีลนี้เราจะสมาทานหรือไม่สมาทานก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ความสำคัญอยู่ที่การงดเว้นเท่านั้นมันจึงจะเป็นศีล ถ้าเราไม่มีโอกาสสมาทาน แต่ทว่าสิกขาบททั้ง ๘ ประการก็ดี หรือว่าสิกขาบท ๕ ประการก็ดี เราระงับได้อย่างครบถ้วน อย่างนี้เราไม่สมาทานเลยมันก็เป็นศีล แล้วก็มีอานิสงส์เท่ากับที่สมาทาน นี่หากว่าเราจะสมาทานศีลสักวันละพันครั้ง แต่ว่าจิตใจของเราไม่ได้ผูกพันอยู่ในศีลก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ศีลไม่ได้มีกับใจของเรา
 
ฉะนั้น การที่เราจะระงับตัณหาได้ ในอันดับแรก ต้องเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ คือมีอารมณ์ทรงศีลเป็นปกติธรรมดา ไม่ใช่แต่เฉพาะมานั่งขัดสมาธิหลับตา หรือว่านั่งสมาธิจึงจะมีศีลบริสุทธิ์ ถ้าเราต้องการศีลบริสุทธิ์เพียงเท่านี้ก็มีหวังตายลงนรกแน่นอน วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เราทำจิตบริสุทธิ์กี่นาที นี่ต้องวัดวันเวลาที่มันผ่านไป เราขาดทุนเท่าไร แล้วได้กำไรเท่าไร นับเวลาที่เราปฏิบัติ ถ้าเราใช้จิตของเราปฏิบัติในความดี ใช้เวลาน้อยแต่ขาดทุนมาก มันก็ไม่มีทางไปสวรรค์หรือเกิดเป็นมนุษย์ได้ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงสอนให้ทรงสมาธิในด้านศีลานุสสติกรรมฐาน คือให้จิตใจของเราทรงศีลเป็นอารมณ์ เป็นปกติ ไอ้เรื่องการนั่งหลับตาวันละ ๙ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมงไม่มีความหมาย ความสำคัญก็มีอยู่ว่า ทุกลมหายใจเข้าออก จิตของเราทรงอยู่ในศีล อันนี้จึงจะชื่อว่าเป็นสมาธิที่มีผลแน่นอน เรียกว่าศีลานุสสติกรรมฐาน นี่ ว่ากันถึงด้านศีลเพื่อระงับ กาย วาจา ใจ เป็นเหตุปิดอบายภูมิ เป็นด้านของกามาวจรสวรรค์ ถ้าเราทรงศีลได้บริสุทธิ์เราก็เป็นเทวดาในกามาวจรสวรรค์ได้
 
ต่อไป ความดีที่มียิ่งไปกว่านั้นก็คือ มีพรหมโลกเป็นที่ไป ถ้าเราจะไปพรหมโลก เราก็เอาศีลนี่แหละเป็นสมาธิไปพรหมโลกให้ได้ ก็ตั้งใจทรงศีลให้เป็นสมาธิ ให้ทรงฌาน ศีลของเราจะเป็นสมาธิจิตในด้านของศีลานุสสติกรรมฐานให้เข้าถึงระดับฌาน ทำอย่างไร ? และทำอย่างไร เราจึงจะรู้ว่าศีลของเราเข้าถึงระดับฌาน ?
 
อันนี้ เราก็จะสังเกตได้ว่า วันทั้งวัน จิตของเราใคร่ครวญอยู่ในศีลเป็นปกติ มีการระมัดระวังศีลเป็นปกติ ปัญจเวร ๕ ประการ คือการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือทำร้ายสัตว์ การลักขโมยของ การยื้อแย่งความรัก การโกหกมดเท็จ การดื่มสุราเมรัย เป็นต้น เรียกว่า ปัญจเวร ๕ ประการ อย่างนี้เราทรงได้แบบสบาย ใครจะนินทาว่าร้าย ส่งเสียงรบกวนเพียงใดก็ตาม จิตใจของเราไม่รำคาญเสียงของบุคคลนั้น ไม่สะทกสะท้านกับคำนินทาว่าร้ายหรือไม่ยินดีต่อคำสรรเสริญใด ๆ มีจิตใจอารมณ์สบายเป็นศีล อย่างนี้ชื่อว่า สมาธิจิตของท่านเข้าสู่สภาพของฌาน ฌานนี่ เขาต้องการแบบนี้นะ ไม่ใช่ต้องการนั่งฌานหรือนั่งขัดสมาธิกันหามรุ่งหามค่ำ แล้วพอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ด่าโวย โวย โวย แบบนี้ทำไปสักแสนปีมันก็ไม่เกิดประโยชน์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดให้จิตทรงสมาธิเป็นอารมณ์เป็นประจำวัน คือจิตใจของเรามั่นอยู่ในอาการของศีล ไม่ไปยุ่งกับสิ่งที่เป็นอกุศล จนกระทั่งจิตของตนเป็นเอกัคตารมณ์ คือมีอารมณ์เป็นหนึ่ง อยู่ในศีลโดยเฉพาะ ใครจะชวนไปไหน จะแนะอะไรก็ตาม ถ้าเป็นเครื่องทำลายศีล เราไม่ยินดีด้วย ไม่คล้อยใจไปตาม อย่างนี้ชื่อว่าศีลของเราทรงเป็นฌาน นี่เอาศีลเข้ามาเป็นฌาน ก็ไม่เห็นมันยากลำบากอะไรนี่ ของง่ายๆ การทรงสมาธิจิต ถ้าเรารู้จักใช้เสียแล้ว แม้แต่ศีล เราทำศีลข้อเดียวก็ไปนิพพานได้
 
เมื่อสมาธิจิตของเราทรงศีลเป็นฌาน มีจิตใจผูกมั่นอยู่ในศีลเป็นปกติ จะไปทางไหนก็ตามอยู่ในสถานที่ใดก็ตามอยู่ในสังคมใดก็ตาม เราจะไม่ยอมละเมิดศีลอย่างเด็ดขาด ไม่ยุยงส่งเสริมให้ใครละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว จิตใจของเรามีความชุ่มชื่นในศีลอย่างนี้เป็นฌาน ถ้าอารมณ์จิตเป็นฌาน เราตายไปจากความเป็นมนุษย์ เราก็เกิดเป็นพรหม นี่เป็นความดีระดับที่สอง
 
ทีนี้ เราก็เอาศีลานุสสติกรรมฐานนี่แหละเป็นวิปัสนาญาณต่อไป
 
เราก็มาพิจารณาร่างกายของเราว่า
 
เวลานี้ เราเป็นผู้ทรงศีล
 
แล้วให้รู้จักคำว่า “เรา” เราคือใคร ?
 
เลือดเนื้อ ร่างกายของเรานี่มันเป็นเรา หรือว่าเราคือใคร ?
 
เมื่อพิจารณากันไปจริง ๆ แล้วก็เห็นว่า เลือดเนื้อร่างกายนี้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในเลือดเนื้อร่างกาย และเลือดเนื้อร่างกายไม่ใช่เรา เราจริง ๆ ก็คือ “จิต” ที่มาสถิตอาศัยอยู่ในกายชั่วคราว ร่างกายมีสภาพเหมือนบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น เราไม่สามารถจะทรงร่างกายอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย ร่างกายมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด
 
การทรงศีล อะไรมันทรงศีล ? กายทรงศีล หรือว่าจิตทรงศีล ?
 
เมื่อเราพิจารณากันจริง ๆ แล้ว เราก็จะเห็นว่า ศีลที่มันทรงอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยจิตเท่านั้นเป็นตัวสั่ง กายมันมีสภาพเหมือนหุ่น มันไม่มีการรู้สึกรับผิดชอบใด ๆ ทั้งหมด ความรู้สึกรับผิดชอบใด ๆ ความดีหรือว่าความชั่วจะปรากฏกับกายก็อาศัยใจเป็นผู้สั่ง คำว่า “เรา” ในที่นี้ก็ได้แก่จิต คือ จิตใจ คือ อารมณ์ที่สั่งกาย
 
เรามาดูกันซิว่า เรารักษาศีลบริสุทธิ์ มีจิตสบาย แต่กายมันมีความสบายไหม ?
 
คนที่มีศีลบริสุทธิ์ ใจสบาย ไม่มีความเดือดร้อน คนที่มีความเดือดร้อนก็เพราะอาศัยจิตมันทุศีล หาศีลไม่ได้ มันถึงมีแต่ความเดือดร้อน มีกายไม่อยู่สุข ชอบเอากายไปสร้างความทุกข์ ไปเบียดเบียนบุคคลอื่น เอากายไปยื้อแย่งสินสมบัติของบุคคลอื่น เอากายไปยื้อแย่งความรักของบุคคลอื่น แล้วก็มีปากไม่ดี ชอบพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลหาสารประโยชน์ไม่ได้ ไม่รู้จักเหตุของความทุกข์ และเอากายไปดื่มสุราเมรัย
 
นี่ บุคคลที่ไม่เคารพในศีลก็มีความทุกข์ คนเลวประเภทนี้มักจะไม่เห็นตัวของตัวเองว่าได้สร้างความชั่ว ทั้ง ๆ ที่เลวแสนเลวก็ไม่มีความรู้สึกนึกว่าตัวดีอยู่เสมอ นี่จงเข้าใจไว้ว่าศีลนี่ ถ้าเราทรงไว้ได้ เราก็มีความสุข มันไม่มีความทุกข์เข้ามาเจือปน ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อยากปรารถนาทรงความสุขก็ขอให้รักษาศีลเป็นปกติ
 
การที่จะรักษาศีลเป็นปกติ ก็อาศัยกำลังใจเป็นสำคัญ ไม่ใช่กายรักษาศีล ใจรักษาศีล ที่พระเทศน์บอกว่า การทรงศีล ศีลรักษากายวาจาให้เรียบร้อยเป็นสองประการอันนี้ไม่ใช่ความจริง ตัวจริง ๆ แล้ว ศีลก็รักษาจิตให้มันเรียบร้อยนั่นเอง จิตมันเรียบร้อยแล้ว กายก็เรียบร้อย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ” นี่แสดงว่าใจของเราถ้าบริสุทธิ์ กายวาจามันก็บริสุทธิ์ ความเลวที่เกิดจากกายและวาจาก็เพราะอาศัยใจของเราเลว ถ้าเราเอาศีลเข้ามาควบคุมใจไว้เสียแล้ว ใจมันก็มีความดี กายวาจามันก็ดีด้วย คนที่มีปากเสีย มีวาจาเสีย มีร่างกายเสียก็เพราะอาศัยใจเสีย อยู่ที่ไหนมันก็มีแต่ความทุกข์ หาความสุขไม่ได้
 
เราก็มาพิจารณากันไปว่า ร่างกายของเรานี่มันเป็นเราหรือ มันเป็นของเราหรือ มันไม่เป็นเรา ไม่ใช่ของเรา ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราคือจิต นี่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร์พระองค์ทรงสอนแบบนี้ เราใช้ปัญญาพิจารณาตาม ท่านกล่าวว่า คนเราถ้าสร้างความดีไว้ ทำอารมณ์ให้ดี ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดบนสวรรค์บ้าง เป็นพรหมบ้าง ไปพระนิพพานบ้าง ถ้าสร้างความชั่วไว้ เมื่อตายจากความเป็นคน ก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ที่มีความชั่วเลวทราม มีแต่ความเดือดร้อน
 
เราก็มานั่งดู เวลาที่เราไปนรกก็ดี ไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมก็ดี เราเอากายไปด้วยหรือเปล่า ? เวลาตายแล้ว ไม่มีใครแบกกายไปด้วย นี่ เราจะเห็นได้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราก็ทำศีลของเราให้บริสุทธิ์ ทรงสมาธิจิตเข้าในอำนาจของศีล คุมศีลให้เป็นฌาน แล้วก็มาพิจารณาตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารว่า
 
เหตุแห่งความทุกข์ที่มันจะพึงมีขึ้นมาได้
 
ก็เพราะอาศัยตัณหามีความผูกพันในร่างกายซึ่งมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
 
เราไปยึดถือว่ามันเป็นเราเป็นของเรา
 
เราก็วางร่างกายเสียเพื่อพระนิพพาน
 
การไปพระนิพพานนี่ตัดเฉพาะสักกายทิฏฐิตัวเดียวเท่านั้น ในสังโยชน์ ๑๐ ประการ องค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่ได้ทรงตัดที่ไหน สั่งตัดตัวเดียวคือสักกายทิฏฐิ คือสังโยชน์ตัวแรก เมื่อจิตใจไม่ผูกพันในร่างกายเสียแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเราก็ไม่ผูกพัน เพราะสมบัติในโลกทั้งหมดนี้นั้น อะไรที่เราจะรักยิ่งไปกว่าร่างกายของเราไม่มี นี่องค์สมเด็จพระชินสีห์ชี้เหตุผลให้ทราบ ถ้าร่างกายของเราไม่ทรงอยู่ บ้านช่องเรือนโรงทรัพย์สินทั้งหลายมันจะมีคุณประโยชน์อะไรสำหรับเรา มันจะมีคุณอยู่บ้างก็แต่เฉพาะในขณะที่เราทรงร่างกายเท่านั้น เราตายไปแล้วมันก็หมดเรื่องกันไป ทรัพย์สินทั้งหลายก็ตกทอดเป็นของบุคคลอื่น ฉะนั้น ถ้าเราตัดร่างกายเสียได้แล้ว เราก็ตัดทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด
 
วิธีพิจารณาตัดร่างกาย
 
เราต้องอาศัยกายคตาสติกรรมฐาน อสุภกรรมฐาน มรณัสสติกรรมฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน ๔ เป็นต้น และก็มีมรณัสสติกรรมฐานเป็นพื้นฐาน
 
จิตใจคิดไว้เสมอว่า
 
เราจะต้องตาย
 
ความตายเป็นของธรรมดา เรามีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว เราก็มีความตายไปในที่สุด
 
การที่เราทรงชีวิตอยู่นี้ เราไม่ได้ทรงชีวิตหนีความตาย
 
แต่เราทรงไว้เพื่อเดินเข้าไปหาความตายพิจารณาให้เห็นว่า ความตายนี้มันเป็นของธรรมดาที่เราจะต้องเข้าถึง ในขณะที่เราทรงชีวิตอยู่ ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้าเราต้องการความเกิดอีก มันก็ต้องทุกข์แบบนี้ จะเกิดอีกเพื่อประโยชน์อะไร เราต้องการตัดความเกิด คือตัดชีวิตและร่างกาย ไม่มัวเมาในชีวิต คิดเสียว่าร่างกายประกอบไปด้วยธาตุ ๔ คือ ดินน้ำลมไฟ เป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว เป็นแดนของความทุกข์
 
เป็นโรคนิทธัง คือเป็นรังของโรค ปภังคุณัง มันจะต้องเปื่อยเน่าเป็นของธรรมดา
 
แต่ถ้าเราเกิดมามันก็มีสภาพแบบนี้อีก เราจะเกิดมาทำไมดินแดนที่เราจะไม่ต้องเกิดต่อไปก็มีอยู่ คือพระนิพพาน
 
ทำอย่างไร เราจะถึงพระนิพพานได้ ?
 
เราก็ตัดขันธ์ ๕ คือร่างกายโยนทิ้งไป คำว่า “ตัด” ในที่นี้ไม่ใช่ฆ่าขันธ์ ๕ คือคิดไว้เสมอว่า ร่างกายนี้มันเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง ทุกขัง เต็มไปด้วยความทุกข์
 
อนัตตา มันสลายไปในที่สุด เราเกิดมาเพราะอำนาจของความโง่เป็นปัจจัย
 
เวลานี้เรามาพบศาสนาของสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาผู้ทรงความฉลาด
 
องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ สอนให้เรารู้เหตุรู้ผล
 
ว่าการเกิดนี่องค์สมเด็จพระทศพลถือว่ามันเป็นทุกข์
 
เราจะแสวงหาความสุขได้ก็ตัดเหตุและตัดปัจจัยเสีย คือตัดความเกิดเสียให้ได้
 
เราจะไม่เกิดได้เพราะอาศัยอะไรเป็นปัจจัยก็คือ หนึ่งกิเลส หาทางกำจัดกิเลสให้สิ้นไป กิเลสมี ๓ ประการ คือ โลภะ โทสะ โมหะ ได้แก่ความโลภเกินพอดี การทรงอารมณ์โทสะเกินพอดี มีโมหะความหลง คิดว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นของเรา ความโลภเราก็ตัดด้วยการให้ทาน โทสะเราก็ตัดด้วยการทรงพรหมวิหาร ๔ โมหะตัวนี้ เรายอมรับนับถือกฎของธรรมดา
 
อะไรมันเป็นธรรมดา ? ความเกิดขึ้น มันเป็นธรรมดา ความแก่ เป็นธรรมดา ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นของธรรมดา ความตายเป็นของธรรมดายอมรับนับถือมันเสีย อาการอย่างใดมันเกิดขึ้นเราไม่หวั่นไหว ถือว่า นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็คิดไว้ว่า ธรรมดานี่มันเป็นอาการของความทุกข์ ไม่ใช่อาการของความสุข เราไม่คบมันต่อไป เมื่อจิตใจของเราทรงไว้ได้ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นของธรรมดา การกระทบกระทั่งกับวาจา การเสียดสีหรือกลั่นแกล้งของบุคคลอื่น มีอารมณ์ใจไม่หวั่นไหว คิดว่าเราทรงกายไม่เท่าไร ถ้าร่างกายของเราพังเมื่อใด เราก็ถึงซึ่งพระนิพพานเมื่อนั้น จิตใจของเราไม่ผูกพันในขันธ์ ๕ คือร่างกาย เพียงเท่านี้แหละบรรดาพุทธบริษัท
 
เพราะอาศัยพื้นฐานเดิมของเรามีศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว จิตใจของเรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว มีปัญญาเห็นแล้วว่า ร่างกายมันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นปัจจัยของความทุกข์ ร่างกายเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ เราไม่ต้องการร่างกายอันนี้อีก เรามีความมั่นคงในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราไม่ยอมพลัดจากศีล เราไม่ยอมละเมิดศีล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศีลนี้มีวาจาเป็นสำคัญ วาจาที่กล่าวออกไปนั้นจะต้องระมัดระวัง การกระทำทางกายก็ต้องระมัดระวัง นิสสัมมะกะระณัง เสยโย สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า ก่อนจะทำก่อนจะพูดน่ะใคร่ครวญเสียก่อน อย่าไปคิดเห็นบุคคลอื่นว่าเขาเลว การเห็นคนอื่นเลวนี่ก็กลายเป็นการสร้างความเลวให้เกิดขึ้นแก่ใจของเรา อัตตะนา โจทะยัตตานัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้กล่าวโทษโจทก์ตัวเองว่ามันเลวไว้เสมอ หาจุดความเลวของกาย หาจุดความเลวของใจ อย่าไปหาจุดของความดี ถ้าพบความเลวจุดไหนทำลายความเลวจุดนั้นให้หมดไป แล้วความดีมันก็ปรากฏเอง
 
ถ้าจิตใจของเรามีความระมัดระวังอยู่อย่างนี้ แล้วก็เชื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า
 
ร่างกายเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ อนัตตามันสลายตัว และจิตใจไม่ผูกพันในร่างกาย เรามีศีลบริสุทธิ์ มีจิตใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พระโสดาบัน นี่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรยาก คำว่าพระโสดาบันก็มีสภาวะเป็นชาวบ้านชั้นดีเท่านั้น ความเป็นพระโสดาบันมีความดีแค่ดาตุ่ม ถ้าเราทำไม่ได้มันก็เลวเต็มที หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่ได้รับสดับฟังนี้คงจะเข้าใจดี ว่าความเป็นพระโสดาบันเป็นธรรมะเล็กน้อย เป็นผู้เข้าถึงกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพิ่งจะเข้าถึงกระแสพระนิพพานแต่ยังไกลอยู่เท่านั้น แต่ว่าพระโสดาบันนี่จะถือว่าไกลพระนิพพานเกินไปก็ยังไม่ได้ ถ้าอารมณ์จิตของเราเบาบางเกินไปจิตใจยังไม่แนบแน่นนัก ก็ยังเกิดเป็นมนุษย์อีก ๗ ชาติ เราจึงจะได้อรหัตผล ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมีความมั่นปานกลาง เราก็เกิดอีก ๓ ชาติได้อรหัตผล ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมีความมั่นคงแนบสนิท เราก็เกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียวได้อรหัตผลเข้าถึงพระนิพพาน
 
นี่เป็นอันว่าขอบรรดาพุทธบริษัททุกท่านที่มีกำลังใจยังหย่อนอยู่ ยังเข้าไม่ถึงธรรมขององค์สมเด็จพระบรมครู คือพระโสดาบัน ก็จงตั้งใจกำหนดจิตของเรานั้นทรงความเป็นพระโสดาบันให้ได้ ถ้าเราไม่สามารถจะทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ก็ชื่อว่าเกิดมาเสียชาติเกิดที่พบกับพระพุทธศาสนา ไม่สามารถจะทรงความดีขั้นเล็กน้อยที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ได้ก็เป็นที่น่าเสียดายความดีของเรา
 
เอาละบรรดาพุทธบริษัททุกท่าน กาลเวลาที่จะพูดเวลานี้ก็พูดนานเกินไป ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก แล้วใช้คำภาวนาควบคู่กันไป หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ พอใจสบายแล้วท่านทั้งหลายจะพิจารณากรรมฐานกองใดกองหนึ่ง ก็ให้เป็นไปได้ตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 13 กรกฎาคม 2558 15:58:15
.

(http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/06/Y6682915/Y6682915-0.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๑๙ พุทธานุสสติเป็นวิปัสสนา

วันนี้จะขอพูดเรื่องพุทธานุสสติต่อ เพราะว่าพุทธานุสสติตามที่อธิบายมาแล้วเราจัดเป็นระดับ ๔ ระดับด้วยกัน คือ
 
อันดับแรก การพิจารณาตามแบบ คือพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า โดยใช้คำว่า อิติปิโสภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ เป็นต้น ใช้จิตใคร่ครวญในด้านของจริยาของพระองค์ สร้างความเลื่อมใสให้เกิด สร้างความผูกพันให้เกิดในพระพุทธเจ้า อย่างนี้ผลจะพึงมีได้เพียงแค่อุปจารสมาธิ
 
ถ้าเราทำพุทธานุสสติกรรมฐานให้เป็นฌานสมาบัติ ท่านสอนให้จับภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราพอใจ เวลาที่ภาวนาไปว่าพุทโธหรืออรหังก็ตาม เอาจิตนึกถึงภาพนั้นเป็นอารมณ์ อย่างนี้ถือว่าเอาภาพพระพุทธรูปเป็นกสิณ ถ้าปฏิบัติแบบนี้ก็สามารถเข้าถึงฌานที่ ๔ ได้ จัดว่าเป็นรูปฌาน
 
ถ้าจะทำพุทธานุสสติให้เป็นอรูปฌานเป็นสมาบัติ ๘ ก็ให้จับภาพพระพุทธรูปนั้น ทรงอารมณ์จิต ให้เข้าถึงฌาน ๔ เมื่อทรงจิตสบายดีแล้วก็เพิกภาพกสิณนั้นทิ้งไป คือถอนภาพออกจากใจ พิจารณาอากาศวิญญาณ ความไม่มีอะไรทั้งหมด แล้วสัญญาหรือไม่มีสัญญา ที่เรียกว่าอากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือไม่พิจารณารูปเป็นสำคัญ ไม่ต้องการรูป ต้องการแต่นามฝ่ายเดียว เพราะท่านที่ปฏิบัติแบบนี้เพราะมีความรังเกียจในรูป ถือว่ารูปเป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์ เกิดไปชาติหน้าไม่ต้องการรูปอีก และเป็นสมถภาวนาจัดเป็นอรูปฌาน
 
ในอันดับนี้ เราต้องการจะใช้พุทธานุสสติกรรมฐานให้เป็นวิปัสสนาญาณ ท่านก็ให้ตั้งอารมณ์จิตของเรายึดภาพพระพุทธรูปเป็นอารมณ์ ทำภาพให้เห็นชัดด้วยจิตเป็นสมาธิถึงฌาน ๔ แล้วก็สามารถจะบังคับรูปนั้นให้เล็กก็ได้ ให้โตก็ได้ แล้วบังคับให้หายไปก็ได้ เป็นไปตามความต้องการ บังคับให้รูปนั้นปรากฏขึ้นก็ได้ หายไปก็ได้ สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ แล้วก็จับภาพนั้นเป็นอารมณ์ พิจารณาว่าพระรูปโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ความจริงพระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐสุด มนุษย์ผู้มีความอัศจรรย์ ไม่มีบุคคลใดจะเสมดเหมือน แต่ว่าพระรูปโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยที่มีชีวิตอยู่ ก็มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด ถึงแม้ว่าพระองค์จะเป็นผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ เทวดาหรือพรหมก็ตาม ก็ไม่สามารถจะทรงขันธ์ ๕ ให้ยืนยงคงอยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด
 
ทีนี้มานั่งมองตัวของเราเอง พิจารณาตัวของเราเองว่าพระพุทธเจ้านะดีกว่าเราหลายล้านเท่า ความดีของเราได้หยดหนึ่งในหลายล้านเท่าของท่านก็ไม่ได้ ในเมื่อขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ไม่สามารถจะทรงอยู่ได้ เราซึ่งมีความดีไม่ถึง ขันธ์ ๕ มันจะทรงอยู่ได้ยังไง มันก็ต้องมีความเกิดขึ้น มีการสลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน ขณะที่ทรงตัวอยู่ก็เต็มไปด้วยอำนาจของความทุกข์ นี่มองเห็นขันธ์ ๕ ของพระพุทธเจ้าว่าไม่มีความจีรังยั่งยืน แล้วก็เข้ามาเปรียบเทียบกับขันธ์ ๕ ของเรา
 
ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ขันธ์ ๕ นี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา ขันธ์ ๕ คือร่างกายประกอบไปด้วยธาตุ๔ คือธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มันทรงกายอยู่ได้ชั่วคราวแล้วมันก็สลายตัวไปในที่สุด เมื่อการสลายตัวของมันปรากฏขึ้น ถ้ากิเลสของเรายังไม่หมดเพียงใด มันก็ต้องไปเกิดแสวงหาความทุกข์อีก เมื่อตายใหม่กิเลสมันยังไม่หมดมันก็ต้องไปเกิดใหม่ ให้มีความทุกข์เกิดขึ้นมาอีกหาที่สุดมิได้ จะเทียบกันได้กับพระรูปโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรายกขึ้นเป็นกสิณ ถ้าเราต้องการให้พระรูปโฉมปรากฏก็ปรากฏขึ้น เราก็ต้องการให้หายไป สลายตัวไป การสลายตัวไปไม่ใช่การสลายไปหมด เราต้องการให้ภาพนี้ปรากฏ ก็กลับมาปรากฏตามเดิม สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ การที่ภาพหายไปถือว่าเป็นสภาวะของอนัตตา เราบังคับไม่ได้ แล้วภาพที่ทรงอยู่ก็ถือว่าอัตตา ทรงอยู่ แต่เป็นอัตตาชั่วคราว ต่อไปก็เป็นอนัตตา คือสลายตัว
 
นี่เราก็มานั่งพิจารณาร่างกายของเราที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกปริเทวทุกขโทมนัส เป็นต้น ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ นี่เรียกว่าทุกอย่างเราเกิดมามันเต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขอะไรไม่ได้ ในเมื่อร่างกายของเราไม่มีความสุข ร่างกายของพระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีความสุข เมื่อขันธ์ ๕ มันเป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์ ดูตัวอย่างพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้าไม่สามารถจะทรงตัวได้ฉันใด ร่างกายของเราที่เต็มไปด้วยความทุกข์มันก็ไม่สามารถจะทรงตัวไว้ได้ฉันนั้น มีความเกิดขึ้นแล้ว มีความเสื่อมไป แล้วมีการสลายตัวไปในที่สุด ในขณะที่ทรงกายอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม มีเหงื่อ มีไคล มีอุจจาระปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เต็มไปทั้งร่างกาย ไม่มีอะไรเป็นของน่ารัก ไม่มีอะไรเป็นของน่าชม มีแต่ของน่าเกลียด ฉะนั้น ถ้าตายแล้วคราวนี้ ถ้าเราต้องเกิดใหม่ เราก็ต้องไปแบกทุกข์ใหม่
 
การที่เราจะไม่แบกทุกข์ต่อไป จะทำอย่างไร?
 
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราละสังโยชน์ ๑๐ ประการ อาศัยสักกายทิฏฐิตัวเดิมเป็นตัวปฏิบัติ คือเป็นตัวตัด เอามาพิจารณาร่างกายว่า อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา มันเกิดขึ้นแล้วมันต้องตายแน่ ถ้าการเกิด เกิดแล้วตายมีอยู่ตราบใด เราก็ยังไม่พ้นทุกข์ตราบนั้น ฉะนั้น ขันธ์ ๕ ที่เต็มไปด้วยความสกปรก ขันธ์ ๕ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้เราไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการนั้นก็คือพระนิพพานอย่างเดียว
 
การที่เราจะต้องการพระนิพพานได้นั้น เราจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป?
 
ในเมื่อเราเห็นว่าขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เกิดเป็นทุกข์ เราเชื่อท่าน ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์เราเชื่อท่าน มรณัมปิ ทุกขัง เมื่อความตายเข้ามาถึงเป็นทุกข์ เราเชื่อพระองค์พร้อมไปด้วยของจริง เพราะความตายร่างกายต้องถูกบีบคั้นอย่างหนัก มีทุกขเวทนาอย่างหนัก มันจึงจะตายได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริง นี่เราไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า
 
แล้วต่อไปเราก็ตั้งใจเกาะศีลให้บริสุทธิ์ ศีลถ้าเราเกาะได้แล้วก็ชื่อว่าเป็นการตัดอบายภูมิทั้ง ๔ ประการ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น ฆราวาสตั้งใจทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ สำหรับสามเณรทรงศีล ๑๐ ให้บริสุทธิ์ สำหรับพระทรงศีล ๒๒๗ ให้บริสุทธิ์
 
แล้วก็นั่งพิจารณาร่างกายว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันแก่ลงไปทุกวัน มันพังลงไปทุกวัน ไม่ช้าก็สลายตัว ตัดความเมาในร่างกายเสีย อย่างนี้ก็ถือว่าเข้าถึงความดีเป็นอันดับแรก การตัดสังโยชน์ทั้ง ๓ ประการได้จัดว่าเป็นพระโสดาบัน นี่เป็นทุนแล้ว ต่อไปก็ขยับจิตให้สูงขึ้นไปกว่านั้น เพราะมันยังต้องเกิดอยู่อีก นี่พระโสดาบันนะ เราก็มาพิจารณาร่างกายเป็นอสุภกรรมฐาน ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ในอันดับแรกพิจารณาเป็นกายคตาสติกรรมฐานว่า ร่างกายนี้เป็นชั้นเป็นท่อน มันไม่ได้เป็นแท่งทึบ แท่งอันเดียวกัน ข้างในเป็นโพรงเต็มไปด้วยอวัยวะต่างๆ น้อมกายคตาสติกรรมฐานเข้าไปหาอสุภกรรมฐาน เห็นว่าอัตภาพร่างกายนี้เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มีอุจจาระปัสสาวะน้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนอง เป็นต้น อยู่ข้างใน ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นทั้งร่างกายของเรา มีสภาพเหมือนกับซากศพที่เคลื่อนที่ได้ หรือเหมือนกับส้วมที่เคลื่อนที่ได้ มันเต็มไปด้วยความสกปรกไม่มีอะไรจะเป็นที่น่ารัก เมื่อพิจารณาในด้านอสุภกรรมฐานแล้วก็จับกายคตาสติขึ้นมาพิจารณาต่อว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดีมีสภาพเหมือนกัน มันมีแต่ความสกปรกเหมือนกัน เราจะมัวไปนั่งยึดถือว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเราเพื่อประโยชน์อะไร เพราะว่านอกจากสกปรกแล้วยังเต็มไปด้วยความทุกข์ ความแก่เข้ามาท่วมทับ แล้วก็มีความตายไปในที่สุด พิจารณาแบบนี้ ค่อยๆพิจารณาไป ปัญญามันจะเกิด เกิดนิพพิทาญาณ คือ ความเบื่อหน่าย เห็นว่าขันธ์ ๕ คือร่างกายไม่เป็นแก่นสาร ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นที่พึงปรารถนาสำหรับเรา เมื่อนิพพิทาญาณความเบื่อหน่ายบังเกิดขึ้นก็พิจารณาเรื่อยไป ให้จิตเข้าถึงสังขารุเบกขาญาณ ความหนาวความร้อนปรากฏขึ้น การกระทบกระทั่งจากวาจาที่ชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้างปรากฏขึ้น อาการของจิตมีความรู้สึกว่านี่มันเป็นของธรรมดา ไม่มีอะไรเป็นทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายบังเกิดขึ้น ก็ถือว่านี่มันเป็นหน้าที่ มันเป็นภาระของขันธ์ ๕ คือร่างกายมันต้องป่วย
 
ความทรุดโทรมเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมันมีความเกิดแล้วก็มีความแก่ไปในที่สุด อาการกระทบกระทั่งกับคำนินทาว่าร้ายต่างๆ ก็คิดว่าคนเราที่เกิดมาในโลกนี้มันไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน หาความทรงตัวอะไรไม่ได้ แม้แต่วาจาเป็นเครื่องกล่าวกระทบกระทั่งนี้จัดว่าเป็นโลกะธรรมดา เป็นธรรมดาของคนเกิดมาในโลก
 
ทำจิตให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมดา เมื่อถูกด่าใจก็สบาย อาการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นใจก็สบาย ความกระทบกระทั่งอารมณ์เป็นที่ไม่ชอบใจใจก็สบาย ใครเขาชมก็ไม่หวั่นไหวไปตามคำชม
 
ตัดอารมณ์แห่งความโกรธเสียได้
 
ตัดอารมณ์ความทุกข์ คือความเกาะขันธ์ ๕ เสียได้ อย่างนี้ชื่อว่าเป็นพระอนาคามี
 
เพราะการพิจารณาร่างกายในด้านอสุภกรรมฐาน เป็นการตัดความกำหนัดยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสและสัมผัส จนกระทั่งความรู้สึกในเพศไม่มี การยอมรับนับถือกฎธรรมดาใจไม่มีความหวั่นไหว ใจไม่มีความสะทกสะท้าน คือไม่มีความหนักใจ ไม่มีการเจ็บ ถือว่าธรรมดาของคนเกิดมาในโลกเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ชื่อว่าตัดโทสะลงไปเสียได้ มีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา เมื่อเราตัดโทสะได้ตัดกามราคะได้ทั้งสองประการ ท่านเรียกว่าพระอนาคามี ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะเรายึดเอาพุทธานุสสติเป็นอารมณ์ เป็นที่ตั้ง คือกสิณแล้วพิจารณาร่างกายของพระพุทธเจ้า ร่างกายของเรา ร่างกายของชาวบ้าน เอามาเปรียบเทียบกันว่าไม่มีการทรงตัว มีการเสื่อมไป มีการสลายไปในที่สุด จะมานั่งรักความสวยสดงดงามอันเต็มไปด้วยความหลอกลวงเพื่อประโยชน์อะไร จะทำจิตหวั่นไหวไปในโลกธรรมก็ไม่มีประโยชน์ เพราะร่างกายมันทรงตัวไม่นาน แล้วมันก็พัง
 
ในเมื่อเรายับยั้งอารมณ์จิตยอมรับนับถือกฎธรรมดาได้ทุกอย่าง ก็ชื่อว่าเป็นพระอนาคามี เกือบจะเป็นอรหันต์อยู่แล้ว อย่างนี้ตายแล้วไม่ต้องเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหมแล้วก็นิพพานบนนั้น
 
ต่อไปเราต้องการทำจิตใจให้ถึงความเป็นอรหันต์ ก็มาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงศึกษาในสำนักของอาจารย์ทั้งสอง คืออาฬารดาบส อุทกดาบส รามบุตร เป็นต้น ได้ฌาน ๔ คือ รูปฌานและอรูปฌาน รูปฌานและอรูปฌานนี่เป็นปัจจัยให้เข้าถึงความดี คือมีจิตตั้งมั่น แต่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาก็เห็นว่ายังไม่ใช่ที่สุดของความทุกข์ ยังไม่จบกิจ ยังชื่อว่ายังไม่มีโมกขธรรม ธรรมเป็นเครื่องพ้นแห่งความตาย ยัง ยังไม่ถึง เราก็ถือจริยาของพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ว่าอารมณ์ของเราที่เข้าถึงอนาคามีนี่มันยังมีทุกข์ คือยังมีอารมณ์สำคัญอยู่ เห็นว่ารูปฌานเป็นของดี อรูปฌานเป็นของดี ยังมีมานะถือตัวถือตนพอสมควร ยังมีอุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ยังมีอวิชชาความโง่ บางอย่างยังติดตัวอยู่
 
องค์สมเด็จพระบรมครูกล่าวว่า ถ้าเราจะตัดความโง่ให้หมดก็ให้ใคร่ครวญหาความจริงว่า รูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี ทั้งสองประการนี้เป็นแต่เพียงบันไดก้าวเข้าไปสู่พระนิพพานเท่านั้น ไม่ใช่อารมณ์ที่เข้าถึงพระนิพพาน แต่ว่ารูปฌานและอรูปฌานทั้งสองประการนี่เราต้องเกาะเข้าไว้เพื่อความอยู่เป็นสุขหรือว่าจิตไม่ฟุ้งซ่าน แต่เรายังไม่เห็นว่าที่สุด คือรูปฌานและอรูปฌานนี่ยังไม่เป็นที่สุดของความทุกข์ เราต้องเดินทางต่อไป จึงตัดอารมณ์ ไม่มัวเมาในรูปฌานและอรูปฌาน แต่จะรักษาไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่จิตใจเท่านั้น
 
ทรงฌานไว้เป็นปกติแล้วใช้ปัญญาพิจารณาขันธ์ ๕ ว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา ขันธ์ ๕ เต็มไปด้วยความทุกข์ ขันธ์ ๕ มีการสลายตัวไปในที่สุด ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ ในเมื่อขันธ์ ๕ มันไม่ทรงตัวแบบนี้แล้ว มานะการถือตัวถือตนเราจะไปนั่งถือตัวว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา เพื่อประโยชน์อะไร เพราะร่างกายของคนมีธาตุ ๔ เหมือนกัน เต็มไปด้วยความสกปรกเหมือนกัน มีความเสื่อมเหมือนกัน มีการสลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน คนและสัตว์มีสภาวะเสมอกัน คือมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแก่ในท่ามกลาง และมีการสลายตัวไปในที่สุด นี่ย่อมไม่ยังประโยชน์ให้สำเร็จในการที่จะมานั่งเมาตัวหรือถือตัว วางอารมณ์แห่งการถือตัวถือตนเสีย มีเมตตาบารมีเป็นที่ตั้ง เห็นคนและสัตว์ทั้งหมด ถือว่าทุกคนมีความทุกข์ ทุกคนจะต้องมีความตายไปในที่สุด แล้วเราจะมานั่งถือตัวถือตน เสมอกัน เลวกว่ากัน ดีกว่ากัน เพื่อประโยชน์อะไร เพราะต่างคนต่างก็ไม่มีร่างกายเป็นเราเป็นของเราจริง เรือนร่าง ร่างกายเป็นแต่เพียงบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น ถ้าทำอารมณ์ได้อย่างนี้เราก็จะตัดมานะ คือการถือตัวถือตนเสียได้
 
ต่อไปก็เหลืออุทธัจจะ คือความฟุ้งซ่าน พระอนาคามียังมีความฟุ้งซ่านอยู่ตามสมควร แต่ว่าอารมณ์ฟุ้งซ่านของพระอนาคามีนี้ไม่ฟุ้งลงไปหาอกุศล เพราะนับตั้งแต่เป็นพระโสดาบันเป็นต้นมา อารมณ์ที่เป็นอกุศลย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า จะมีอย่างเดียวก็คืออารมณ์จิตเป็นกุศลเท่านั้น อย่างพระอนาคามีที่เรียกว่ายังมีอารมณ์จิตฟุ้งซ่านก็หมายความว่ายังพอใจในการบำเพ็ญทาน เห็นว่าทานเป็นของดี พอใจในการรักษาศีล พอใจในการสงเคราะห์ในด้านสังคหวัตถุ ในบางครั้งบางคราวจิตใจก็แวะซ้ายแวะขวา ยังไม่ตัดหน้าตรงไปทีเดียว ยังเห็นว่าอัตภาพร่างกายนี้บางครั้งนี้มันยังเป็นประโยชน์อยู่ เรียกว่าบางครั้งยังเห็นว่าร่างกายเป็นของดีอยู่ ในการบางคราวยังเห็นว่า ทรัพย์สินคือวัตถุที่เราปกครองที่เราหามาได้ มันเป็นของดีอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ดี จิตใจของท่านก็ไม่ลืมนึกว่าท่านจะต้องตาย จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ความหวั่นไหวไม่มีก็จริงแหล่ แต่ทว่าจิตก็ยังมีอารมณ์เกาะอยู่บ้างตามสมควร นี่เรียกว่าอารมณ์ฟุ้งซ่านของพระอนาคามี
 
การตัดอารมณ์ฟุ้งซ่านนี้ก็ไปตัดที่สักกายทิฏฐิ พิจารณาร่างกายว่า ในเมื่อร่างกายของเรามันจะพังแล้ว อะไรในโลกนี้มันจะเป็นของเราอีก มันก็หาไม่ได้ ถ้าตายแล้วมันก็แบกเอาไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริง เราก็ต้องแบกมันไปได้ นี่ดูตัวอย่างสรีระขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เมื่อทรงปรินิพพานแล้ว ขณะทรงชีวิตอยู่ องค์สมเด็จพระประทีปแก้วมีทรัพย์สินมาก ชาวบ้านเขานำมาถวายราคานับไม่ได้ เมื่อเวลาที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงปรินิพพานแล้ว แม้แต่จีวรชิ้นหนึ่งก็นำไปไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายทับถมพื้นปฐพี ความนี้มีอุปมาฉันใด เราเองก็ฉันนั้น เราจะไปนั่งฟุ้งซ่าน ยึดโน่นยึดนี่เพื่อประโยชน์อะไร ใจมันก็จะปลดออกเสียได้
 
เมื่อเจริญเข้ามาถึงตอนนี้แล้ว องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงกล่าวว่า เหลืออวิชชาอีกหนึ่ง ตัวอวิชชานี่ได้แก่ฉันทะกับราคะ
 
ฉันทะยังเห็นว่ามนุษย์โลกดี เทวโลกดี พรหมโลกดี
 
ราคะเห็นว่ามนุษย์โลกสวยสองดงาม เทวโลกสวย พรหมโลกสวย
 
เราก็มานั่งตัดฉันทะกับราคะทั้งสองประการเสีย พิจารณาหาความจริงว่า ในเมื่อร่างกายของเรามันจะพังแล้ว ความสวยของความเป็นมนุษย์ เมืองมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี หรือพรหมก็ดี มันจะมีประโยชน์อะไรในฐานะที่เราเองก็ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้มันไม่เกิดประโยชน์อะไร ฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของเรา เราต้องการอย่างเดียว คือพระนิพพาน จับจิตจับจุดเฉพาะอารมณ์พระนิพพานเพียงเท่านั้น
 
แล้วก็ถอยหลังเข้ามาดูอารมณ์ความจริงของเราว่า เวลานี้เรามีความโลภ คือเมาในลาภสักการะหรือเปล่า ยังถือว่ามีอะไรเป็นเราเป็นของเรามีบ้างไหม ถ้ายังมีก็ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าเห็นร่างกายนี้ อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราแล้ว ทรัพย์สินที่มีอยู่นี่มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันทรงตัวอยู่ไม่ได้ ตายแล้วนำไปไม่ได้ บางทีเรายังไม่ทันจะตาย ยังไม่ตายเราก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คือของที่เราต้องการมันก็สลายตัวไปหมด มันไม่ปรากฏว่าจะยืนยงคงทนตลอดกาลตลอดสมัย นี่เราจึงเห็นว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นของไม่ดี การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เราไม่มีความต้องการ โลกทั้งสามนี้เป็นอนัตตาเหมือนกันหมด มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วมีการสลายตัวไปในที่สุด ในที่สุดเราก็มีอารมณ์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์
 
มีความต้องการอย่างยิ่งโดยเฉพาะคือพระนิพพาน
 
อารมณ์แห่งความรักในเพศไม่มี
 
อารมณ์แห่งความโกรธไม่มี
 
การเกาะสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าเป็นเราเป็นของเราไม่มี
 
อย่างนี้ชื่อว่าจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าถึงความเป็นพระอรหัตผลเป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา ชื่อว่าจบกันแค่นี้
 
นี่การเจริญพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธานุสสติกรรมฐาน เราก็ทำได้ทุกอย่าง คือทำได้ตั้งแต่ขั้นอุปจารสมาธิ คือพิจารณาแบบต้น ถ้าพิจารณาแบบจับรูปเราก็ทรงได้ถึงฌานสี่ แล้วทิ้งรูปเสียพิจารณาอรูป ทรงฌาน ๔ ได้อีกก็เป็นสมาบัติ ๘ แล้วก็จับพระรูปโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง มีการแก่เฒ่าไปในที่สุด แล้วก็สลายตัวไปในขั้นสุดท้าย ถือว่าเป็นสาระไม่เป็นแก่นสาร ไม่มีสภาพจีรังยั่งยืนเป็นประการใด มาเทียบกับกายของเราแบบนี้เป็นวิปัสสนาญาณ นี่แหละบรรดาพุทธบริษัททุกท่าน กรรมฐานทุกกองเราทำได้ถึงขั้นอุปจารสมาธิ ทางด้านรูปฌานและอรูปฌาน และวิปัสสนาญาณทำได้หมด ตัวอย่างที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตสอนโลหิตกสิณแก่พระลูกชายนายช่างทอง อย่างเดียวสามารถให้ทำฌานได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทำโลหิตกสิณนั่นแหละให้เป็นวิปัสสนาญาณในที่สุดเธอก็ได้บรรลุอรหัตผล
 
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน เวลาแห่งการจะพูดมันก็เลยมานานแล้ว ต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 17 กรกฎาคม 2558 16:01:23
.

(http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/06/Y6682915/Y6682915-0.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๒๐ ตอบปัญหาข้องใจ

โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้พากันสมาศีลและสมาทานพระกรรมฐานเสร็จแล้ว ต่อแต่นี้ไปเป็นโอกาสที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะเจริญพระกรรมฐานและวิปัสสนาภาวนา และขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกและคำภานาคู่กันไปนี่เป็นหลักเริ่มต้นของการปฏิบัติพระกรรมฐาน
 
การเจริญพระกรรมฐานที่จะให้ดีก็ต้องรู้จักเอาชนะใจตนเอง

ตนเองรู้อยู่ว่าเวลานี้เรามีกิจอะไรจะพึงทำและตั้งใจเฉพาะอยู่ กิจนั้นจึงจะมีผลในการเจริญพระกรรมฐาน นี่เป็นปัญหาเฉพาะวันนี้ที่มีคนมาถามว่าทำอย่างไรจึงจะควบคุมกำลังจิตให้เป็นสมาธิและทำอย่างไรจึงจะให้ใจเข้าอยู่ถึงฌานสมาบัติ ความจริงการทำจิตให้เป็นสมาธิหรือทำจิตให้เป็นฌานสมาบัติเป็นของไม่ยาก ถ้าเราเป็นคนไม่มีใจโลเลล่อกแล็ก ถ้าหากว่าเป็นคนมีอารมณ์จิตตั้งมั่น รู้จักกิจที่เราจะพึงกระทำ การที่เจริญพระกรรมฐานและเอาดีไม่ได้ เพราะว่าเราไม่รู้กิจไม่รู้หน้าที่ที่จะพึงกระทำ เป็นคนไร้สติสัมปชัญญะ ไม่รู้จักควบคุมกำลังใจตนเองมันก็เอาดีกันไม่ได้ เราจะดีได้หรือจะชั่วได้อยู่ที่เราคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครที่เขาจะมายกยอปอปั้นให้เราดีหรือเราเลว แม้แต่พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอกเท่านั้น สำหรับความดีหรือความชั่วที่เราจะได้ก็ต้องเราเป็นผู้ทำเองโดยเฉพาะ
 
เมื่อฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ที่ทำได้ดีก็เพราะท่านนำไปประพฤติปฏิบัติตาม เวลาที่จะฟังก็ใคร่ครวญไปตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพูด เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพูดเขาก็ใช้ปัญญาคิดตาม
 
คนที่จะได้ดีเขาทำกันแบบนี้ ขณะที่ฟังก็ดี ขณะที่ตั้งใจทรงสมาธิจิตก็ดี เขาไม่ให้อารมณ์ส่งไปสู่อารมณ์อื่น รู้จักควบคุมใจของเราให้อยู่เฉพาะกิจที่เราจะพึงทำคือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา เมื่อเรารู้กิจอย่างนี้ขณะที่เราทรงสมาธิจิตตั้งใจทรงความดี เราก็บังคับจิตให้รู้เฉพาะลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้านึกว่า พุท ลมหายใจออกนึกว่า โธ นึกอยู่ควบคุมกำลังอยู่เท่านี้ตามเวลาที่เรากำหนดไว้ เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตเราเข้าไปสู่อารมณ์อื่นนอกจากลมหายใจเข้าออกหรือว่าคำภาวนาว่า พุทโธ ถ้าเราบังคับจิตของเราให้ได้อย่างนี้ไปทุกคราวทุกครั้งที่เจริญพระกรรมฐาน เราจะใช้เวลามากก็ตามเวลาน้อยก็ตาม หรือว่ายามว่างกิจอื่นนั่งอยู่ ยืนอยู่ นอนอยู่ ทำการงานอยู่ อารมณ์ว่างจากอารมณ์อื่นที่จะพึงคิด แล้วก็จิตจับลมหายใจเข้าออกและคำว่า พุทโธให้เป็นปกติ จนกระทั่งให้จิตมีอารมณ์ชินอย่างนี้จิตของเราก็เป็นฌาน หรือว่ายามว่างจากกิจอื่นจิตก็จับ คำ พุทโธ เป็นอารมณ์หรือกำหนดจิตรู้ลมหายใจเข้าออกอย่างนี้ท่านเรียกว่าฌาน
 
แต่นักปฏิบัติพระกรรมฐานที่เอาดีไม่ได้ก็เพราะปล่อยให้จิตไปคบกับอารมณ์ชั่วต่างๆ คือวันทั้งวันไม่ได้น้อมเข้าไปหาความดี ไปมองแต่ความชั่ว อารมณ์ของความชั่วชอบเอาจิตเข้าไปคบ แล้วก็ชอบเอาอารมณ์เข้าไปยุ่งกับกิจของคนอื่น คนนั้นดีแบบนี้คนนี้เลวแบบนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้นคนนี้เป็นอย่างโน้น ไม่ได้มองดูตัวเอง การที่เอาอารมณ์จิตเข้าสู่อารมณ์จิตจริยาของคนอื่น เป็นอารมณ์จิตที่เลว
 
อารมณ์จิตที่ดีนั้น จะต้องเป็นอารมณ์จิตที่ควบคุมอารมณ์ของตนเองกำลังจิตของตนเอง ควบคุมความรู้สึกของตนเองเข้าไว้ ว่าเวลานี้อารมณ์จิตของเราเป็นกุศลหรืออกุศล เช่นเราจะนึกจับใจไว้ว่า เราจะจับลมหายใจเข้าออก เราจะกำหนดคำภาวนา พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ เราคุมอยู่อย่างนี้ได้ตลอดวันหรือเปล่า อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์จิตที่เป็นกุศล การควบคุมกำลังใจรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก รู้คำภาวนาว่า พุทโธ วันหนึ่งถ้าท่านจะทรงได้ ๒๐ นาที หรือ ๑๐ นาที หรือ ๕ นาที ต่อหนึ่งครั้งหนึ่งคราว เพียงเท่านี้ถ้าทำเป็นปกติทุกวัน
 
ตายแล้วก็ไปสู่สวรรค์ได้ พ้นจากอบายภูมิ นี่เป็นความดีที่เราช่วยตัวเองหรือควรจะระมัดระวัง และก็คนที่ควบคุมกำลังจิตได้แบบนี้ เวลาที่มีชีวิตอยู่อารมณ์จิตเป็นสุข ไม่มีอารมณ์กระวนกระวาย ไม่มีความวุ่นวายของจิต เพราะจิตทรงอยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศล นี่เราควรปฏิบัติให้ได้ตามนี้ คือเอาชนะจิต เอาจิตให้ชนะความชั่ว การที่เราเจริญพระกรรมฐานเราทำเพื่อประโยชน์อะไร

กรรมฐานมีอยู่ ๒ แบบ คือ สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา

สมถภาวนาแปลว่าอุบายเป็นเครื่องสงบใจ ทำจิตให้สงบจากอารมณ์ที่เป็นอกุศล คือความชั่ว หมายความว่าป้องกันความชั่วไม่ให้เข้ามาสู่จิต จิตของเราจะไม่ยอมคิดนึกความชั่วอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอันขาด ความชั่วเป็นปัจจัยให้ตกนรก นอกจากตกนรกแล้วก็มาเป็นเปรตอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นคนก็เอาดีไม่ได้ การที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้เราเจริญพระกรรมฐานก็เป็นการให้เราทรงสติสัมปชัญญะ กำหนดไว้แต่เฉพาะให้ความดีอย่างย่อที่กล่าวมาแล้ว คือคำว่า พุทโธ หรือ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าทรงได้อย่างนี้ตลอดกาลตลอดสมัย อย่างเลวเราก็เป็นเทวดา อย่างดีขึ้นไปกว่านั้นเราก็เกิดเป็นพรหม ดีกว่าเป็นมนุษย์เดินตอกแตกๆ อยู่อย่างในสมัยปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบันที่เรามีชีวิตอยู่อารมณ์ใจของเราก็มีความสุข มีความทรงจำดี มีความเฉลียวฉลาด อาจหาญรื่นเริงในการกระทำความดีปราศจากความเศร้าหมองของจิต ทั้งนี้เพราะอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์เข้าสู่ประจำจิตของเรา

ว่ากันด้านสมถภาวนาให้ทรงอารมณ์จิตไว้อย่างนี้โดยเฉพาะ นี่เราจะไปเกณฑ์ ไปถามใครเขาว่าเมื่อไรเราจะได้ดี ขายหน้าชาวบ้านเขา ความดีหรือว่าความชั่ว มันอยู่ที่เราผู้ปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติเอาดีไม่ได้ ก็แสดงว่าเราเลวเกินไป เพราะการเจริญสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาไม่มีการลงทุนอะไร นั่งอยู่เดินอยู่นอนอยู่ทำได้ทั้งนั้นทุกอิริยาบถ ไม่มีการจำกัด เราจะนั่งท่าไหน นอนท่าไหน ยืนท่าไหน เดินแบบไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น เพราะเราควบคุมกำลังใจให้มันทรงอยู่ และอีกประการหนึ่งการเจริญสมถภาวนาเราไม่ต้องการภาพแสงสีใดๆทั้งหมด อาการใดๆจะปรากฏ จะเป็นภาพก็ดีแสงก็ดีเสียงก็ดีที่ปรากฏ เราไม่สนใจ อย่าไปสนใจกับภาพแสงสีหรือเสียงใดๆ ที่ปรากฏ ถ้าหากว่ามีภาพปรากฏเสียงสีหรือแสงปรากฏจะควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้โดยเฉพาะ เสียงอะไรก็ช่าง จะมาอย่างไรก็ช่างเสียง รูปอะไรจะปรากฏก็ช่างรูป เพราะเราต้องการอย่างเดียวคือคำภาวนาหรือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเท่านี้เป็นพอ ถ้าท่านทรงอารมณ์จิตอยู่ได้อย่างนี้ถือว่าอารมณ์จิตเป็นฌาน นี่ว่ากันเฉพาะนักปฏิบัติตอนต้น ที่เขาเจริญพระกรรมฐานให้ทรงอารมณ์ไว้ได้เพียงเท่านี้พอแล้ว

ให้จิตมีกำลังพอดี แล้วก็พยายามทรงให้ได้ทุกวันอย่าสักแต่ว่าทำ อย่าสักแต่ว่าศึกษา ศึกษาไว้ไปที่ไหนก็ถาม ไปที่นี่ถามที่นี่ ไปที่โน่นถามที่โน่น ไปที่ไหนก็ถามที่นั่น เป็นอันว่าจิตของเรามีอารมณ์สอดส่ายไม่เฉพาะจุดอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างนี้ก็ชื่อว่าเอาดีไม่ได้เพราะอารมณ์ของกรรมฐานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน มี ๔๐ กองด้วยกัน ผลที่จะพึงถึงก็คือ เอกัคตารมณ์ การมีอารมณ์เป็นฌานเหมือนกันหมด ที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงสอนไว้มาก ก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของผู้ปฏิบัติ

ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัทในอันดับแรกขอให้ควบคุมกำลังใจ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ ไว้ให้เป็นปกติ ยามว่างมีอารมณ์จิตอย่างนั้นเสมอ ต่อไปพิจารณาดูเวลาว่างจากอารมณ์อื่นอารมณ์จิตก็จับลมหายใจเข้าออกจับคำภาวนาขึ้นมาเฉยๆ ขึ้นชื่อว่าอาการชินของจิต อย่างนี้ท่านเรียกว่าเป็นผู้มีจิตเข้าถึงฌาน เมื่อจิตเข้าถึงฌานได้ท่านจะไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมก็ได้ ที่อื่นก็ได้ตามอัธยาศัย สำหรับบุคคลที่ปฏิบัติมาเก่าเมื่อทำจิตของเราให้ทรงได้ดีแล้ว ก็จงพิจารณาอริยสัจสี่ การที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ในด้านวิปัสสนาญาณ เพราะอริยสัจนี้มีเรื่องที่จะศึกษาจริงๆ ก็มี ๒ อย่าง คือ ทุกข์ กับสมุทัย
 
นี่พิจารณาว่าการเกิดของเรานี่เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ตรงไหน เกิดมาจากครรภ์มารดากระทบอากาศหนัก อยู่ในครรภ์ของมารดามีแต่ความอบอุ่นความสบาย ออกจากครรภ์มารดาใหม่ๆมากระทบกับความร้อนความหนาว ร่างกายแสบทั้งกาย ก็เกิดการร้องจ้าขึ้นมา นี่แสดงว่าร่างกายเป็นทุกข์ ต่อแต่นั้นมาการหิวอาหารก็เป็นอาการของความทุกข์ การปวดอุจจาระปัสสาวะเป็นอาการของความทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นอาการของความทุกข์ ความแก่ชราเข้ามาครอบงำเป็นอาการของความทุกข์ ความตายเข้ามาถึงตัว

ทุกขเวทนาหนักเป็นอาการของความทุกข์ ถ้าเรายังไม่สิ้นความทุกข์เมื่อไรเราต้องไปเกิดใหม่พบกับความทุกข์เข้าอีก เป็นอันว่าความเกิดเป็นของไม่ดีเป็นความทุกข์พระพุทธเจ้าจึงสอนให้คนเราปฏิบัติตนให้พ้นความเกิด กล่าวคือโมกขธรรม ได้แก่ ธรรมเป็นเครื่องพ้น ก่อนที่เราจะปฏิบัติตนให้พ้นจากความทุกข์ก็ต้องรู้จักเหตุให้มันเกิดทุกข์เสียก่อนว่า ความทุกข์มันมาจากไหน เราต้องทำลายเหตุ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงกล่าวว่าเหตุของความทุกข์ได้แก่ ตัณหา คือความทะยานอยาก สิ่งใดที่ยังไม่มี อยากให้มี สิ่งใดที่มีอยู่แล้วอยากให้มันทรงตัว เวลากาลที่มันจะเคลื่อนไปจิตใจก็ไม่อยากให้มันเคลื่อนไปหาทางดึง อย่างนี้เป็นอาการของความทุกข์ สิ่งที่มันไม่มีเราต้องการให้มีขึ้น หมายความว่าเป็นสิ่งที่เราต้องการเกินจากความเป็นจริง ถ้าสิ่งใดที่เป็นไปตามความประสงค์หรือมีความจำเป็นจะต้องกินต้องใช้ ก็แสวงหามาพอกินพอใช้ ไม่ตะเกียกตะกายเกินไป นี่เป็นอาการของความทุกข์เหมือนกัน แต่เป็นความทุกข์ที่อยู่ในขอบเขต

แต่ทุกข์ของตัณหานี่มันยิ่งไปกว่านั้น มีพอกินพอใช้แล้วมันไม่พอ ตะเกียกตะกายอยากให้มันมีมากไปกว่านั้นขึ้นไปเท่าไรก็ไม่รู้จักจบ นี่เป็นอาการของตัณหา การแสวงหาเลี้ยงชีพตามธรรมดาถือเป็นปกติในการทรงชีพเป็นสัมมาอาชีวะ อย่างนี้ไม่จัดว่าเป็นตัณหาใหญ่ ถ้าจะเป็นก็เป็นตัณหาเล็ก ตัณหาเล็กๆไม่มีโทษมากนัก ถ้าจะว่าการแสวงหานั้นได้มาจากการทุจริตมันก็เป็นภัยใหญ่ องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงบอกให้ตัดความอยากเสีย ในเมื่อเรายังทรงชีวิตอยู่การหากินต้องมีเป็นของธรรมดา พระพุทธเจ้าไม่ทรงปฏิเสธการหากินหาเลี้ยงครอบครัวและบริวารตามความจำเป็น ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เราพึงปฏิบัติ เราจะไม่ติดในมันจนเกินไป เราคิดว่าหามาได้แล้วก็แล้วกันไป มีกินมีใช้ไปวันหนึ่งก็พอ หรือว่ามันจะเหลือกินเหลือใช้ก็ตามที คิดว่านี่เราทำตามหน้าที่เท่านั้น เราจะไม่มีอารมณ์ผูกพันใดๆทั้งหมดและคิดไว้เสมอว่าทรัพย์ที่เราหามาได้ทั้งหมดเราตายแล้วมันก็เลิกกันไป เราไม่สามารถจะแบกไปโลกอื่นได้

การจะตัดอำนาจความอยากมันจะตัดได้ในตอนไหน

ก็ต้องมาพิจารณาสักกายทิฏฐิ คือพิจารณาร่างกายว่าร่างกายของเรานี่มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ที่จริงร่างกายของเรานี่มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ เข้ามาประชุมกัน คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มันทรงตัวอยู่ชั่วคราว ไม่ช้ามันก็จะสลายไป ร่างกายมีอุปมาประดุจหนึ่งดังบ้านเช่า เราอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น เช่าอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อถึงกาล ถึงสมัย หรือเมื่อหมดอายุแห่งการเช่าเราก็ต้องไป เราคือจิตที่มาสถิตอยู่ในร่างกาย เมื่อร่างกายมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเหมือนบ้านเช่าชั่วคราว เราจะมาปรารถนาความเกิดเพื่ออะไร ถ้าเราไม่ปรารถนาความเกิดก็แสดงว่า เราไม่ปรารถนาความอยากคือตัณหา ถ้าเราจะเกิดอีกมันก็มีทุกข์อย่างนี้ จะพบกับบ้านเช่าที่ไม่มีการทรงตัว

เราจะไม่ต้องการความเกิดอีกเราจะทำอย่างไร เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นของจริงหรือของไม่จริง ถ้าจริงเราก็เชื่อพระพุทธเจ้าได้ และคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ทานเป็นปัจจัยตัดความโลภ คือสร้างมิตร ศีลเป็นปัจจัยตัดความโกรธ การใช้ปัญญาพิจารณาตัดขันธ์ห้าคือร่างกายที่ผูกพันในการเกิดต่อไป การติดความหลงนี่มันจริงหรือไม่จริง ถ้าเรามีปัญญาพิจารณาเห็นว่าจริงแล้วเราก็เชื่อว่าเรามีความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย อย่างนี้เป็นปัจจัยอีกอันหนึ่งที่จะทำให้เราไม่เกิด แต่ว่าเรามาเชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องปฏิบัติตามด้วย วิธีที่จะปฏิบัติตามในขั้นต่อไปก็ต้องมีการรักษาศีลห้าให้เป็นปกติ เราจะไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงบุคคลอื่นทำลายศีล และไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีล มีความเมาในร่างกายน้อยลงไป เห็นว่าเราต้องตายเป็นปกติ มีความเคารพในพระรัตนตรัย มีศีลห้าบริสุทธิ์ทั้ง ๒ ประการนี้ถ้าทรงไว้ให้ได้ตลอดกาลตลอดสมัย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงกล่าวว่าเป็นโสดาปฏิผลหรือว่าสกิทาคามีผล เป็นพระอริยเจ้า อันนี้ก็เป็นของไม่ยาก เมื่อเป็นพระอริยเจ้า พระโสดาและพระสกิทาคาก็ยังต้องมีความเกิด แต่ว่าเกิดน้อยลง เกิดเฉพาะสวรรค์กับมนุษย์หรือว่าพรหมกับมนุษย์ ไม่ต้องลงอบายภูมิ การที่จะมีความเกิดอยู่แบบนี้ มันก็ยังไม่มีความสุข มันก็ยังต้องการตัดทุกข์ให้มันสิ้นไป

ในข้อต่อไปองค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแนะนำให้ตัดกามราคะ ความต้องการในเพศเสีย เพราะความต้องการในร่างกายของบุคคลอื่นมีความกำหนัดยินดีในร่างกายบุคคลอื่น นี่เป็นความโง่ของบุคคลที่มีกิเลสเข้าถึงใจ เพราะการมีคู่ครองไม่ใช่ปัจจัยของความสุข ไม่ใช่เป็นเหตุนำมาซึ่งความสุข มันเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ คนเราจะต้องแบกภาระจากคู่ครอง บิดามารดาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของคู่ครองอีกมากมาย สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่จิตใจและร่างกายของเราไม่ให้เป็นอิสรภาพ ต้องอยู่ในขอบเขต การแสวงหาคู่ครองเราก็ดูแล้วดูอีก ว่าเป็นคนที่มีความเมาะสมมีหน้ามีตาทรวดทรงเป็นที่น่ารัก แต่ว่าคู่ครองของเราก็ดีเราเองก็ดี มันไม่ทรงอยู่ตามนั่น ไม่ช้าความเหี่ยวแห้งมันก็ปรากฏ ความทรุดโทรมมันก็ปรากฏ ความทุกข์มันก็แบกหนักเข้ามาเป็นภาระใหญ่

นี่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงแนะนำว่าถ้าเราไม่ต้องการความเกิด ก็ให้ตัดอารมณ์ความกำหนัดยินดีในการมีคู่ครองเสียโดยการพิจารณาร่างกายคือเรียกว่ากายคตาสติกรรมฐาน เห็นว่าร่างกายของเรานี้เป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นอันเต็มไปด้วยอาการ ๓๒ มีความสกปรกเป็นปกติ หาความดีอะไรไม่ได้ เมื่อขณะที่ทรงกายอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ขณะที่ทรงกายอยู่ความสกปรกมันก็ปรากฏ ถ้าเราไม่อาบน้ำสัก ๒-๓ วันร่างกายก็จะเหม็นสาบทนไม่ไหว และทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายที่หลั่งไหลออกมา เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ ก็เป็นที่รังเกียจของเราเอง นี่แสดงว่าร่างกายของเราภายในเต็มไปด้วยความสกปรกอย่างยิ่ง

ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงพิจารณาว่าร่างกายของเราเหมือนกับอสุภคือศพ และเหมือนกับศพที่ตายแล้ว คือความจริงมันยังไม่ตาย ร่างกายเหมือนผีเดินได้ เพราะข้างในมันสกปรก น้ำลายเวลาเราอมอยู่ในปาก เรากลืนได้อมได้ แต่ว่าเวลาบ้วนออกมาเราไม่กล้าจะเอามือแตะเพราะรังเกียจน้ำลาย น้ำลายของเรามันอยู่ที่ไหนความจริงมันก็อยู่ในร่างกายของเรานั่นเอง พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาร่างกายเทียบกับศพที่ตายแล้วหนึ่งวัน สองวัน สามวัน สี่วัน ห้าวัน มันขึ้นอืด ขึ้นมามีน้ำเหลืองไหลและเต็มไปด้วยความน่าเกลียด ความสกปรกทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ได้มีมาใหม่ มันอยู่ในร่างกายของเรา ขณะเมื่อร่างกายมีจิตใจควบคุมมันก็ปกปิดเข้าไว้ ความสกปรกหลั่งไหลมาไม่ได้ทุกอย่าง แต่ว่ามันจะระบายของที่คั่งมาได้เพียงอุจจาระปัสสาวะเท่านั้น มันบังคับไม่ได้หลั่งไหลมาให้เราดู
 
นี่องค์สมเด็จพระบรมครูให้พิจารณาร่างกายของเราก็ดีของบุคคลอื่นก็ดีว่าเต็มไปด้วยความสกปรกความโสโครกเป็นของน่าเกลียด ทำจิตใตให้เป็นนิพพิทาญาณความเบื่อหน่ายในร่างกายของเราเองและของบุคคลอื่น จนกระทั่งเรามีความสะอิดสะเอียนเห็นหน้าคนก็เหมือนกับเราเห็นซากศพ จิตใจมีความเบื่อหน่ายไม่มีความผูกพันในร่างกายของเราและบุคคลอื่น เราจะเข้าจุดจบของกรรมฐานกองนี้ได้อย่างไร เราจะพิจารณาดูร่างกายของเราว่ากามราคะคืออารมณ์ของเพศจะไม่ปรากฎในจิต เห็นคนก็เหมือนกับเห็นไม้ท่อนวางไว้ในกลางป่าไร้ค่าสำหรับการสัมผัส ความต้องการในเพศไม่มี ถ้าทำถึงแบบนี้ก็เท่ากับท่านก้าวสู่ความเป็นพระอนาคามีอันดับที่ ๑ อันดับที่ ๒ พระพุทธเจ้าทรงให้ระงับโทสะ ความพยาบาทด้วยการเจริญพรหมวิหารสี่มีเมตตาเป็นต้น มีจิตคิดให้อภัยแก่คนและสัตว์ที่กระทำความผิด

คิดเสียว่าคนที่เขากระทำความชั่วนั่นเป็นเพราะเขาทำด้วยความเข้าใจผิดคิดไม่ถึงว่าการที่ทำอย่างนั้นมันจะเป็นความชั่ว เข้าใจว่าเป็นความดี มีการให้อภัยเป็นปกติจนกระทั่งอารมณ์อย่างนี้เป็นปกติ ใครเขาจะด่าจะว่าไม่รู้สึกโกรธไม่รู้สึกเกลียด เห็นว่าเป็นของธรรมดา เมื่อจิตใจของท่านละจากกามคุณและความโกรธเสียได้อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวว่าท่านถึงความเป็นพระอนาคามี

แต่ความรู้สึกที่จะมีอย่างนี้ได้ก็ต้องอาศัยสักกายทิฏฐิคือนั่งพิจารณาว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเป็นของธรรมดาควบคุมกันอยู่ ร่างกายนี้ความจริงไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ต่างคนต่างถือบ้านเช่าเป็นของตัวชั่วคราว แต่บ้านเช่าหลังนี้เต็มไปด้วยความสกปรก ความโสโครก มีกลิ่น มีไอ มีสาบ มีสาง เหม็นเลอะเทอะ เป็นสิ่งน่าเกลียด เราก็มีความเบื่อหน่ายขึ้นมาเอง ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ แล้วเราก็มีเมตตาบารมี มีจิตสงเคราะห์และสงสารบุคคลอื่นและสัตว์อื่นที่เขาทำความชั่วแทนที่จะทำตัวเป็นศัตรู กลับจะมีจิตคิดสงสารปรารถนาจะสงเคราะห์เขาให้มีความสุขจะแนะนำให้เข้าทางตรงมีจิตประสงค์ในด้านเมตตาบารมีอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นพระอนาคามี ถ้าท่านทรงความเป็นพระอนาคามีได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่าตายจากชาตินี้ไปแล้วเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เสวยความสุขในฐานะเป็นเทวดาหรือพรหมเมื่อถึงกาลเมื่อถึงสมัยก็นิพพานบนนั้น

สำหรับวันนี้ก็จะขอแนะนำแต่เพียงเท่านี้เพราะใช้เวลามากเกินไป ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลาเป็นเวลาอุทิศส่วนกุศล



หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 24 กรกฎาคม 2558 14:52:00
.

(http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/06/Y6682915/Y6682915-0.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๒๑ เตือนพระ

ทุกข์จากความร้อน ความกระหาย จากการป่วยไข้ไม่สบาย ความแก่เฒ่าเข้ามารบกวน ความปรารถนาไม่สมหวัง นี่เป็นอาการของความทุกข์ทั้งหมด ทีนี้ถ้าเราเกิดแล้วเราก็ต้องทุกข์ ถ้าเราตายไปแล้วจะต้องเกิดใหม่มันก็เป็นทุกข์อีก การที่เราจะหนีความทุกข์ที่เรามาปฏิบัติความดีกันนี่ เรามาปฏิบัติเพื่อหนีทุกข์ เราจะพ้นจากความทุกข์ได้ก็ต้องถึงพระนิพพานเป็นสำคัญ แต่ถ้าขณะใดที่จิตใจของเรายังเข้าไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด เราก็เป็นผู้ไม่พ้นจากความทุกข์

การที่จะทำจิตใจของเราให้เข้าถึงพระนิพพานมันก็เป็นของไม่ยาก

พยายามตัดอารมณ์ของความชั่วให้หมด ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ใดเป็นปัจจัยของความชั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราเห็นกันง่ายๆ ก็อารมณ์ที่มีการฝ่าฝืนศีล ๕ ประการ ศีล ๕ ประการนี้จัดว่าเป็นสภาวะคือเป็นอารมณ์ของความดี ถ้าหากว่าละเมิดศีลห้าประการข้อใดข้อหนึ่งก็ตามที นั่นชื่อว่าเราสร้างความชั่วให้เกิดขึ้นกับจิต ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหมด พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าจงพยายามละเสีย คือการละด้วยกำลังของจิต เมื่อจิตเราละความชั่วแล้ว กาย วาจา ทั้ง๒ประการมันต้องละด้วย เพราะกายวาจานี่จะทำหรือจะพูด พูดไปตามจิตสั่ง ถ้าจิตสั่งดีวาจาก็พูดดี กายก็ทำดี ถ้าจิตสั่งชั่วกายก็ทำชั่ว วาจาก็พูดชั่ว นี่เรามานั่งคุมกำลังที่ใจของเรา เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์

การเจริญพระกรรมฐานเขาทำกันแบบนี้ ไม่ใช่สักแต่เพียงว่าทำกัน

ทำกันเป็นปีๆเอาดีอะไรกันไม่ได้ก็เพราะว่าใจเลว ตัวอย่างในสมัยองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เขาฟังเทศน์กันจบเดียวเขาก็เป็นพระอรหันต์บ้าง ฟังเทศน์จบเดียวก็เข้าป่าไปฝึกปฏิบัติรวบรวมกำลังใจตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ไม่ช้านานเท่าไรเขาก็เป็นพระอรหันต์กันหมด เขาไม่มานั่งฟังกันทุกวันๆ อย่างกับเราทั้งหลายที่ฟังกัน ดีไม่ดีฟังไปฟังมาเลยกลายเป็นของธรรมดาไป ผลที่ฟังไม่ได้ปฏิบัติ ทิ้งไปเสีย ปฏิบัติแต่ความชั่วเข้ามาแทน
 
คนเราจะดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่ใจ ถ้าใจมีสภาพจำเสียอย่างเดียวมันก็ไม่มีความชั่ว ความชั่วที่จะมีกับเราได้ก็เพราะอาศัยใจไม่จำ ดูตัวอย่างพระราธะ บวชต่อเมื่อวัยแก่ ขอพระกรรมฐานพระพุทธเจ้ายันพระนิพพาน พระพุทธเจ้าสอนแค่เพียงย่อๆ ท่านก็ไปอยู่กับพระสารีบุตร ไม่ทันจะถึงพรรษาท่านก็เป็นอรหัตผล นี่เขาทำกันอย่างไร วิธีทำได้แบบนั้นก็เพราะจิตมันมีสภาพจำ จำแล้วก็นำไปประพฤติปฏิบัติ คือว่าทำหูของเราให้มันเป็นหูเนื้อ ไม่ใช่ทำตาเป็นตากระทู้ หูเป็นหูกระทะ ไอ้ตากระทู้น่ะตามันมาก แต่มันมองไม่เห็นอะไร หูกระทะมันใหญ่แต่ฟังอะไรไม่ได้ยิน สภาพของหูเรามันต้องเป็นหูเนื้อ ตาเนื้อมองเห็นได้ ฟังอะไรได้ยินได้ และจิตมีสภาพจำ ที่ว่าจำแล้วนั้นจำอย่างไร นี่เราพูดกันมานาน สำหรับพวกนักปฏิบัติที่มาใหม่จำไว้ด้วยว่า
 
๑.เราต้องเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ จำแล้วก็นำไปปฏิบัติว่าจะไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้ใครเขาทำลายศีล ไม่ยินดีในเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว นี่ฟังกันเพียงแค่จบเดียวก็ต้องจำกันไปเลย ฆราวาสก็มีศีล ๕ พระมีศีล ๒๒๗ สำหรับพระที่มีจริยาไม่ดี ก็เพราะว่ามีศีล ๒๒๗ไม่ครบถ้วน ถ้าศีล ๒๒๗ นี่พูดให้ฟังกันทุกวันไม่กี่วันมันก็จบ ย้อนกันไปย้อนกันมา ถ้ายังมีจริยาไม่ดีก็แสดงว่ามันเลวเกินไป ไม่สมควรกับผ้ากาสาวพัสตร์

๒.มีสมาธิตั้งมั่น ถ้าจิตมีสภาพจำ ตัวจำนี่เป็นตัวสมาธิ เป็นของง่ายๆ จำอย่างไร จำว่าจะไม่ละเมิดศีล นี่เป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่จะทำให้เราเข้าถึงพระนิพพาน ประการที่สองนี้ อารมณ์จิตจำสภาวะของศีลไว้ รักษาอารมณ์ของศีลให้ครบถ้วน เพราะว่าถ้าศีลมีอารมณ์ครบถ้วนและปฏิบัติได้ครบถ้วนจริงๆ เราก็ตัดอบายภูมิ เราไม่ไปเกิดในนรก นี่เป็นผลอันหนึ่งที่จิตมีสภาพจำศีลและก็ปฏิบัติในศีล ถ้าอารมณ์มันทรงอยู่ในศีลบริสุทธิ์ได้ก็ชื่อว่ามีจิตเป็นสมาธิ เมื่อจิตมีสมาธิ จิตเป็นกำลัง ก็ใช้ปัญญาช่วยให้เราทำลายความทุกข์ให้หมดไป อาการจิตมีสภาพจำศีล และก็ทรงศีลให้บริสุทธิ์มีสมาธิในสีลานุสสติกรรมฐาน นี่มันก็ยังไม่ถึงพระนิพพาน แต่ว่าใกล้เข้าไปแล้ว ถ้าจิตทรงศีลได้เป็นสมาธิเราก็เกิดเป็นพรหมได้ จัดว่าเป็นพรหมจรรย์ เพราะเรามีความประพฤติอย่างพรหม มีธรรมปีติเป็นปกติ

ทีนี้การที่เราจะก้าวเข้าสู่พระนิพพานตัวนี้ต้องใช้ปัญญา

ตัวปัญญานี่ความจริงก็หาไม่ยาก แต่ว่าสภาพจิตน่ะมีสภาพจำหรือเปล่า ถ้าเรามีสันดานไม่จำละมันก็ลงนรกทั้งนั้นเหมือนกันหมด ไม่มีใครเหลือ กรรมเล็ก กรรมใหญ่ การแนะนำพร่ำสอนตามกระแสพระสัทธรรมเทศานาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเรื่องของศีล ในเรื่องของสมาธิ ในเรื่องของปัญญา เราพูดกันมาจนน่าเบื่อ พูดกันจนเป็นของธรรมดาไป สิ่งสภาพวัตถุทั้งหลายของสงฆ์ถูกทำลาย ไม่มีใครมอง นี่แสดงว่าจิตมันมีสภาพไม่จำ พอใจในอบายภูมิ อยากลงนรกกันดี อยากจะไปอเวจี หรืออยากจะไปโลกันต์ก็ไปตามอัธยาศัย ดูตัวอย่างพระเทวทัตเป็นสำคัญ อยู่ในสำนักขององค์พระจอมไตรบรมศาสดาก็มีสันดานชั่วๆ แบบนี้จึงได้ไปอเวจีมหานรก นี่ถ้าเราปรารถนาจะไปพระนิพพานจิตเราจำหรือเปล่า พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส เป็นต้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ ทีนี้จิตของเราก็มองเห็นอยู่ ตาเราถ้าเรามีตาเนื้อเราก็จะเห็นสภาของคนที่เกิดมาก่อนเรา ก็แก่ไปกว่าเรา
 
ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ เมื่อความป่วยไข้ไม่สบายปรากฏ มันก็มีอยู่แล้วให้เราเห็น ตัวเรามันก็ป่วย ตัวเราก็แก่ เด็กก็แก่ลงทุกวัน ผู้ใหญ่ก็แก่ลงทุกวัน
มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ ชาวบ้านชาวเมืองเขาก็ตายให้เราดูอยู่ทุกวัน นี่สภาพจิตเราจำบ้างหรือเปล่า เคยนึกบ้างไหมว่าสภาพของเราจะเป็นอย่างนั้นฃ
 
แล้วก็เรามีสภาพจำบ้างหรือเปล่าว่าเราเกิดมาได้กี่วันแล้วมันเต็มไปด้วยความทุกข์ ตั้งแต่วันเกิดมาถึงวันนี้มันมีความสุขบ้างหรือเปล่า ถ้าเรานึกว่าชีวิตของเราวันใดวันหนึ่งมีความสุขก็แสดงว่าจิตใจของเราพอใจในอบายภูมิ เพราะมันหลอกตัวเอง มันไม่มีปัญญา ถ้าเรามีปัญญาจริงๆ เราจะเห็นว่าตอนตื่นขึ้นมาเช้าๆ น่ะไม่ได้ล้างหน้ามันก็เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความทุกข์เขาแปลว่า ความไม่สบายกายไม่สบายใจ หน้ามันกรังหน้าตาเกรอะกรังฟันไม่ได้แปรง เราไม่สบายกายไม่สบายใจ นี่เป็นอาการของความทุกข์ จิตจำหรือเปล่า เราตื่นขึ้นมาแล้วก็ต้องเข้าห้องน้ำ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ การปวดอุจจาระปัสสาวะเป็นอาการของความทุกข์ไม่ใช่ความสุข ดิ้นรนด้วยประการทั้งปวง ถ้าหาที่ถ่ายไม่ได้มันก็มีอาการกระสับกระส่ายเสียดแทงด้วยประการทั้งปวง

นี่เป็นอาการของความทุกข์ จิตจำหรือเปล่า

หรือว่าอยากจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ พอถ่ายแล้วก็สบายใจ ถือว่ามันเป็นความสุข การถ่ายครั้งหนึ่งพอแล้วหรือยังในชีวิตเรา มันมีตลอดวัน จัดเป็นนิพัทธทุกข์ ทำไมเราจึงไม่จำกัน นี่คนที่เขาจะไปนิพพานเขาจำหมด เมื่อถ่ายอุจจาระปัสสาวะแล้ว สิ่งอื่นที่จะต้องมีมาคือ หิวข้าว อยากกินอาหาร ความหิวข้าวมาเบียดเบียน ตัวความหิวความกระหายเป็นอาการของความทุกข์ ถ้าไม่ได้กินก็มีอาการเสียดแทงตลอดเวลา ทีนี้ถ้าเรากินอิ่มเดียวมันอิ่มตลอดชีวิตไหม มันก็ไม่ตลอดชีวิต วันหนึ่งกินหลายครั้ง หลายหิว หิวกี่ครั้งก็ทุกข์เท่านั้น อยากกี่ครั้งก็ทุกข์เท่านั้น แล้วกินไปจนตายมันก็ไม่เลิกกิน ถ้ามันยังไม่ตายมันก็กินต่อไป ขึ้นชื่อว่าความทุกข์ มันมีอยู่ประจำทุกวัน สภาพจิตของเรามองเห็นกันบ้างหรือเปล่า จิตของเรามองไม่เห็นก็แสดงว่าจิตของเราเป็นจิตที่ไร้ปัญญา นี่ทุกข์มีจริงแต่เราไม่เคยมองเห็นความทุกข์ ถ้าเรามองเห็นความทุกข์แล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง

ทุกข์นี่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าอริยสัจ ความจริงที่พระอริยเจ้าเข้าถึง

และความจริงที่จะทำให้บุคคลเป็นพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าทุกท่านที่ทำให้เป็นพระอริยเจ้าได้เพราะเห็นทุกข์เป็นสำคัญ รู้อาการเกิดมานี้มันก็มีความทุกข์ทุกลมหายใจเข้าออก นี่มันตัวทุกข์ ถ้าเราเกิดต่อไปข้างหน้าอีก ทุกข์แบบนี้จะเกิดไปอีกกี่แสนชาติกี่แสนกัป มันมีเท่านี้แหละทุกข์แบบนี้เหมือนกัน ถ้าเราไม่ต้องการเกิด เราต้องการพระนิพพาน เราก็เดินเข้าไปหาว่าอะไรเป็นปัจจัยของความทุกข์ เหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ได้แก่ ตัณหา คือความอยาก อยากตะเกียกตะกาย อยากจะเกิดอีก อยากจะให้ชิวิตมันทรงอยู่ ไม่อยากจะให้มันตายต่อไป หรือว่าเกิดแล้วก็อยากจะให้มันทรงตัว ไม่อยากจะแก่ ไม่อยากจะตาย ความแก่เข้ามาถึงความตายเข้ามาถึงก็ดิ้นรน อยากจะให้พ้นความแก่ความตาย

ตัวอยากนี่มันเป็นตัวโง่ ตัดตัวปัญญา ไม่ใช่ตัวปัญญา ตัวของอบายภูมิ เราจะเข้าถึงพระนิพพานได้เราก็ต้องตัดตัวอยาก คือความโง่เสีย มันอยากอะไรที่เราพึงตัด เราก็ตัดความอยากเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม เกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ เราไม่เอา เราจะไปพระนิพพาน คนที่ไปพระนิพพานเขาทำกันอย่างไร ก็มีเหตุอยู่ ๓ อย่างเท่านั้นที่จะไปพระนิพพานได้ คือ

หนึ่ง รู้จักให้ทาน การให้ทานทำลายโลภะ ความโลภ เราให้ทานเพื่อเป็นการตัดกิเลส ไม่ใช่ให้ทานเพื่อหวังผลตอบแทน ให้แล้วก็ให้ไปเลย เป็นการตัดความโลภที่อยู่ในจิต

ประการที่สอง เรามีศีลบริสุทธิ์ด้วยอำนาจของพรหมวิหารสี่ ถ้าเรามีพรหมวิหารสี่ ศีลเราบริสุทธิ์ ถ้าเราไม่มีพรหมวิหารสี่ ศีลก็ไม่บริสุทธิ์ นี่ทั้งพระทั้งเณรทั้งฆราวาสเหมือนกัน พระมีสิกขาบทถึง ๒๒๗ ที่ต้องปฏิบัติ แต่ความจริงมีมากกว่านั้น ถ้าปฏิบัติศีลได้ครบ ๒๒๗สิกขาบท เรื่องที่ต้องว่าต้องตักเตือนกันไม่มี ไม่มีจุดบกพร่องอะไรสักนิดหนึ่ง หาข้อตำหนิติเตียนกันไม่ได้เลย ที่เราเป็นผู้เผลออยู่ก็เพราะเราไม่มีศีล ก็ต้องพูดว่าเป็นนักบวชที่ไม่มีศีล ถ้าศีลพร่องก็แสดงว่าไม่มี ไม่มีแล้วเป็นอะไร เป็นฆราวาส สิกขาบททั้ง ๒๒๗ นี้ละเอียดละออพอแล้ว ถ้าเราเคารพและปฏิบัติทั้งหมดนี่ก็ไม่มีเรื่องที่จะต้องเกรงกันเลย สบาย และไปนิพพานง่าย ช่องว่างที่จะไปอบายภูมิสำหรับพระไม่มี ถ้ามีความเคารพในสิกขาบททั้ง ๒๒๗ แต่ว่าที่เรามีช่องว่าง เปิดช่องโหว่ให้อาบัติมันกิน ก็แสดงว่าใจเราไม่รักศีล เมื่อใจไม่รักศีล ศีลก็ไม่มีในใจ ก็เหลือแต่เปลือก ถ้าเหลือแต่เปลือกแล้วยังครองผ้ากาสาวพัสตร์ก็มีอเวจีเป็นที่ไป เป็นอันว่าเราต้องการจะไปพระนิพพาน ในเมื่อเรามีพรหมวิหารทั้ง ๔ ประการศีลก็ตั้งมั่น ศีลตั้งมั่นจิตทรงพรหมวิหารสี่ เรียกว่าจิตที่ทรงสมาธิ นี่อารมณ์เยือกเย็นมีความสบาย มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เพราะใจเย็น คนที่ไร้สติสัมปชัญญะ ขาดละเมิดสิกขาบทต่างๆ เพราะขาดพรหมวิหารสี่ จิตมันร้อน มันถูกไฟนรกเผาใจ มันคิดไม่ออก นึกไม่ได้จำไม่ได้เพราะไฟนรกมันเผาใจ เมื่อจิตเราทรงพรหมวิหารสี่ได้ปกติ ศีลก็บริสุทธิ์

การทรงพรหมวิหารสี่นี่ตัด เป็นการตัดโทสะและพยาบาท เป็นกิเลสตัวที่สองที่เราจะเข้าพระนิพพาน เราจะพังมันได้ด้วยอำนาจพรหมวิหารสี่ พรหมวิหารสี่ของคนไหนจะบกพร่อง ดูกันแค่ศีล ดูศีลเท่านั้นแหละพอ ถ้าศีลบกพร่องละก็พรหมวิหารสี่ไม่มี ถ้าพรหมวิหารสี่ไม่มีทำอย่างไร ก็ไปนรก ถ้าพรหมวิหารสี่ครบถ้วน ศีลไม่บกพร่อง แสดงว่าจิตคนนั้นเป็นสมาธิ มีอารมณ์ตั้งมั่น มีความเยือกเย็น การเจริญสมาธิเราต้องการอย่างเดียว คือ อารมณ์เยือกเย็นของใจ ในเมื่อใจเย็น ไฟนรกไม่เผา ความสบายใจก็เกิด ตัวปัญญาเกิดเพราะอารมณ์จิตเย็น ที่ปัญญาไม่เกิดเพราะอารมณ์จิตร้อน เหมือนกับคนที่ถูกแดดเผาจัดๆ ร้อนก็คิดอะไรไม่ออก ถ้าอารมณ์ใจเย็นเหมือนนั่งเย็นๆ สบายเมื่อนั่งในห้องแอร์ สมองโปร่ง

ข้อนี้อุปมาฉันใด จิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าถูกกิเลส ไฟคือ ราคัคคิ ไฟคือราคะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ ไฟกิเลสทั้งสามประการนี้เผาให้เร่าร้อน ก็คิดอะไรไม่ออก ไฟสามกองนี้เผาอย่างไร มันเผาแทนไฟนรก ถ้าถูกเจ้าไฟสามกองเผา มันเร่าร้อนในขณะที่เป็นอยู่ ตายแล้วก็ดิ่งลงนรกไป เขาเรียกว่าไฟนรก

เมื่ออารมณ์จิตสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด เกิดอย่างไร คนนั่งสบายๆ มีอารมณ์สบายก็มองเห็นได้เลยว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของมีจริง และโลกนี้ทั้งโลกหรือโลกไหนก็ตาม ถ้ามีเกิดอีกก็เต็มไปด้วยความทุกข์ จะหลบไปเป็นเทวดาหรือพรหมก็หลบได้ชั่วคราว หลบไปไม่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย หมดบุญวาสนาจากเทวดาและพรหม ก็ลงมาเกิดเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ไม่เป็นเรื่อง เราไม่เอา ตัดสินใจเด็ดขาด ขึ้นชื่อว่าความเกิดต่อไปไม่มีสำหรับเรา เราไม่ต้องการความเป็นคน ไม่ต้องการความเป็นเทวดา ไม่ต้องการความเป็นพรหม เราต้องการเฉพาะพระนิพพาน เราจะไม่มัวเมาในชีวิต เราจะไม่มัวเมาในทรัพย์สิน ถือว่าชีวิตและทรัพย์สินไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ตายแล้วร่างกายก็จมอยู่กับพื้นดิน ทรัพย์สมบัติเราก็เอาไปกับเราไม่ได้ ขณะมีชีวิตอยู่เราก็ทรงกายอยู่ ทรงเข้าไว้เพื่อรักษาไว้ชั่วขณะ ตายแล้วก็แล้วกันไป ตัดความห่วงเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เลิก อยู่ก็ต้องทำมาหากิน แต่ว่าทำมาหากิน เมื่อตายแล้วมันจะไปไหนก็ช่างมันไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ห่วงอย่างไร เราไม่ต้องการร่างกายคือขันธ์ห้าต่อไปอีก ไม่เอาอีกแล้ว ขันธ์ห้าคือร่างกายที่เป็นคนก็ดี ขันธ์ทิพย์ คือร่างกายที่เป็นเทวดาหรือร่างกายที่เป็นพรหมก็ดี เราไม่เอา ตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่าเราไม่ต้องการ เราต้องการอย่างเดียว คือพระนิพพาน

เห็นใครเขาตาย ก็นึกว่าไม่ช้าเราต้องตายอย่างเขา เห็นใครเขาแก่ ก็นึกว่าไม่ช้าเราก็ต้องแก่ตามเขา เห็นใครเขาป่วย ก็นึกว่าไม่ช้าเราก็ป่วยตามเขา ถ้ามันตายแล้วไปไหนก็นึกว่าช่างมันไม่เอาอีกแล้ว ความเกิดที่เต็มไปด้วยความระยำ เต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการอย่างเดียว คือแดนพระนิพพาน เป็นแดนอมตะ ไม่มีความแก่ ไม่มีความเจ็บ ไม่มีความป่วยไข้ ไม่มีความไม่สบาย ไม่มีทุกข์แม้แต่เท่าขี้เล็บ ไม่มีทุกข์เลยในแดนพระนิพพาน

เราตั้งใจตรงไว้เฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว นี่จิตของเราแปลงจริงๆ พระนิพพานไปง่ายๆ เหมือนพระโคธิกะ จิตท่านปลงโดยเฉพาะตายแล้วไปพระนิพพาน ไปไม่ยากพระนิพพานไปง่ายๆ แต่ว่าขอให้ทำจิตของเราให้มีสภาพจำ หูของเราเป็นหูคน ตาของเราเป็นตาคน ใช้ได้ ถ้าหูเป็นหูกระทะ ก็ไม่ไหว ไปไม่ได้ นี่ปรับปรุงกายปรับปรุงใจให้ดี ความบกพร่องในสำนักของเรายังมีอยู่มาก เกินพอดีไป คือว่าคำสอนมีอยู่ทุกๆวัน วันละ ๓ เวลา แต่ว่าจุดบกพร่อง อารมณ์จิตบกพร่อง จริยาบกพร่องนี่มีอยู่มาก มากเกินกว่ามนสำนักต่างๆ ในสมัยโบราณที่เขาปฏิบัติกัน โดยมากเขาไม่ได้รับการสอนกันทุกวันเหมือนที่นี่และหลายเวลาแบบนี้ เดือนหนึ่ง สองเดือน หรือว่าครึ่งเดือน จึงจะรับคำสอนจากครูอาจารย์สักครั้งหนึ่งเมื่อเวลาจำเป็น มิฉะนั้น เขาสอนกันรวดเดียว ต่างคนต่างทำกัน และผลที่สุดท่านก็เอาดีกันไปได้ แต่ว่าของเราสอนมากเกินไป ออกจะมีความประมาท จะรู้ได้อย่างไร จะรู้ได้
ประการที่ ๑ จริยา แสดงออกมาบางทีไม่ใช่จริยาของพระ
ประการที่ ๒ ทรัพย์สินของสงฆ์ เตือนกันแล้วเตือนกันอีก แต่ว่ายังพบหล่นเรี่ยราดเสียหายกันอยู่นั่นแหละ ไม่มีใครสนใจ นี่แสดงว่าจิตใจของเราไม่มีสภาพจำ นี่ปรับปรุงตัว ปรับปรุงใจเสียให้ทัน ไม่อย่างนั้นจะลงโลกันต์ไปเสียก่อน

ทำสัญญาเป็นสัญญาดื้อ ทำสัญญาเป็นสัญญาด้าน ทำจิตเป็นจิตบอด ผลที่สุดจะเห็นทางไปสวรรค์ เห็นทางไปพรหม เห็นทางไปพระนิพพานได้อย่างไร ต้องทำสัญญาเป็นต้นว่าสัญญาที่มีความสว่างไสว มีความระมัดระวัง มีความรู้สึกอยู่เสมอ พระธรรมวินัยฟังกันทุกวัน วินัยนี่น่าจะคล่องกันทุกองค์ แต่เปล่า กลับเป็นคล่องไม่จำเสียนี่ ไม่ใช่คล่องจำ ต่อแต่นี้ไปก็ตั้งใจสำรวมกันเสียให้ดี ไม่น่าจะเตือนกันนะ เรื่องพรรค์นี้ไม่น่าจะต้องเตือน ฟังกันทุกวันยังจะต้องเตือนกัน นี่เราลงโทษตัวเรา พิจารณาตัวเอง โดยนั่งนึกว่านี่เราเลวมาแล้วเท่าไร ไปบวกความดีที่จะมีมาข้างหน้าได้ไหม แต่ถ้าศีลบกพร่องไปสวรรค์ไม่ได้ มาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ ปรับปรุงเสียให้ทันนะ อย่าทำตนให้เสียโดยคะนองเกินไป จริยาคะนองเกินไป แสดงว่าใจมันเลว มีสภาพไม่จำ

เอาละต่อแต่นี้ไป ขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น เอาใจจับลมหายใจเข้าออก กำหนดจิตให้รู้ไว้โดยเฉพาะ ว่าชั่วเวลา ๓๐ นาทีนี้ เราจะไม่ยอมให้จิตพลาดจากลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้าก็รู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกก็รู้อยู่ว่าหายใจออก จับไว้เฉพาะอารมณ์แรก ว่าเราต้องการพระนิพพาน ตั้งใจไว้ก่อนเลยทีเดียวว่า การทำอย่างนี้เราต้องการพระนิพพาน และเวลากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกก็นึกตามไปด้วย หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ พุทโธเป็นพระนามความดีของพระพุทธเจ้า เวลานี้พระพุทธเจ้าเข้าสู่พระนิพพานแล้ว ถ้าขณะใดจิตใจของเรายังจับคำว่า พุทโธอยู่ และจิตตั้งไว้เฉพาะพระนิพพาน ตายเมื่อไรไปนิพพานเมื่อนั้นต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 04 สิงหาคม 2558 14:44:16
.

(http://p3.isanook.com/ho/0/ud/7/38557/b-02.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๒๒ ธรรมานุสสติแบบพิจารณา

การอธิบายเรื่องการปฏิบัติพระกรรมฐานในวันนี้ ขออธิบายเรื่องธรรมานุสสติกรรมฐาน อนุสสติทั้ง ๑๐ ประการ มีพุทธานุสสติ เป็นต้น และมีอานาปานสติเป็นปริโยสาน ตามแบบฉบับท่านบอกว่า ทรงได้แค่เฉพาะอุปจารสมาธิ ไม่สามารถจะเข้าถึงฌานได้ แต่ทว่าถ้าเรามีความฉลาด เราก็สามารถจะทำอนุสสติทั้งหมดเข้าถึงสมาบัติ ๘ ก็ได้ แล้วก็เป็นบาทของวิปัสสนาญาณ เข้าถึงวิปัสสนาญาณเบื้องสุด ถึงอรหัตผลก็ได้ นี่เป็นเรื่องของความฉลาด หรือความโง่ของนักปฏิบัติ

สำหรับธรรมานุสสติกรรมฐาน ท่านแปลว่า นึกถึงความดีของพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปกติ อนุสสติแปลว่าตามนึกถึง ธรรมา คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มีทั้งหมดด้วยกัน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เราจะไปนำเอาธรรมะทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์มานั่งใคร่ครวญในเวลาเดียวกันย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลาจำกัด เพราะฉะนั้นเราก็ต้องถือเอาหัวใจของพระศาสนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเป็นปัจฉิมวาจา คือว่าเป็นการประกาศให้บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่ไปประกาศพระศาสนาถือเป็นแบบฉบับ เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ว่า

สัพพปาปัสสะ อกรณัง ท่านทั้งหลายจงแนะนำให้ชาวบ้านทั้งหลาย จงละความชั่วเสียทั้งหมด

กุสลัสสูปสัมปทา จงประพฤติปฏิบัติแต่ความดี
 
สจิตตปริโยทปนัง จงทำอารมณ์จิตของตนให้ผ่องใส
 
เอตัง พุทธาน สาสนัง ท่านทรงรับรองว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด

เวลาที่เราจะพิจารณาพระธรรมตามแบบของอนุสสติที่เรียกว่าเป็นอุปจารสมาธิเป็นอันดับสูงสุด ก็มาพิจารณากันใน ๓ ข้อนี้ เรานึกไว้เสมอว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหมดเราจะไม่ทำ แล้วความชั่วอันดับหยาบที่เราจะมองเห็นกันได้ง่าย ก็คือ การละเมิดศีล ๕ ประการ เราจะไม่ยอมละเมิดเด็ดขาด หากว่าเราไม่ละเมิดศีล ๕ ประการได้ ก็ชื่อว่าเราไม่ทำความชั่ว ถ้าเรายังละเมิดศีล ๕ ประการอยู่ ก็ชื่อว่า เรายังทำความชั่วอยู่ ใช้ไม่ได้นี้เราก็มานั่งใคร่ครวญจิตของเราว่า จิตของเราน่ะยอมรับนับถือความดีในศีล ๕ ประการแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามหาทางริดรอนความชั่วเสีย ถือว่าการละเมิดศีล ๕ ประการ ข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม ไม่มีความจำเป็นสำหรับชีวิตที่จะต้องละเมิด

การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอามาเลี้ยงชีพไม่มีความจำเป็น อยากจะกินเนื้อสัตว์ ชาวบ้านเขาฆ่าขายถมไป เราไปซื้อมากินได้ หรือว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์เลย เขากินเจกันอิ่มหมีพีมันอ้วนพีกันด้วยประการทั้งปวง ช้างก็ดีควายก็ดีม้าก็ดี กินหญ้ามีกำลังดีกว่าคนตั้งเยอะแยะ นี่ขึ้นชื่อว่าอาหารไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อสัตว์เป็นมาตรฐาน แต่ว่าถ้ามีโดยเราไม่จำเป็นจะต้องฆ่าเราก็กินได้ ถ้าเราจำเป็นจะต้องฆ่าสัตว์ให้ตาย เป็นการทำลายชีวิต เป็นการสร้างความชั่ว เราไม่เอา นี่ถือว่าข้อนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องละเมิด
 
ข้อที่ ๒ การลักการขโมยทรัพย์สินของบุคคลอื่น การยื้อแย่งคดโกงเขา ก็ไม่มีความจำเป็น เราจะยื้อแย่งคดโกงเขามาได้มากสักเท่าไรก็ตาม เราก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเหมือนกันหมด มีมากก็แก่ก็เจ็บก็ตาย มีน้อยก็แก่ก็เจ็บก็ตายเหมือนกัน ซึ่งมันไม่มีความสำคัญในการที่มีชีวิตมีทรัพย์มากทรัพย์น้อย
 
ข้อที่ ๓ การละเมิดศีลข้อที่สาม คือข้อกาเมสุมิจฉาจาร การร่วมรักในสตรีระหว่างเพศ อยู่ในเขตแห่งการหวงแหน ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ไม่ได้สร้างตนให้เป็นคนดี ไม่ได้สร้างตนให้เป็นคนหนุ่ม ไม่ได้สร้างคนให้เป็นมหาเศรษฐีอนุเศรษฐีขึ้นมาได้ มีเมียมาก มีเมียน้อย มีผัวมาก มีผัวน้อย มันก็แก่ มันก็เจ็บ มันก็ตายเหมือนกันการทรงชีวิตอยู่ เราทรงอยู่ด้วยความสุจริต เราไม่มีการทุจริต แล้วก็ทรงชีวิตอยู่ได้ แต่การกล่าววาจาทุจริตหมายถึงว่าการโกหกมดเท็จเพื่อยังชีพความเป็นอยู่ เราปรารถนาความสุข มันก็หาความสุขจริงๆ ไม่ได้ มันก็แก่ก็เจ็บก็ตายเหมือนกัน เราจะไปโกหกเขาทำไม

การดื่มสุราเมรัยเป็นการบั่นทอนชีวิต บั่นทอนปัญญา สร้างโรคภัยไข้เจ็บให้เกิดแก่ร่างกาย ทำลายประสาทให้มัวหมอง เป็นคนไร้สติสัมปชัญญะ มีสติฟั่นเฟือน มันก็ไม่เกิดประโยชน์ คนที่เขาไม่กินเหล้าเมายา เขาก็ทรงชีวิตอยู่ได้ ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องละเมิด

นี่เราก็ใคร่ครวญดูว่าพระธรรมคำสั่งสอนข้อแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำได้ไหม นี่เราถือธรรมมานุสสติกรรมฐานไม่ใช่ไปนั่งภาวนาว่าพุทโธเฉยๆ ภาวนาพุทโธเฉยๆ นั่นเป็นการทรงอารมณ์จิตเป็นฌาน แต่ทว่าเราต้องควบคุมอารมณ์อย่างนี้ไว้ด้วยว่าเราจะไม่ละเมิดข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามในด้านศีล แล้วในส่วนธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่าไม่สมควรปฏิบัติ อย่างอคติ ๔ เป็นต้น และตัวอิจฉาริษยาก็ตาม อย่างนี้เราก็ต้องไม่มีในใจของเรา เป็นอันว่าถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จิตใจของเราไม่คบมันได้ ไม่สนใจกับมัน คอยระมัดระวังไว้ไม่ให้เกิดขึ้นกับใจของเรา ก็ชื่อว่าเราไม่ทำความชั่วตามที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้แล้วในข้อต้น อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นธรรมานุสสติกรรมฐานได้หนึ่งในสาม

ธรรมานุสสติในข้อที่สอง พระพุทธเจ้าสอนให้เราทำแต่ความดี

ก็คือให้เราทรงศีลห้าประการให้บริสุทธิ์ ทรงพรหมวิหารสี่ให้ปกติ พรหมวิหารสี่ก็คือเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา วางเฉย กฎธรรมดาเข้ามาถึงตัว ความป่วยไข้ไม่สบาย การกระทบกระทั่งแห่งจิต ที่มันเป็นกฎธรรมดาของชีวิตของบุคคลที่เกิดมา ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา จิตใจของเราไม่หวั่นไหว อย่างนี้ชื่อว่า เราทำความดีแล้ว รักษาความดีนี้ไว้ให้เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม ถ้าจิตใจของเราทรงไว้ได้อย่างนี้ แสดงว่าเราได้สองในสามของความดีที่จัดว่าเป็นธรรมานุสสติกรรมฐาน

สจิตตปริโยทปนัง พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้เราทำจิตให้ผ่องใส

อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแนะนำให้เรานึกถึงกฎธรรมดาไว้เป็นปกติ ว่าสภาพของชีวิต สิ่งที่มีชีวิตก็ตาม ไม่มีชีวิตก็ตาม ในโลกทั้งหมดมันเป็นอนิจจัง หาอะไรเที่ยงไม่ได้ มันเป็นทุกขัง ในเมื่อมันไม่เที่ยงมันก็มีความทุกข์ อนัตตาในที่สุดมันก็สลายตัว ไม่มีอะไรยืนตัว เราจะไปเกาะโลกธรรมหมายถึงว่าเกาะชีวิต ร่างกายของเรานี้ว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา ก็ชื่อว่าเราโง่เต็มที ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุสี่ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เข้ามาประกอบเป็นเรือนร่างชั่วคราว เป็นเหมือนกับบ้านพักบ้านอาศัยชั่วคราวหรือว่าบ้านเช่า ถ้ามันเป็นบ้านเช่ามันก็เก็บค่าเช่าแพงเกินไป เจ้าของบ้านคือกิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรมที่ดันให้เรามาเกิดมาอาศัยอยู่ในกาย มันเก็บค่าเช่า มันมีความโหดร้ายมาก เรามาอาศัยบ้านหลังนี้อยู่ บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ต้องซ่อมทุกวัน วันหนึ่งๆ ซ่อมหลายครั้ง ซ่อมด้วยอะไรบ้างล่ะ ซ่อมด้วยอาหารการบริโภค ถ้าไม่ซ่อมมันก็รวนเรโยเย สร้างความทุกข์ให้เกิดกับเรา ให้อาหารการบริโภคตลอดเวลาแล้วมันก็ยังไม่พอ บางครั้งมันก็โซซัดโซเซ หมายความว่าความป่วยไข้ไม่สบายปรากฎ ความสุขความสบายกายความสบายใจมันก็ไม่มีต้องสิ้นเปลือง ต้องทุกข์ทรมานกายทรมานใจ ทรัพย์สินมีเท่าไรก็ต้องจับจ่ายใช้สอยเอามารักษาตัวจนหมดจนสิ้น เราหามาด้วยความลำบาก นี่แสดงว่าเจ้าของบ้านนี่มันใจร้ายมาก แล้วยิ่งไปกว่านั้น เราจะทะนุบำรุงมันเท่าไรก็ตาม เจ้าของบ้านมันก็พยายามทำให้ร่างกายคือบ้านที่เราอาศัยอยู่นี่ทรุดโทรมตลอดเวลา เราจะเห็นว่าร่างกายของเราแก่ลงไป ทรุดโทรมลงไปตลอดกาลตลอดสมัย นี่เห็นความใจร้ายของเจ้าของบ้านว่ามันร้ายขนาดไหน แล้วในที่สุดมันก็ทำลายบ้านเสีย นี่เรียกว่าเราอาศัยบ้านหรือเช่าบ้านเสียค่าเช่าแพงแล้วยังไม่พอ ในที่สุดเจ้าของบ้านมันก็ทำลายบ้านนี้ให้เราแสวงหาบ้านอยู่ต่อไปใหม่

ก็เป็นอันว่าบ้านเหล่านี้ก็ดี บ้านหลังต่อไปก็ดี ที่จะมีต่อไป เราก็จะพบแต่ความทุกข์มันไม่มีอะไรเป็นสุข ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนให้บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า สจิตตปริโยทปนัง จงทำจิตใจให้ผ่องใส คิดไว้เสมอว่า บ้านเช่าก็คือร่างกายหลังนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้าเราจะต้องมีบ้านแบบประเภทนี้ต่อไป เราก็จะพบแต่ความทุกข์อีก ให้วางภาระบ้านหลังนี้เสีย หมายความว่า เราไม่สนใจกับบ้านหลังนี้ ในขณะที่เราอาศัยอยู่ เราจะทะนุบำรุงมันตามปกติ เพราะเรายังอาศัยอยู่ ข้าวปลาอาหารหาให้มันกิน มันหนาวหาผ้ามาห่ม มันร้อนหาน้ำให้อาบสร้างความเย็นให้ปรากฎ ถ้ามันป่วยไข้ไม่สบาย รักษาเพื่อเป็นการระงับเวทนา ถ้ามันจะพังจริงๆ ก็ยิ้มได้ ทำใจไว้เสมอว่า ไอ้บ้านจัญไรแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ มันเป็นเชื้อสายของกิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรม หรือจะกล่าวกันว่ามันเป็นเรือนจำที่กิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรมส่งจิตคือเราเข้ามาขังไว้เป็นการทรมานก็เป็นไปได้ ฉะนั้น บ้านหรือเรือนจำประเภทนี้เราจะไม่มีมันต่อไป ชาติก่อนเราโง่แล้ว เวลานี้เรามาพบคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแนะนำให้เรารู้แล้วว่าบ้านหลังนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เป็นเรือนร่างแห่งความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก

วิธีที่จะไม่ต้องการมันเราทำยังไง

เราก็ล้วงไปหาพระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรสอนไว้เป็นหลัก เป็นการทำลายบ้านหลังนี้ คือไม่ต้องการพบบ้านหลังนี้ต่อไป นั่นก็คือมีการให้ทาน ใคร่ครวญไว้เสมอว่าเราจะต้องให้ทานตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่ง ว่าเราจะไม่มีบ้านอันเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเดือนร้อนแบบนี้อีก เราต้องเป็นคนให้ทานเป็น ให้ทานในที่นี้ไม่ใช่ให้ทานเอาหน้า ให้เอาชื่อเสียง เราให้ทานเอาศักดิ์ศรี หมายความว่าให้ทานเพื่อเป็นการตัดกิเลสคือโลภะ ความโลภที่จะอยากมีบ้านนี้ต่อไป เราไม่อยากมีบ้านนี้ต่อไป เราให้ทานเพื่อเป็นการตัดรากตัดเหง้าของการที่จะมีบ้านประเภทนี้ ให้ทานไปด้วยดีเป็นการสงเคราะห์ เป็นการทำจิตให้สบาย

ประการที่สอง เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ประกอบไปด้วยพรหมวิหารสี่ ถ้าไม่มีพรหมวิหารสี่ ศีลมันไม่บริสุทธิ์ เป็นการกำจัดโทสะความโกรธให้พินาศไป
 
ประการที่สาม เราจะเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาว่า ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจเป็นทุกข์ นี่ถ้าเรายึด ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ร่างกายของเรานี่มันไม่ใช่เรา เราไม่ยึดถือมันเสีย คิดเสียว่าในเมื่อมันมีความเกิดขึ้นแล้ว ก็รู้ว่ามันจะเจ็บ มันจะแก่ มันจะตาย ก็ถือว่าเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วประเดี๋ยวมันก็แก่ มันแก่ไปทุกวันเรารู้ แก่ก็แก่ไป เราไม่ทุกข์กับภาวะของมัน มันจะเป็นยังงั้นก็ช่างมันปะไร อยากจะแก่ก็เชิญแก่ ถ้ามันป่วยไข้ไม่สบาย เรารักษามันหายก็หาย ไม่หายหรือมันจะตายก็ช่างมัน เราไม่ต้องการมันอีกแล้ว ในเมื่อความตายมันจะเข้ามาถึงจริงๆ เราก็สร้างความภูมิใจว่า ที่สุดของความทุกข์ของเราเข้ามาถึงแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอนไม่ให้เรายึดถือ บ้านประเภทนี้เราไม่ยึดถือมัน มันพังเสียได้ก็ดีแล้ว ขึ้นชื่อว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับเราที่มีร่างกายเลวๆ แบบนี้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ต่อไปเราจะแสวงหาความสุข กล่าวคือ เป็นผู้ไม่เกิดเป็นคน ไม่เกิดเป็นเทวดา ไม่เกิดเป็นพรหม ส่วนที่เราต้องการจะไปนั่นก็คือ พระนิพพานสายเดียว นี่การพิจารณาแบบนี้ที่พระโบราณาจารย์ท่านเขียนไว้ว่า เป็นได้เข้าถึงอุปจารสมาธิ

วันนี้ก็ขอพูดจบไว้แต่เพียงเท่านี้ อย่างนี้เขาเรียกว่า ธรรมานุสสติกรรมฐานแบบพิจารณา สำหรับธรรมานุสสติกรรมฐานแบบภาวนาให้เป็นฌานสมาบัติ วันพรุ่งนี้มีโอกาสจะพูดต่อไป

ต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาพุทธบริษัททุกท่านพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ หรือว่าธัมโม หรือสังโฆ ก็ได้ แต่ว่าถ้าภาวนาว่าพุทโธ ก็ให้จิตอยู่แค่พุทโธ อย่าให้มันเลยไปถึง ธัมโม หรือสังโฆ ถ้าภาวนาว่าธัมโมก็ให้จิตอยู่แค่ธัมโมอย่างเดียว อย่าให้มันไปถึงพุทโธหรือสังโฆ ถ้าภาวนาว่า สังโฆ ก็ให้จิตมันอยู่แค่สังโฆอย่างเดียว อย่าให้มันไปถึงพุทโธ ธัมโม จิตมันจะส่าย รักษาอารมณ์อย่างไหนก็รักษาอารมณ์อย่างนั้นไว้เป็นปกติ เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท หายใจออกนึกว่าโธ ถ้าเจริญธรรมานุสสติกรรมฐาน เวลาหายใจเข้านึกว่า ธัม เวลาหายใจออกนีกว่า โม ธัมโม ธัมโม หากว่าเจริญสังฆานุสสติกรรมฐาน หายใจเข้านึกว่า สัง หายใจออกนีกว่า โฆ อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ อย่าให้จิตมันสอดส่ายไปสู่อารมณ์อื่น ถ้าเราสามารถจะทรงความดีได้ชั่วขณะหนึ่งในช่วงเวลา ๓๐ นาทีที่จะให้เวลาต่อไปนี้ ถ้าทรงความดีได้อย่างนี้สัก ๓ นาที ก็ชื่อว่าเรามีความดีพอสมควร


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 07 สิงหาคม 2558 09:45:44
.

(http://p3.isanook.com/ho/0/ud/7/38557/b-02.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๒๓ ธรรมานุสสติแบบอารมณ์ปัก

สำหรับวันนี้จะได้พูดเรื่องธรรมานุปัสสนาหรือว่าธรรมานุสสติต่อ เมื่อวานนี้ได้พูดธรรมานุสสติตามแบบปฏิบัติที่พระโบราณาจารย์ได้เขียนไว้ว่ามีอารมณ์เข้าถึงอุปจารสมาธิ วันนี้จะได้พูดเรื่องธรรมานุสสติกรรมฐานในด้านระดับของฌาน เพราะว่าถ้าเรามีความฉลาดเราก็ทำได้ ฉะนั้นการเจริญพระกรรมฐานตามแบบฉบับโดยเฉพาะ ท่านอาจจะกล่าวว่าบรรดาอนุสสติทั้งหมดเว้นไว้แต่อานาปานสติอย่างเดียว จึงจะเข้าถึงฌานได้นอกนั้นเข้าถึงอุปจารสมาธิ แต่ว่าอาจารย์ผู้ฉลาดเช่นหลวงพ่อพริ้งวัดมะกอก อสุภกรรมฐาน ท่านสามารถจะเนรมิตเอารูปอสุภขึ้นมาได้เลยทีเดียว เราจะเพ่งรูปตายแล้ววันหนึ่ง สองวัน สามวัน สี่วัน ห้าวัน หกวัน ลักษณะไหนก็ตาม เมื่อพูดถึงลักษณะอสุภคือคนตายแบบนั้น ภาพนั้นจะปรากฏเป็นคนนอนอยู่ข้างหน้า นี่ก็เพราะว่าอาศัยใช้อนุสสติบวกกับกสิณ นี่ความฉลาดเขามีได้เขาทำได้แบบนี้

สำหรับธรรมานุสสติก็เหมือนกัน ถ้าเราเจริญธรรมานุสสติกรรมฐานใคร่ครวญพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนั้นมีผลแค่อุปจารสมาธิ แต่ว่าถ้าพิจารณาเป็นจริงก็บวกวิปัสสนาญาณเข้าไปด้วย แล้วนานๆ เข้ากำลังก็จะรวมเข้าถึงปฐมฌาน ก็สามารถตัดกิเลสได้เหมือนกัน นี่เรามาพูดกันถึงว่า ทำอย่างไรถึงจะเป็นฌาน ๔ หรือฌาน ๘ ได้ แล้วก็ทำได้

อันดับแรก เรื่องตอนต้นเห็นจะไม่ต้องพูดกัน เราตั้งใจจับรูปพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งคือพระพุทธรูปไว้เป็นนิมิตจากพุทธานุสสติกรรมฐาน การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นฌานเรายึดถือพระพุทธรูปเป็นนิมิตอยู่แล้ว คราวนี้เราก็ถือพระพุทธรูปองค์นั้นเป็นพุทธานุสสติตั้งขึ้นไว้เป็นกสิณเดิม เวลาที่จะพิจารณาถึงธรรมานุสสติ ท่านให้ตั้งจิตเพ่งไปคิดให้เห็นว่า มีดอกมะลิแก้วหล่นออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปองค์นั้น นี่สร้างภาพเป็นกสิณขึ้นมาว่าเป็นดอกมะลิแก้ว พระพุทธรูปนั้นเผยพระโอษฐ์อ้าพระโอษฐ์ขึ้นมา ดอกมะลิแก้วหล่นลงมาเป็นสีใส แล้วก็สวยเป็นแก้วสวยแก้วใส แล้วแก้วนี้ถือว่าเป็นธรรมานุสสติ คือพระธรรมที่ไหลออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า นี่เขาจับนิมิตแบบนี้ แล้วขอบอกไว้เสียเลยว่า การที่เห็นเป็นดอกมะลิแก้วไหลออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้านั่น คำว่าแก้วนี่ใส ใสก็เป็นได้สองอย่างคือโอทาตกสิณหรือว่าอาโลกกสิณ ถ้าเราถือภาพเป็นสี ใสก็เป็นอาโลกกสิณ ถ้าเราถือว่าดอกมะลิแก้วนี่ขาวใส ใสแล้วก็ขาวก็เป็นโอทาตกสิณ แล้วเราก็จับภาพนั้นนึกถึงลมหายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าก็นึกว่า ธัม หายใจออกนึกว่า โม ภาวนาว่า ธัมโม แล้วจับภาพดอกมะลิแก้วนั้นให้ติดตาติดใจ เป็นปกติ

ถ้าหากว่าจิตของเราเป็นอุปจารสมาธิเบื้องต้น ก็จะเห็นดอกมะลิแก้วตามที่อารมณ์นึก เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง มันก็ย้อนกันไปย้อนกันมา พอจิตเลื่อนลงไปนิดหนึ่งจิตไม่เป็นสมาธิ อารมณ์ที่จะรู้สึกว่าเห็นดอกมะลิแก้วมันก็หายไป นี่เป็นเครื่องวัด ถ้าอารมณ์ใจเป็นสมาธิขึ้นมา อารมณ์ที่เราต้องการเห็นดอกมะลิแก้วมันก็ปรากฏ ถ้าหากว่าเราชำนาญมาจากพุทธานุสสติกรรมฐานได้ฌาน ๔ หรือฌาน ๘ แล้วเรื่องนี้ก็เป็นของไม่ยาก เราก็สามารถจะผลิตธรรมานุสสติกรรมฐานให้ได้ถึงฌาน ๘ ภายใน ๗ วัน ไม่ใช่ของยากเลย ๗ วันนี่ ภายใน ๗ วันนะ ไม่ใช่ครบ ๗ วัน

เมื่อพิจารณาแบบนั้นแล้ว จิตเป็นอุปจารสมาธิทรงตัว ดอกมะลิแก้วจะหยุดอยู่ เรียกว่ากองลงมาหรือลอยอยู่ข้างหน้า หยุดอยู่โดยเฉพาะ เมื่อหยุดอยู่อย่างนั้นเราสามารถจะบังคับให้ทรงอยู่ได้นานแสนนานตามกำลังที่เราต้องการ นี่ยังเป็นสมาธิเบื้องต้น เขาเรียกอุคหนิมิต อุคหนิมิตตัวนี้ต่อไปจะขยายไปมองเห็นแล้วปรากฏว่าเรานึกว่าดอกมะลิแก้วใหญ่ไปหรือว่าเล็กลงมา สูงขึ้นต่ำลง แล้วมีความสวยสดใสสวยกว่าเรียกว่าอุปจารนิมิต เห็นเท่าภาพเดิมที่เรานึกอยู่ว่าจะเห็น อย่างนี้เรียกว่าเป็นอุคหนิมิต ถ้าบังคับให้ภาพนั้นเคลื่อนไปได้ ใหญ่ได้ เล็กได้ ใสกว่า เป็นอุปจารนิมิต อุปจารนิมิตนี่มี่ความสดใสมากขึ้น จิตทรงตัวมากขึ้น ดอกมะลิแก้วจะใส ขยายใหญ่โต ตัวเป็นประกายพรึก

เมื่อดอกมะลิแก้วเป็นประกายพรึกแล้ว นี่เรากำลังปฏิบัติธรรมานุสสตินะ ภาวนาว่าธัมโมแล้วก็สังเกตอารมณ์ใจ อารมณ์ใจ ใจเราสามารถได้ยินเสียงภายนอกได้ชัดเจนแจ่มใส แต่ว่าเราไม่รำคาญในเสียง นี่แสดงว่านิมิตนั้นเป็นปฏิภาคนิมิต จิตเข้าถึงปฐมฌาน องค์ภาวนาคงภาวนาอยู่ ภาพดอกมะลิแก้วสดใสสวยกว่าปกติขึ้นมา แล้วทรงตัวได้นาน

เมื่อภาวนาไปภาวนาไป อารมณ์แห่งการภาวนาหยุดเฉยๆ ดอกมะลิแก้วใสกว่าเดิม ผิดปกติขึ้นมาอีกเป็นประกายพรึกสวยกว่าเก่า อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ ๒ คำภาวนาหายไปมีความชุ่มชื่นปรากฏ ต่อไป ความชุ่มชื่นหายไป ลมหายใจน้อยลง รู้สึกว่าลมหายใจมันเบามากเกินปกติหูได้ยินเสียงภายนอกเบาๆ แผ่วเบามาก แล้วก็มีอาการเครียด ตัวตึง มีความรู้สึกเหมือนกับตัวตึง นั่งตรง ถ้านอนก็เหมือนกันนอนตรงตึงตัวเข้าไว้ แต่เราไม่ได้เกร็ง ความรู้สึกเป็นยังงั้น สีของดอกมะลิแก้วสดใสเป็นกรณีพิเศษ ใสแพรวพราว บอกไม่ถูก มันจับใจ ใหญ่ได้ เล็กได้ เคลื่อนไปข้างหน้าได้ เคลื่อนไปข้างหลังได้ เราจะให้อยู่สูงได้ อยู่ต่ำได้ รู้สึกว่ามีการคล่องตัวมากขึ้น อาการอย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ ๓ ตอนนี้ภาวนาหายไปหมดแล้ว

แล้วต่อมาดอกมะลิแก้วเป็นประกายพรึกหนาทึบ เป็นประกายแพรวพราว จับใจ ไม่ปรากฏลมหายใจ อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ ๔ นี่ ว่ากันถึงว่าเราทำธรรมานุสสติให้เข้าถึงฌานที่ ๔ ได้ จำอาการไว้ด้วยนะ ตอนหัวค่ำนี่ต่อๆ ไป ก็จะถือว่าให้เป็นการศึกษาพระกรรมฐานครบ ๔๐ กอง แต่ว่าเวลาปฏิบัติจริงๆ ภาวนาจริงๆ พิจารณาจริงๆ เราก็เลือกเอาตามอัธยาศัย ศึกษาไว้เพื่อเป็นความรู้ เพราะอะไรมันเกิดขึ้น ก็จะได้รู้ว่านี่เป็นอะไรแน่

ต่อไปเมื่อจิตจับภาพเป็นประกายพรึกของธรรมานุสสติคือดอกมะลิแก้วสดใสเป็นกรณีพิเศษทรงอยู่ได้นานแสนนาน เพราะว่าเราได้ฌานมาจากพุทธานุสสติกรรมฐานแล้ว เป็นของไม่ยาก โดยมากเขาทำกันวันเดียว หนเดียวเขาได้ฌาน ๘ เพราะว่าฌานเดิมมันเป็นฌาน ๘ มาแล้ว อารมณ์มันเป็นแบบเดียวกัน อย่างมากมันก็จะขลุกขลักอยู่ในวันแรก พอวันที่สองก็ตรงทางโผงถึงฌาน ๘ ไป

ที่กล่าวมาแล้วนี้เรียกว่ารูปฌาน เต็มฌาน ๔ แล้ว รูปฌานเต็ม ๔ ต่อไปเราก็จะทำธรรมานุสสติกรรมฐานให้เป็นฌาน ๘ ก็จับอรูปตั้งภาพนิมิตคือดอกมะลิแก้วที่เราคิดว่าเป็นพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นให้ทรงตัวอยู่มีอารมณ์จับนิ่ง เมื่อนิ่งพอจิตสบายเป็นอุเบกขารมณ์ จิตขยับนึกว่าภาพนี้จงหายไป ขออากาศจงปรากฏอากาสานัญจายตนะ พิจารณาว่าเวลานี้ไม่มีอะไร ภาพหมดไปแล้ว มีแต่สภาพว่างเหลือแต่อากาศ ขึ้นชื่อว่าอากาศนี้หาที่สุดมิได้ ไม่มีอะไรทรงตัว ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ถ้ายังหลงอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสอยู่ มันก็จะมีแต่ความทุกข์หาที่สุดมิได้ นี่มันใกล้วิปัสสนาญาณเข้าไปเต็มที แต่มันยังไม่ถึง ถ้าหากว่าเรายังมีตัวอยู่อย่างนี้ เราก็พบความทุกข์หาที่สุดมิได้ ความร้อนความหนาวความกระหาย ทุกข์ภัยต่างๆ ที่เกิดมาก็เพราะอาศัยร่างกายเป็นสำคัญ นับตั้งแต่นี้ไป เราไม่ต้องการร่างกาย เราไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ เป็นที่รับแห่งทุกข์ทั้งปวง เราไม่ต้องการ ต้องการอย่างเดียว ความหมดไปจากขันธ์ ๕ มีสภาพเหมือนอากาศ จิตใจมันก็จะทรงตัวมีความปกติ จิตนิ่งเป็นอารมณ์ของฌาน ๔ จิตทรงความสบายเป็นฌาน ๔ ได้ตามอัธยาศัย อย่างนี้เรียกว่าได้อากาสานัญจายตนะฌาน

เมื่อได้อากาสานัญจายตนฌานพิจารณาอากาศแล้ว ต่อไปก็ขยับขึ้นไปอีกนิดหนึ่งขึ้นไปวิญญาณัญจายตนฌาน พิจารณาว่า ขึ้นชื่อว่าวิญญาณถ้ายังทรงสภาพอยู่ มันก็ยังรับรู้สภาวะของความสุขหรือความทุกข์ เราไม่ต้องการให้วิญญาณทรงสภาพ จับเป็นกลุ่มเป็นก้อน ต้องการให้วิญญาณนี้สลายไปเหมือนอากาศ มันจะได้ไม่มีความรับสัมผัสใดๆ ทั้งหมด แล้วอารมณ์จิตก็ตั้งเพ่งไปเฉพาะข้างหน้าเห็นภาพของวิญญาณโดยนิมิตจัดขึ้นแล้วกระจายวิญญาณให้สลายตัวไป ไม่มีอะไรเหลือ ถ้าอารมณ์อย่างนี้มันทรงอยู่ จิตได้ถึงฌาน ๔ ก็ชื่อว่าเราได้วิญญาณัญจายตนฌาน

ตอนนี้อากิญจัญญายตนฌาน ฌานที่ ๓ จับภาพกสิณตั้งขึ้น ภาพกสิณนี่มีสภาพเหมือนกับสภาพของจิต ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ ก็ดี เราว่ายังงั้น วิญญาณก็ดี ถ้ามันยังมีอยู่ตราบใด มันก็ใช้ไม่ได้ มันก็จะประสบกับความทุกข์ ต่อไปนี้แม้แต่วิญญาณนิดหนึ่งก็จะไม่ปรากฏสำหรับเรา อากิญจัญญายตนะแปลว่าไม่มีอะไรเลย เราเป็นผู้ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่นิดเดียว แม้แต่ความรู้สึกนิดหนึ่งมันก็จะไม่ปรากฏ จิตทำลายภาพกสิณให้หายไป คือดอกมะลิแก้วให้หายไป มีแต่อากาศว่างเปล่า จิตมีความสุข เพ่งอยู่เสมอว่า เราต้องการไม่มีรูป ไม่มีสภาพแบบนี้ เราจะไม่มีทุกข์ นี่ถ้าจิตทรงถึงฌาน ๔ แล้วก็ชื่อว่าเราได้ฌาน ๗ แล้ว อรูปฌานที่ ๓ เป็นฌาน ๗
 
อรูปฌานที่ ๔ ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ หวนกลับมาจับกาย จับวิญญาณ จับจิต จับร่างกายของเรา ว่าเวลานี้เรายังมีร่างกายอยู่ มันรับทุกข์ เรามีอายตนะมันรับทุกข์ เรามีวิญญาณ เรายังมีอาการรับสัมผัสมันรับทุกข์ ไม่ใช่รับสุข ชีวิตของเรามันไม่มีการรับสุข มันรับแต่ทุกข์ ต่อไปนี้ถึงแม้ว่าเรายังจะอยู่ในร่างกายนี้ก็ตามที เราจะทำความรู้สึกเหมือนว่าเป็นคนไม่มีสัญญา เนวสัญญานาสัญญายตนะ ท่านบอกว่ามีสัญญาและมีอายตนะแต่ทำเหมือนคนไม่มีสัญญา ทำเป็นเหมือนคนไม่มีอายตนะ อายตนะก็ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัญญาก็ได้แก่ความจำ จำว่านี่หนาว นี่ร้อน นี่เปรี้ยว นี่เค็ม นี่เผ็ด นี่อุ่น อะไรก็ตาม มันจำได้ สัญญาแปลว่าความจำ ตอนนี้ไม่อยากจะจำ ปล่อย มันจะร้อนมา มันจะหนาวมา มันจะยังไงก็ช่างหัวมัน ทำเหมือนกับคนตายแล้ว ทำเหมือนคนไม่รู้สึกแล้วจิตมันก็ทรงได้ มันจะหนาว มันจะร้อน มันจะหิว มันจะกระหายก็ตาม ฉันไม่หิวด้วย แกอยากหิวก็หิว ฉันไม่หิว จิตมันอยู่ในความสงบ อันความหิวมันก็ไม่เกิด เมื่อหนาวมาจริงๆ เอ้า มันจะยังไงก็ช่าง ฉันไม่หนาว เอาจิตเข้าไปตั้งฌาน ๔ มันก็ไม่หนาว เรียกว่ามีสัญญาเหมือนกะไม่มีสัญญา มีวิญญาณเหมือนกะไม่มีวิญญาณ มีอายตนะ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง รูปสวยเสียงเพราะฉันไม่สนใจ รูปไม่สวยเสียงไม่เพราะฉันไม่สนใจ รสอาหารมันจะเป็นยังไงฉันไม่สนใจ ว่าไอ้พวกนี้มันสลายตัวหมด ต่อไปมันก็ไม่มี นี่มันใกล้วิปัสสนาญาณมาก ฉะนั้น พวกที่ได้สมาบัติ ๘ จึงเจริญวิปัสสนาญาณไม่เกิด ๑ อาทิตย์ได้อรหัตผล และเป็นปฏิสัมภิทาญาณ นี่พิจารณาตามนี้จนจิตชิน ก็ชื่อว่าเราได้เนวสัญญานาสัญญายตนะ นี่มันก็ไม่ยากนะ ยากไหม มันไม่ยากนี่ เราพูดกันมาถึงพุทธานุสสติมาแล้ว ไอ้การระงับนิวรณ์ การทรงเมตตา การทรงพรหมวิหารสี่ การทรงศีล เราพูดกันมาแล้ว แล้วเราก็ได้พุทธานุสสติกรรมฐานเป็นสมาบัติ ๘ มาแล้ว แล้วก็เรื่องอะไรล่ะจะต้องมานั่งคลำธรรมานุสสติกรรมฐานกันถึง ๗ วัน ๘ วัน เขาคลำกันไม่เกิน ๓ วัน เป็นอย่างช้า คือวันแรกขลุกขลักนิดหนึ่ง วันที่สองเอาไปกินเสียหมดแล้ว วันที่สามซ้อมให้มีการทรงตัว แล้วหลังจากนั้นเขาจับสังฆานุสสติต่อไปอีกฌาน ๘ อีก

นี่เป็นวิธีการที่จะพึงรู้ เป็นหลักวิชา แต่ว่าหลักวิชาจริงๆ น่ะอนุสสติท่านบอกว่าให้ใช้ได้แต่เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น นี่ตามแบบอนุสสติเดิม ตอนนี้เราก็มาดัดแปลงแก้ไขให้เกิดเป็นฌานได้ มันจะเป็นไรไป ไม่ผิด ก็เอาอนุสสติมาเป็นกสิณเสียมันก็หมดเรื่องกันไป นี่เขาทำกันได้แล้วจิตมันก็ทรงตัวดี ถ้าจิตมีความมั่นคง แล้วก็ได้ถึงสมาบัติ ๘ หรือถึงสมาบัติ ๔ แล้ว เวลาจะเจริญวิปัสสนาญาณมันก็เป็นของง่าย มันไม่มีอะไรจะยากนี่จำไว้เป็นพื้นฐาน เพราะว่ามีคนเขาพูดกัน ไอ้พวกเกาะตำราว่าอนุสสติทั้งหมดจะเป็นฌานไม่ได้นอกจากอานาปานสติกรรมฐาน เราก็จะตอบเขาว่าเฉพาะอนุสสติจริงๆ ละก็เป็นเช่นนั้น แต่เราดัดแปลงอนุสสติเป็นกสิณได้ เป็นกสิณแล้วก็ถือเอาพระธรรม เอาพระพุทธ เอาพระสงฆ์ เอาเข้ามาเป็นกสิณนั่นเอง เมื่อเป็นกสิณแล้วเราก็ทำฌาน ๘ ให้เกิดขึ้นได้ อย่าว่าแต่ฌาน ๔ เลย นี่การทรงตัวมันดีอย่างนี้

เอาละต่อแต่นี้ไปก็ขอทุกท่าน พยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้าภาวนาว่า พุท เวลาหายใจออกภาวนาว่า โธ อย่างนี้ก็ได้นะ หรือว่าใครถนัดแบบไหนก็ให้พิจารณาหรือภาวนาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 14 สิงหาคม 2558 09:03:46
.

(http://f.ptcdn.info/844/032/000/1435415588-normalbudd-o.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๒๔ ธรรมานุสสติเป็นวิปัสสนาญาณ

สำหรับวันนี้ก็จะขอให้ท่านทั้งหลายได้ศึกษาธรรมานุสสติต่อ วานนี้ได้พูดถึงเรื่องธรรมานุสสติกรรมฐานใช้เป็นอารมณ์ฌาน ตั้งแต่รูปฌานและอรูปฌานมาแล้ว วันนี้ก็จะใช้ธรรมานุสสติกรรมฐานในด้านสมถภาวนาเป็นวิปัสสนาภาวนา

แต่ว่าการที่เราจะเจริญวิปัสสนาภาวนาเป็นบาทแห่งการพิจารณาถึงร่างกายว่า ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันดับแรกก็ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทพยายามจับภาพธรรมานุสสติกรรมฐานตามที่กล่าวมาแล้ว ให้จิตทรงอารมณ์เป็นฌานเสียก่อน คำว่าเป็นฌานก็คือว่ามีอารมณ์แน่นสนิท จิตอยู่ในอุเบกขารมณ์ เป็นเอกัคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง แล้วก็มีอารมณ์วางเฉยจากอารมณ์ทั้งปวง มีจิตสดใส มีความสบายมีความสดชื่น มีจิตหยุดจากอารมณ์ต่างๆ ทั้งหมด เมื่อมีอารมณ์จิตสบายแล้ว ก็ถอยหลังจิตมาสู่อุปจารสมาธิ คำว่าถอยหลังในที่นี้ความจริงน่ะพูดตามหลักวิชา อันเนื้อแท้จริงๆ แล้วก็ไม่ต้องถอยหลัง เมื่อจิตมันแน่นสนิทแล้ว เราก็คิดว่าต่อไปนี้เราจะใคร่ครวญอย่างนี้ สมาธิมันก็ลดลงมาเอง เมื่อสมาธิลดลงมาจิตมันก็ยังมีความสดชื่นอยู่ในขอบเขตของฌาน ตอนนี้เราก็มาใช้ธรรมานุสสติกรรมฐานที่ท่านเรียกว่าสมถะมาเป็นวิปัสสนาญาณ

ในอันดับแรกเราก็พิจารณาถึงรูปของพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้านี่ทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ ประเสริฐสุดกว่ามนุษย์ทั้งหมด ประเสริฐกว่าเทวดาหรือพรหม แต่ว่าร่างกายของพระองค์คือ ขันธ์ ๕ ย่อมไม่ทรงอยู่ได้ ย่อมเป็นไปตามกฎของธรรมดา คือเมื่อความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีความแปรปรวน มีโรคภัยไข้เจ็บรบกวนเหมือนกับร่างกายของเรา แล้วต่อมาความแก่เฒ่าไม่สบายก็ปรากฏ ในที่สุดสังขารขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แตกสลายลง เราเรียกกันว่านิพพาน เมื่อพระพุทธเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ แล้วเมื่อดับชีพสังขารไปแล้ว ที่เราใช้คำว่านิพพาน นิพพะนี่เขาแปลว่าดับ ดับจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร พระพุทธเจ้าไม่มีทางที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ เทวดาหรือเกิดเป็นพรหม หรือว่าแม้แต่จะเฉียดเข้าไปสู่อบายภูมิก็ย่อมไม่มีมีแดนเป็นที่อยู่แดนเดียวคือพระนิพพาน

ตอนนี้เราก็ต้องมาดูว่าพระพุทธเจ้าท่านก็เป็นลูกมนุษย์อย่างเรา แล้วทำไมเล่าพระพุทธเจ้าจึงไปนิพพานได้ ท่านกับเรานี่ไม่มีอะไรแตกต่างกัน มีอาการ ๓๒ เหมือนกัน มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน ที่แตกต่างกันอยู่สักหน่อยหนึ่ง ก็คือการบำเพ็ญบารมีมาต่างกัน ท่านบำเพ็ญบารมีมาเพื่อบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณโดยไม่ต้องรับคำสอน แล้วเราเป็นสาวกบำเพ็ญบารมีมาเพื่อรับคำสอน รู้สึกว่าจะได้กำไรดีกว่าพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นคว้าพระธรรมเอง มีความเหนื่อยมาก เราเป็นแต่เพียงฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทรงบรรลุแล้ว หามาป้อนให้แก่พวกเรา พวกเรามากินสำรับที่ตั้งอยู่ข้างหน้าเฉยๆ เขาปรุงมาแล้ว ทำมาแล้วด้วยดีทุกอย่าง เท่านี้ก็ชื่อว่าเราเป็นผู้ได้เปรียบกว่าบุคคลผู้หามาให้เรา อาหารที่พระพุทธเจ้าทรงหามาให้เราอาหารชิ้นที่โอชารสที่สุดก็ได้แก่อริยสัจสี่ อริยสัจสี่นี่องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าได้เองโดยไม่ต้องผ่านอาจารย์องค์ใดทั้งหมด

ตอนนี้เรามาเจริญธรรมานุสสติ อริยสัจนี้ก็เป็นธรรมานุสสติ หรือว่าการที่เรามาพิจารณาร่างกายของพระพุทธเจ้าว่ามีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น พระองค์ก็เป็นเด็กเหมือนกัน ต่อมาค่อยโตขึ้นมา ต่อมาเป็นหนุ่ม ต่อมาค่อยๆ แก่ลงทีละน้อยๆ มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ในที่สุดก็สิ้นชีพสังขารที่เรียกว่านิพพาน แสดงว่าความเกิดมันไม่เที่ยง มันมีความแก่สนับสนุน มีความป่วยไข้ไม่สบายสนับสนุน มันมีความตายเป็นที่สุด ตัวนี้เป็นธรรมะ จะถือว่าเป็นพุทธานุสสติไม่ได้แล้ว ต้องถือว่าเป็นธรรมานุสสติ เอาร่างกายของพระพุทธเจ้ายกขึ้นมาเป็นธรรม เดินไปตามกฎของธรรมดา นั่งพิจารณาดูว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ ร่างกายของพระองค์ยังเป็นเช่นนั้น ในฐานะที่พระองค์เป็นลูกกษัตริย์มีสมบัติมาก ทำไมจึงไม่ทรงหลงใหลใฝ่ฝันในรูปโฉมโนมพรรณหรือสมบัติที่มีอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระบรมครูเห็นว่า มันไม่จีรังยั่งยืนเป็นวัฏฏะคือวนไปวนมา เป็นเหตุของความทุกข์หาความสุขจริงจังอะไรไม่ได้ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงแสวงหาธรรมที่ไม่เกิดต่อไปที่เรียกว่าโมกขธรรม โมกขธรรมแปลว่าธรรมเป็นที่พ้นจากความเกิด

นี่เราก็ดูตัวอย่างของพระพุทธเจ้า ท่านดีกว่าเราโดยฐานะ ดีกว่าเราโดยบารมี ถ้าเป็นฆราวาสท่านก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชปกครองโลกโดยธรรม เมื่อมาบวชท่านก็เป็นพระพุทธเจ้า จัดว่าเป็นผู้เด่นที่สุด แต่ท่านก็ยังเห็นว่าร่างกายของมนุษย์มันเป็นของไม่ดี ความเกิดเป็นของไม่ดี แล้วพวกเราจะมานั่งนึกหาความดีถึงว่าการเกิดเป็นของดีเพื่อประโยชน์อะไร แล้วพระองค์เองก็ทรงเห็นภัยในวัฏฏะ เห็นว่าการครองร่างอยู่อย่างนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ความทุกข์มีอะไรบ้างเราพูดกันมานานแล้ว ใคร่ครวญหาความทุกข์ให้เจอ บุคคลใดถ้าไม่เห็นทุกข์ บุคคลนั้นก็ชื่อว่ายังมีอวิชชาหรือโมหะบังหน้าอยู่เต็มที่ องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงกล่าวว่าคนโง่ย่อมมองไม่เห็นทุกข์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเห็นว่าความทุกข์เป็นความสุขไปหมด ยังมีความปรารถนาในความทุกข์เห็นเป็นปัจจัยของความสุข จะเหน็ดเหนื่อยยากลำบากสักเท่าไรก็ตามทีเห็นว่าดีอยู่เสมอ นี่เป็นอารมณ์ของความโง่คืออวิชชาเข้าปิดบังใจ
 
แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรไม่ได้คิดอย่างนั้น เวลาใกล้รุ่งอรุณแห่งวันเพ็ญกลางเดือนหก พระองค์ก็ทรงยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณ เห็นอริยสัจสี่คือทุกข์เป็นจุดต้น สัตว์และคนทั้งหลายที่เกิดมาทั้งหมดจะเป็นเทวดา หรือพรหมก็ตามเป็นผู้ไม่พ้นจากความทุกข์ หาความสุขจริงจังอะไรไม่ได้ แล้วตัวทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้มันมาจากไหน พระองค์ก็ใคร่ครวญต่อไปว่ามันมาจากเหตุของความทุกข์คือสมุทัย ได้แก่ความอยาก คือว่าอยากเกิด อยากสวย อยากงาม อยากร่ำรวย อยากมีฐานะใหญ่ อยากเป็นผู้มีอำนาจวาสนาบารมีสูง อยากอย่างนี้อยากได้ แต่ไม่อยากตายไม่อยากป่วยทั้งๆ ที่มันจะต้องตายจะต้องป่วย ความอยากตัวนี้เป็นภัยอย่างยิ่งเพราะเป็นการปิดใจบังใจของท่านบรรดาพุทธบริษัทชายหญิงให้เห็นว่านั่นเป็นของดี แต่องค์สมเด็จพระชินสีห์ย่อมมองไม่เห็นด้วย เจ้าความอยากตัวนี้แหละเป็นปัจจัยให้เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหมนี่น้อยนัก ส่วนใหญ่แห่งการเกิดของพวกเรา ก็คือเกิดในอบายภูมิมีนรกเป็นต้น เกิดเป็นเปรต อสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมีมากต่อมาก แสดงว่าดินแดนแห่งการเกิด ในเมื่อเราเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะมันมีทุกข์มากกว่าสุข นี้ถ้าหากว่าเราไม่พึงปรารถนาความเกิดเสียแล้ว มันก็จะมีแต่ความสุขอย่างยิ่งหาความทุกข์เจือปนไม่ได้ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงทรงพิจารณาว่าการตัดตัณหาเป็นของดี การตัดตัณหาตัวนี้ไม่ต้องตัดที่ไหน ตัดกันที่ตัวเราเป็นสำคัญ ไม่ต้องไปตัดที่ชาวบ้าน ชาวบ้านเป็นเรื่องของเขา ถ้าเราตัดตัวเราเสียได้อย่างเดียว เราก็ตัดคนอื่นได้หมด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่เราจะพอใจยิ่งไปกว่าร่างกายของเราไม่มี ส่วนที่เราห่วงใยมากที่สุดก็คือร่างกายของเรา

วิธีตัดร่างกายเราจะตัดกันอย่างไร?
 
ก็มานั่งพิจารณาร่างกายดู นี่ธรรมานุสสติกรรมฐานนะ ทั้งหมดนี่เป็นธรรมะทั้งนั้น ว่าร่างกายของเรานี่มันมาจากไหน? ดูเป็นอันดับแรก จะเห็นว่า ร่างกายของเรานี่มันมาจากธาตุ ๔ คือธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ แล้วมันตั้งอยู่นานไหม? มันทรงตัวไหม? ก็จะเห็นว่ามันตั้งอยู่ไม่ได้นาน มันไม่มีการทรงตัว มันเคลื่อนไปหาความสลายตัวในที่สุด ขณะที่มันตั้งอยู่มันสกปรกหรือมันสะอาด? เราก็จะเห็นว่ามันสกปรกด้วยประการทั้งปวง การทรงชีวิตอยู่เต็มไปด้วยความสุขหรือความทุกข์? ใคร่ครวญไปด้วยปัญญา จิตทรงฌานจะเห็นชัด เห็นว่าเต็มไปด้วยความทุกข์ เราดูสิว่า ร่างกายของเรานี่น่ารักตรงไหน? น่าประคับประคองตรงไหน? มองไปจะเห็นแต่ความสกปรกทั้งกาย ไม่มีอะไรเป็นที่น่าประคับประคอง

แล้วก็ดูต่อไปว่า ร่างกายของเรานี่มันเป็นเราหรือไม่ใช่เรา เราเป็นเจ้าของมันหรือว่ามันเป็นเจ้าของเรา เรามีการควบคุมมันได้ตลอดกาลตลอดสมัย หรือว่ามันให้เราอยู่กับมันตลอดกาลตลอดสมัย? พิจารณาไปด้วยกำลังฌานสนับสนุน เราก็จะเห็นได้ร่างกายนี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นเรือนร่างที่อาศัยสำหรับเราชั่วคราวเท่านั้น ในที่สุดมันก็สลายตัว ถ้าเรายังแบกความโง่เข้าไว้ เราก็ต้องไปหาร่างกายเป็นที่เกิดใหม่ ถ้าเจอะร่างกายคนก็พอทำเนา ถ้าเป็นคนดี ถ้าไปเจอะเอาร่างกายคนง่อยเปลี้ยเสียขาทุพพลภาพเข้าก็จะมีอารมณ์หนัก นี่เพราะอาศัยการอยากเกิดมันไม่แน่นัก ดีไม่ดีก็ไปคว้าเอาร่างกายสัตว์เดรัจฉานเข้าเพราะกรรมที่เป็นอกุศลสนับสนุน หรือมิฉะนั้นก็ไปคว้าเอากายของสัตว์นรกหรือกายเปรต กายอสุรกายเข้ามันก็ไม่เป็นเรื่อง มิฉะนั้นเราไปคว้ากายเทวดาหรือพรหมมันก็สุขชั่วคราว หมดบุญวาสนาบารมีก็หล่นลงมาใหม่

เป็นอันว่าการปรารถนาในร่างกายนี้ไม่เกิดประโยชน์ ร่างกายที่เราได้แต่ละคราวมันก็ไม่คงทนถาวร ไม่อยู่ตลอดกาลไม่อยู่ตลอดสมัย การที่เราจะตัดความอยาก คือตัณหาตัวนี้ได้ก็คือตัดร่างกายของเราเสีย พิจารณาว่าร่างกายนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายไปในที่สุด ชาติปิ ทุกขา ความเกิดทุกข์ ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ นั่งนึกมันอยู่แค่นี้พอ ว่าเกิดมันก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ ในเมื่อมันทุกข์ทุกอย่างแล้ว ในขณะที่แบกทุกข์อยู่เราก็ทนไม่เป็นไร มันจะทุกข์ก็ไม่ว่าขอให้มันอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัย มันก็ไม่ยอมอยู่เสียอีก มันก็พัง ยังงี้เราจะคบมันไปเพื่อประโยชน์อะไร เราก็ไม่คบมันดีกว่า
 
วิธีที่เราจะไม่คบเราทำยังไง?
 
เราก็พิจารณาเห็นโทษของความเกิดเป็นสำคัญ ว่ามันเป็นทุกข์

เมื่อเห็นโทษของความเกิดแล้วเราก็พยายามหนีความเกิด ด้วยการยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ว่าให้ละความชั่ว ประพฤติความดี ทำจิตให้ผ่องใส

ตัดโลภะ ความโลภ ด้วยการให้ทาน

ตัดโทสะ ความโกรธ ด้วยอภัยทาน คือเมตตา
 
ตัดโมหะ ความหลง ด้วยการมองหาความจริงให้พบอยู่เสมอว่า ร่างกายเป็นทุกข์ ความเกิดเป็นทุกข์ แล้วก็ตัดสินใจไว้โดยเฉพาะว่า กรรมใดที่มีเยื่อใยกับความเกิดเราไม่ต้องการกรรมนั้น หมายความว่าธรรมอันใดก็ตามที่เป็นปัจจัยให้เราจะต้องเกิดเราไม่ต้องการมันอีก ธรรมที่ต้องการให้เราเกิดก็คือ ความรัก ความรักในบุคคล ความรักในสัตว์ ความรักในวัตถุ ที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา นี่จะไม่มีสำหรับเราต่อไป ถ้าความเมตตาปรานีในด้านความรักเพื่อการสงเคราะห์ ปรารถนาให้มีความสุข อย่างนี้มีอยู่ แต่ว่าเราจะไม่ยึดไม่ถือว่าคนนั้นเป็นคนของเรา สัตว์ตัวนี้เป็นสัตว์ของเรา วัตถุนั้นเป็นวัตถุของเรา ร่างกายนี้เป็นร่างกายของเรา ไม่มีอีก ถือว่ามันเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้วก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายไปในที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ เราก็เชื่อว่าพระองค์พูดถูก พูดจริง เมื่อเชื่อแล้วก็คุมตัวไว้ไม่ให้ลงอบายภูมิ คือมีศีลบริสุทธิ์ เมื่อมีศีลบริสุทธิ์แล้วก็นึกรู้ได้ว่าเราเป็นพระโสดาบัน แต่ว่ายังไม่ดีพอ เพราะว่าอะไร เพราะว่ากามราคะมันยังมีอยู่ ความโกรธความพยาบาทมันยังมีอยู่

ก็ใช้อสุภกรรมฐาน พิจารณาควบกับวิปัสสนาญาณว่า ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีเราไม่มีของเรา เราจะมั่วสุมเพื่อกามารมณ์ เพื่อความมัวเมาเพื่อกามารมณ์เป็นปัจจัยของความทุกข์เพื่อประโยชน์อะไร เพราะว่าร่างกายของคนทุกคนเต็มไปด้วยความสกปรก เราไปมั่วสุมอยู่ก็ชื่อว่าหลงใหลใฝ่ฝันในสิ่งสกปรกเห็นว่าเป็นของสะอาด มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง ทำใจให้เห็นตามความเป็นจริง จนกระทั่งอารมณ์เกิดนิพพิทาญาณมีความเบื่อหน่ายในขันธ์ ๕ คือร่างกายของเราและบุคคลอื่น พิจารณาตัวเราให้มาก ว่ามันสกปรก เมื่อเห็นเราสกปรก แล้วเราก็เห็นคนอื่นสกปรก ความรู้สึกในเพศมันก็จะหมดไป

แล้วต่อไปก็เจริญเมตตาพรหมวิหารสี่หรือกสิณสี คือ กสิณสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาตัดอารมณ์ของโทสะ บวกไปด้วยเมตตาบารมี เอาร่างกายของคนและสัตว์นี่เข้ามาเทียบกับคนเรา มันเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน เราจะโกรธจะเคืองเขาเรื่องอะไร คิดประทุษร้ายเขาด้วยเรื่องอะไร มันไม่เป็นประโยชน์ จนกระทั่งอารมณ์ใจของเราดับความโกรธเสียได้ อย่างนี้เรียกว่าอนาคามี เพียงเท่านี้อย่างย่อก็เรียกว่าพอแล้ว ชื่อว่าการเจริญธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน หรือว่าธรรมานุสสติกรรมฐานเท่านี้เรียกว่าพอจุดหนึ่ง คือเป็นพระอนาคามีแล้ว เราเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมเราก็นิพพานบนนั้น

แต่ทว่าถ้าขันธ์ ๕ ของเรายังทรงอยู่ก็ยังไม่ควรพอ เพราะการตัดกิเลสหยาบตัดได้แล้ว เหลือกิเลสละเอียดอีก ๕ ตัว คือ ความหลงใหลในรูปฌานและอรูปฌานว่าเป็นของประเสริฐไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าไม่มีความรู้สึกในเรา เราเห็นว่าพระนิพพานมีความสำคัญ จึงไม่เมาอยู่ในรูปฌานและอรูปฌาน ทำจิตให้ก้าวหน้าต่อไปว่า เราจะเอาฌานเป็นกำลังก้าวเข้าไปสู่พระนิพพาน แล้วก็หันเข้าไปตัดมานะความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา ถือว่าอารมณ์อย่างนี้ไม่มีสำหรับเรา คือว่าคำว่าเขาว่าเรายังไม่มี ทุกคนไม่มีใครเป็นเราเป็นเขา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ชาวบ้านก็เหมือนกัน ร่างกายไม่ใช่เขา ไม่ใช่ของเขา ไอ้ที่เรารังเกียจกันน่ะมันรังเกียจเปลือก รังเกียจสิ่งที่ไม่ใช่สมบัติของตัว ฉะนั้น ใครจะเป็นคนจน ใครจะเป็นคนรวย ใครจะสกปรก ใครจะสะอาดหรือจะเป็นสัตว์เดรัจฉานอะไรก็ช่าง ถือว่ามันเป็นเพื่อนแห่งความสกปรกเหมือนกัน เกิดมาแบกความสกปรก เกิดมาแบกความทุกข์เหมือนกัน ไม่มีใครดีกว่ากัน ไม่มีใครเลวกว่ากัน ตกอยู่ในอำนาจของกฎธรรมดา คือ เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันหมด เห็นสัตว์เห็นคนเราสัมพันธ์ได้ตลอด ถือว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน มันสกปรกเหมือนกัน จนกระทั่งมีอารมณ์สบายไม่ถือชั้นวรรณะ

ต่อไปก็ตัดอุทธัจจะ มีจิตจับเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว พอเขาบอกอะไรก็โน่นดีอะไรที่นี่ดีก็ช่างเขา ไม่ถือว่ามีความสำคัญ สิ่งที่มีความสำคัญอยู่อย่างเดียว คือมันดีหรือชั่วมันอยู่ที่ตัวเรา มันอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเรามีเมตตารู้ว่าการให้ทาน รู้ว่าการสงเคราะห์ มีศีลบริสุทธิ์ ไม่เมาในชีวิต ไม่เมาในทรัพย์สินต่างๆ นี่มันเป็นความดี เราไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านไปอย่างอื่น เราต้องการตัดร่างกาย เราหวังพระนิพพานโดยเฉพาะ อารมณ์ใดใครบอกว่าโน่นดีนั่นดีเราไม่เอา เรามีจิตอย่างเดียวคือทำใจเฉพาะพระนิพพาน ไม่เกาะโลก ทิ้งโลก คือเทวโลก มนุษยโลก พรหมโลกไม่เกาะ เราไม่เกาะเขา ไม่เกาะทรัพย์สินต่างๆ เมื่อมีชีวิตอยู่เราหามาเพื่อใช้สอย คิดไว้เสมอว่ามันหมดก็หมดไป ตายแล้วก็เลิกกัน ไม่มีใคร เวลาตายไม่มีใครแบกทรัพย์สมบัติไปได้ ใจมันก็สบาย ทำจิตตรงแต่โดยเฉพาะอารมณ์พระนิพพาน อารมณ์ใจของเราก็จะผ่องใสมีอารมณ์แนบสนิท มีแต่ความสุข เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของธรรมดาไปหมด ความเร่าร้อนเกิดขึ้นในโลกก็ถือว่าเป็นธรรมดา ความเยือกเย็นเกิดขึ้นในโลกก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใจมันสบาย

ต่อจากนั้นไปเหลืออีกนิดเดียว คือตัวอวิชชา ความจริงตัวนี้ไม่ต้องตัดก็ได้ มันตัดมาหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ เอ้า ตัดสักนิดก็ได้ การตัดอวิชชา คือตัดฉันทะกับราคะ ก็ตัดกันมาหมดแล้วนี่ ความจริงถ้าตัดมาได้ ๙ ตัวมันก็ตัดหมด อวิชชามันก็ไม่เหลือ ถ้าเราโง่เสียแล้ว เราก็ไม่สามารถจะตัดร่างกายแยกไปว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราได้ นี่เพราะเรามีความฉลาดแล้ว อวิชชามันไม่มีแล้ว เราจึงไม่เมาในขันธ์ ๕ คือร่างกาย ไม่เมาในทรัพย์สิน ไม่เมาในบุคคล ไม่เมาในชีวิต

ที่นี้จิตใจของเราที่มีอารมณ์เข้าถึงจุดนี้ คือว่าทำลายอวิชชาไปได้แล้ว มีความรู้สึกยังไง นี่อารมณ์พระอรหันต์ ความรู้สึกของพระอรหันต์ มีอารมณ์ปกติอยู่เสมอไม่มีอะไรผิดปกติ หาความทุกข์อะไรไม่ได้สำหรับพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่มีทุกข์ ทางกายพระอรหันต์เราจะเห็นว่าทุกข์ แต่ใจพระอรหันต์ไม่มีทางทุกข์ เพราะท่านถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เห็นคนเลวถือว่าธรรมดา ในโลกมันก็ต้องมีคนเลว เห็นคนดีเข้าแล้วก็รู้สึกธรรมดา ในโลกมันก็มีคนดี ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นแก่ตัว ท่านก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา การถูกนินทาว่าร้ายปรากฏขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าร่างกายมันเกิดทุพพลภาพก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

จะยกตัวอย่างพระให้ฟังสักองค์หนึ่ง คือท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายก คือว่าหลวงปู่นาค วัดระฆังองค์เดียวกัน เวลาที่ท่านใกล้จะมรณภาพ ท่านก็นอนไม่หลับ ข้าวก็ฉันไม่ได้ จะกลืนข้าวมันก็ไม่ลง ก็เลยเข้าไปเยี่ยมถามว่าหลวงปู่ครับจำวัดหลับดีไหม บอกเออ เวลานี้เขาไม่ให้นอนว่ะ เขาไม่ให้หลับ เขาให้นอนเหมือนกันเขาไม่ให้หลับ ถามว่าฉันข้าวล่ะเป็นยังไงครับ ฮือ มันก็ไม่อยากให้กินอีกนั่นแหละ ท่านว่ายังงั้น ท่านบอกว่ามันไม่อยากให้กิน ก็ถามว่าหลวงปู่มีความรู้สึกเป็นยังไงครับ บอกว่า ตามใจมัน มันให้หลับก็หลับ มันไม่ให้หลับก็แล้วไป มันให้กินก็กิน มันให้กินหรือไม่ให้ก็แล้วไป ทั้งๆ ที่ร่างกายของท่านโทรมมีอาการไข้หนักท่านก็พูดเป็นปกติ ถามว่าหลวงปู่มีความรู้สึกเป็นยังไงกับการที่นอนไม่หลับกินไม่ได้ ท่านก็ตอบว่าไม่เห็นมันจะเป็นยังไง เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของฉัน มันจะหลับหรือไม่หลับก็เป็นเรื่องของมัน อยากหลับก็ให้มันหลับ มันไม่อยากหลับก็ช่างมัน ในเมื่อเขามีข้าวมาให้กินมันจะกินก็กิน มันไม่กินก็ช่างมัน ตามเรื่องของมันปะไร ถามว่าหลวงปู่ฉันยาไหมล่ะ ท่านบอกยาเขาก็ฉัน เขาให้ฉันก็ฉัน แล้วเวลาที่จะฉันมีความรู้สึกเป็นยังไง ท่านบอก เอ้า หนึ่งเป็นการฉลองศรัทธา สองถ้าหากมันจะเป็นไปได้เป็นการระงับเวทนา ทุกขเวทนา ถ้าระงับได้ก็ได้ ระงับไม่ได้ก็แล้วไป ก็ไม่ได้ตั้งใจว่ามันจะระงับได้จริงจัง นี่อารมณ์ของหลวงปู่นาควัดระฆัง พวกเราส่วนใหญ่เราก็ถือว่าท่านมีอารมณ์เสมอด้วยพระอรหันต์ เพราะรู้สึกว่าอารมณ์จิตใจของท่านไม่เอาไหนเลย แต่ใครจะมีความรู้สึกว่ายังไงก็ช่าง นี่เราไปนั่งเปรียบเทียบกับพระอรหันต์ตามประวัติต่างๆ ในเวลาที่พระพุทธเจ้ายังทรงชีวิตอยู่ เราก็จะเห็นว่าสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูมีอารมณ์จิตคล้ายหลวงปู่นาควัดระฆังหรือเจ้าคุณเทพประสิทธินายก ท่านถือว่าร่างกายไม่มีความหมาย ร่างกายไม่มีความสำคัญ เวลาท่านจะนิพพาน ท่านไปลาพระพุทธเจ้านิพพาน รู้สึกว่าเป็นธรรมดาอย่างพระอานนท์จะนิพพาน ก็ตั้งใจไปนิพพานในระหว่างแม่น้ำ คือมีญาติทั้งสองฝั่ง นิพพานบนอากาศ พระสารีบุตรจะนิพพาน ก็ไปลาพระผู้มีพระภาคเจ้าไปนิพพานในห้องที่เกิด ดูท่านไม่มีความทุกข์ ไม่มีความร้อนแก่การแตกดับของขันธ์ ๕ เลย นี่มาถึงหลวงปู่นาคก็เหมือนกัน เราไปนั่งดูๆ แล้วใคร่ครวญดูก็พิจารณาว่าท่านมีอาการเหมือน หรือว่าคล้ายคลึงพระอริยเจ้าสมัยนั้น ฉะนั้น จึงปักใจกันว่าหลวงปู่นาคอย่างน้อยที่สุดก็เป็นพระ ท่านเป็นพระแน่นอน จะเป็นพระอันดับไหนนั่นไม่แน่ ที่แนะนำในตอนนี้ให้รู้อารมณ์ว่า ถ้าอารมณ์เราเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์มันมีความรู้สึกเป็นยังไง คือมันไม่มีความขึ้นลงแห่งความรู้สึกของจิต ได้ของดีมาก็แค่นั้นแหละ ได้ของชั่วมาก็แค่นั้นแหละ แต่ก็มีความรู้สึกพอใจอยู่นิดว่า เอ้อ มันมีของใช้ มันมีความสะดวกสบาย แต่ก็จิตใจก็รู้อยู่เสมอว่าไอ้เรากับมันไม่ช้าก็จากกัน เมื่อจากกันแล้ว ใครจะเอาไปไหนก็ช่าง ก็หมดเรื่องกันไป หน้าที่ของเราก็ใช้เพียงแค่มันอยู่
 
นี่เราเจริญธรรมานุสสติกรรมฐานหรือว่าธรรมะในอนุสสติ ๑๐ ทำจิตใจอย่างนี้ ชื่อว่าธรรมานุสสติให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณ แต่ความจริงธรรมานุสสตินี่ถ้าเจริญเข้าถึงวิปัสสนาญาณไม่ได้ก็ซวยเต็มที เพราะว่าวิปัสสนาญาณมันเป็นธรรมานุสสตินั่นเองที่พูดมานี่ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้มีความเข้าใจ กลางคืนถือว่าเป็นการศึกษา คือว่าจะแนะนำกรรมฐาน ๔๐ ให้หมด โดยใช้วิธีคำกล่าวย่อๆ ตามนี่แหละ มากบ้างน้อยบ้างตามสมควรแก่กรรมฐานในบางกอง จะได้ไว้เป็นเครื่องประดับใจ เวลาจะใช้อะไรขึ้นมา เวลาไหนจะได้ใช้ให้ครบถ้วน แต่ว่าเวลาสงบสงัดเช่นเวลาภาวนา เมื่อเลิกจากคำอธิบายแล้วก็ให้ปฏิบัติตามอัธยาศัยของตัว ถ้าชอบใจอะไรอยู่แล้วปฏิบัติอะไรอยู่แล้วได้ดี ปฏิบัติอย่างนั้น หรือว่าจะใคร่ครวญไปในตามทำนองธรรมะที่กล่าวในปัจจุบันก็ทำได้ตามอัธยาศัย

ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ หรือว่าจะนึกยังไงก็ได้ตามสบาย หรือว่าพิจารณากรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 19 สิงหาคม 2558 09:24:08
.

(http://f.ptcdn.info/844/032/000/1435415588-normalbudd-o.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๒๕ สังฆานุสสติ

สำหรับวันนี้จะได้พูดเรื่องสังฆานุสสติกรรมฐาน สังฆานุสสติกรรมฐานนี่มีการปฏิบัติเป็น ๓ ประการเหมือนกัน ตามแบบท่านให้พิจารณาคุณของพระสงฆ์ อันนี้จะเข้าถึงอุปจารสมาธิเป็นที่สุด ถ้ายึดรูปของพระสงฆ์เป็นอารมณ์ อันนี้จะเข้าได้ถึงฌาน ๔ หรือฌาน ๘ แล้วก็ในตอนท้ายพิจารณาธรรมที่ทำให้เป็นพระสงฆ์ ได้แก่วิปัสสนาญาณ อันนี้ได้ถึงพระนิพพานเหมือนกัน วิธีปฏิบัติเบื้องต้นก็จะขอไม่พูด ก็เพราะว่าให้ปฏิบัติมาเช่นเดียวกับพุทธานุสสติหรือธรรมานุสสติ คือพยายามตัดอารมณ์ อารมณ์ที่เรามีความห่วงใยเสียให้หมด
 
ในอันดับแรก ท่านกล่าวว่าคุณของพระสงฆ์ การพิจารณาความดีของพระสงฆ์ ที่ตามพระบาลี ท่านกล่าวว่า สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ เป็นต้น เรียกว่าพระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่เราจะปฏิบัติตามพระสงฆ์ ปฏิบัติยังไง เราใช้อารมณ์แบบย่อๆ พอให้เกิดความเข้าใจง่ายไม่ใช่ว่าไปนั่งไล่แบบกันเสียจนกระทั่งเกาะแบบไม่ติด เผลอแบบแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างนี้ไม่ใช่วิสัยของนักปฏิบัติ นักปฏิบัติเขาจะต้องเก็บของที่กระจายออกไปมากมายเข้ารวมอยู่ในจุดเดียว แล้วเราจึงจะค้นคว้าจับเอาได้ให้เป็นประโยชน์โดยง่าย ฉะนั้นชื่อว่าคุณของพระสงฆ์มีมากมายด้วยกัน ถ้าจะกล่าวกันไปก็คือพระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั่นแหละที่เป็นคุณของพระสงฆ์ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเทศน์ความรู้ให้พระสงฆ์ปฏิบัติถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ย่อให้สั้นลงได้แก่มรรค ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ย่อมรรค ๘ ลงมาให้เหลือเพียงแค่ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา ยังยาวไป ก็ย่อลงมาเหลือรูปกับนาม เมื่อรูปกับนามนี่ก็ยังยาวเกินไป เราย่อมาเป็นสังขารที่เรียกว่า บุญญาภิสังขาร คำว่าบุญญาภิสังขารก็หมายถึงว่ามีอารมณ์เป็นบุญเป็นกุศลอยู่ตลอดเวลา เท่านี้ก็ถึงพระนิพพานได้แล้ว

การย่อมากเกินไปบรรดาท่านทั้งหลายจะไม่เข้าใจ ขอขยายออกไปอีกนิด ย่อลงมาถึงบุญญาภิสังขาร ทำยังไงถึงจะเป็นบุญญาภิสังขาร คำว่าอภิสังขารตัวนี้ไม่ใช่ร่างกาย อภิสังขารตัวนี้ได้แก่อารมณ์ของจิต อารมณ์ของจิตที่เป็นบุญก็หมายถึงว่าอารมณ์จิตที่มีความสะอาด หรืออารมณ์จิตที่มีความดีไม่เกลือกกลั้วไปด้วยความชั่วนั่นเอง อารมณ์จิตของเราที่มันจะไม่เกลือกกลั้วกับความชั่วตามนัยของพระอริยเจ้าที่เรียกกันว่าพระอริยสงฆ์ก็คือ

เราพิจารณาศีลตามฐานะของเรา ทรงศีลให้บริสุทธิ์ จำไว้ทีเดียวว่าศีลต้องบริสุทธิ์ทุกสิกขาบท พระมีศีล ๒๒๗ สิกขาบทต้องบริสุทธิ์หมด ความจริงบริสุทธิ์แค่ ๒๒๗ สิกขาบทนี่ยังไม่ดีพอ เพราะว่ายังมีสิกขาบทยิ่งไปกว่านี้อีก สิกขาบทที่มีในพระปาฏิโมกข์ ๒๒๗ สิกขาบท ถึงแม้ว่าจะน้อยเกินไปก็ควรจะรักษาให้บริสุทธิ์ เณรรักษาศีล ๑๐ ให้บริสุทธิ์ ฆราวาสรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ให้บริสุทธิ์ ถ้าเราพิจารณาว่าศีลของเรามีสภาพเป็นยังไงแล้วก็ทรงศีลให้บริสุทธิ์ทุกลมหายใจเข้าออกอย่างนี้ชื่อว่าเป็นสังฆานุสสติอันดับแรก ยังไม่เป็นพระแท้ ยังไม่เข้าถึงพระแท้ นี่เข้าถึงเปลือกพระ

คราวนี้มาเข้าถึงกระพี้พระ เมื่อทรงศีลบริสุทธิ์แล้วก็ทำจิตให้ทรงสมาธิ คำว่าสมาธิคือจิตตั้งไว้ในเฉพาะส่วนที่เป็นกุศลอย่างเดียว เป็นเอกัคตารมณ์ หมายความว่า อารมณ์ของเรานี้อยู่ในส่วนที่เป็นกุศลโดยเฉพาะ จะเลือกเอาในมหาสติปัฏฐานสูตรหรือว่าในกรรมฐานทั้ง ๔๐ ก็ได้ตามใจชอบ มีผลเสมอกัน ทรงอารมณ์อย่างนี้ได้ตลอดคืนตลอกวัน อารมณ์ของเราไม่ไปยุ่งกับอารมณ์ของความชั่ว ตั้งอยู่ในขอบเขตของคุณความดี แล้วก็มีพรหมวิหารสี่เป็นอัปปมัญญา คำว่าพรหมวิหารสี่ก็มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คำว่าอัปปมัญญาคือไม่มีขอบเขต เรามีพรหมวิหารสี่ทรงความดีประเภทนี้ไม่จำกัดบุคคลและสัตว์ ไม่เลือกหมูไม่เลือกคณะ ไม่เลือกประเภทของคนและสัตว์ เรามีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สม่ำเสมอกันหมด อันนี้ชื่อว่าเข้าถึงกระพี้พระสงฆ์แล้ว ยังไม่ถึงแก่น

ตอนที่จะเข้าถึงแก่น เราก็มาพิจารณาว่าพระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ พระพุทธเจ้ายอมรับว่าเป็นพระสงฆ์นั่นน่ะท่านปฏิบัติยังไง เราก็จะเห็นได้ว่าท่านปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรคือปฏิบัติในอริยสัจทั้ง ๔ ประการ มีสภาวะรู้ความทุกข์ว่าขันธ์ ๕ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่ต้องไปหาทุกข์ที่ไหน หาทุกข์ที่ร่างกายเราให้พบ ไอ้การที่ไปหาทุกข์ของชาวบ้านนั่นน่ะมันไม่เห็นทุกข์ของร่างกาย หน้าของชาวบ้านเขามอมขมุกขมัวมอมแมมผมเผ้ารุงรัง ผิวหน้าตาไม่สะสวย มองเห็นหน้าเขาได้ แต่ว่าหน้าของเรามันเลวกว่าหรือว่ามันสกปรก ข้อนี้มีอุปมาฉันใดการมองดูทุกข์ก็เหมือนกัน

ในอันดับแรกมองให้เห็นทุกข์ของร่างกายเป็นสำคัญ ว่าความเกิดเป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์ยังไง บรรยายกันมากเวลาไม่พอ การอยู่ในท้องแม่คุดคู้อยู่ตลอดเวลา ๑๐ เดือนมันสบายหรือ ออกมาข้างนอกแล้วมากระทบกับอากาศความร้อนความหนาวปวดแสบร่างกายทั้งตัว เมื่ออกมาแล้วมีความหิวมีความกระหาย มีการปวดอุจจาระปัสสาวะ มีความป่วยไข้ไม่สบาย มีความปรารถนาไม่สมหวัง นี่เป็นอาการของความทุกข์ทั้งหมด เมื่อโตขึ้นแล้วก็มีประการหนึ่งคือการประกอบกิจการงานเต็มไปด้วยความเหนื่อยยาก มันก็เป็นอาการของความทุกข์ แล้วยิ่งกว่านั้นกิเลสยั่วยุให้หาทุกข์เพิ่มขึ้นไป เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วอยู่คนเดียวไม่พอหาว่ามันสุขน้อยเกินไป พยายามแสวงหาคู่ครองเข้าไว้อีก นี่มันเพิ่มทุกข์หนักเข้าไปอีก เมื่อมีคู่ครองแล้วมันก็ยังไม่พอ อยากจะมีลูกอยากจะมีหลาน อยากจะมีเหลน เมื่อลูกโผล่ออกมาแต่ละคนก็เต็มไปด้วยความทุกข์ แล้วความป่วยไข้ไม่สบายเบียดเบียน ร่างกายก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ความแก่ชราเข้ามาถึงตัว ร่างกายเป็นไปไม่ได้ตามปกติ หาความสุขหาความสะดวกของร่างกายไม่ได้ นี่ก็เป็นอาการของความทุกข์ ในที่สุดการพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นอาการของความทุกข์ เมื่อความตายเข้ามาถึง เราไม่อยากตายมันก็ทุกข์ นี่ทุกข์โดยย่อที่กล่าวมาแล้วมันก็แค่นี้แหละ ถ้าเยอะแยะมันก็ทุกข์ มองหาทุกข์ให้มันพบ หาความไม่เที่ยงของร่างกายให้มันพบ เมื่อความไม่เที่ยงเกิดขึ้นมันก็เป็นทุกข์ ผลที่สุดมันก็สลายตัว เมามันทำไม

เมื่อเราเห็นทุกข์แล้ว ก็หาทางตัดความทุกข์ อะไรมันเป็นเหตุของความทุกข์ก็ได้แก่ความอยากคือตัณหา อยากเกิด อยากมีผัว อยากมีเมีย อยากมีลูก อยากมีหลาน อยากมีเหลน อยากมีทรัพย์สินต่างๆมีความอยากไม่รู้จักจบ เรียกว่าอยากนอกรีตนอกรอย อยากตะเกียกตะกายหาความทุกข์เข้ามาใส่ใจ เห็นว่ามันเป็นความสุข นี่เพราะอาศัยความโง่เป็นสำคัญ องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาจึงสอนให้ อยากใหม่ เอาความอยากแก้อยาก จิตมันอยากอยู่แล้ว แก้มัน ทำลายความอยากมันไม่ได้ ก็หันเข้าหาอยาก เปลี่ยนอยากเสียใหม่ แทนที่จะอยากเกิดเราก็อยากไม่เกิด มันอยากแก่มาก่อนเราก็อยากไม่แก่ มันอยากตายมาก่อนเราก็อยากไม่ตาย ไอ้อยากไม่ตายนี่อยากด้วยกันทุกคน อยากยังไงมันถึงจะอยากไม่เกิด อยากไม่แก่ อยากไม่ตาย เราก็ต้องมีความอยากคืออยากตัดโลภะความโลภ โทสะความโกรธ โมหะความหลง ตัดโลภะความโลภด้วยการให้ทาน ตัดโทสะความโกรธด้วยการทรงพรหมวิหารสี่ ตัดโมหะความหลงด้วยสักกายทิฏฐิ นี่พระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติอย่างนี้ถึงได้เป็นพระสงฆ์ตามที่พระพุทธเจ้าทรงรับรอง

ตอนนี้เราจะทำยังไงมันถึงจะตัดโมหะได้ โมหะตัวเดียวหมดเรื่องกันไป การตัดโมหะที่เราจะพึงตัดได้ตามรูปของอริยสัจ ก็พิจารณาว่าร่างกายนี่มันเป็นเราหรือเป็นของเราจริงหรือเปล่า เนื้อแท้มันไม่ใช่ของเรา มันไม่เคยตามใจเรา เราปรนเปรอมันด้วยประการทั้งปวง มันไม่เคยเชื่อเรา เราไม่ต้องการให้มันแก่ มันก็แก่ เราไม่ต้องการให้มันป่วย มันก็ป่วย เราไม่ต้องการให้มันตายมันก็ตาย นี่เราจะไปนั่งมัวเมามันทำไม ในเมื่อร่างกายมันไม่เชื่อเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ตัดมันทิ้งไปเสีย ตัดทิ้งแบบไหน?

เอาอย่างง่ายๆที่สุด อย่างพระโคธิกะ นี่พูดถึงสังฆานุสสติ ใช้วิธีรวบรัดแบบง่ายๆ เอาอย่างพระโคธิกะเป็นสำคัญ แต่อย่าเอาเยี่ยงพระโคธิกะนะเอาแต่อย่าง อย่างพระโคธิกะท่านปลงขันธ์ ๕ เมื่อเวลาร่างกายของท่านป่วยหนัก ท่านไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติความดีให้เป็นพระโสดาสกิทาคาอนาคาอรหันต์ ได้แต่อารมณ์จิตทรงฌานโลกีย์ ฌานก็ย่อแย่ง่อนแง่นเต็มที เพราะร่างกายมันป่วย ท่านจึงมาพิจารณาว่า

ร่างกายนี้มันเป็นโทษ ร่างกายเป็นภัย ร่างกายเป็นมาร มันรุกรานจิตใจของเรา ทำลายความดีของเรา นี่เราเกิดในสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนเขาเป็นพระโสดาสกิทาคาอนาคาอรหันต์แล้ว แต่เราอยู่กับองค์สมเด็จพระประทีปแก้วกลับได้ฌานโลกีย์ ก็ง่อนแง่นคลอนแคลนไม่ทรงตัว ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะร่างกายเป็นปัจจัย ร่างกายเป็นอุปสรรค

เราถือว่าร่างกายเป็นมารร้ายคอยทำลายความดี

ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่ประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ อย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก
 
เมื่อเราตายจากภาวะคราวนี้แล้วขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ จะเป็นส่วนใดๆ ก็ตาม จะอยู่ในฐานะใดๆก็ตาม เราไม่ต้องการทั้งหมด ต้องการลดสมรรถภาพของขันธ์ ๕ ตัดให้ขาดกระเด็นไป ทำหนังสือหย่าขาดกัน แล้วไม่ผูกพันธ์ในขันธ์ ๕ ต่อไป ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ จะไม่มีสำหรับเราอีก เมื่อพิจารณาดังนี้แล้ว แกก็หยิบมีดโกนขึ้นมาเชือดคอตาย เมื่อตายแล้วพระโคธิกะก็ไปนิพพาน นี่อารมณ์ที่เราจะเข้าถึงเป็นสังฆานุสสติได้สมบูรณ์ก็ตัวตัดขันธ์ ๕ แต่ว่าไม่ใช่เชือดคอ ไม่เอานะ วิธีเชือดคอไม่เอา แต่ใช้อารมณ์เช่นเดียวกับพระโคธิกะมันง่ายดีเป็นตัวอย่าง ลืมตาอยู่ทุกขณะยังไม่หลับ มีความคิดอยู่เสมอว่าร่างกายนี้เป็นภัยร่างกายนี้เป็นโจรร้ายที่มันพยายามปล้นความสุขเราอยู่ตลอดเวลา เราปรนเปรออาหารให้มันกินวันละ ๓ เวลา ๕ เวลามันก็ไม่พอ มันก็ยังอยากโน่นอยากนี่อีก ยังมีความทุกข์ กินอาหารแล้วมันหิว หิวแล้วกินอาหาร อิ่ม อิ่มแล้วมันร้อน มันอยากจะอาบน้ำ มันหนาวอยากจะหาความอุ่น กินของคาวแล้วมันก็จะกินของหวาน หาให้มันทุกอย่างมันก็ยังแก่ลงไปทุกวันมันก็ป่วยไปทุกวัน ต้องประกอบกิจการงานด้วยความเหนื่อยยาก แต่มันไม่มีความรักเราสักนิดหนึ่ง เลี้ยงดูมันขนาดไหนมันก็ไม่ยอมเชื่อไม่ยอมเห็นใจเรา มันทรุดโทรมอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้เราจะไม่คบมันต่อไป เราต้องการอย่างเดียวคือไม่มีขันธ์ ๕ ได้แก่พระนิพพาน

พระนิพพานนี่มีอะไร พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าพระนิพพานนี่ตัดธาตุทั้งหมดอุปาทานรูปทั้งหมดให้แก่ดินน้ำลมไฟ ไม่มีในพระนิพพาน ไม่มีร่างกายอย่างนี้ แต่ว่าอายตนะยังมีอยู่ อายตนะได้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ นี่เอากายมาจากไหน กายมันก็เป็นกายทิพย์พิเศษ ตามี หูมี มือมี เท้ามี แขนมี ขามี มีทุกอย่าง แต่ว่าร่างกายของเทวดาก็ดี พรหมก็ดี พระนิพพานก็ดี ขาดอวัยวะภายใน เครื่องจักรกลภายในคือลำไส้ ตับ ไต ไส้ปอด อุจจาระปัสสาวะ น้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองไม่มี มีสภาพเบาคล้ายลม มันก็หมดกันไม่มีเส้น ไม่มีเอ็น ไม่มีเส้นไม่มีเอ็นจะปวด มันจะปวดที่ไหนล่ะ ไม่มีกระเพาะจะใส่อาหาร มันจะหิวได้ยังไงไม่มีประสาทจะรับสัมผัสความร้อนความหนาวมันจะรู้สึกได้ยังไง เป็นอันว่าพระนิพพาน ไม่รู้สึกทุกข์ อารมณ์แห่งพระนิพพานทุกข์ชนิดหนึ่งไม่มี

นี่การเจริญสังฆานุสสติกรรมฐาน ถ้ามุ่งเอาระดับฌานให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับพุทธานุสสติกับธรรมานุสสติเป็นพระกรรมฐานที่ปฏิบัติมาแล้ว เมื่อได้ฌาน ๔ แล้วจะทำเป็นอรูปฌานให้เกิด ก็ยกภาพพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่เรากำหนดขึ้นมาเป็นกสิณ เมื่อเป็นกสิณแล้วก็เพิกกสิณทิ้งไปถืออรูปฌานเป็นสำคัญ แต่ว่านั่นต้องระวังนะ ฌาน คืออรูปฌานก็ดีรูปฌานก็ดีทำลายความดีของคนมามากแล้ว ถ้าไปหลงอยู่ในรูปฌานและอรูปฌาน มันเข้าใจว่าจิตใจของตัวเข้าถึงพระนิพพาน ความหลงตัวนี้เป็นเหตุร้ายแรงมากต้องคิดไว้เสมอว่า อารมณ์แน่นสนิทอย่างเดียวไม่มีความพอ เราต้องการอย่างเดียวคืออารมณ์ตัด

ตัดความสวย ความงาม ทั้งคนและสัตว์และวัตถุ เห็นอะไรเข้ามาก็ตามไม่รู้สึกว่ามันจะสวยสดงดงามตรงไหน หาความดีอะไรไม่ได้ ร่างกายของคนและสัตว์เต็มไปด้วยความโสโครก ไม่มีความทรงตัว มีการสลายตัวไปในที่สุด ไปหลงมันทำไม วัตถุก็เหมือนกัน ตัดความโลภ การแสวงหาอาชีพเพื่อการครองชีพเป็นของธรรมดา เป็นหน้าที่แต่ว่าจิตใจไม่ทะเยอทะยานเกินพอดี ไม่ต้องการอาชีพนอกรีตนอกรอยคดโกงเขา ทำตัวให้ลำบาก ไม่เอา อย่างนี้เป็นความโลภ ถ้าเป็นฆราวาสก็ประกอบกิจวัตรเป็นสัมมาอาชีวะหาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมไม่เป็นบาปไม่เป็นโทษ ทำตามหน้าที่ แต่คิดไว้เสมอว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้ตายแล้วก็เลิกกัน ไม่ห่วงไม่ใยมัน ตายแล้วมันจะไปทางไหนก็ช่างเราไม่ใช้มัน

ตัดความโกรธด้วยอำนาจพรหมวิหาร ๔ ตัดความหลงเสียด้วยอำนาจของสักกายทิฏฐิ พิจารณาว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ตามที่กล่าวมาแล้ว เมื่อจิตใจของเรามีอารมณ์ทรงอยู่ตลอดเวลา ความโลภไม่ปรากฏความทะเยอทะยานไม่ปรากฏ ความผูกพันในร่างกายของเราของบุคคลอื่นไม่ปรากฏ ความโกรธความพยาบาทไม่มีในใจ ไม่เห็นอะไรเป็นสาระแก่นสารคือไม่มีความหลง อารมณ์มันก็มีความสุข มันมีความสุขจริงๆ ไม่มีความทุกข์ ทำให้ถึงเถอะมันสุขบอกไม่ถูก ถ้าจิตเราเข้าถึงพระนิพพานแต่กายมันยังทรงอยู่ ยังมีความรู้สึกหนาว ร้อน หิวกระหาย แต่ใจมันก็สบาย มันถือเป็นเรื่องธรรมดาเสียทั้งหมด จิตมีความสุขบอกไม่ถูก นี่การเจริญสังฆานุสสติกรรมฐานโดยย่อก็ขอกล่าวไว้แต่เพียงเท่านี้

เอ้า ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่าน พยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก อย่าทิ้งนะ อานาปานสติกรรมฐาน ถ้าทิ้งละก็เสร็จ พยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกหายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ หรือว่าจะภาวนาว่ายังไงก็ได้ตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 27 สิงหาคม 2558 08:52:05
.

(http://f.ptcdn.info/844/032/000/1435415588-normalbudd-o.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๒๖ จาคานุสสติ

ลำดับต่อนี้ไป เป็นโอกาสที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะพากันเจริญพระกรรมฐาน คือทรงอารมณ์เป็นสมาธิและใช้ปัญญาพิจารณาขันธ์ ๕ เพื่อผลที่จะพึงได้ก็คือโมกขธรรม ธรรมเป็นเครื่องพ้นจากความตายหรือว่าความเกิด เพราะอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้ากล่าวว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ อันนี้อาศัยความเกิดตัวเดียว ถ้าเราไม่เกิดเสียแล้ว ความแก่ ความป่วยไข้ไม่สบาย ความตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจย่อมไม่มีกับเรา นี้การที่เราจะไม่เกิดได้ ก็เพราะอาศัยทำจิตให้เป็นปรมัตถจิต เรียกว่าเข้าถึงธรรมก็เป็นปรมัตถธรรม ถ้าจะเรียกว่าบารมีก็เป็นปรมัตถบารมีเป็นบารมีอย่างยิ่ง ถ้าเป็นการปฏิบัติก็เรียกกันว่าปรมัตถปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติอย่างยิ่ง คือเป็นการควบคุมใจให้ทรงอยู่ในกุศลธรรม
 
ทุกวันเราก็ได้ศึกษากันมาตั้งแต่พุทธานุสสติกรรมฐาน เมื่อวานนี้ก็ได้มาจบลงที่ศีลานุสสติกรรมฐาน วันนี้ก็จะได้พูดถึงจาคานุสสติกรรมฐาน การจะทรงอารมณ์ให้สบาย อันดับแรกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้บรรดาท่านทั้งหลายกำจัดนิวรณ์เสียก่อน คือว่าเวลาที่เราจะเข้ามาเจริญสมาธิจิต ให้ตัดอารมณ์ที่มีความห่วงใยที่เรียกกันว่าปลิโพธ คิดเสียว่าเวลานี้เราเป็นบุคคลคนเดียว เราไม่มีเพื่อน เราไม่มีพี่เราไม่มีน้อง เราไม่มีอะไรทั้งหมด แม้แต่ร่างกายนี่ก็เหมือนกัน เราก็ไม่ถือว่าเป็นสาระเป็นแก่นสาร เป็นร่างกายจริงๆจังๆอะไรของเรา เพราะมันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแก่ไปในท่ามกลาง แล้วก็มีการสลายตัวไปในที่สุด เป็นอันว่าร่างกายนี่ก็ไม่ใช่ภาระของเราที่จะต้องห่วงเกินไป เป็นอันว่าเวลานี้เราเป็นคนไม่มีห่วง เรามีภาระอย่างเดียวคือจับจิตเฉพาะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งซึ่งเป็นมหากุศล จะพาตนไปสู่สวรรค์ก็ได้ ไปสู่พรหมโลกก็ได้ ไปสู่พระนิพพานก็ได้ ทำใจตรงให้สบายไม่นึกถึงเรื่องอื่นเข้ามาแทรกแซงใจ ต่อแต่นี้ไปก็ขอได้โปรดศึกษาจาคานุสสติกรรมฐาน
 
คำว่า จาคานุสสติกรรมฐาน แปลว่า การตามระลึกนึกถึงความดีในการให้ แต่ว่าจริยาตัวนี้ยังไม่ใช่ตัวให้ แต่ใจเราคิดว่าเราจะให้ แล้วก็พร้อมที่จะให้อยู่เสมอ ถ้าให้ไปแล้วเราก็ไม่ลืม คำว่าไม่ลืมในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปทวงหนี้ ทวงบุญทวงคุณทั้งหลายแก่เขา เราไม่ลืมความดีอันนั้น นี่เป็นที่เกาะใจส่วนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่าควรจะทำ ควรจะคิดอยู่ตลอดเวลา อันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกพุทธภาษิตไว้เป็นเครื่องยืนยันว่า กัมมัง สัตเต วิภัชชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ คำว่ากรรมคือการทำด้วยกาย กล่าวด้วยวาจา หรือว่านึกด้วยใจ ทำด้วยกายเรียกว่ากายกรรม ทางวาจาเรียกว่าวจีกรรม ทำด้วยใจเรียกว่ามโนกรรม อีกอันหนึ่งพระพุทธเจ้ากล่าวว่า เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ ท่านถือว่าการตั้งใจไว้โดยเฉพาะเป็นบุญ วันนี้เรามาศึกษาทางใจกัน ไม่ได้ศึกษาทางวัตถุ

อันดับแรกก็ให้จิตนึกอยู่เสมอว่า เราจะใช้จาคานุสสตินึกถึงการให้อยู่ตลอดเวลา แต่การให้นี่เราก็ต้องเลือกให้ เพราะว่าถ้าเราเอาพืชพันธุ์ธัญญาหารไปหว่านในที่ดอนเกินไปมันก็จะเสียเพราะไม่มีน้ำช่วย ไปหว่านในมหาสมุทรน้ำมากเกินไปมันก็จะจมน้ำตาย เราต้องหว่านลงในที่อันพอดีพอควร น้ำไม่มากเกินไป น้ำไม่น้อยเกินไป ไม่ขาดแคลนอาหารที่ต้นไม้พึงต้องการอาศัยเป็นอาหาร ข้อนี้มีอุปมาฉันใด เรานึกไว้เสมอว่าเราจะบริจาคทานเพื่อเป็นการทำลายความโลภในจิตของตน แล้วก็ใคร่ครวญในเขตศาสนาขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาว่าจุดไหนหนอที่เป็นน้ำเป็นแหล่งใหญ่ ที่เราจะอาศัยสร้างความเยือกเย็นได้ดี เราไปทำบุญที่นั่น นี่หมายถึงว่าเรามีเวลาที่จะเลือก อานิสงส์มันก็สมบูรณ์บริบูรณ์ ถ้าไม่มีเวลาที่จะเลือกถึงแม้ว่าคนทุศีลเราก็ให้ได้ แต่ว่าให้ไปแล้วถึงแม้ผลจะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ชื่อว่าเรายังได้ให้ ให้ด้วยความเต็มใจ ให้ด้วยความปรารถนาในการสงเคราะห์ มันก็เป็นปัจจัยตัดความโลภเหมือนกัน

นี้มาตอนเจริญจาคานุสสติกรรมฐานเขาเจริญกันยังไง? ก็เอาใจเข้าไปจับนึกถึงว่า ตั้งแต่เกิดมานี่เราเคยให้ทานกับคน เคยให้ทานกับสัตว์เดรัจฉาน เคยถวายทานแก่พระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยกริยาอย่างใดบ้างที่เราเคยมีมา เอาอารมณ์เข้าไปจับนึกถึงวัตถุทาน นึกถึงกริยาที่เราเคยให้ นึกถึงบุคคลผู้รับ นึกไว้ในใจเสมอว่ากิจนี้เราเคยได้ทำแล้ว ตัวอย่างที่บรรดาท่านพุทธบริษัทมาสร้างศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปานวัดบางนมโค อันนี้ไม่ได้หมายความให้มาสร้างที่นี่ทำที่นี่ถึงจะได้บุญ เราอยู่ใกล้จุดนี้ เราก็คิดว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เรานั่งกันอยู่นี่ ฝั่งนี้ก็ดี ฝั่งโน้นก็ดีเป็นสมบัติของเรา เป็นสมบัติตรงไหน เพราะการร่วมกันสร้าง สร้างให้เป็นความดี เป็นที่อาศัยสะดวกสบายเกิดขึ้นเวลาที่เจริญพระกรรมฐานจิตสงัด จิตก็จับเอาอารมณ์คือภาพนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราพอใจในเขตนั้นยกขึ้นไปสู่อารมณ์ว่า วัตถุธาตุหรือสถานที่อาศัยทั้งหลายเหล่านี้ นี่เป็นฝีมือของเราผู้ช่วยสร้าง ผู้ร่วมกันสร้าง เราถือว่าเป็นสมบัติของเรา การจับภาพอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีความรู้สึกขึ้นในใจอย่างนี้ ท่านเรียกว่ากสิณ ทำจาคานุสสติกรรมฐานขึ้นเป็นกสิณ แล้วมีจิตใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งภาพนั้นคลายตัวเป็นสีขาว แล้วก็เป็นแก้ว แล้วก็เป็นประกายพรึก มีจิตทรงอยู่ได้ดีอย่างนี้ก็เรียกว่าเอาจาคานุสสติกรรมฐานเข้ามาเป็นฌาน ๔ เป็นรูปฌาน อันนี้เราทำได้ ถ้าเราต้องการเป็นอรูปฌานก็จับภาพอันนั้นขึ้นมาทรงฌาน ๔ ให้เป็นปกติ มีความแจ่มใสดีก็เพิกอาการอย่างนั้นทิ้งไป ถือว่าภาพที่เรารักษาอยู่ย่อมเป็นปัจจัยของความทุกข์ เพราะยังมีความเกิด เราไม่ต้องการความเกิด เราก็ใช้อรูปฌานแทน จิตทรงฌาน ๔ แล้วพิจารณาของสี่อย่าง คือ

อากาสานัญจายตนะ พิจารณาว่าอากาศมีความกว้างขวางหาประมาณมิได้
 
วิญญานัญจายตนะ อารมณ์ของวิญญาณก็กว้างขวางเกินไปหาที่กำหนดหมายไม่ได้
 
อากิญจัญญายตนะ สิ่งใดที่มีแล้วเราก็ทำเหมือนว่ามันไม่มี คือไม่มีความสนใจกับวัตถุธาตุ บุคคลและสัตว์อะไรทั้งหมด มีแล้วเหมือนไม่มี อย่างที่หลวงพ่อกบวัดสาริกาท่านทำ ใครจะไปใครจะมามากมายยังไงก็ช่าง ท่านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คนไปหาท่านบางที ๓ วัน ๔ วัน บางทีไม่ได้พูดสักคำ นี่เรียกว่าใช้อากิญจัญญายตนฌานและเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

เมื่ออากิญจัญญายตนะเป็นฌาน ๔ แล้ว ก็จับเนวสัญญานาสัญญายตน มีสัญญาความจำทำเหมือนว่าเราเป็นคนไม่มีสัญญาความจำ ไม่รู้เรื่องอะไรมันเสียเลย นี่หลวงพ่อกบวัดถ้ำสาริกาท่านก็ทำมาแล้วเหมือนกัน มันหนาวมันร้อนยังไงก็ช่าง ท่านนอนเฉย มันหนาวจัดชาวบ้านเขาเอาผ้ามาห่มให้ ขโมยมันก็มาดึงเอาไปท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านนอนเฉยมีความรู้สึกเหมือนกัน แต่ทำใจสบายเหมือนกับเกิดความไม่รู้สึก ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

รูปฌานหรือรูปฌานนี่ทำให้คนหลงผิดว่าเข้าถึงพระนิพพานเสียมากมายแล้ว นี่เราทำกสิณหรือว่าทำจาคานุสสติกรรมฐานให้เป็นกสิณแล้วก็เป็นอรูปฌาน

ถ้าเราจะคิดเอาจาคานุสสติกรรมฐาน มาเป็นวิปัสสนาญาณเพื่อเข้าถึงมรรคผลนิพพานมันก็ไม่ยาก เราก็ดูวัตถุทานที่เราให้ พิจารณาคนที่เราให้ ที่รับทานไปจากเรา ขณะที่เขารับอาจจะมีรูปร่างหน้าตาผ่องใส มีความสวยสดงดงาม นานๆไปเราจะเห็นว่าความโทรมมันเกิดขึ้นมาทีละน้อยๆ ปัจจัยของทานที่เราให้ ไม่ใช่ว่าจะช่วยให้เขาหนุ่มสาวอยู่ได้ตลอดเวลา เป็นแต่เพียงว่าเป็นการประทังทุกขเวทนาที่จะเกิดกับเขาเท่านั้น ในกาลบางครั้ง ถ้าหมดปัจจัยเสียแล้วทุกขเวทนามันก็เกิด

คราวนี้เราไปดูตึกรามบ้านช่อง ตั้งแต่สมัยโบราณ สร้างด้วยศิลาแลง เป็นของใหญ่แข็งแรงมากไม่น่าจะพัง ของตั้งแต่สมัยอยุธยา สุโขทัย มันพังไปจนเกือบจะหมดแล้วไม่มีอะไรปรากฏ เหลือซากก็แสนจะทุเรศ ไม่สามารถจะทำอะไรขึ้นมาให้ดีขึ้นมาได้ นี่เราก็เห็นว่าอาคารสถานที่เราสร้างไว้ถวายแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา มันก็ต้องมีสภาพอย่างนั้น เมื่อสภาวะความเปลี่ยนแปลงการทำลายตัวปรากฏขึ้น เราไม่หนักใจปล่อยมันตามสบาย ทำได้ซ่อมได้ก็ซ่อมไป ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็แล้วไป ไม่มีทุนไม่มีรอนก็แล้วไป ในเมื่อวัตถุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นของแข็งมันยังเก่าแก่คร่ำคร่า แล้วก็ยังผุพังในที่สุดได้ คราวนี้มาเปรียบเทียบกับร่างกายของเรา ร่างกายของเรามันไม่แข็งอย่างนั้น มันอ่อนนุ่มนิ่มปวกเปียกไปหมด แต่ว่าในที่สุดเราก็มาพิจารณาว่าเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นทรงอยู่ไม่ได้ ร่างกายของเรามันก็ทรงอยู่ไม่ได้ ความจริงเราต้องการให้ร่างกายมันทรงอยู่ แต่มันทรงไม่ได้ก็เพราะว่าเป็นเรื่องของกฎธรรมดาที่เราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำให้เราพิจารณาเห็นว่าร่างกายนี่มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเราเหล่านี้เป็นของจริง นี่เราก็ยกเอาวัตถุทานคืออาคารสถานที่ของใช้ต่างๆ มันมีความแข็งแรงขึ้นมาเปรียบเทียบว่าสร้างแล้วมันก็เก่ามันก็ทรุดโทรม ร่างกายเราจะทรงอยู่ได้ที่ไหน ในเมื่อร่างกายมันทรงอยู่ไม่ได้ ก็เป็นปัจจัยที่จะต้องหาความเกิดต่อไป แล้วมันเกิดได้ยังไงล่ะ ปัจจัยที่จะทำให้เราเกิด คิดว่าถ้าเราไปเกิดจะไปเกิดที่ไหน ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์มันก็มีความลำบากอย่างนี้ เกิดเป็นเทวดาหรือพรหมหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องหล่นลงมาเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสัตว์นรกไป ไม่แน่นัก แต่จุดหมายปลายทางที่เราต้องการนั่นก็คือพระนิพพาน จิตจับเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์

เมื่อจิตจับเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้ว เราจะไปพระนิพพานได้อย่างไร? เราก็มานั่งดูซิ การที่จะไปพระนิพพานทำตรงไหน
 
๑. โลภะ ตัดความโลภ
 
๒. โทสะ ตัดความโกรธ
 
๓. โมหะ ตัดความหลง
 
ทั้งสามประการนี้เราตัดตรงไหน? เขาตัดที่สักกายทิฏฐิ การพิจารณาร่างกายว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ใช้ปัญญาพิจารณาว่าร่างกายนี้มันเป็นเพียงธาตุ ๔ เข้ามาประชุมกัน มีเครื่องหล่อลื่นให้มีการทรงตัวไว้ได้แก่อาหาร และสิ่งใดที่เป็นการเกินวิสัยที่จะรักษาไว้ได้ มันเป็นของเสีย มันก็ทำลายโยนทิ้งไป เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำหนอง เหงื่อไคล เป็นต้น เมื่อมันหลั่งไหลออกมาแล้วเป็นที่สกปรกเราก็โยนทิ้งไป ไม่สนใจกับสภาวะอย่างนั้น แม้แต่ร่างกายเราเอง เราก็ไม่สนใจเป็นยังไงก็ช่าง ป่วยไข้ไม่สบายรักษาถ้าหายไม่หายก็ช่างมัน จิตใจเราตั้งไว้เฉพาะอย่างเดียวคือพระนิพพาน เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเราแล้ว เราก็สร้างให้มันเป็นสาระประโยชน์เป็นแก่นสาร คิดไว้ในใจว่าคนที่เขาจะไปนิพพานได้

๑. ตัดความโลภ เราจะตัดยังไง นี่เรานั่งคิดกัน ใคร่ครวญกัน ตัดความโลภด้วยการให้ มันอยากได้จริงดึงเข้ามา แต่การให้มันผลักออกไป ถ้าเราให้ทานได้บ่อยเท่าไรมีใจสบายเท่าไร ก็แสดงว่าบารมีของเราก็ถึงระดับนั้น ถ้าจิตใจของเราทุกวันนี้เราพร้อมในการสงเคราะห์ ละก็เวลานี้จิตของท่านเป็นปรมัตถจิตแล้ว

ประการที่ ๒ นี่มาถึงอีกก้าวหนึ่งที่เราจะเข้าถึงนิพพาน เราก้าวเข้าไปแล้วสามก้าวเท่านั้น ข้อที่สองตัดความโกรธ ก็มานั่งเจริญพระกรรมฐานระงับเหตุระงับผล แผ่เมตตาจิตไปในทิศทั้งปวงว่าเราจะไม่มีเวร ไม่มีภัยต่อใคร แล้วก็ตั้งใจทรงอารมณ์สมาธิคือ เมตตาพรหมวิหารสี่ให้เป็นปกติ อย่างนี้ก็จะทำลายความโกรธ ความพยาบาทลงไปได้

สำหรับความหลงนั้นไม่ต้องอะไรมาก เมื่อพิจารณากายว่ามันมีสภาวะต้องพัง ไม่จีรังยั่งยืนไม่ถาวร ใจมันก็เริ่มสบาย คิดว่าร่างกายของเรา เรายังจะไม่สามารถจะนำไปได้ สำมหาอะไรกับทรัพย์สมบัติส่วนอื่นภายนอก เมื่อตายแล้วจะเอาไปได้ แต่ว่าความดีที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไว้นี่มีประโยชน์มาก คือเราเชื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าเราจะเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้แล้ว แล้วหลังจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างความดีในเรื่องจาคานุสสติกรรมฐาน ใส่บาตรกับพระหน้าบ้านบ้าง เอาของไปถวายกับพระที่วัดบ้าง คนยากจนเข็ญใจมีมา มีอะไรพอจะแบ่งจะปันให้ เราก็แบ่งปันให้ตามสมควร ใจมันก็จะเริ่มสบาย จิตมีความสุข อาศัยทานบารมีหรือจาคานุสสตินี้เป็นพื้นฐานที่นำตนให้เข้าถึงพระนิพพาน หรือด้วยฌานสี่ ฌานแปดก็ได้ อันนี้เป็นการศึกษากันไว้ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายไม่ศึกษาไว้ให้หมดทั้ง ๔๐ ประการมันจะมีความลำบาก

เอ้า กาลเวลาที่จะพูดก็หมดไปนานแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ ให้ทรงอารมณ์ไว้เฉพาะเท่านี้เท่านั้น ไม่ต้องไปคิดอย่างอื่นว่ามันจะมีมรรคมีผลเป็นประการใด จงอย่าคิด เพราะเวลานี้เป็นอารมณ์จิตที่เราต้องการเงียบสงัดให้เป็นเอกัคตารมณ์ เอาละต่อแต่นี้ไปทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 24 กันยายน 2558 15:48:31
.

(http://f.ptcdn.info/844/032/000/1435415588-normalbudd-o.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๒๗ เทวตานุสสติ

สำหรับวันนี้จะได้ให้ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสศึกษาพระกรรมฐานตามลำดับ ที่แล้วมาที่พูดไว้แล้วได้พูดถึงจาคานุสสติ วันนี้จะได้พูดถึงเทวตานุสสติ รวมความว่าอนุสสติทั้ง ๖ ประการตามที่กล่าวมาแล้ว ๕ ประการและวันนี้อีก ๑ รวมเป็น ๖ ประการนี้ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงมีกรรมฐานไว้โดยเฉพาะสำหรับท่านที่มีศรัทธาจริต คือมีความเชื่ออยู่แล้วให้พยายามหันเหความเชื่อเข้ามาอยู่ในขอบเขตของความดี ไม่ใช่เชื่อเลอะเทอะไป ให้เชื่อในความดีของพระพุทธ ของพระธรรม ของพระสงฆ์ ของศีล ของการบริจาค ตัดโลภะ เป็นความดีอย่างประเสริฐ เป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย
 
สำหรับอันดับที่ ๖ นี้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงแนะนำให้ใช้เทวตานุสสติ คำว่าเทวตานุสสติแปลว่านึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์ อนุสสติแปลว่าตามนึกถึง เราก็มานั่งมองดูกันถึงความดีของเทวดา เทวดาท่านทำยังไงถึงได้ว่าดี ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงให้นิยมนับถือเทวดา ก็พระพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว ทำไมไม่เกณฑ์ให้นับถือเฉพาะพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูรู้ดีจริงๆ คือว่าอารมณ์ของคนนี่จะไปเกณฑ์ให้จิตจับอยู่แต่พระนิพพาน โดยเฉพาะอย่างเดียวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ คือกำลังใจหรือว่ากำลังบารมีของบุคคลไม่เสมอกัน องค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงใช้วิธีผ่อนปรนในอันดับแรก ให้ทำจิตของตนในระยะต่ำเสียก่อน คือว่าให้นึกถึงความดีของเทวดาแล้วก็ปฏิบัติอย่างเทวดา เมื่อตายแล้วก็เป็นเทวดาได้ คราวนี้เทวดาท่านบอกว่าอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจร หากว่าเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นกามาวจรได้ เราก็เป็นพรหมได้ เพราะก้าวขึ้นไปอีกก้าวเดียวก็เป็นพรหม คราวนี้ถ้าขึ้นไปเป็นพรหมได้แล้ว ก็ไปนิพพานได้ เพราะขยับขึ้นไปอีกนิดเดียวก็ไปนิพพาน นี่จะเห็นความฉลาดขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะมีมาก นี่กล่าวมาโดยย่อจะต้องรวบรัดเพราะเวลาจำกัด
 
สำหรับเทวตานุสสตินี้ พระพุทธเจ้าให้นึกถึงความดีของเทวดา แต่ว่าไม่ใช่ให้นึกจับใจจับภาพของเทวดา ว่าเทวดาองค์นั้นสวย เทวดาองค์นี้สวย นางฟ้าองค์นั้นสวย นางฟ้าองค์นี้สวย ไม่ใช่อย่างนั้น หรือว่าเทวดาองค์นั้นๆมีวิมานแก้ว ๗ ประการ แก้ว ๓ ประการ แก้ว ๕ ประการ ก็ไม่ใช่ยังงั้น การนึกถึงเทวตานุสสติ การนึกถึงเทวดาเป็นอารมณ์ คือ จับเอาหัวใจของเทวดามาใช้ เพื่อเราจะได้เป็นเทวดาไปด้วย หัวใจของเทวดานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง เป็นธรรมะ ท่านเรียกว่า หิริโอตัปปะ ที่ท่านกล่าวว่าเป็นเทวธรรม คือธรรมที่ทำให้บุคคลเป็นเทวดา ธรรมที่ทำให้บุคคลเป็นเทวดามีสองจุด คือ หิริอย่างหนึ่ง โอตัปปะอย่างหนึ่ง หิริแปลว่าความละอายต่อบาป โอตัปปะ ความกลัวผลของบาปจะให้ผลเป็นเครื่องเดือดร้อน นี่ คนที่ทรงคุณธรรมความดี ๒ ประการ เป็นเทวดาได้อย่างสบาย และเป็นเทวดาชั้นสูง

ที่พระพุทธเจ้าให้เรารู้จักหัวใจของเทวดาหรือธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา ให้นึกถึงเทวดา แม้แต่ภุมมเทวดาก็ตาม ที่เราพากันยกศาลพระภูมิเจ้าที่ ความจริงเราก็เลยนึกว่าท่านเป็นเจ้าของพื้นที่ดิน แต่ความจริงไม่ใช่ พระภูมิเจ้าที่ท่านเรียกว่าภุมมเทวดา ซึ่งแปลว่าเป็นเทวดาผู้มีบุญน้อยวาสนาบารมีน้อย วิมานอยู่กับพื้นดิน การยกศาลพระภูมิก็ไม่ใช่ว่าจะให้เทวดามาอยู่บนศาลพระภูมิ เป็นแต่ว่าเรายอมรับนับถือเทวดา การยกศาลพระภูมิ ถ้าเราจะไหว้พระภูมิหรือไหว้ภุมมเทวดา อย่างชนิดเรียกว่าท่านมาเป็นยามรักษาบ้าน อันนี้ก็ไม่เข้าถึงจุดความจริง ถ้าเราเห็นศาลของภุมมเทวดาเมื่อไรก็นึกว่า นี่ท่านเกิดมาเป็นเทวดา ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่ปวด ไม่เมื่อย ไม่มีภาระ ไม่ต้องหุงข้าว หุงปลา ไม่ต้องทำนา ค้าขาย ไม่ต้องรับราชการ รับจ้าง ความเสื่อมโทรมของร่างกายไม่มี มีแต่ความสุข ความร้อนเกินไปสำหรับเทวดาไม่มี มีแต่ความเยือกเย็นมองไปเห็นศาลของเทวดาหรือภุมมเทวดาละก็คิดอย่างนี้ แล้วก็คิดต่อไปว่าความดีที่เป็นเทวดาแม้แต่เทวดาหางแถวก็ยังดีกว่าเราซึ่งเป็นคนหัวแถว คนหัวแถวคนแรกก็ได้แก่กษัตริย์หรือว่าประธานาธิบดี เรียกว่าเป็นใหญ่กว่าคนทั้งหมดในชาตินั้น ก็มีความแก่ ความป่วย ความตาย ความกระหาย ความกระทบกระทั่งกับอารมณ์ต่างๆ พอใจบ้างไม่พอใจบ้าง มีความทุกข์ตลอดเวลา มีความทรุดโทรม มีความกระสับกระส่าย มีความตายไปในที่สุด แต่เทวตาไม่มี จะมีก็เพียงแต่ว่าจุติเวลาหมดบุญวาสนาบารมี ยามปกติเทวดามีความสุข นี่การยกศาลพระภูมิ ถ้าไหว้พระภูมิแล้วละก็เขาไหว้แบบนี้

เราก็ดูกันต่อไปว่าท่านเป็นเทวดาได้ยังไง ความสำคัญจริงๆที่เป็นเทวดาได้แบบเทวดาชั้นดีก็มีหิริความละอายต่อความชั่ว ลองนึกดู ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหมดเราอาย โอตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะเข้ามาทับใจให้เกิดความทุกข์ ความชั่วนี่มันเข้าที่ไหนมันก็สร้างความทุกข์ที่นั่น มันหาความสุขกายสุขใจอะไรไม่ได้เลย นี่สองจุดนี่ อายความชั่ว แล้วก็เกรงกลัวผลของความชั่ว เมื่อเราทั้งอายทั้งกลัวความชั่ว เราก็ทำชั่วไม่ได้ ไม่ว่าในที่ลับหรือที่แจ้ง เราทำไม่ได้แน่ อายแล้ว อายไม่พอแถมกลัวด้วย นี่คนอายความชั่วกลัวชั่ว ไม่กล้าทำความชั่วมันเหลืออะไร ในเมื่อเราไม่ทำความชั่ว มันก็เหลือแต่ความดี อารมณ์จิตของเรามันมี ๒ อย่างเท่านั้น รับอารมณ์ ๒ อย่าง ไม่รับชั่วมันก็รับดี
 
ทีนี้ อารมณ์จิตของเราไม่รับชั่ว เหลือแต่ความดีโดยเฉพาะ เข้าในพระบาลีที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า สัพพปาปัสสะ อกรณัง ว่าท่านทั้งหลายจงอย่าทำความชั่วทั้งหมด นี่การเจริญเทวตานุสสติเข้าในพระพุทธฎีกาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งเป็นธรรมนูญของพระศาสนาเข้าไว้ว่า สัพพปาปัสสะ อกรณัง จงอย่าทำความชั่วทั้งหมด แล้วก็ กุสลัสสูปสัมปทา จงทำแต่ความดี การเจริญเทวตานุสสติตามแบบของอนุสสติเดิม เรามานั่งใคร่ครวญ นั่งคิดถึงอยู่ตลอดเวลาว่า อันดับอย่างต่ำของความดีขั้นมีความสุขก็คือเทวดา สูงขึ้นไปอีกนิดคือพรหม สูงที่สุดก็คือพระนิพพาน เวลานี้เราตั้งใจว่าเราจะไปนิพพาน แต่ว่าเรามีความดีถึงระดับของเทวดาแล้วหรือยัง นี่เป็นเครื่องวัดใจเรา ต้องวัดไว้เสมอนะ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง แล้วจะมานั่งนึกว่า เอ๊ะนี่เราดีเท่าเทวดาแล้วหรือยัง เราจะไปนิพพาน เทวดาท่านดีตรงไหนล่ะ เทวดาท่านดีตรงที่ท่านไม่ทำความชั่ว เพราะอาย เป็นคนขี้อาย อายชั่วแล้วเกรงกลัวชั่ว เป็นคนขี้ขลาดไม่อยากจะทำชั่ว กลัวความชั่ว นี่เวลานี้ใจของเราเท่าใจของเทวดาแล้วหรือยัง ความชั่วทั้งหมด ทั้งในด้านศีล เป็นพระ เป็นเณร ฆราวาสก็เหมือนกัน อยู่ในขอบเขตของศีลของตัวโดยเฉพาะตามหน้าที่ ขึ้นชื่อว่าความชั่วเฉพาะศีลนี่เป็นขอบเขตของพระพุทธศาสนา เราไม่ละเมิด แล้วก็ไม่ละเมิดระเบียบประเพณีของแต่ละชาติ แต่ละภาษา แต่ละหมู่ แต่ละคณะที่เราอยู่ ไม่ละเมิดต่อกฎหมายของบ้านเมือง คือไม่ทำด้วยความเต็มใจ ถ้าเรารู้สึกว่าจะละเมิดกฏหมายบ้านเมืองระเบียบประเพณีหรือศีลเมื่อไร ความอายนี่มันปรากฏ รู้สึกสั่นสะท้านเกรงกลัวผลของศีลผลของการละเมิดศีลประเพณีและกฏหมายของบ้านเมือง นี่อย่างนี้เรียกว่าเราก้าวเข้าสู่ความเป็นเทวดา เราอายแล้วเราก็กลัว ไม่ยอมปฏิบัติตามนั้น คือไม่ยอมละเมิด นี่ ที่ใจของเราปักอยู่อย่างงี้โดยเฉพาะแล้วเราก็คิดไว้ว่านี่เราทำอย่างนี้เราเป็นเทวดาได้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทำได้อย่างดีก็ไม่ใช่ภุมมเทวดา ลงอายความชั่วจริงๆ เกรงกลัวผลของความชั่วจริงๆ เอาจิตจับจิตอยู่ไว้เสมอ เรียกว่าจิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ถ้าเราเจริญในด้านนี้ เช้าเราก็มองดูจิตว่า เอ ตั้งแต่เช้าเมื่อวานถึงเช้าวันนี้น่ะเราหน้าด้านใจด้านบ้างหรือเปล่า คือหมายความว่าละเมิดหิริและโอตัปปะเวลาไหนที่เราไม่อายชั่ว เวลาไหนที่เราไม่เกรงกลัวผลของความชั่ว มีบ้างไหม นั่งจับอารมณ์ใจให้รู้ ถ้าบังเอิญมันจะมีขึ้นละก็ตั้งใจไว้เสียใหม่ว่า วันนี้ตลอดวันเราจะไม่ยอมให้ความชั่วเข้ามาสิงใจ เพราะมันจะเป็นปัจจัยให้ไปสู่อบายภูมิ นี่ใคร่ครวญจิตอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาเรียกว่าเจริญเทวตานุสสติกรรมฐาน ถ้าท่านเจริญเทวตานุสสติกรรมฐานแบบนี้โดยใช้อารมณ์เบาๆ คือจิตของท่านเข้าสู่อุปจารสมาธิแล้วเป็นเทวดาได้ หรือว่าขณิกสมาธิก็เป็นเทวดาได้ หากว่าเราเอาจิตจับไว้โดยเฉพาะ หิริและโอตัปปะมันจุดตรง อย่างนี้สมเด็จพระพุทธองค์บอกว่าเป็นเทวดาได้ แล้วชั้นดีเสียด้วย

ถ้าเราเจริญเทวตานุสสติกรรมฐานเราจับหิริและโอตัปปะ ใคร่ครวญพิจารณาอยู่ป้องกันอยู่ตลอดเวลา เมื่อนานๆเข้าอารมณ์จิตมันชิน ทีแรกก็ต้องระมัดระวัง ระวังเช้า ระวังกลางวัน ระวังกลางคืนจนกว่าจะหลับ คอยตรวจหน้าตรวจหลัง ระมัดระวังการพูด การทำ การคิด ว่ามันจะน้อมเข้าไปในความชั่ว การทำบ่อยๆมันชิน ตอนชินนี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท จะนั่งอยู่ก็ดี จะยืนอยู่ก็ดี จะเดินอยู่ก็ดี ทำอะไรอยู่ก็ตาม อารมณ์จิตมันทรงอารมณ์อยู่เป็นปกติเรียกว่ามันเป็นอัติโนมัติ ไม่ยอมพูดชั่ว ไม่ยอมทำชั่ว ไม่ยอมคิดชั่ว อารมณ์มันทรงตัว ใครทำอะไรจุ้นจ้านพลุ่งพล่านยังไงก็ตามเถอะ ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ใจของเราก็ไม่น้อมไปในความชั่ว ไม่กวัดแกว่งไปสู่อารมณ์ของความชั่ว อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า อาศัยที่ท่านใคร่ครวญแต่ความดี คือ หิริและโอตัปปะ หรือเลี่ยงผลของความชั่ว เกรงกลัวผลของความชั่ว อารมณ์จิตของท่านเป็นฌาน คำว่าฌานนี่คือว่าอารมณ์มันทรงอยู่ตลอดเวลา คำว่าตลอดเวลาก็หมายถึงว่าเราหมดจากภาระอย่างอื่นแล้วจิตมันก็ทรงอยู่แบบนี้ ป้องกันความชั่ว จิตทรงตัว ขึ้นชื่อว่าความชั่วไม่ยอมละเมิด อารมณ์มันสบายใจเป็นสุข ใจเป็นสุขตลอดคืนตลอดวัน มีความภูมิใจว่าเวลานี้เราดี เราสะอาดพอแล้ว จิตใจของเราสะอาดตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงสอน อารมณ์สบาย ใจมันเป็นฌาน พอใจมันเป็นฌาน ตายแล้วมันไปไหนล่ะ แทนที่เราจะอยู่ที่เทวดาก็ย่องไปพรหมแล้ว นี่เทวตานุสสติ อนุสสติเขาบอกว่าได้แก่อุปจารสมาธิ นี่ถ้าทำไม่เป็นล่ะมันก็แค่นั้นแหละ ถ้าเรามีความเข้าใจสักนิดหนึ่งละก็ เราก็ไปเป็นพรหมได้ คือทรงอารมณ์จิตนั่นให้มันทรงตัว วันทั้งวัน คืนทั้งคืน เราไม่ยอมน้อมจิตเข้าไปหาในความชั่ว คอยระวังมันไว้ เวลาจะพูดระวังปาก เวลาจะทำระวังกาย เวลาจะคิดระวังใจ ใจทรงอยู่ในความดีเป็นปกติ เขาเรียกว่าทรงฌาน เราก็ไปเป็นพรหม
 
คราวนี้เมื่อจิตทรงฌานได้แล้ว นี่ก้าวเดียวก็ไปพระนิพพาน เราก็มานั่งนึกว่า ความชั่วที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงห้ามเราละได้แล้วทั้งหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคตกล่าวว่า อีกจุดหนึ่ง สจิตตปริโยทปนัง จงทำใจให้ผ่องใส แต่ความจริงเราทรงอยู่ในหิริโอตัปปะ คือ เกรงความชั่ว กลัวความชั่ว จนอารมณ์จิตเป็นฌาน มันก็ใสแล้ว อารมณ์จิตเป็นแก้วควรแก่การเจริญวิปัสสนา เราก็มานั่งนึกดูว่า การเป็นเทวดาก็ดี การเป็นพรหมก็ดี ถ้าหมดวาสนาบารมีเมื่อไร เราก็ต้องจุติมาเกิดเป็นมนุษย์ ความดีที่สุดคือพระนิพพาน ทำยังไงล่ะ เราก็ตั้งใจว่านี่เรารักษาความดีถึงระดับพรหมได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่าเราไม่ต้องการมาเกิดเราจะไปนิพพาน เราก็ตัดขันธ์ ๕ โยนทิ้งไป คราวนี้ใจมันสะอาด ใจมันบริสุทธิ์ ใจมันทรงตัวมีกำลัง มันก็ทำไม่ยาก เราก็ตั้งใจตัดสักกายทิฏฐิ ถือว่าร่างกายของมนุษย์มันเลว มันเต็มไปด้วยความสกปรก เต็มไปด้วยความโสโครก เต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความเสื่อม เต็มไปด้วยความกระสับกระส่าย เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ปรนเปรอเท่าไรก็ไม่มีการทรงตัว หาความเที่ยงไม่ได้ ในเมื่อมันไม่เที่ยงแล้วก็มันมีแต่ความทุกข์ ในที่สุดมันก็สลายตัว เราจะมานั่งมัวเมาหวังอยู่ในกายเพื่อประโยชน์อะไร ร่างกายเป็นธาตุ ๔ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว เป็นปัจจัยของความทุกข์ ถ้าเรามีความอยากเกิดต่อไป เราก็อยากทุกข์ เวลานี้เราเป็นเทวดาได้แล้ว มีความดีมีความสุขในฐานะที่เป็นเทวดาหรือพรหม แล้วทำไมเราจึงจะนิยมกลับลงมาเกิดให้มันมีความทุกข์ต่อไป จึงต้องจับกำลังใจให้คงที่ว่า ขึ้นชื่อว่าอัตภาพที่ประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ นี้จะไม่มีสำหรับเราในกาลต่อไป เราจะยอมโง่ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ต่อไปขึ้นชื่อว่าความโง่ที่จะปรารถนามามีขันธ์ ๕ คือร่างกายอย่างนี้ไม่มีอีก เรามีความต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน แล้วก็รวบรวมกำลังใจเพื่อทำให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ตอนนี้มันง่ายเพราะใจมันดีซะแล้ว มันสะอาด แล้วก็มองไปว่า โลภะ ความโลภ เป็นปัจจัยของความไม่สะอาด เราต้องการมันหรือ คนที่มีหิริโอตัปปะ มันก็ตัดอยู่แล้ว ตัดความโลภอยู่แล้ว มีความสันโดษพอใจในทรัพย์สินที่มีอยู่เฉพาะที่เราหาได้ คือหาได้โดยไม่คดไม่โกงใคร แล้วก็มองให้ละเอียดลงไปว่า ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้มันไม่เป็นปัจจัยของความดีจริงๆ มันเป็นประโยชน์สำหรับเมื่อมีร่างกายอยู่ แต่ว่าเป็นปัจจัยของความทุกข์ จะต้องห่วงจะต้องระมัดระวังหวงแหนมันอยู่ตลอดเวลา เป็นอันว่ามันไม่ใช่ความสุขจริง เราก็วางภาระเสีย ไม่ใช่วางแล้วโยนทิ้ง มันจำจะต้องหามาก็หามาตามหน้าที่ มีกินมีใช้แต่จิตใจไม่ผูกพัน ตายเมื่อไรก็ช่างมัน มันจะไปไหนก็ช่างหัวมัน ตายแล้วก็แล้วกัน แม้แต่ร่างกายของเราก็ไม่คำนึงถึง

โทสะ ความโกรธ อันนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ โกรธทำไม โกรธมันทำลายใจให้ผิดปกติ คือว่าทำลายความสุขของใจ อารมณ์โกรธเป็นอารมณ์เผาผลาญให้เกิดความเร่าร้อน ดีไม่ดีอารมณ์โกรธก็เป็นตัวก่ออันตรายก่อภัยให้เกิดแก่ตน คนทุกคนเกิดมาแล้วก็ป่วย คนทุกคนเกิดมาแล้วก็ตาย เต็มไปด้วยความทุกข์ มันไม่มีอะไรเป็นความสุข เราจะไปสนใจกับความโกรธเพื่ออะไร นอกจากจะไม่โกรธแล้วก็มีเมตตากรุณา คือความรักและความสงสารเข้ามาแทนที่ อารมณ์อย่างนี้มันมีความสุข นี่เราทำลายความโกรธเสียด้วยอำนาจของเมตตาพรหมวิหาร คือความกรุณาความสงสาร จิตใจของเราทรงอารมณ์อย่างนี้ตลอดวัน

ต่อไปก็ทำลายรากฐานตัวสุดท้าย คือความหลง คือมองปลงไปว่าร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์ โลกเต็มไปด้วยความสกปรก หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ยึดอารมณ์ใจ คือตัดอารมณ์ฉันทะ คือความพอใจที่เราจะมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม เรามีความนิยมเฉพาะพระนิพพาน ตัดราคะ ความกำหนัดยินดี เห็นว่าโลกสวย เทวดาสวย พรหมสวย สามสวย ความจริงมันก็มีสวยอยู่เหมือนกัน แต่มันสวยไม่คงที่ ไม่ตลอดกาล ไม่ตลอดสมัย ถึงจะเป็นต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ล้มลุกคลุกคลานต้องสร้างกันบ่อยๆ ที่มีความสวยคงทนถาวรได้จริงๆ ก็คือพระนิพพาน เราจับใจไปเฉพาะที่นั่น เราจะไม่มัวเมาในทรัพย์สินทั้งหลาย จะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต แม้แต่ร่างกายของเราก็ดี เราไม่มีความยินดีที่จะปกครองมันต่อไป ถ้าเราตายแล้วเมื่อไร เราก็เลิก ใจเราก็มีความสุข ความโลภไม่มีก็มีความสุขใจ ความโกรธความพยาบาทไม่มี ความเดือดร้อนมันก็ไม่มี ความกระสับกระส่ายของจิตก็ไม่เกิดขึ้น ใจมันก็สบาย เราไม่ยึดถือแม้แต่ร่างกาย ว่ามันเป็นเราเป็นของเรา แล้วในเมื่อเราไม่ยึดถือร่างกายเสียอย่างเดียว เราปล่อยร่างกายเสียอย่างเดียวก็ชื่อว่าปล่อยหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ความเมามันก็ไม่เกิด เพียงเท่านี้เราก็เข้าถึงพระนิพพานได้ไม่ยากนัก ที่ว่าไม่ยากก็เพราะว่าเทวตานุสสติทำให้ใจของเราสะอาดผิดปกติ มันสะอาดมากอยู่แล้ว ที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอนให้ขึ้นต้นว่าเทวตานุสสติจงนึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์ นี่ถ้าเรามีความโง่เสียหน่อยเดียว จะนึกว่าแหมพระพุทธเจ้านี่สอนต่ำเกินไป ทำไมไม่สอนตรงเฉพาะพระนิพพาน ทั้งนี้ก็เพราะองค์สมเด็จพระพิชิตมารรู้อัธยาศัยของคนว่า คนที่มีความเชื่อต้องใช้อะไรเป็นเครื่องมือสำหรับสนับสนุนให้เข้าถึงสวรรค์ เข้าถึงพรหมโลก แล้วก็เข้าถึงพระนิพพาน
 
เอาละบรรดาทุกท่าน ขึ้นชื่อว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานทุกกอง ถ้ามีความฉลาดก็จับกรรมฐานกองนั้นๆ เป็นสมถะด้วย เป็นวิปัสสนาญาณด้วย ช่วยให้ไปถึงพระนิพพานได้โดยเฉพาะ ถ้าทำเป็นจริงๆ กรรมฐานกองเดียวเป็นประโยชน์ถึงพระนิพพานหมด
 
เอาละต่อแต่นี้ไป นี่พูดให้เข้าใจเพื่อเป็นการศึกษา แต่ฟังแล้วเอาไปใช้ก็ดีเหมือนกัน เทวตานุสสติกรรมฐานนี่ถ้าใช้ทุกวันละก็เรื่องพระนิพพานเป็นของง่าย ก็บอกแล้วนี่ ถ้าจิตสะอาดเสียอย่างเดียวมันก็ไปนิพพาน

ต่อแต่นี้ไป ขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น ตอนนี้สำคัญนะทิ้งกันไม่ได้ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา



หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 05 ตุลาคม 2558 09:15:34
(http://f.ptcdn.info/844/032/000/1435415588-normalbudd-o.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๒๘ กายคตาสติ

ต่อไปนี้ ตั้งใจศึกษาพระกรรมฐานตามลำดับ วันนี้จะได้พูดเรื่องกายคตาสติกรรมฐาน การเจริญกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ตาม ย่อมมีผลทำจิตให้เป็นสมาธิ แต่ว่าผลพิเศษย่อมเป็นไปตามอำนาจของกรรมฐานกองนั้น ๆ การที่เราจะเจริญพระกรรมฐานให้ได้ดีจริง ๆ เราก็ต้องเป็นผู้มีอารมณ์ชนะใจของตัวเองไม่ใช่ผู้แพ้ คำว่าชนะก็หมายถึงว่าการเจริญสมถภาวนา เราต้องการให้จิตเป็นสมาธิ เมื่อจิตจับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ให้ทรงอยู่ในอารมณ์นั้น ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้อารมณ์อื่นเข้ามายุ่งกับใจ แล้วจงรักษาเวลาตามสมควรตั้งเวลาไว้เฉพาะเท่านี้ เราจะไม่ยอมให้อารมณ์อื่นเข้ามายุ่งกับจิต แล้วก็ทรงอารมณ์ให้ตรงตามนั้นได้จริง ๆ รักษาอารมณ์ให้คงที่ไว้อย่างนี้จึงชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติที่ดีแล้วจึงจะได้ดี สำหรับด้านวิปัสสนาญาณก็ใช้ปัญญาพิจารณาหาความจริงของขันธ์ ๕ ให้พบ ที่เราต้องเกิดแก่เจ็บตายกันเป็นปกติ เพราะว่าเราโง่ไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ฉะนั้น เราก็ต้องมีอารมณ์ชนะใจอยู่เสมอ ทำปัญญาให้เกิด พิจารณาหาความจริงให้พบ เมื่อหาความเป็นจริงพบก็ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง มีอารมณ์ว่าง คือปล่อยขันธ์ ๕ เสีย ถือว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เมื่อเราปล่อยขันธ์ ๕ ได้เมื่อไร เราก็ถึงพระนิพพานเมื่อนั้น

นี่พูดถึงกฎธรรมดาที่ว่าการเจริญพระกรรมฐานเอาดีไม่ได้ก็เพราะใจมันไม่รักดี ใจไม่ทรงอารมณ์ ภาวนาว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ เดี๋ยวก็ส่งกระแสจิตไปสู่ที่อื่น ยอมให้อารมณ์อื่นเข้ามาทับจิต อย่างนี้ที่เราเรียกว่ายอมแพ้กิเลส ถ้าจิตใจฟุ้งซ่านไม่ทรงตัวอย่างนี้จะไปหาใครสอนที่ไหนก็เอาดีไม่ได้ การจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
 
สำหรับวันนี้จะขอพูดเรื่องกายคตาสติกรรมฐานเป็นลำดับต่อมา กายคตาสติกรรมฐาน พระพุทธเจ้าให้พิจารณาร่างกายของเราเป็นอารมณ์ สำหรับกรรมฐานกองนี้เป็นกรรมฐานทำลายอำนาจราคะจริต เป็นกรรมฐานกองหนึ่งใน ๑๑ กองที่ทำลายความรักในการรักสวยรักงาม ราคจริตมีอารมณ์รักสวยรักงาม คือมีอารมณ์ที่ยอมโกหกใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าของในโลกนี้ทั้งหมดจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตก็ดี สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ดี ไม่มีอะไรสวยจริง ไม่มีอะไรงามจริง มันเต็มไปด้วยความสกปรก ก่อนที่เราจะเห็นสิ่งอื่นเป็นของสกปรก ก็ต้องเห็นใจตัวของเราเองเสียก่อน คนอื่นเป็นยังไงช่างเขา เขาจะเห็นว่าตัวเขาสะอาด เขาจะเห็นว่าตัวเขาสกปรก เขาจะเห็นตัวเขาสวยสดงดงามยังไงก็ช่างเขา อย่าเอาใจเข้าไปยุ่ง เรามานั่งดูตัวของเราเองดีกว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

อัตถิ อิมัสมิง กาเย มีอยู่ในกายนี้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น

มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ตับ ไต ไส้ ปอด อาหารใหม่ อาหารเก่า อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง มันข้น เสลด น้ำลาย อย่างนี้เป็นต้น รวมความง่าย ๆ ไม่ต้องไปนั่งว่าคาถาให้มันเพลิน การสวดคาถานี้ได้ยินพระสวดอยู่เสมอ เขาว่ากันคล่องปากแบบนกแก้วนกขุนทองไม่มีประโยชน์อะไร ความจริงคาถานี้อาการทั้ง ๓๒ ประการ พระพุทธเจ้าให้พิจารณาว่าเป็นของสกปรกโสโครก โดยไม่เอาจิตเข้าไปยึด การท่องไว้จนคล่องปาก แล้วก็สวดกันไปตามอารมณ์ของการคล่องไม่มีผล ผลก็มีอยู่อย่างหนึ่งว่าเราจำได้ แต่ว่าการจำได้แล้วไม่นำเข้ามาพิจารณาร่างกายของเราให้เห็นไปตามนั้นมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

วิธีที่จะเกิดประโยชน์ก็มานั่งนึกซิว่า

ผม สะอาดหรือสกปรก ขน สะอาดหรือสกปรก เล็บ สะอาดหรือสกปรก หนัง สะอาดหรือสกปรก เนื้อ สะอาดหรือสกปรก เลยเนื้อเข้าไป มีอุจจาระปัสสาวะ น้ำเลือดน้ำเหลือง น้ำหนอง เสลด ไขมัน น้ำลาย แล้วก็ไส้ใหญ่ไส้น้อย อาหรใหม่ อาหรเก่า ตับไตไส้ปอด ลองนั่งนึกดูซิ ว่าอย่างไหนมันสะอาดบ้าง เอาปัญญาเข้าไปพิจารณาหาความจริง เราจะรู้ว่าของทั้งหลายเหล่านี้มันสกปรกจริงๆ ขณะใดจิตของเราเห็นว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี เต็มไปด้วยความสกปรกตามความเป็นจริง เรื่องนี้ไม่ต้องอธิบายมาก เพราะเรารู้กันอยู่แล้ว แต่ขณะใดเรายังเห็นว่าสะอาด ขณะนั้นจิตเราเข้าสู่อบายภูมิ แสดงว่าเป็นจิตของสัตว์นรกแล้ว ไม่ใช่จิตของเทวดา เพราะว่าอะไร เพราะว่าสัตว์นรกมันโง่ มีอารมณ์ที่เป็นอกุศล อกุศลก็แปลว่าไม่ฉลาด คำว่าไม่ฉลาดก็แปลว่าโง่ ของมันสกปรกเห็น ๆ อยู่ยังไปคิดว่ามันสะอาด ของมันเลวเราก็ไปเห็นว่ามันดี อารมณ์จิตอย่างนี้เป็นอารมณ์จิตของอบายภูมิ อย่าไปกันเลยนิพพาน แค่สวรรค์หรือเป็นมนุษย์ก็เป็นไม่ได้ เพราะอารมณ์ใจมันเศร้าหมอง

ในเมื่อร่างกายของเราเต็มไปด้วยความสกปรก นึกเอา หยิบเอามาสักชิ้นหนึ่ง น้ำลายที่อยู่ในปาก กลืนก็ได้อมก็ได้ แต่ว่าบ้วนออกมา มือของเราแตะน้ำลายไม่ได้ นั่นแสดงว่ามันสกปรกหรือมันสะอาด อาหารที่เราจะกินเข้าไปเลือกแล้วเลือกอีก เอาของดีที่สุด ทำปรุงดีที่สุด สะอาดที่สุด แต่ส่วนที่เป็นกากหลั่งไหลออกมาที่เราเรียกกันว่าอุจจาระ เราก็แตะต้องไม่ได้ มันสะอาดหรือสกปรก น้ำที่เราจะดื่มเข้าไป ต้องเลือกน้ำที่สะอาดปราศจากโรค ดีไม่ดีก็กินน้ำกลั่นมันสะอาดดี แต่น้ำที่ร่างกายไม่ต้องการไขออกมาทิ้งไป คือมันล้นจากความต้องการทิ้งออกมา ที่เราเรียกกันว่าปัสสาวะ เราก็ไม่อยากเอามือเข้าไปแตะ เราถือว่าสกปรก คราวนี้น้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองที่มีอยู่ในร่างกายเป็นสิ่งที่เราต้องการบำรุงให้เลือดดีร่างกายจะได้งาม ร่างกายจะได้แข็งแรง แต่พอเลือดไหลออกมาจากร่างกายเราก็เกิดความรังเกียจเหม็นคาว ไม่อยากแตะต้องหาว่ามันสกปรก ของทั้งหลายเหล่านี้มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในร่างกายเราหรือมันอยู่ที่ไหน เราเอามาจากที่อื่นหรือยังไง

นี่ นั่งนึกด้วยอำนาจของปัญญาพิจารณาเห็นตามความเป็นจริง กรรมฐานกองนี้เป็นกรรมฐานสำคัญที่สุดที่ตัดราคะความรักและเป็นกรรมฐานที่พระอรหันต์ทุกองค์จะต้องผ่าน ไม่ว่าพระอรหันต์องค์ไหน ถ้าจะเป็นพระอริยเจ้าคือตั้งแต่อนาคามีขึ้นไป ถ้าบอกว่าไม่เคยผ่านกรรมฐานกองนี้ละก็อย่าไปเชื่อใคร เป็นไม่ได้แน่นอน จึงจัดว่าเป็นกรรมฐานพื้นฐานใหญ่ ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาถือว่ามีความสำคัญ ฉะนั้น พระก็ดี เณรก็ดี ที่จะบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา พระอุปัชฌาย์จึงสอนตจปัญจกกรรมฐาน ๕ ประการขึ้น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น วันนั้นท่านสอนย่อเพราะเวลาน้อย ความจริงก็สอนอาการ ๓๒ ทั้งหมดให้เห็นว่าเป็นของสกปรก ส่วนที่สอนเพียง ๕ ประการ เพราะสิ่งที่มันเห็นอยู่ ผม ถ้ามันสะอาดจริง ๆ ไม่ต้องสระ ไม่ต้องสาง ไม่ต้องฟอก ไม่ต้องชะ ไม่ต้องล้าง ปล่อยมันตามนั้นแล้วมันไหวไหมล่ะ สักเจ็ดแปดวันก็เหม็นเป็นแร้งทึ้ง ทนไม่ไหว นี่ แสดงว่าผมมันสกปรก นี่ ในเมื่อผมนี้ความจริงมันมีสภาพเน่าไม่ได้เพราะมันเป็นของแข็ง ไม่มีส่วนใดที่เป็นน้ำจะซึมเข้าไปได้ แต่มันก็ยังสกปรก เพราะเหงื่อไคลที่ไหลมาจากร่างกายเข้ามาทับมัน นี่ถ้าของประเภทนี้ถ้าสกปรกได้ เนื้อหนังก็สกปรกยิ่งไปกว่านั้น

การพิจารณาเห็นเป็นของสกปรก เราพิจารณาทำไม ?
 
ก็เป็นการพิจารณาตัดความรักที่เราเห็นว่ามันสวยมันงามมันสะอาด

นี่พิจารณาไป ของจริงมันมีอยู่ ทำจิตให้รู้กฎของความเป็นจริง ไม่ต้องไปหาตำรับตำราที่ไหน ถ้าสงสัยก็บ้วนน้ำลายออกมา แล้วเอามือเข้าไปละเลงเล่น แล้วก็กลืนเข้าไปใหม่ก็ได้ ถ้าทำได้ยังงี้มันก็สะอาด แล้วก็ปัสสาวะออกมาถือว่าน้ำที่เราจะกินเข้าไป เลือกกินน้ำที่สะอาดที่สุด เวลาปัสสาวะออกมาเอากลับเข้าไปดื่มใหม่ได้ไหมล่ะ ถ้าดื่มได้มันก็สะอาด ถ้าดื่มไม่ได้มันก็สกปรก อาหารเลือกให้มันดีที่สุด ปรุงให้มันดีที่สุด ปราศจากโรคเป็นอาหารที่สะอาด แล้วกากที่ถ่ายออกมา ลองกลับเข้าไปกินใหม่ได้หรือไม่ได้ ถ้าไม่ได้มันก็สกปรก แล้วของเหล่านี้มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในกาย ในเมื่อกายของเราสกปรก แล้วกายของคนอื่นที่ไหนจะสะอาด ที่ให้พิจารณาตัวเองเป็นสำคัญ ก็เพราะว่าตามปกติเราย่อมไม่มองเห็นตัวเรา ย่อมมองเห็นแต่บุคคลอื่น คิดว่าตัวนี้มันดีเลิศ ประเสริฐเสียทั้งหมด

ในเมื่อพิจารณาร่างกายเป็นของสกปรก ที่เรียกกันว่ากายคตาสติกรรมฐาน กรรมฐานกองนี้ควรจะใช้ทุกลมหายใจเข้าออก เพราะเป็นกรรมฐานสำคัญ ถ้าเราเห็นว่าร่างกายสกปรก มีความเบื่อหน่ายในร่างกาย ร่างกายเราก็เห็นว่าสกปรก เห็นคนอื่นก็เห็นว่าสกปรก ให้มันสกปรกจริง แต่ใช้สัญญาน้อมเข้าไป ใช้ปัญญาพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงให้เกิดความรังเกียจ ที่เรียกว่านิพพิทาความเบื่อหน่าย ถ้าจิตทรงอยู่อย่างงี้ตลอดกาลตลอดสมัย เห็นร่างกายเราเมื่อไร เห็นร่างกายบุคคลอื่นเมื่อไร เห็นว่าสกปรกน่าเกลียดโสโครกไม่เป็นของน่ารัก อย่างนี้ก็ชื่อว่าเข้าถึงกรรมฐานกองนี้ได้เต็มที่ ที่เรียกกันว่าสมถภาวนา เมื่ออารมณ์เข้าจับจุดสมถภาวนา ถ้ามันทรงได้ตลอดกาลตลอดวัน เห็นเมื่อไรเห็นว่าสกปรกเมื่อนั้น อย่างนี้เรียกกันว่าปฐมฌาน ไม่ใช่อุปจารสมาธิ ถ้าบางขณะยังเห็นว่ามันสวยสะอาด อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ไม่มีการให้คะแนนกัน ถ้าเป็นการสอบก็ถือว่าใช้อะไรไม่ได้เลย จิตยังทรามอยู่มาก ยังไม่เข้าถึงจุดที่เป็นกุศล บางวะระเห็นว่าสะอาด บางวาระเห็นว่าสกปรกอย่างนี้เขาเรียกว่าเอาดีไม่ได้ ก้าวขึ้นไปยังไม่ถึงขั้นประถม โดยนิยมแล้วต้องเห็นว่ามันสกปรกตลอดเวลา ไม่มีอารมณ์พิสมัยเพราะเห็นว่ามันสกปรก นี่เราไม่ต้องการของสกปรก ถ้าจิตมันทรงยังงี้ได้ตลอดเวลา ก็ชื่อว่าเราถึงกรรมฐานกองนี้แล้ว เห็นเมื่อไร เห็นกายเราเมื่อไร เห็นกายบุคคลอื่นเมื่อไรเราก็เบื่อหน่ายเมื่อนั้น รังเกียจเมื่อนั้น ให้มีความรังเกียจเป็นปกติ แล้วก็รังเกียจจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ใช้สัญญาเป็นเครื่องความจำว่า ครูบาอาจารย์หรือพระพุทธเจ้าท่านสอนบอกว่าร่างกายคนเรานี่น่ารังเกียจ มันสกปรก แต่ไอ้ใจหนึ่งมันเกิดความรักความปรารถนา อันนี้ใช้ไม่ได้ มันต้องเห็นรังเกียจจริง ๆ ในเมื่ออารมณ์รังเกียจปรากฏอย่างนี้ชื่อว่าอารมณ์สมถภาวนาปรากฏคราวนี้เราทำกรรมฐานกองนี้ให้เป็นวิปัสสนาภาวนา สมถะทุกกองเป็นวิปัสสนาได้หมด ต้องควบกัน ถ้าไม่ควบกันมันก็เอาดีไม่ได้ เราก็มานั่งพิจารณาที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า

อัตภาพร่างกายที่เกิดมาแล้ว มันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง เต็มไปด้วยความทุกข์ อนัตตา มันสลายตัว

เราก็มานั่งพิจารณาร่างกายที่เต็มไปด้วยความสกปรกนี่มันเป็นนิจจังหรืออนิจจัง ?
 
นิจจังแปลว่าเที่ยง อนิจจังแปลว่าไม่เที่ยง ความจริงความสกปรกมันเป็นนิจจัง คือความเที่ยง มันสกปรกเป็นปกติ นับตั้งแต่วันเกิดถึงวันตาย ร่างกายไม่เคยสะอาด เราอาจจะเถียงว่าอาบน้ำฟอกสบู่แล้วชำระร่างกายดีแล้ว นั่นมันเพียงแต่ผิวกำพร้า แต่อุจจาระปัสสาวะน้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองที่มีอยู่ในกายเรารีดออกมาหมดได้รึเปล่าล่ะ มันเอาออกมาไม่ได้มันก็สกปรกอยู่ตลอดเวลา แล้วร่างกายที่เต็มไปด้วยความสกปรกนี่มันทรงตัวไหม มันมีความแข็งแรงมันมีความสมบูรณ์ทรงตัวรึเปล่า หรือว่ามันมีความเสื่อมความโทรมอยู่เป็นปกติ นี่หันเข้ามาหาวิปัสสนาญาณว่ามันสกปรกแล้วเราก็พอทน คือว่าจำจะต้องอยู่ อยู่ด้วยอาการทนอยู่ ด้วยความรังเกียจ ตอนนี้เจ้าร่างกายที่เต็มไปด้วยความสกปรก แล้วมันไม่ใช่เท่านั้น มันยังมีความเสื่อม มันยังมีความโทรมเป็นปกติ มันมีความต้องการ ต้องการให้เราต้องบำรุงอยู่เสมอ ความต้องการของมันก็คือว่า หาของมาซ่อมมาแซมความเสื่อมของมัน ความเสื่อมก็ได้แก่ความเป็นเด็กเล็กมาเป็นเด็กใหญ่ จากผู้ใหญ่มาเป็นคนแก่ อันนี้เราก็เห็นความเสื่อมความโทรม หูก็ฝ้าตาก็ฟาง ฟันก็หัก ผมก็หงอก กายก็ค่อม เรี่ยวแรงก็หมดไป สติปัญญาก็เสื่อมทราม ไอ้นี่เป็นอาการเสื่อมที่เราเห็นถนัด แต่ทว่าคนไม่ยอมเห็นกัน เห็นแล้วไม่ยอมคิด นี่เป็นความโง่ สำหรับวิปัสสนาภาวนาก็เห็นด้วยปัญญาจริง ๆ ว่ามันเสื่อมลงไปทุกขณะจิต ความเสื่อมก็คือตัวไม่เที่ยง มันไม่ทรงตัว
 
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า มันไม่เที่ยงแล้วมันเป็นทุกข์ ตรงไหน ?
 
ร่างกายเกิดมามีอวัยวะสมบูรณ์ตามปกติ แต่มันมีความเสื่อมสลาย ตัวเสื่อมนี่เอง มันต้องการให้เพิ่มเติมให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เราก็ต้องแสวงหาอาหาร ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่างเพื่อนำมาบำรุงร่างกาย ความต้องการเกิดขึ้นคือความหิวเป็นอาการของความทุกข์ การแสวงหาอาหารต้องประกอบกิจการงานทุกอย่างเต็มไปด้วยความเหนื่อยยาก เป็นอาการของความทุกข์ นอกจากนั้นความป่วยไข้ไม่สบายปรากฏ โรคะแปลว่าเสียดแทง มันทำให้เกิดความลำบาก นี่ก็เป็นอาการของความทุกข์ นี่เพราะมันไม่เที่ยงจึงเป็นทุกข์ เราเป็นเด็กแล้วโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัว มีกำลังร่างกายแข็งแรงเราพอใจ แต่ทว่าเราก็ลืมมัน นับตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้มันทุกข์อยู่ตลอดเวลา ทุกข์จากความหิวความกระหายความหนาวความร้อนความป่วยไข้ไม่สบายความปรารถนาไม่สมหวัง มันเบียดเบียนเรามาตลอดเวลา เป็นอาการของความทุกข์ คนที่มีปัญญาเท่านั้นจึงจะมองเห็น ในเมื่อถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเราพอใจ แต่มันก็ทรงอยู่ได้ไม่นานมันก็กลับแก่ นี่ทุกข์เพราะความแก่เข้ามาอีก ทุกข์เพราะร่างกายไม่สมบูรณ์ มีกำลังวังชาไม่คงที่ ไม่สามารถจะทำงานได้ตามปกติได้ สายตาที่เคยยาวก็กลับสั้นมองอะไรไม่ใคร่เห็น ฟันที่เคยเคี้ยวอาหารได้ดี ๆ ก็หัก เคี้ยวไม่ถนัดกินของไม่สะดวก หูก็ชักจะฝ้าตาก็ชักจะฟาง ร่างกายก็ทรุดโทรม นี่เป็นอาการของความทุกข์ ในที่สุดพระพุทธเจ้ากล่าวว่าเป็นอนัตตา อนัตตาคือการสลายตัว ในที่สุดมันก็พัง

นี่ ในเมื่อร่างของเรามันสกปรกแล้วก็ไม่เที่ยง มีความทุกข์ มีการพังไปในที่สุด แล้วเราจะมานั่งหลงใหลใฝ่ฝันปรารถนาร่างกายของเรา ปรารถนาร่างกายของบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์อะไร ไม่ว่าร่างกายของใครทั้งหมด จะมีฐานะเช่นใดก็ตาม มีความรู้แบบไหนก็ตาม จะมีอำนาจวาสนาเท่าไหนก็ตาม มันก็มีความเสื่อม มีความทุกข์มีการสลายตัวไปในที่สุด แล้วเราก็มานั่งมัวเมาร่างกายของเรา มัวเมาร่างกายของบุคคลอื่น ก็ชื่อว่าเต็มไปด้วยความโง่ แล้วจะต้องเกิดใหม่ ความมัวเมาปรารถนามันเป็นกิเลส กิเลสแปลว่าอารมณ์เศร้าหมองของจิตคือจิตมันเต็มไปด้วยความโง่ เพราะความเศร้าหมองเกิดขึ้น ความทะเยอทะยานคือตัณหาความอยากได้มันก็เกิด อยากจะได้กายคนอื่นมาเป็นกายของเรา อยากจะให้กายของเราทรงอยู่ตามปกติ อยากจะให้ร่างกายของเราไม่สลายตัว มันเป็นไปได้ที่ไหน ไอ้การเกิดขึ้นแล้วการเสื่อมไปสลายตัวไปมันเป็นของธรรมดาห้ามมันไม่ได้ เหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นในเวลาเช้าก็ลับไปในเวลาเย็น ใครจะไปห้ามดวงอาทิตย์ได้ ถ้าเราห้ามดวงอาทิตย์ไม่ได้ฉันใด เราก็ห้ามความแก่ห้ามความตายของร่างกายไม่ได้

ในเมื่อร่างกายมันต้องแก่มันต้องตายมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เราห้ามมันไม่ได้ มันเป็นอะไรล่ะ ก็เรียกว่ากายคตาสติในตอนต้น แล้วก็มาเป็นสักกายทิฏฐิที่พระพุทธเจ้าเห็นบอกว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้ามันเป็นเราจริง มันเป็นของเราจริง มันสกปรกไม่ได้ เพราะเราไม่ต้องการให้มันสกปรก เราก็ต้องบังคับให้มันสะอาดให้มันทรงตัวได้ แต่นี่ด้านการสกปรกบังคับให้มันสะอาดเราก็ทำไม่ได้ มันเป็นเราจริง ๆ รึ ไอ้เรื่องความสะอาดความสกปรก ช่างเถอะปล่อยไปนิดหนึ่ง นี่เราเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว เราไม่อยากแก่ ห้ามได้ไหม ห้ามความแก่ได้ไหม เราก็ห้ามไม่ได้ เรามีร่างกายสมบูรณ์บริบูรณ์เราไม่อยากป่วย เราห้ามความป่วยได้ไหม เราก็ห้ามไม่ได้ แล้วในที่สุดมันจะป่วยก็ไม่ว่า มันจะแก่ก็ไม่ว่า เอาละมันจะยังไงก็ช่างมันห้ามไม่ได้ เราไม่ต้องการตาย เพราะยังห่วงลูกห่วงหลานห่วงทรัพย์สินที่เราหามาได้ด้วยความลำบาก แล้วเราบังคับมันไม่ให้ตายได้ไหม เราก็บังคับไม่ได้ ในเมื่อเราบังคับไม่ได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในมัน มันไม่มีในเรา

ในเมื่อมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราห้ามปรามไม่ได้ ทะนุถนอมมันก็ไม่ทรงตัว ก็จะคบมันทำไมต่อไป วางขันธ์ ๕ คือร่างกายเสียให้หมด พิจารณาตามความจริง เอากายคตาสติเป็นที่ตั้ง ว่ามันสกปรก สร้างความรังเกียจแม้แต่ตัวเอง ไม่ใช่ไปนั่งรังเกียจเฉพาะบุคคลอื่น แม้แต่ร่างกายของเราเองนี่ก็ถือว่ามันมีสภาพเหมือนส้วมเคลื่อนที่ หรือว่าโลงศพเคลื่อนที่ ข้างในเต็มไปด้วยศพแล้วก็สกปรกสิ้นดี กลิ่นในร่างกายก็เต็มไปด้วยความเหม็น ถ้าข้างในมันหอมละก็ ดูอุจจาระปัสสาวะ มันเคลื่อนออกมามันเหม็นหรือมันหอม มันเหม็น แล้วเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่จริงๆ มันเหม็นยิ่งไปกว่านั้น นี่มันสกปรกอย่างนี้เราต้องการอะไรมัน มองเข้าไปหาจุดของความสกปรกให้เห็น นิพพิทาญาณจะเกิด คือเป็นวิปัสสนาญาณตัวที่ ๖

เมื่อนิพพิทาญาณเกิด ความเบื่อหน่ายในร่างกายเกิด ก็เบื่อมันต่อไปว่ามันสกปรก แล้วยังไม่พอ มันไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตามีการสลายตัว ไม่มีการทรงตัว ในเมื่อมันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีการสลายตัวไปอย่างนี้เราจะเมามันเพื่อประโยชน์อะไร เราก็ทำใจให้เข้าถึงสังขารุเบกขาญาณ วิปัสสนาญาณนี่ไม่ต้องว่าตามลำดับ โจนมันไปเลย สังขารุเบกขาญาณมีอารมณ์วางเฉย ความต้องการในร่างกายไม่ต้องมีขึ้นมาอีก เลิก คิดว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ที่เต็มไปด้วยความสกปรกเต็มไปด้วยความไม่เที่ยงเต็มไปด้วยความทุกข์มีการสลายตัวไปในที่สุด เราไม่ต้องการมันอีก เราจะถือว่าเรามีร่างกายชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ชาติต่อไปร่างกายแบบนี้เราจะไม่มี เพราะเราไม่ต้องการมัน ปลดร่างกายเสีย ถือว่าร่างกายเป็นศัตรูใหญ่ เป็นภัยใหญ่ที่ทำให้เรามีความทุกข์ ที่เราต้องมาเกิดแก่เจ็บตาย เต็มไปด้วยความทุกข์แบบนี้ก็เพราะอาศัยเราโง่มาในกาลก่อน เห็นว่าร่างกายมันเป็นของดี มันเป็นเราเป็นของเรา ฉะนั้น จึงได้ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรม

คราวนี้มาสังขารุเบกขาญาณ เขาทำกันยังไง ?

ผมมันจะหงอก ถือว่าเป็นเรื่องของธรรมดา ฟันจะหักถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา หูจะฝ้าตาจะฟางมันจะแก่หลังค่อม ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วความตายจะเข้ามาถึง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา สังขารุเบกขาญาณแปลว่าความวางเฉยในสังขาร คือในขันธ์ ๕ ไม่ดิ้นไม่รน ไม่กระวนกระวายปล่อยเป็นเรื่องธรรมดา มันเกิดได้ก็แก่ได้ มันเกิดได้ แล้วมันก็ป่วยได้ มันเกิดได้มันก็ตายได้ มันจะตายก็ช่างมัน เพราะเราไม่ต้องการมัน ถือว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นภาระของมัน เมื่อจิตใจของเราไม่ยึดถือร่างกาย เรามีความเบื่อหน่ายในร่างกายของเราแล้ว ร่างกายของใครที่ไหนล่ะเราจะเห็นว่าสะอาด ในเมื่อเราไม่มีความต้องการ ไม่ต้องการร่างกายของเราต่อไปอีก แล้วเราจะต้องการร่างกายของใคร เป็นอันว่าเมื่อถึงสังขารุเบกขาญาณ อารมณ์วางเฉยมันก็วางได้ไม่สนใจกับร่างกาย มันจะเป็นยังไงก็ช่าง เมื่อมันยังมีลมปราณอยู่ เราก็ปรนเปรอมัน เพราะเราต้องอาศัยมันเมื่อมันจะพังก็เชิญพังตามใจ คิดว่าร่างกายอย่างนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก เราเลิก ไม่ต้องการ ขันธ์ ๕ จะมีในสภาพเช่นใดก็ตามเราไม่ต้องการทั้งหมด เมื่อจิตเราไม่ต้องการในขันธ์ ๕ เสียอย่างเดียว กิเลสทั้งหมดมันก็หมด เมื่อมันมีอารมณ์ไม่ต้องการในขันธ์ ๕ เห็นว่าร่างกายขันธ์ ๕ เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ อนัตตามีการสลายตัว ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก อย่างนี้ก็ชื่อว่าเราเข้าถึงความเป็นผู้ไม่สงสัยในคุณพระรัตนตรัย

แล้วในเมื่อเราไม่ต้องการร่างกายอีก เราก็ต้องจับบันไดขั้นต้น นั่นคือทำศีลให้บริสุทธิ์ เพื่อจะก้าวไปสู่พระนิพพาน เมื่อศีลบริสุทธิ์ดีแล้ว เราก็เข้าไปจับทำลายกามราคะ คือกามฉันทะ มีความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย เป็นต้น นี่เราก็พิจารณากายคตาสติ อาการอย่างนี้มันก็ไม่ปรากฏ รูปสวยมันก็ไม่มี เสียงเพราะมันก็ไม่มี รสอร่อยมันก็ไม่มี กินเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น ไม่หลงในรสอาหาร ถ้าเรายังหลงในรสอาหารอยู่ นี่ก็ชื่อว่าเราหลงอบายภูมิ เราหลงในรูปสวย ในเสียงเพราะ ก็ชื่อว่าเราหลงในอบายภูมิ อบายเป็นดินแดนของความเร่าร้อน มันเป็นทุกข์ นี่เราก็ไม่มีความหลง ช่างมันปะไร ร่างกายมันจะเป็นยังไงก็ช่าง เราไม่ติด ไม่ติดในรูป ในเสียง ในรส ในกลิ่น แล้วไม่ติดในสัมผัส มีความรังเกียจเห็นว่าสกปรก กามฉันทะมันก็ตัดไป

เมื่อกามฉันทะปลดไปแล้ว โทสะมันยังเหลือ เราก็คิดว่าร่างกายนี่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วก็ไม่ใช่ของคนอื่นด้วย มันเป็นเพียงส่วนกลาง เป็นธาตุ ๔ มาประชุมกัน เป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว เราจะโกรธคิดประหัตประหารเขาเพื่อประโยชน์อะไร ไม่ต้องไปฆ่ามันชาวบ้าน มันตายหมด ไม่ต้องไปทรมานเขา เขาก็เป็นทุกข์หมด เขาทุกข์อยู่แล้ว จะตายอยู่แล้ว จะไปทำอะไรเขา นอกจากจะไม่ทำแล้วก็ยังมีจิตเมตตาสงสาร ความรักความสงสาร ว่าเออะ นี่เขาโง่นะที่มาหลงในร่างกาย มาแกล้งทำตัวเป็นเด่น ทำให้เกิดโทสะกับบุคคลอื่น นี่เขาโง่จริงๆ เขาหลงในอบายภูมิ เราไม่เอาด้วย ปลดเปลื้องความโกรธเสียด้วยอำนาจของเมตตาบารมีหรือพรหมวิหาร ๔ นี่มันสังขารุเบกขาญาณนี่ มันก็วางเสียซิ จะว่ายังไงก็เชิญด่ายังไงก็เชิญฉันไม่ยุ่ง ไอ้ที่เขาด่าน่ะเขาไม่ได้ด่าเรา เขาด่าขันธ์ ๕ ในเมื่อขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจะไปโกรธเราทำไม นี่สังขารุเบกขาญาณเป็นแบบนี้ เมื่อเราวางอารมณ์โทสะเสียได้แล้วเราก็เป็นพระอนาคามี เห็นไหมล่ะสักกายทิฏฐิ ถึงพระนิพพาน จะว่าสมถะไม่ดี นี่ก็เพราะความโง่เท่านั้น พระอรหันต์ก็ยังใช้สมถะเป็นปกติเพื่อความอยู่เป็นสุข

ในเมื่อเข้าถึงอนาคามีแล้ว เราก็เหลืออนุสัยตัวเล็ก ๆ เรามองดูรูปฌานและอรูปฌานว่า เอ้อ ไอ้นี่ไม่ใช่ตัวนิพพานไม่พ้นทุกข์ เรายึดรูปฌานและอรูปฌานเป็นกำลังเพื่อก้าวเข้าไปสู่พระนิพพาน ไม่ใช่ได้ฌานแล้วมานอนตีพุง ว่าเราเป็นผู้วิเศษแล้ว นั่นมันใจนรก ไม่ใช่ใจสวรรค์ ไม่ใช่ใจนิพพาน เพราะรูปฌานและอรูปฌาน ยังไม่สามารถจะปลดเปลื้อง ยังไม่สามารถจะตัดความเกิดได้ นี่เราก็เห็นรูปฌานและอรูปฌานเป็นกำลังใหญ่ทรงกำลัง มีกำลัง รักษากำลังให้ทรงตัว รักษาฌานไว้แต่ไม่ตั้งอยู่เท่านั้น ก้าวต่อไป

ใช้กำลังของฌานเป็นกำลังใหญ่เข้าไปตัดมานะความถือตัวถือตน เห็นว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา ยกทิ้งไปว่าไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรเลว มันเป็นไปตามสภาวะของมันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรน่ารังเกียจแล้วไม่มีอะไรน่ารัก ไม่รักด้วยไม่รังเกียจด้วย คือรังเกียจคนอื่น รังเกียจกายของบุคคลอื่น รังเกียจกายเขาว่าเขาต่ำกว่าเรา เลวกว่าเรา อันนี้ไม่มี มันสกปรกเหมือนกัน มันพังเหมือนกัน มันเป็นเรือนร่างเป็นที่อาศัย เราจะเข้าไปยุ่งกับมันทำไม

แล้วก็รักษาอารมณ์ใจให้ตรงเฉพาะพระนิพพาน ตัดอุทธัจจะความฟุ้งซ่านทิ้งเสีย อารมณ์อื่นไม่ต้องการ ต้องการอารมณ์อย่างเดียว คือพระนิพพาน อารมณ์พระนิพพานเป็นยังไง จิตมีความสุข ไม่สนใจกับขันธ์ ๕ ยอมรับนับถือ เจ็บก็เจ็บซิ ป่วยก็ป่วยซิ ร้อนก็ร้อน หนาวก็หนาวตามใจ มันร้อนก็อาบน้ำ มันหนาวก็เอาผ้ามาห่ม มันทนไหวก็ไหว ทนไม่ไหวตายช่างมัน นี่อารมณ์เราไม่ยอมไปยุ่งกับขันธ์ ๕ มากเกินไป เราปรนเปรอมันบ้างตามเวลา เพราะมันจะหิวก็ต้องหาให้มันกิน มันร้อนก็ต้องหาน้ำมาอาบ เมื่อมันหาวก็หาผ้ามาห่ม เป็นการทำลายทุกขเวทนาเพราะเราต้องอาศัย แล้วคิดว่าที่เราทำยังงี้ ทำไปเพื่อรักษากำลังใจให้คงที่ มันจะพังเมื่อไรก็เชิญ นี่สังขารุเบกขาญาณ ใจมันสบายแบบนี้

เมื่อทำลายอุทธัจจะได้แล้วก็ทำลายอวิชชา ความโง่ ก็ตัดฉันทะ ความพอใจในร่างกายเสียให้สิ้น ตัดราคะความเห็นว่าร่างกายเป็นของสวยสดงดงามเสียให้หมด ตัดความพอใจ คือฉันทะต้องการที่จะมีร่างกายต่อไปอีก ตัดมันทิ้งไป เราไม่ต้องการมันอีก เราจะไม่มองเห็นว่าร่างกายประเภทนี้มีความสวยสดงดงามหรือมีความสะอาด เมื่อตัดได้แล้วอารมณ์ก็มีความสุข อย่างอารมณ์พระอรหันต์ อารมณ์พระอรหันต์น่ะมีความสุขจริง ๆ ไม่มีอาการขึ้นไม่มีอาการลง ไม่ติดในขันธ์ ๕ ไม่ติดในร่างกาย ในเมื่อไม่ติดในร่างกายเสียอย่างเดียว ร่างกายเรา เรายังไม่ติดมันแล้วจะติดร่างกายใคร ในเมื่อเราไม่ติดในร่างกายเราและไม่ยึดถือร่างกายเราว่า ร่างกายนี่มันเป็นเรา เป็นของเราแล้ว เราจะเห็นว่าร่างกายของบุคคลอื่นเป็นเราเป็นของเราได้ยังไง แล้วทรัพย์สินนอกกายยังจะเห็นว่าเป็นเราเป็นของเราอยู่ได้ยังไง มันก็ตัดไปหมด เมื่อตัดเสียแล้วยอมรับนับถือกฎของธรรมดา อารมณ์ใจมันก็สบาย แบบเราเห็นพอสว่างขึ้นมาเรารู้ว่าวันนี้มีแดด แสงแดดมันเป็นความร้อน เรารู้ว่ามันจะเป็นยังงั้น ใจมันก็ปกติไม่ดิ้นรน พอค่ำลงไปอากาศเย็นเรารู้ว่าอากาศมันเย็น เราก็ไม่กระวนกระวาย นี่สิ่งใดถ้ามันเป็นธรรมดาเรายอมรับนับถือมัน ใจเราก็เป็นสุข ร่างกายก็เหมือนกัน มันสกปรกเราก็รู้ว่ามันสกปรก มันไม่เที่ยงเราก็รู้ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์เราก็รู้ว่ามันเป็นทุกข์ มันจะต้องสลายตัวเราก็รู้ว่ามันต้องสลายตัว เราก็ไม่ฝืนมัน มันฝืนไม่ได้ใจก็สบาย ตายก็เชิญฉันไม่ต้องการ เป็นอันว่าทำจิตได้อย่างนี้ก็ชื่อว่าเราใช้สมถะกับวิปัสสนาควบกันไปในขณะเดียวกัน การเข้าถึงพระนิพพานมันก็ของไม่ยาก

ขอท่านทั้งหลายผู้รับฟังและหวังดีกับตัวเองนำไปพิจารณาทุกลมหายใจเข้าออก อัตตนา โจทยัตตานัง เตือนใจของตนเองไว้ ว่าวันไหนมันหลงร่างกายของเราบ้างไหม ว่าร่างกายของเราแข็งแรงดี สวยสดงดงามผิวพรรณผ่องใส มีอารมณ์ใจสบายเพราะว่าร่างกายเราแข็งแรงมันสวยมีไหม ถ้ามีจงรู้ว่านั่นโง่เต็มทีแล้ว เป็นอารมณ์ของอบายภูมิ ตอนนี้วันไหนล่ะที่เราเห็นว่า แหม ร่างกายคนอื่น มันสวยมีไหม ถ้ามันมีก็แสดงว่าเราโง่เต็มที เราพึงคิดไปว่าไอ้เจ้าโง่ตัวนี้เราไม่คบ เพราะร่างกายมันเป็นยังไง เรารู้อยู่แล้ว สกปรก เราก็สกปรกคนอื่นก็สกปรก ร่างกายมันไม่ใช่เรา มันเป็นบ้านเช่าชั่วคราว เราเลิกไม่ต้องการมันอีก สังขารุเบกขาญาณใช้ให้เป็นอารมณ์ วางเฉยต่อสิ่งที่จะเข้ามากระทบ คือโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทาสรรเสริญ สุขทุกข์ อารมณ์ ๘ ประการเกิดขึ้น เรามีอารมณ์สบาย ปกติ ไม่มีอะไรหวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีจิตใจจับเฉพาะอย่างเดียว คือพระนิพพาน ทำศีลให้บริสุทธิ์ ทำสมาธิให้ตั้งมั่น ใช้ปัญญายอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ไม่ดิ้นรน มีอารมณ์สบาย เป็นอันว่ากรรมฐานกองนี้ ถ้าทำได้แค่นี้ ท่านก็เป็นอรหันต์ มันไม่ยากคิดไว้ทุกวัน คิดไว้เสมอทุกวัน ทุกลมหายใจเข้าออก ตื่นขึ้นมาแล้วก็ดูกายสกปรก ดูกายไม่เที่ยง ดูกายเป็นทุกข์ ดูกายเป็นอนัตตา อารมณ์มันจะชิน จะเป็นปกติ ในที่สุดมันก็เปลื้องได้

ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก ท่านจะพิจารณากรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ตามที่ศึกษามาแล้วก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัย หรือจะภาวนาว่ายังไงก็ได้ ถ้าทางที่ดีภาวนาอย่างอื่นมันยาวเกินไป เวลาใกล้จะตายจะลำบากมันจะเหนื่อย ก็ควรใช้คำภาวนาว่าพุทโธง่ายด้วย แล้วก็มีคุณใหญ่เพราะว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เอ้าต่อแต่นี้ไปทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 02 พฤศจิกายน 2558 09:59:23
(http://f.ptcdn.info/844/032/000/1435415588-normalbudd-o.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๒๙ มรณัสสติ

โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้พากันสมาทานศีลและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปนี้ก็เป็นโอกาสที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะได้รวบรวมกำลังใจให้เป็นสมาธิ คำว่าสมาธิแปลว่าการตั้งใจมั่น ก็ตั้งใจไว้เฉพาะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งคือระยะนี้ที่สอนกันมาเป็นพื้นฐานคือให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านพยายามกำหนดจิตให้รู้ลมหายใจเข้าหายใจออก เวลาหายใจเข้านึกว่าพุทธ เวลาหายใจออกนึกว่า โธ เอาเท่านี้พอ ถ้าขณะใดที่จิตของท่านยังรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก รู้คำว่า พุทโธ ก็แสดงว่าจิตของท่านเป็นสมาธิ เป็นมหากุศลใหญ่ตั้งใจไว้เพียงเท่านี้ก็เป็นบุญอนันต์ คือว่าจะนับประมาณอานิสงส์ไม่ได้ ถ้าทรงจิตไว้ได้ตามปกติตายแล้วก็เกิดเป็นพรหม นี่ว่ากันถึงสมถภาวนา อารมณ์นี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลยทรงไว้ให้เป็นปกติ จะเป็นเวลานี้หรือเวลาอื่นใดก็ตามทำงานอยู่ นั่งรถนั่งเรือเดินทางไปไหนก็ตาม นึกถึงอารมณ์นี้ไว้เป็นปกติ เวลาตายจะไม่หลงตาย จุดที่ไปอย่างเลวก็ต้องสวรรค์ อย่างดีก็ต้องพรหมโลก เพราะว่าสมถภาวนามีผลถึงพรหมโลก และเราจะไปนิพพานได้ ถ้ามีสมถภาวนาแจ่มใสพอสมควร ปัญญาก็จะเกิดเป็นวิปัสสนาญาณขึ้นมาเอง
 
ในวันนี้ก็จะขอแนะนำอนุสสติข้อต่อไปเพื่อเป็นการศึกษาไว้เวลาปฏิบัติ วันนี้จะสอนเรื่องมรณัสสติกรรมฐาน สำหรับมรณัสสติกรรมฐานนี้เป็นกรรมฐานสำหรับบุคคลที่มีจริตเป็นพุทธจริตคือเป็นบุคคลฉลาด บุคคลที่มีความฉลาดแล้วย่อมไม่กลัวความตาย รู้จักสภาวะปกติของขันธ์ห้าคือร่างกายว่ามันมีความเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลางและก็ตายไปในที่สุด ที่นี้การที่นึกถึงความตายไว้เป็นปกติ การนึกถึงความตายจงอย่านับอายุว่าเวลานี้เรายังหนุ่มอยู่ เรายังสาวอยู่ ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย เวลานี้เราเป็นบุคคลวัยกลางคน มันยังไม่แก่ มันยังไม่ตาย หรือว่าเวลานี้เราแก่แล้วแต่ก็ยังคงไม่ตายอารมณ์อย่างนี้ไม่ควรคิด เพราะว่าความตายย่อมไม่มีนิมิตเครื่องหมาย คนที่ตายไม่ใช่ว่าแก่หง่อมแล้วถึงจะตายเสมอไป บางคนเข้าอยู่ในครรภ์มารดาไม่ทันที่จะออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันก็ตาย บางรายคลอดจากครรภ์มารดาไม่ทันจะเห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่รู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไรก็ตาย บางรายเกิดมาแล้วไม่กี่วันก็ตาย หนุ่มก็ตาย เด็กก็ตาย แก่ก็ตาย วัยกลางคนก็ตาย นี่ความตายหาความแน่นอนไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจาจึงทรงแนะนำให้บรรดาท่านพุทธบริษัทนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ จงคิดไว้ว่าวันนี้เป็นเวลาค่ำเรายังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าเราอาจจะไม่เห็นพระอาทิตย์ของวันรุ่งขึ้นก็ได้ ความตายอาจมาถึง
 
ทีนี้คนที่นึกถึงความตายเป็นปกติดีหรือเลวเป็นประการใด อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำว่าคนที่นึกถึงความตายเป็นปกติเป็นคนดีไม่มีความประมาท เมื่อรู้ว่าเราจะตายสภาวะความตายไม่ใช่สภาวะสูญ ถ้าเรายังไม่หมดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานเป็นอรหันต์เมื่อไร ความเกิดก็ปรากฎ เมื่อตายแล้วก็เกิด ไม่ใช่หมายความว่าเกิดเป็นคนเสมอไป ถ้าทำกรรมชั่วไว้ จิตใจสั่งสมอยู่ในอารมณ์ชั่วก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าเกิดเป็นคนมีความอุดมสมบูรณ์กับใครเขาไม่ได้ นี่เป็นปัจจัยของความชั่วที่เราเรียกกันว่าบาป ทีนี้คนที่มีความดีมีศีลห้า กรมบถสิบบริสุทธิ์ก็เกิดเป็นมนุษย์ได้ แล้วก็เกิดเป็นมนุษย์ชั้นดี หรือมิฉะนั้นมีการภาวนาอยู่บ้าง มีศีลมีทานเป็นปกติเกิดเป็นเทวดาก็ได้ถ้ามีกำลังใจเป็นฌาณสมาบัติทรงความดีไว้เป็นปกติ คำว่าฌานแปลว่าการเพ่ง เป็นอารมณ์ที่ทรงอยู่ ทรงอยู่แต่เฉพาะในอารมณ์ที่เป็นกุศล เวลาจะตายจิตก็ทรงอยู่ตามนั้น อย่างนี้ตายแล้วเกิดเป็นพรหม ถ้าตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เราก็ไปพระนิพพาน

เป็นอันว่าความตายมีอยู่ แต่ว่าตายแล้วก็ไม่สูญต้องเกิด จะเกิดเป็นอะไรก็ช่าง สุดแล้วแต่กรรมที่จะพึงกระทำ เมื่อเรารู้แล้วเราทำความดีไปเกิดใหม่ในส่วนผลดีที่มีความสุข ทำความชั่วต้องไปเสวยทุกข์ในอบายภูมิ อย่างนี้เราก็ควรจะหลีกเลี่ยงความชั่วไว้เป็นสำคัญ จงระลึกถึงความตายเป็นปกติ อาจจะคิดว่าวันนี้เรามีชีวิต พรุ่งนี้เราอาจจะตายก็ได้ หรือว่าเวลานี้ขณะที่เรานั่งอยู่อาจจะตายไปก่อนเวลาที่เราจะนอนเสียอีกก็ได้ ถ้าเราคิดไว้อย่างนี้เสมอ จิตใจของเราก็ไม่ประมาท พยายามแสวงหาความดีไว้เป็นปกติ การรแสวงหาความดีไว้เป็นปกติจะเอาความดีกันทางไหนล่ะ เรารู้ตัวอยู่ว่าเราจะตายเราก็เลือกทางเอา ถ้าเราต้องการเกิดเป็นมนุษย์ ก็พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ พยายามรักษากรรมบถ ๑๐ ให้บริสุทธิ์ เราก็พยายามคุมอารมณ์ศีลให้เป็นปกติ อย่างนี้ตายแล้วเป็นมนุษย์ได้แบบสบาย ๆ แล้วก็เป็นมนุษย์ชั้นดี ตามพระบาลีว่า สีเลนะ สุคติง ยันติ เวลาตายแล้วคนมีศีลจะไปสู่สุคติ มีความสุขสมบูรณ์ สีเลนะ โภคะสัมปะทา เราจะมีโภคทรัพย์มากมาย สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ย่อมเป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพานได้โดยง่าย ทีนี้ถ้าเราเป็นคนมีศีล เรานึกถึงความตายไว้แล้ว ถ้าเราต้องการดีเราก็รักษาศีลให้เป็นปกติ

ทีนี้การเจริญมรณัสสติกรรมฐานเราจะไปได้แต่เฉพาะพรหมโลกหรืออย่างไร ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เราสามารถจะไปพระนิพพานได้โดยยกสมถภาวนาขึ้นเป็นวิปัสสนาภาวนา การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์เป็นสมถภาวนา มีผลตั้งแต่กามาวจรสวรรค์ถึงพรหมโลก ทีนี้การที่มีผลถึงสวรรค์หรือพรหมโลกเมื่อกี้ว่ายังหาความสุขให้เพียงพอไม่ได้ เราก็ต้องสรรหาความสุขให้ยิ่งไปกว่านั้น ความสุขที่ยิ่งไปกว่านั้นเราก็ต้องถือความตายเป็นอารมณ์ ว่าเราเกิดมานี้มันต้องตายแน่ เราไม่สามารถจะทรงชีวิตอยู่ได้ ความตายเป็นของปกติ เราจะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเย็น ตายเที่ยง เมื่อไรนี่เราไม่รู้ แต่ว่ามันต้องตายแน่ ฉะนั้น เราก็ต้องเตรียมความตายไว้เฉพาะทุกลมหายใจเข้าออก คำว่ามรณัสสติ การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์นี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวกับพระอานนท์ ถามพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์ทูลตอบว่าข้าพระพุทธเจ้านึกถึงความตายประมาณวันละ ๗ ครั้งพระเจ้าข้า สมเด็จพระบรมศาสดาทรงกล่าวว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์มันยังไกลเกินไปสำหรับตถาคตนี้นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก นี้แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ยังไม่ละความตาย

นี่เรานึกถึงความตายแล้วปรารถนาความดี มีการให้ทาน การรักษาศีล มีการเจริญภาวนา ถ้าภาวนาเป็นด้านสมถะ ภาวนาก็เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นพรหมหรือไปสวรรค์ได้ การให้ทานรักษาศีลก็ไปเกิดบนสวรรค์ได้ เกิดเป็นมนุษย์ได้ แต่มันยังไม่ถึงที่สุดของความทุกข์ เพระมันยังต้องมีการเกิดต่อไป เราก็มาหาทางตัดความเกิดเสีย ถ้าเราไม่เกิดเสียอย่างเดียว เราก็หาความตายไม่ได้

ทีนี้ถ้าเราจะทำมรณัสสติกรรมฐานให้เป็นวิปัสสนาญาณเราทำอย่างไรมันจะเข้าถึงพระนิพพานได้ ความจริงสมถะทุกกองแปลงเป็นวิปัสสนาญาณได้หมด เราเจริญพระกรรมฐานกองไหนจนอารมณ์จิตเป็นฌานมีความมั่นคง เราใช้กรรมฐานกองนั้นเป็นวิปัสสนาญาณ เวลานี้เรามาพิจารณามรณัสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ อันนี้ไม่ควรจะลืม จงคิดไว้ว่าความตายจะเข้ามาถึงเราเมื่อไรก็ได้ หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกมันก็ตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้ามันก็ตาย กินข้าวไม่ทันอิ่มมันอาจจะตายคาชามข้าวก็ได้ ในเมื่อเรานึกถึงความตายเป็นปกติ คิดว่าเราจะต้องตาย แล้วก็ย้อนถอยหลังขึ้นมาสักนิดหนึ่งว่าก่อนที่เราจะตาย นับตั้งแต่ที่เราเกิดจนถึงวันนี้เราจะตาย เราเป็นคนมีความสุขหรือมีความทุกข์ ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาหาความจริง ความทุกข์แปลว่าจำจะต้องทน คือทนทำ ทนอยู่ ทนคิด ทนประกอบกิจการงานทุกอย่าง นี่เป็นอาการของความทุกข์ ทีนี้เรามานั่งคิดดูว่าความทุกข์ที่มันปรากฎมีอะไรบ้าง

เราเกิดมานี้เราพบกับความทุกข์บ้างหรือเปล่า ก็นั่งใคร่ครวญกันดูนับตั้งแต่เกิดจากครรภ์มารดานนี้เรามีความสุขหรือความทุกข์ ขณะที่เราไปนั่งคุดคู้อยู่ในครรภ์มารดานี่เราดูสภาพของคนที่นั่งกอดเข่า นั่งคุดคู้อยู่ในครรภ์มารดา จะเหยียดมือเหยียดเท้าก็เหยียดไม่ได้ เพราะรังของมดลูกมันมีอยู่นิดเดียว นั่งกอดเข่าอยู่สิ้นเวลา ๑๐ เดือน เวลา ๑๐ เดือนนี่มันนาน นี่เราเป็นคนโตแล้ว เรามานั่งกอดเข่าเล่นโก้ ๆ สัก ๑ วัน จะทนไหวไหม เราก็ทนไม่ไหว เพราะมันเมื่อยมันปวด ไม่มีการขยับขยายอริยาบถ นี่แสดงว่าความทุกข์มันมีมาตั้งแต่เกิดอยู่ในครรภ์มารดา นี่มันทุกข์ อยู่ในครรภ์มารดาอาศัยความอบอุ่นจากธาตุไฟของมารดา พอเคลื่อนมาจากครรภ์มารดาแล้วมากระทบกับอาการของความหนาวและความร้อน แม้ว่าจะเป็นอาการปกติ แต่ว่าเราไม่เคยสัมผัสกับอากาศ เด็กที่เกิดจากครรภ์มารดาใหม่ ๆ ส่งเสียงร้องจ้า นั่นแสดงว่าร่างกายมันแสบเต็มทน เพราะว่ากระทบความหนาวนิดหนึ่งแล้ว ความร้อนนิดหนึ่งมันไม่เคยสัมผัส มันก็มีความแสบกาย จึงร้อง แพทย์สมัยปัจจุบันมีความรู้พอ มีความฉลาดพอ เมื่อเด็กออกใหม่ ๆ เขาจึงนำผ้าสำลีมาหุ้มกายเด็กทันทีป้องกันการสัมผัสอากาศ มีการแสบตัว

ทีนี้เมื่อเกิดมาเป็นคนแล้ว ความหิวมันก็เป็นทุกข์ ความหิวเป็นอาการเสียดแทง มันทุกข์ ไม่ใช่สุข ถ้าใครคิดว่าเป็นสุข ลองปล่อยให้มันหิวตลอดกาล ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ ไม่กินอาหาร ลองดูซิมันจะทนไหวไหม และความกระหาย การปวดอุจจาระ ปัสสาวะ มันก็เป็นทุกข์ นอนไม่หลับก็เป็นทุกข์ นั่งมากเกินไป ยืนมากเกินไป นอกมากเกินไป กินมากเกินไปเลยความต้องการ มันก็เป็นทุกข์ ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นกับเราก็เป็นทุกข์ มันทุกข์ ความปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การประกอบอาชีพต่าง ๆ การแสวงหาเงิน เราต้องใช้แรงงาน เราต้องใช้ความคิด เราจะนั่งเฉย ๆ นอนอยู่เฉย ๆ มันไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่ามันจะต้องทำงาน อาการที่มันต้องทำงานมันก็ต้องทน จะหนาวก็ทน จะร้อนก็ทน จะปวด จะเมื่อยก็ทน ต้องทน อยู่ดีไม่ไดี กระทบกระทั่งกับบุคคลใต้บังคับบัญชาก็ดี ผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าก็ดี เขาสร้างความกระทบกระเทือนใจเราก็ต้องทน ในเมื่อเราพบกับอารมณ์ที่เราไม่ชอบใจ ก็พบกับอาการกลัดกลุ้ม มันเป็นอาการของความทุกข์
 
ทีนี้อาการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นกับเรา มันก็เป็นอาการของความทุกข์ พอแก่ลงเข้าหน่อยหนึ่งหูตาฟาง ฟันหัก ผมหงอก ร่างกายไม่ดี สติปัญญาฟั่นเฟือน จะทำอะไรก็ไม่คล่องแคล่ว นี่เป็นอาการของความทุกข์ ในที่สุดเมื่อความตายจะเข้ามาถึง เวลาตายจริง ๆ มันไม่ได้ตายแบบสบาย ๆ หรือนอนหลับ คนที่จะตายนั้นถูกทุกขเวทนาบีบคั้นอย่างหนัก มีทุกขเวทนาอย่างหนัก มันเหลืออดเหลือทน ถ้ายังพอทนได้มันไม่ตาย อันทุกขเวทนามาบีบคั้นจนเหลือจะทนมันจึงตาย อันนี้เป็นอันว่า กว่าเราจะตาย เรามีความทุกข์ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย นี่เราไม่มีความสุข ถ้าหากว่าเราจะปรารถนาความเกิดต่อไป ก็ชื่อว่าโง่เต็มที ถ้าท่านจะเกิดเป็นคนอีกกี่แสนชาติก็ตาม มันก็ต้องพบกับความทุกข์อย่างนี้ตลอดเวลา ถ้าเราไปเกิดเป็นพรหม หรือเทวดาเมื่อหมดอายุขัย หมดบุญวาสนาบารมี มันก็พบกับความทุกข์ กลับมาเกิดเป็นคนก็ทุกข์แบบนี้ ดีไม่ดีเลยไปเกิดเป็นสัตว์นรกมันก็ยิ่งทุกข์ใหญ่ ไฟไหม้ตลอดทั้งวัน มีสรรพาวุธสับอยู่ตลอดเวลา นึกถึงภาพดู เมื่อเกิดเป็นเปรตมีความทุกข์แสนสาหัส มีไฟท่วมตัวอยู่ตลอดเวลา จะเกิดเป็นอสุรกายก็ไม่ไหวมันหิวโหย ต้องไปหาอาหารที่เททิ้งแล้วจะเน่าเปื่อยแล้วกิน คอยหลบซ่อนตนไม่ให้คนเห็น แต่ถ้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้จะมีคนเมตตาปรานีประการใดก็ดี ย่อมมีความปรารถนาไม่สมหวัง บางทีต้องการอยากจะกินอย่างโน้นมีความปรารถนานั้น เขาก็ให้อย่างโน้น ป่วยไข้ไม่สบายก็บอกใครเขาไม่ได้ เมื่อเจ้านายบุคคลเลี้ยงเขายังไม่ให้ ก็ให้ทนทุกขเวทนา
 
นี่เป็นอันว่าถ้าเราจะเกิดต่อไปอีกมันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้หนีความเกิด โดยยกมรณัสสติกรรมฐานขึ้นเป็นอารมณ์ ว่าเราเกิดมาแล้วมันต้องตาย ก่อนที่จะตายเต็มไปด้วยความทุกข์ ทำยังไงถึงจะได้ไม่เกิด อาการที่ทำให้เราเกิดเล่ามันเกิดเพราะอะไร เกิดเพราะกิเลสความเศร้าหมองของจิต ตัณหามีความทะยานอยาก อยากจะเป็นคนอยู่ตลอดเวลา อยากจะเกิด อุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่าเกิดเป็นคนนี่เป็นของวิเศษ อกุศลกรรมเราไม่ยอมทำใจของเราให้บริสุทธิ์ มีอารมณ์เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา เศร้าหมองบ้างไม่เศร้าหมองบ้างก็ตาม ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ของการเศร้าหมอง อาการทั้ง ๔ ประการนี้มันเป็นปัจจัยของการเกิดมาเสวยความทุกข์
 
ทีนี้เราหนีความทุกข์ไปหาความสุข ที่เรียกกันว่า แดนอมตะ คือ พระนิพพานเราหากันยังไงวิธีหาแดนพระนิพพานก็ต้องจับจุดกันเสียก่อน ว่าอะไรเป็นตัวดึงเราให้เกิด ให้ไปพระนิพพานไม่ได้ อาการที่ดึงให้เราเกิด ไปนิพพานไม่ได้รากใหญ่มันก็มีอยู่ ๓ อย่าง คือ โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง นี่หากว่าเราตัดความโลภ ความโกรธ ความหลง เสียได้แล้วเราก็ไปนิพพาน เราจะตัดความโลภ ความโกรธ หรือว่าความหลงได้ ก็อาศัย กายคตา สักกายทิฏฐิ คือ การพิจารณาเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มาผสมเป็นเรือนร่างชั่วคราว แล้วมันก็มีความเสื่อมความทุกข์อยู่ตลอดเวลา และในที่สุดมันก็พัง ถ้ามันเป็นเราจริง มันเป็นของเราจริง มันย่อมไม่เป็นไปตามนั้น เพราะเราเป็นหนุ่มแล้วเราก็ไม่ต้องการแก่ เรามีร่างกายแล้วเราก็ไม่ต้องการป่วย ถ้าเราทรงตัวมาได้เร็วเราไม่ต้องการตาย แต่เราห้ามมันได้ไหม ถ้าเราห้ามมันไม่ได้ มันจะแก่เสียอย่างใครจะไปห้ามมัน มันจะป่วยใครจะไปห้ามความป่วย แม้แต่หมอยังป่วย ถ้ามันจะตายจริง ๆ ใครก็ห้ามไม่ได้ การที่เราห้ามไม่ได้ แสดงว่าร่างกายนี่มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราก็คือจิต ที่เราเรียกว่าจิต หรือ อทิสมานกาย คือ การที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเรือนร่าง อาศัยเนื้อหนังกระดูกเป็นต้น เป็นเรือนร่างที่อาศัย การต้องการอะไร เราคือ จิตเป็นผู้สั่ง ร่างกายมีอุปมาเหมือนหุ่นเท่านั้น

ทีนี้ เราก็มาคิดว่า ในเมื่อร่างกายมันไม่เป็นเรา มันไม่ใช่ของเรา มันเป็นแดนของความทุกข์ เป็นที่อาศัยของความทุกข์ เราก็วางเสีย คิดไว้เสมอว่าร่างกายนี้ไม่มีประโยชน์ มันเต็มไปด้วยความสกปรก เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เต็มไปด้วยอาการของความทุกข์ เราไม่ต้องการร่างกายอีก เราเกิดมาแล้วชาตินี้ถือว่าเป็นชาติสุดท้าย เพราะพบธรรมขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ขอยึดถือพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระประทีปแก้วเป็นสำคัญ

ส่วนที่เป็นสำคัญที่สุดก็นึกอยู่เสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มันเสื่อมทุกวัน มันพังทุกวัน มันเต็มไปด้วยความทุกข์ สร้างความเบื่อหน่ายในการที่จะเกิดต่อไป เห็นโทษของความเกิด และประการที่สองตั้งใจยอมรับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยใช้ปัญญาเข้าพิจารณาด้วย ไม่ใช่เชื่อเฉย ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร ว่าความเกิดมาแล้วมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา มีการสลายตัว ลองคิดดูว่ามันจริงไหม

อีกอย่างหนึ่ง พระองค์ทรงตรัสว่า ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ตามที่พูดมาแล้ว ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกปริเทวทุกขโทมัสสุปายาส เป็นต้น การเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร มันทุกข์เพราะความปกติอันนี้เป็นอนิจจังนั้นเป็นธรรมดาของการเกิด สภาวะมันเป็นอย่างนั้น แต่อุปาทานมันเข้าไปยึด อวิชชามันบังหน้า อวิชชาบังใจไม่ให้เกิดปัญญา ทีนี้เมื่อเราเห็นว่าพระพุทธเจ้าว่าเป็นทุกข์ นี่มันทุกข์จริงไหม ถ้าเราเห็นจริงตามนี้ แสดงว่าเรายอมรับนับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อยอมรับนับถือแล้วเราก็คิดต่อไปว่า พระพุทธเจ้าบอกเราว่าตายแล้วมันไม่ถึงที่สุด มีเกิด อันดับแรกก็เลือกทางเกิดในทางดีเสียก่อน แล้วก็จำกัดความเกิดให้มันน้อยลง ถ้าเราไม่สร้างความดี มันเกิดอีกกี่แสนวาระเราก็นับไม่ได้ นี่เราจะจำกัดความเกิดให้มันน้อยที่สุดที่จะน้อยได้เมื่อยังไปไม่พ้น นั่นก็คือ การทำตนให้เป็นพระโสดาบัน อย่าลืมนะที่ว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา คิดไว้เสมอเป็นปกติ ไม่ช้ามันจะพัง มันเต็มไปด้วยความทุกข์ เรายอมเชื่อถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สองจุดนี่คลานเข้าไปจะเต็มอัตราพระโสดาบันแล้ว

ต่อไปก็ยอมรับนับถือองค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่ให้สร้างความดีในเบื้องต้น นั่นก็คือทรงศีลห้าให้บริสุทธิ์ ไม่ยอมละเมิดศีลห้า นี่เป็นหลักใหญ่ ๓ ประการ แล้วมีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ เพียงเท่านี้ เรานั่งพิจารณากันแบบง่าย ๆ ว่า ศีลห้าของเราบริสุทธิ์ตลอดกาลตลอดสมัยไหม เราจะต้องไม่ละเมิดไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีจิตตั้งตรงเฉพาะพระนิพพาน อย่างนี้เขาเรียกกันว่า พระโสดาบัน ไม่เห็นมีอะไรยาก มันของง่าย ๆ น่าจะทำกันได้ทุกคน คือว่า ถ้าเราถึงพระโสดาบันแล้ว เราจำกัดความเกิดได้ จำกัดเขตเฉพาะการเกิดได้ด้วย เมื่อเราเป็นพระโสดาบันแล้ว สิ่งที่เราไม่มีสิทธิ์ไปเกิดมี ๔ จุด นั่นก็คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เราไม่มีสิทธิ์เป็น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเขาก็ไม่รับ มีสิทธิ์ที่เราจะเกิดได้ก็เกิดเป็นคนกับเทวดา หรือว่าพรหมกับคน สลับกันไปสลับกันมาอยู่แค่นี้ไม่ลงอบายภูมิ นี่ถ้าหากว่าเรามีกำลังใจอ่อนไปสักนิดหนึ่ง ท่านกล่าวว่าจะเกิดเป็นมนุษย์อีก ๗ ชาติ โดยสลับกับเทวดา ตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดา พ้นจากภาวะเทวดามาเกิดเป็นคน สลับกันไปสลับกันมาอย่างละ ๗ เราก็ถึงพระนิพพาน เป็นพระอรหันต์ ทั้งนี้ ถ้าหากว่ากำลังใจเข้มข้นขึ้นไปหน่อยหนึ่ง ขนาดกลาง เราก็เกิดเป็นมนุษย์อีกแค่ ๓ ชาติ แล้วเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมอีก ๓ ชาติ สลับกันไปแค่นี้ เราก็ถึงพระนิพพาน ถ้าเรามีอารมณ์เข้มข้นจริง ๆ มีจิตจับดิ่ง โดยเฉพาะคิดว่าร่างกายไม่เป็นเรื่อง ธรรมะของพระพุทธเจ้าดีแล้ว ทรงศีลบริสุทธิ์มีความเข้มข้น แล้วมีการระมัดระวังมัธยัสถ์ในการปฏิบัติในการพูด การกระทำในความคิด ให้อยู่ในขอบเขตของความดีในกุศล มีจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตเป็นเอกัคตารมณ์อย่างนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงกล่าวว่า ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาและพรหม ลงจากเทวดาและพรหมมาเป็นมนุษย์อีกเพียงครั้งเดียว ฟังเทศน์จากพระอีกเพียงครั้งเดียวเป็นอรหันต์ทันที เข้าถึงพระนิพพานหมดความทุกข์

นี่เพราะอะไร เพราะนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เพราะก่อนที่จะตายมันเป็นทุกข์ การนึกถึงความตายเป็นสมถภาวนา เราลองคิดดูว่าตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันตาย มันเต็มไปด้วยอาการของคนทุกข์ มันไม่เที่ยง มันสลายตัว ที่เรียกว่าอนัตตา อันนี้เป็นวิปัสสนาภาวนา บวกกันเข้าไปทั้ง ๒ อย่าง การเจริญพระกรรมฐานอย่าใช้อย่างเดียว มันไม่ทรงสภาพ เพียงเท่านี้ท่านพุทธบริษัทท่านจะได้ชื่อว่ายับยั้งการเกิดไว้ได้มาก คือการกำจัดเวลาความเกิดให้สั้นเข้ามา แทนที่จะเกิดเป็นแสน ๆ ครั้ง อย่างเลวที่สุดเราก็เกิดอีก ๗ ครั้ง อย่างกลางเราก็เกิด ๓ ครั้ง ถ้าเราทำได้ดีที่สุดเราก็เกิดอีกครั้งเดียง แล้วเราก็ไม่มีโอกาสไปเกิดในดินแดนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ คือ สัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างนี้ไม่มีทางจะไป

เอาละสำหรับวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ให้ท่านศึกษาไว้เพียงเท่านี้ เวลามันเกินมานานแล้ว จงนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรานึกถึงไว้เสมอว่าก่อนจะตายนี่มันสุขหรือมันทุกข์ ถ้าเรายังเห็นว่ามุมหนึ่งมุมใดของความเป็นมนุษย์ว่าเป็นสุขก็แสดงว่าใช้ไม่ได้ นึกถึงบารมีที่สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสไว้ว่า อัตตนา โจทยัตตานัง ตื่นขึ้นมาตอนเช้าเตือนใจไว้เสมอว่า เราจะต้องตายนะ ร่างกายมันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา ความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ทำให้ครบถ้วน เราจะเป็นคนมีศีลบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา จิตใจของเรามีความปรารถนาอย่างเดียวคือ พระนิพพาน นี่เป็นอาการของพระโสดาบัน ถ้าทำอย่างนี้ได้ทุก ๆ วัน บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจงรู้ตัวว่าท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว แล้วยังมีผลตามที่กล่าวมา ที่กล่าวว่าต้องเกิดเป็นคนอีก ๗ ชาติ ๓ ชาติ ๑ ชาติ นั้น ว่ากันตามตำรา ถ้าโดยจริยาแล้ว คนที่เป็นพระโสดาบัน ถ้าตายไปเป็นเทวดาหรือเป็นพรหม ไม่ช้าพระศรีอาริยเมตตรัยทรงตรัส ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์จบเดียวก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าเผอิญเราลงมาเกิดเสียก่อนพระศรีอาริย์ตรัสยังไม่ได้เป็นเทวดาหรือพรหม เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ธรรมดา พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์แต่วิชชา ๓ ขึ้นไปก็ดี ย่อมจะรู้อัธยาศัยของคนว่า คนนี่มีบุญบารมีอะไรมาเป็นสำคัญ ท่านจะเทศน์เจาะเฉพาะกำลังใหญ่ที่มีทุนมาแล้วเท่านั้น เทศน์ซ้ำของเดิม เมื่อเทศน์ซ้ำของเดิม ความตั้งใจมั่นก็ปรากฎ ธรรมปีติก็ปรากฎ ทั้ง ๆ ที่เราไม่รูว่าเป็นของเดิม แต่มันถูกใจเหลือเกิน มีความถูกใจ ปลื้มใจ เลื่อมใส ฟังเทศน์จบเดียวก็เป็นพระอรหัน์ นี่เป็นอันว่าถ้าเราคุมกำลังใจของเรานี้นั้น เป็นพระโสดาบันได้ในชาตินี้เพียงแค่เวลาอีกประเดี๋ยวเดียวที่พระศรีอาริย์ตรัส เราก็เป็นพระอรหันต์ได้ ขึ้นชื่อว่าหมดความทุกข์ หมดความเกิด

พระนิพพานไม่มีสภาพสูญ เขาเรียกว่าทิพยวิเศษ เป็นแดนอมตะ ไม่มีการเคลื่อน ไม่เหมือนเทวดาหรือพรหม เทวดาหรือพรหมหมดวาสนาบารมีก็ต้องลงมา ถ้าเข้าถึงแดนพระนิพพานเสร็จไม่มีการลง คงอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ มีความสุขเป็นปกติ ไม่มีความหนัก แม้แต่อารมณ์ข้องขัดแม้แต่เพียงนิดเดียว ขึ้นชื่อว่าเป็นความดี

เอาละวันนี้เตือนกันเพียงเท่านี้นะ เป็นการศึกษา เมื่อเวลานี้ก็จะสอนกรรมฐาน ๔๐ ไปแต่ละวันจะได้รับจุดหนึ่ง ๆ ฉะนั้น ท่านที่มาใหม่อาจจะแปลกว่าสอนกันยังไง การที่สอนกรรมฐานครบ ๔๐ ก็จะได้มีไว้ใช้ เก็บไว้ใช้ได้ครบถ้วนว่าอะไรมันเกิดขึ้นยังไง เราชอบใจกองไหนทำกองนั้นให้หนัก แล้วอย่าลืมบวกวิปัสสนาญาณ เอาละต่อแต่นี้ไปขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น พยายามกำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก แต่การหายใจนี่อย่าบังคับมัน มันจะสั้น มันจะยาว มันจะเบา มันจะแรงช่างมัน ปล่อยมันไปตามปกติ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุธ เวลาหายใจออกนึกว่า โธ


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 09 พฤศจิกายน 2558 09:28:28
(http://f.ptcdn.info/844/032/000/1435415588-normalbudd-o.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๓๐ อุปสมานุสสติ

ต่อจากนี้ไป บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานเสร็จแล้วก่อนอื่นทั้งหมด ท่านพยายามรวบรวมกำลังใจให้เป็นสมาธิ คำว่าสมาธิหมายถึงว่ามีจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งโดยเฉพาะ คือ ความสำคัญอยู่ที่จิตทรงอยู่ นั่นคือ รักษาอานาปานสติกรรมฐานได้แก่ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออกไม่นึกถึงเรื่องอื่น อย่างนี้เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ และต่อจากนี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจสดับการศึกษาพระกรรมฐานตามลำดับ
 
เมื่อวานนี้ได้พูดถึงมรณัสสติกรรมฐานแล้ว วันนี้ต่อไป ขอให้ท่านศึกษาข้อต่อไปถึงอนุสสติข้อ ๙ นั่นก็คือ อุปสมานุสสติกรรมฐาน ทุกคืนที่ศึกษาพระกรรมฐานเรียงตามลำดับก็เพื่อบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะได้ทรงความรู้ไว้ ว่าการเจริญพระกรรมฐาน ถ้ามีความรู้ไม่รอบจริง ๆ ก็เป็นเครื่องหนักใจ เพราะว่าถ้าไม่ศึกษาให้ครบถ้วน ดีไม่ดี ถ้ามีบุคคลใดบุคคลอื่นที่เขาปฏิบัติเหมือนเรา ถ้าสมมติว่าอยู่ในขอบเขตพระกรรมฐานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เราก็อย่าไปค้านว่าเขาปฏิบัติผิด อย่างนี้ก็จะถือว่าเราเองเป็นผู้ทำลายความดีของเขา และเราก็หมดดีไปด้วย ฉะนั้น เพื่อเป็นการช่วยให้เป็นการทรงตัวอยู่ในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคืนจึงได้นำกรรมฐานแต่ละกองมาแนะนำแก่บรรดาพุทธบริษัทให้มีความรู้รอบตัวไว้ เพราะว่ากรรมฐานทุกกองมีผลเสมอกันทางด้านสมถภาวนา คือทำจิตให้เป็นสมาธิ

วันนี้ขอพูดเรื่องอุปสมานุสสติกรรมฐาน สำหรับอุปมานุสสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานใช้เฉพาะท่านที่มีจริตเป็นพุทธจริต หรืออีกนัยหนึ่งจะพูดว่าเวลาใดที่จิตใจของเราเกิดความฉลาด เราใช้เวลาที่เกิดความฉลาดขึ้น ถ้าอารมณ์มันโง่อยู่ละก็ใช้ไม่ได้ ไม่ตรงกับอัธยาศัย คำว่าอุปสมานุสสติกรรมฐานนั้นก็แปลว่านึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ กรรมฐานบทนี้สูงมาก ท่านที่จะมีจิตใจเข้าถึงและนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงโดยไม่วางพระนิพพานนั่นก็คือพระโสดาบันขึ้นไป แต่สำหรับเรายังไม่ถึงพระโสดาบัน เราก็ใช้ได้ เพราะว่าเราก็จะสังเกตได้ว่ามันมีอารมณ์ขาดตกบกพร่องอยู่ได้บ้างเป็นธรรมดา ไม่ค่อยสม่ำเสมอ ถ้าตามวาระจิตของเราเข้าถึงตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปแล้ว อารมณ์ที่ต้องการพระนิพพานนี้ไม่มีการบกพร่อง และมีการทรงตัวอยู่เป็นปกติ การนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ก็รู้สึกว่ามันไม่ยาก ตกลงจะนั่งภาวนาว่า นิพพานัง นิพพานัง และก็นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าหากว่าเราคิดไปถึงคำว่านิพพานัง นิพพานังเฉย ๆ นี้ ก็ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นภาวนาแบบนกแก้วนกขุนทองไป แต่เราต้องใช้
 
คือก่อนที่จะใช้คำว่า นิพพานัง มันต้องหมายพิจารณาคำว่า นิพพาน คืออะไร นิพพะนี่เขาแปลว่าดับ ดังนั้นเป็นวิภัติไม่ต้องไปสนใจ คำว่านิพพานนี่ดับ ดับอะไร ก็ดับกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม รวมความว่าดับอารมณ์ความชั่วทั้งหมด ความชั่วที่มันเป็นรากใหญ่ที่มันเกาะกินใจคน ก็ได้แก่ ความรัก หรือว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นรากเหง้าของความชั่ว ความชั่วอย่างอื่น ๆ มันเป็นกิ่งก้านของรากของความชั่ว ๓ ประการที่กล่าวมานี่ ถ้าเราตัดต้นโค่นรากเสียได้หมดแล้ว คือเราตัดความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง (ความจริงความรักกับความโลภมันตัวเดียวกัน) เสียได้หมดแล้ว เราก็ถึงพระนิพพาน เรียกว่าดับ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ตาย ก็ได้ชื่อว่าพูดถึงพระนิพพาน คำว่าพระนิพพานนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตายเสมอไป นิพพานแปลว่าดับ คือ ดับกิเลส ตั้งแต่เล็กกระทั่งใหญ่หมด
 
แล้วเราก็มานั่งดูว่า ทำไมจะต้องดับกิเลส นี่เราใช้อุปสมานุสสติกรรมฐานก็ต้องใช้ปัญญา คือบอกแล้วว่าคนโง่ใช้ไม่ได้ คือถามว่าใครฉลาด บอกว่าตัวเรานี่ฉลาด เพราะบางวันบางเวลามันมีอารมณ์ฉลาด บางเวลามันมีอารมณ์ติดอยู่ในราคะ รักสวยรักงาม บางเวลาอารมณ์ติดอยู่ในความโกรธ ที่เรียกว่าโทสะจริต บางเวลามันก็มีอารมณ์อยู่ในความหลงและวิตก คิดอะไรก็ไม่ตกลงใจ บางเวลาก็เกิดสัทธาปสาทะ บางเวลามีอารมณ์จิตผ่องใส นี่เรียกว่าจริตทั้ง ๖ มันมีอยู่กับเราในบุคคลคนเดียวกันแต่เป็นไปตามเวลาตามกาลตามสมัย

ทีนี้ถ้าหากใจเราผ่องใส คิดว่าพระนิพพานมีความสุข เกิดเป็นมนุษย์มันมีความทุกข์ เกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็ไม่พ้นจากความทุกข์ นี่ ถ้าอารมณ์คิดอย่างนี้เรียกว่าใจมันสบายใช้ได้ ใช้อุปสมานุสสติกรรมฐานได้ ว่าไอ้ มนุษย์มันก็ทุกข์ เป็นความสุขชั่วคราว คือ เมื่อหมดอำนาจวาสนาบารมีก็ต้องกลับมาทุกข์ใหม่ เราก็ไม่เอา เราไปพระนิพพานดีกว่า

แล้วการที่ไปพระนิพพานดีกว่ามันต้องคลำหาทางไปพระนิพพานได้อย่างไร

ท่านบอกว่าต้องตัดกิเลส ต้องขุดรากขุดเหง้าของกิเลสโยนทิ้งไป ขุดรากของความโลภ ขุดรากของความโกรธ ขุดรากของความหลงทิ้งไปเสีย เมื่อทิ้งความโลภ ความโกรธ ความหลง ทั้ง ๓ ประการ หมดไปแล้จะมีอะไรเหลือ เครื่องเชื่อมกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมไม่มี คือ จิตเกิดความเบา กิเลสทั้งหมดดับ นิพพานแปลว่าดับ มันดับไปจริง ๆ ดับหมด เมื่อกิเลสดับหมด จิตมันก็มีความโปร่ง จิตมีความสบาย จิตเป็นอัปปนา จิตไม่กระทบกระทั่งทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว มันเต็มเสียแล้ว เข้าถึงพระนิพพาน เมื่อคิดอย่างนี้มันก็คิดได้ แต่ว่ายังก่อน

คิดว่าเราจะตัดความโลภ ตัดความโกรธ ตัดความหลง แล้วเอาอะไรมาตัด

มานั่งคิด เราเอาทานเข้ามาตัดความโลภ ความโลภกับความรักมันตัวเดียวกัน เพราะเรารักเราจึงอยากได้ เพราะเรารักสิ่งนั้นสิ่งนี้เราจึงอยากได้ ตัวอยากได้น่ะคือตัวดึงเข้า ทีนี้เราต้องหาทางที่มันเป็นศัตรูกัน คือตัวดันออก ก็ได้แก่การให้ทานกันอยู่เป็นปกติ ความโลภมันจะค่อยลดน้อยลง และในที่สุดเราจะสังเกตได้ว่า โลภะที่มันจะปลดหมดไปได้ เพราะว่ากำลังใจของเราไม่ติดในทรัพย์สินต่าง ๆ ได้ทรัพย์สินต่าง ๆ มาตามหน้าที่ ที่กล่าวว่าตามหน้าที่ หมายความว่าคนเราเกิดมาต้องทำมาหากิน จะเป็นพระเป็นเณร ก็ต้องอาศัยอยู่ อาศัยการใช้สอยเหมือนกัน เมื่อได้ทรัพย์สินมาก็มีความพอใจในทรัพย์สินนั้น แต่ว่าถึงแม้ว่าเราจะมีไว้เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น เราไม่มัวเมาในทรัพย์สินต่าง ๆ ถือว่าทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้หามาได้ เมื่อหามาได้มันก็มีโอกาสที่จะหมดไปได้เหมือนกัน ถ้ามันไม่หมดไป ไม่ สูญไปในสมัยที่เรามีชีวิตอยู่ เราตายแล้วเราก็ต้องจากมัน หามาเกือบตายก็ไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ เป็นอันว่าเราใช้อุเบกขา วางเฉย ถือว่าทรัพย์สินต่าง ๆ ได้มาก็ดีใจ ได้มาก็ได้ใช้ ใช้ในขอบเขตของความจำเป็น ถ้าบังเอิญมันหมดไปก็ไม่สะทกสะท้าน หรือว่าเราตายจากมันไปก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นเรื่องธรรมดาใจไม่หวั่นไหว อย่างนี้เชื่อว่าโลภะ-ความโลภ-สลายตัว นี่สังเกตได้จากการประสบพบลาภสักการะ นอกจานั้นก็มีจิตยอนดีในการสงเคราะห์ เราให้ทานง่าย เราสงเคราะห์ง่าย ใครเขามีความทุกข์เดือนร้อน ถ้าไม่เกินวิสัยเราให้ได้ทันที และไม่มีการรีรอ มีจิตคิดอยู่เสมอตลอดกาลตลอดสมัย หมายความถึงว่าทุกลมหายใจเข้าออก เราพร้อมที่จะเสียสละเพื่อเป็นการสงเคราะห์ นี่แสดงว่าความโลภมันหมดไปจากใจ ต้องพิจารณาอย่างนี้นะ แต่ต้องระวังให้ดี มันต้องเป็นปกติ

เมื่อตะกี้ว่าความโลภหมดไป จะบอกว่าความโลภหมดไป จะรับทรัพย์สินมาทำไมเมื่อคนอื่นให้ ก็พระพุทธเจ้าเองท่านเป็นผู้หมดกิเลส หมดความโลภ มีคนถวายท่านก็ยังรับ เมื่อรับแล้วเราไม่เมา ไม่ติดในลาภสักการะ เมื่อมีสำหรับใช้ก็ใช้ไป เมื่อหมดแล้วก็แล้วกันไป ถือวว่าเมื่อเราตายมันจะจากกันไป ก็จากกันไป ไม่มีความเสียดมเสียดาย ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่เวลาทรงชีวิตอยู่ต้องระมัดระวังอย่าปล่อยรุ่มร่าม ตามพระวินัยจะเห็นว่าพระพุทธเจ้ามีความละเอียดอ่อนในการรักษาทรัพย์สินมาก นี่ไม่ใช่ว่าคนหมดโลภแล้วจะไม่เอาอะไรเลย ไม่ใช่อย่างนั้น เรา เขาให้ก็รับ แต่ใจมันไม่เกาะ มันไม่บ้าลาภ บ้ายศ บ้าสรรเสริญ บ้าสุข

มาข้อที่ ๒ จะไปนิพพานนี่ อุปสมานุสสติทำอย่างไรตัดความโกรธ แต่ว่าความโลภตัดลงแล้วความโกรธมันก็มีกำลังอ่อน กิเลส ๓ ตัวนี่ ลองตัวใดตัวหนึ่งพังลงไปสักตัวแล้ว อีก ๒ ตัวมันก็มีกำลังอ่อนเต็มทีแล้ว ทำลายง่าย การทำลายความโกรธท่านให้ทำลายด้วยอำนาจพรหมวิหาร ๔ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมตตาจิต กรุณา เมตตาจิตแปลว่าความรัก กรุณาแปลว่าความสงสาร พอเห็นหน้าคนเห็นหน้าชาวบ้าน แทนทีทจะเห็นว่าเป็นคนน่าเกลียด แทนที่จะเห็นเขาเป็นศัตรู กลับเห็นเป็นคนที่น่ารักน่าสงสาร ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะความน่ารักก็ได้แก่คนทุกคนที่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน ถือว่าเป็นเพื่อนกัน ทีนี้ถ้าเราเห็นว่าเขามีความทุกข์ เราก็สงสาร ถ้าบังเอิญเขาทำความผิด ทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดขึ้น เป็นเหตุที่บางคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่ไม่ชอบใจของเราในอดีตกับเวลานี้ แทนที่เราจะโกรธกับสงสารเพราะว่าอะไร เพราะว่าการกระทำผิดของเขาเป็นการยั่วยุให้คนอื่นให้เกิดความเดือดร้อน นั่นมันเป็นอาการสร้างศัตรู สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเอง เขาทำอย่างนั้น เขาพูดอย่างนั้น คิดอย่างนั้น ความจริงจิตใจของเขาไม่มีความสุข เขาทำให้เรามีความโกรธ แต่เรากลับมีความเมตตาปรานี คิดว่าไม่น่าเลยนะ อาการอย่างนี้มันเป็นอาการของความทุกข์ เป็นเหตุของความเร่าร้อน เขาไม่น่าโง่แบบนี้ ที่สร้างศัตรูให้เกิดกับตน มันเป็นอาการของความทุกข์อย่างหนึ่ง คนที่มีศัตรูมากจะกินก็ไม่ถนัด จะนอนก็ไม่ถนัด จะตื่นอยู่ก็ไม่ไหว จะต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา เพราะเกรงว่าจะมีคนมาทำอันตราย นี่เห็นคนอื่นทั้งหลายที่เขามีอารมณ์ผิด มีจริตคิดผิดไปอย่างนั้น แทนที่เราจะโกรธกลับมีความสงสาร มีความเมตตาปรานี แต่ทว่าถ้าเราหวังดีแล้วเขาไม่ยอมรับความหวังดีด้วยกับเรา ก็ทรงความอุเบกขา ความวางเฉยเข้าไว้ อย่างนี้ ถ้าอารมณ์จิตปกติเป็นอย่างนี้ ไม่สามารถเข้าทำลายความโกรธได้ หรือว่าใช้พรหมวิหาร ๔ ไม่ตรงกับอัธยาศัย สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ใช้กสิณ ๔ อย่าง คือ กสิณสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้เป็นฌานสมาบัติ เพราะกสิณ ๔ ประการนี้ เป็ฯไปเพื่อการทำลายโทสะโดยเฉพาะให้หมดให้พินาศไป
 
ในเมื่อเราใช้พรหมวิหารทั้ง ๔ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งกดอารมณ์ของความโกรธหมดไปแล้ว ก็ใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณ คือ สักกายทิฏฐิ พิจารณาเห็นว่าสภาพร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา มันเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ที่เข้ามารวมกันเป็นเรือนร่างที่เราอาศัย ชาวบ้านชาวเมืองก็เหมือนกัน สัตว์อื่นก็เหมือนกัน ทีนี้คนที่โกรธกันด่ากัน เขาไม่ได้ด่าใจนะ เขาด่าตัว เขาด่าธาตุ ๔ เขาด่าดินน้ำลมไฟ เขาไม่ได้ด่าเรา เพราะไอ้ตัวเราจริง ๆ นั่นคือจิต เขามองไม่เห็น นี่เขาด่าธาตุ ๔ ก็ช่างเขาเป็นไร ในเมื่อเราไม่รับเสียอย่างเดียว คำด่าก็ตกอยู่กับเขา ความสบายใจเราก็เกิด อารมณ์จิตมันก็จะสบาย ก็คิดว่าคนเรามันจะต้องตายกันไปหมด จะไปนั่งโกรธ นั่งคิดอาฆาตมาดร้ายกันเพื่อประโยชน์อะไร เราจะฆ่าเขาก็ตาย ไม่ฆ่าเขาก็ตาย เราประทุษร้ายเขา เขาก็มีความทุกข์ เราไม่ประทุษร้ายเขา เขาก็มีความทุกข์ ก็ปล่อยให้เขาทุกข์เขาเอง เขาตายเองดีกว่า ไม่ต้องไปทำให้เหนื่อย ถ้าไปเจอะคนเขาทำไม่ดี เขายั่วยุด้วยประการต่าง ๆ ให้เราเกิดโทสะ เราก็ยิ้มได้ว่าคนประเภทนี้ไม่ใช่คนดี เป็นคนทำลายตัวเอง เป็นคนที่น่าสงสาร แทนที่จะเป็นคนที่น่าโกรธ ถ้าจิตเราคิดอย่างนี้ ความสบายมันก็เกิดขึ้นในที่สุด เราก็ทำลายความโกรธไปเสียได้ นี่เป็นก้าวที่ ๒ ที่เราเดินใกล้เข้าไปสู่พระนิพพานเพราะว่าดับไปแล้ว ความโลภก็ดับ ความโกรธก็ดับ
 
มันก็เหลือแต่ความหลง หลงอะไร หลงสภาพร่างกายว่าเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา เราคิดว่าสภาพร่างกายของเราจะทรงสภาพอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการฟัง การแก่ การตาย การเจ็บ ทั้ง ๆ ที่มันแก่ลงทุกวัน เราก็มองไม่เห็นความแก่ มีการทรุดโทรมลงทุกวัน เราก็ไม่เห็นอาการทรุดโทรม มันตายไปทุก ๆ วัน มันหมดไป ลมหายใจเข้ามาทีออกไปทีชีวิตมันก็หมดไป เราก็มองไม่เห็น ไอ้ตัวมองไม่เห็นนี่มันเป็นตัวโมหะ-ความหลง

ทีนี้เราจะมองเห็นอย่างไร เราก็ตั้งใจพิจารณาหาความจริง ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่าคนเกิดมาแล้วมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จริงไหม นั่งมองคนอื่น คนที่เด็กกว่า แล้วก็มองคนที่แก่กว่า สภาพเดิมของเราเป็นเด็ก มาเวลานี้เป็นอย่างนี้ อีกไม่ช้าก็แก่อย่างคนโน้น แล้วก็มองคนที่ตาย ไม่ช้าเราก็ตายอย่างเขานี่แหละ ทีนี้เราจะมามองชีวิตเพื่อมันจะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มีประโยชน์อะไร จะเอาใจเข้าไปยอมรับนับถือว่าเราเกิดมาแล้ว มันต้องแก่แน่ และอาการป่วยไข้ไม่สบาย มันก็มีแน่ ทุกข์ประจำกายประจำใจมันก็มีอยู่ตลอดวัน ในที่สุดเราก็ต้องสลายตัว นี่เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะความโง่ที่เราเข้ามายึดถือร่างกาย คือ ขันธ์ห้า ถ้าเราไม่ยึดร่าง คือขันธ์ห้าเสียอย่างเดียว ถือว่าขันธ์ห้านี่มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราตามความเป็นจริง ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริงมันต้องไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย เพราะเราไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น นี่เราห้ามปรามมันไม่ได้

ในเมื่อขันธ์ห้ามันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราควรจะทำอย่างไรเพื่อถึงพระนิพพาน ในเมื่อมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราก็ปล่อยให้เจ้าของเขาไปเสีย เจ้าของเขาคือกิเลสตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม เพราะว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่เป็นเจ้าของขันธ์ห้า เรากับเขาแยกกันแล้วก็ปล่อยขันธ์ห้าให้เป็นเรื่องของของเขาไปแล้วทำจิตใจของเราให้มีความสุข คิดว่าขันธ์ห้าที่ประกอบไปด้วยธาตุสี่นี่มันใช่ของเราไม่ใช่เรา มันเป็นเรือนร่างที่เราอาศัยชั่วคราวเหมือนบ้านเช่า เราเข้ามาครองบ้านหลังนี้เมื่อไรก็เต็มไปด้วยความทุกข์เมื่อนั้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราไม่ต้องการมันอีก เพราะบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความเลว มีความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา และมีการสลายตัวไปในที่สุด แล้วก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขอะไรไม่ได้ ขณะใดถ้าบ้านหลังนี้พังเราสร้างใหม่ บ้านแบบนี้ก็มีทุกข์แบบนี้ เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการบ้านหลังที่ไม่มีกิจต้องทำ มีแต่ความสุข คือความดับจากอารมณ์ของความทุกข์ได้แก่พระนิพพาน

ทำอย่างไร มาปรารภพระนิพพานเป็นอารมณ์นี่ ก็นั่งไล่เบี้ยกันไป โดยย่อนะ พิจารณาว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเราแล้วทำอย่างไรเราถึงจะหนีร่างกายไปได้ จะไม่มีร่างกายแบบนี้อีก จะไม่มีการเกิด ทำจิตเข้าถึงพระนิพพานเราก็ใช้ปัญญาพิจารณาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าควรเชื่อไหม เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาเห็นว่าควรเชื่อ พระพุทธเจ้าเทศน์จริงไม่สงสัย ใช้ได้หนึ่งละ เพียงก้าวอีกก้าวหนึ่งก็ถึงพระนิพพาน ในเมื่อเราไม่สงสัยว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ตามความเป็นจริงแล้ว อันดับแรกเราก็ต้องตัดอบายภูมิด้วยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ศีลต้องบริสุทธิ์ทั้งพระเณรและฆราวาส เมื่อถือว่าเป็นพระมีศีล ๒๒๗ นั่นเป็นรูรั่วแห่งจิต ๒๒๗ ข้อใดข้อหนึ่งบกพร่อง แสดงว่าเราเอาเชื้อนรกเข้ามาติดใจ ถ้าเรารักษาศีลบริสุทธิ์ทุกสิกขาบท เราก็ปิดอบายภูมิได้เป็นพระโสดาบัน

ต่อไปทำลายกามฉันทะ ความพอใจในกามคุณ ให้พินาศไปด้วยอำนาจอสุภกรรมฐานกับกายคตาสติกรรมฐาน แล้วทำลายโทสะให้พินาศไปด้วยอำนาจพรหมวิหารสี่หรือกสิณสี่ตามที่กล่าวมา อย่างนี้เราก็เป็นพระอนาคามี อีกก้าวเดียวถึงพระนิพพาน ต่อไปก็ทำกำลังใจเราไม่ให้มัวเมาในรูปฌานและอรูปฌาน ทำลายมานะ ความถือตัวถือตนให้หมดไป ทำลายความฟุ้งซ่านของจิต เราจะตั้งใจภาวนาพิจารณาอย่างไหน ตั้งอารมณ์ไว้อย่างนั้นโดยเฉพาะ แล้วก็ตัดความรักความเยื่อใยในมนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก ตัดความเห็นว่ามนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก สวยสดงดงาม เราไม่ต้องการโลกทั้ง ๓ นั้น สิ่งที่เราต้องการคือพระนิพพาน จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ หมดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างนี้ชื่อว่าเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน

เอาละอุปสมานุสสติวันนี้พูดยาวหน่อย แต่รู้สึกจะสั้นกว่ามรณัสสติกรรมฐานพูดไว้สำหรับเป็นความรู้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นนักเจริญกรรมฐานจะต้องศึกษากรรมฐานให้ครบ ๔๐ อย่าง เวลากลางคืนจะพยายามสอนกรรมฐานไปคืนละอย่างสองอย่าง ไอ้สองอย่างมากนักน่ากลัวคงไม่ได้ จะได้เพียงอย่างเดียว บางอย่างก็ใช้สองคืนสามคืนซ้อน ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ให้ท่านทั้งหลายเอาความรู้นี้ไปเป็นเครื่องประดับเวลาที่อารมณ์อย่างใดที่มันเกิดขึ้นในทันทีทันใด ไม่ใช่ว่าเรานั่งภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ ก็พุทโธไปเรื่อย ความโลภ ราคะจริตเกิดขึ้นก็ พุทโธ โมหะจริต เกิดขึ้นก็ พุทโธ โทสะจริตเกิดขึ้น ก็พุทโธ ถ้าศรัทธาจริตเกิดขึ้นนี่พุทโธได้ มีผลแน่นอน ถ้าราคะจริต โทสจริต โมหะจริต วิตกจริต พุทธจริตเกิดขึ้น พุทโธไม่เป็นเรื่องแน่ ไม่ตรงกัน ต้องใช้กรรมฐานให้ตรงกับอาการของจริตที่จริตที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จึงจะมีผลเข้าถึงพระนิพพานได้ทันที

เอาละต่อแต่นี้ไปขอให้ท่านทุกคนตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก คำภาวนาอย่างอื่นไม่เคยใช้ ไม่คล่องอยู่ ก็ใช้คำว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ คำภาวนานี้ถ้าบุคคลใดใช้คำภาวนาอย่างอื่นคล่องมาแล้ว ก็ไม่ต้องเปลี่ยน ใช้ภาวนานั่นได้ตามปกติ หรือว่าท่านทั้งหลายจะใช้อารมณ์พิจารณาสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาตามที่กล่าวมาแล้ว ตามที่มีความรู้อยู่เพื่อเป็นการทำลาย ราคะ โทสะ โมหะ ทั้ง ๓ ประการ ก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 17 พฤศจิกายน 2558 16:29:41
(http://f.ptcdn.info/844/032/000/1435415588-normalbudd-o.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๓๑ อานาปานสติ

สำหรับวันนี้จะได้พูดเรื่องอานาปานสติกรรมฐาน ถือว่าเป็นกรรมฐานอนุสสติข้อสุดท้าย สำหรับอานาปานสติกรรมฐานนี้ ถ้ามหาสติปัฏฐานสูตรท่านขึ้นต้น แต่ว่าด้านอนุสสติท่านเอาวางไว้เป็นข้อสุดท้าย แต่ว่าวิธีปฏิบัติก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นมาตั้งแต่พุทธานุสสติก่อน เราจะเอากรรมฐานในอนุสสติ ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ให้เป็นไปตามอัธยาศัย แต่โดยเฉพาะในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านใช้อานาปานสติกรรมฐานเป็นข้อต้น ก็เพราะว่าอานาปานสติเป็นกรรมฐานที่ระงับความฟุ้งซ่านของจิต ถ้าหากจะกล่าวขึ้นโดยจริตก็เป็นกรรมฐานคู่กับวิตกจริตหรือโมหจริต วิตกแปลว่าตรึกนึกอยู่เสมอ โมหะแปลว่าโง่ ถ้ามันไม่โง่มันก็ตัดสินใจไม่ตกลง ถ้าหากว่าเราจะพูดกันถึงด้านนิวรณ์ โมหะจริตหรือว่าวิตกจริตก็ได้แก่อุทธัจจะกุกกุจจะ คือมีอารมณ์ฟุ้งซ่านและรำคาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน เพราะมันฟุ้งซ่านไม่ทรงอารมณ์ไว้โดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งจึงเกิดความรำคาญ อันนี้การเจริญพระกรรมฐานพระอาจารย์ผู้สอนทั้งหมดที่ปฏิบัติพระกรรมฐานได้มาแล้ว ส่วนใหญ่ท่านให้ขึ้นอานาปานสติก่อน ควบกับพุทธานุสสติกรรมฐาน การที่ให้ขึ้นอานาปานสติกรรมฐานก่อนเพราะจิตเราทุกคนมันฟุ้งซ่าน คนทั้งโลกที่จะหาอารมณ์จิตไม่ฟุ้งซ่านไม่มีเลย ฉะนั้น ในมหาสติปัฏฐานสูตรจึงขึ้นอานาอานสติกรรมฐานก่อนเพื่อน เพื่อเป็นการระงับอารมณ์ฟุ้งซ่าน
 
สำหรับอานาปานสตินี้มีการปฏิบัติเป็น ๒ แบบด้วยกัน โดยเฉพาะแบบที่เป็นสุกขวิปัสสโกอย่างในมหาสติปัฏฐานสูตร สำหรับมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นแบบของสุกขวิปัสสโกโดยเฉพาะ ท่านให้กำหนดลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก เวลาหายใจเข้ายาวหรือสั้น เวลาหายใจออกยาวหรือสั้นให้รู้อยู่ นี่ท่านให้ใช้กำหนดจิตเฉพาะเท่านั้นเอง คือไม่มีการปรับพื้นฐานใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าสุกขวิปัสสโกในอันดับต้นใช้อารมณ์สมาธิเพียงเล็กน้อย แล้วก็พิจารณาวิปัสสนาญาณควบคู่กันไป ไม่จำเป็นต้องตั้งอารมณ์ให้เป็นฌานก่อน ทั้งนี้ก็เพราะว่าเป็นการปฏิบัติแบบง่าย ๆ ไม่ต้องการประเภทวิชชาสาม อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ต้องการอย่างเดียว คุมอารมณ์ได้เล็กน้อยก็ควบคุมไปกับวิปัสสนาญาณ แต่เมื่อาศัยที่พิจารณาวิปัสสนาญาณกับควบคุมกำลังใจเล็กน้อย เมื่อจิตเข้าถึงปฐมญาณ ฌานก็มีอำนาจตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานเป็นพระอรหันต์ได้เหมือนกัน เป็นแบบง่าย ๆ จึงเรียกว่า สุกขวิปัสสโก
 
สำหรับในกรรมฐาน ๔๐ ท่านวางไว้อีกแบบหนึ่ง คือ เฉพาะอานาปานสติกรรมฐาน ท่านให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเหมือนกัน ทีนี้ในกรรมฐาน ๔๐ ท่านสอนให้ ๔ แบบคือ แบบสุกขวิปัสสโก เตวิชโช วิชชาสาม ฉฬภิญโญ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทัปปัตโต คือ ปฏิสัมภิทาญาณ ฉะนั้น การวางอารมณ์พื้นฐานของจิตในตอนต้น จึงวางพื้นฐานอารมณ์ไว้สูงมาก เป็นแบบสายกลาง ๆ ไม่ใช่ตั้ง ๗ ฐาน ๘ ฐาน นั่นตั้งกันแบบใหม่ สำหรับพระพุทธเจ้าท่านตั้งไว้ ๓ ฐาน คือ เวลาหายใจเข้าและหายใจออก เวลาหายใจเข้าให้กำหนดรู้ไว้ที่จมูก ลมจะกระทบที่จมูก ลมจะกระทบไหลเรื่อยไปกระทบที่หน้าอกแล้วกระทบศูนย์เหนือสะดือเล็กน้อย เวลาหายใจออก ลมกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก และกระทบริมฝีปากหรือจมูก ถ้าคนริมฝีปากยื่นจะกระทบริมฝีปาก ถ้าริมฝีปากงุ้มรับความรู้สึกที่จมูก นี่จำไว้ให้ดี ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายได้อานาปานสติกรรมฐานกองเดียว กรรมฐานอีก ๔๐ กองง่ายมาก กรรมฐานที่ยากจริง ๆ ก็คือ อานาปานสติกรรมฐาน แล้วก็เป็นกรรมฐานที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำได้ให้ หากว่าท่านไม่ได้อานาปานสติกรรมฐานเสียกองเดียว กรรมฐานกองอื่นไม่มีความหมาย ท่านจะบอกว่าท่านไม่ได้อานาปานสติกรรมฐานแต่ได้กรรมฐานกองอื่น ๆ ด้วย ได้กรรมฐานกองอื่น ๆ อีก ๓๙ กอง อันนี้ไม่มีใครเขาเชื่อ เพราะมันเชื่อไม่ได้ เราจะเล่นกสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน หรือว่าอะไรก็ตาม ถ้าไม่ใช้อานาปานสติกรรมฐานควบคู่แล้วไม่มีทางจะได้ผล เพราะฉะนั้น อานาปานสติกรรมฐานจึงเป็นพื้นฐานใหญ่ที่สุด เป็นตัวนำของกรรมฐานทั้งหมด
 
นี่เราก็พูดกันมาถึงอนุสสติ ๑๐ ถ้าเรารวบรวม มันจบแค่อานาปานสติ ฉะนั้น อานาปานสติมันก็ต้องพูดกันมากหน่อย เพราะว่าเป็นกรรมฐานใหญ่ ถ้าได้เสียกองเดียว กองอื่นก็หมด อานาปานสตินี่ทรงกำลังถึงฌาน ๔ เช่นเดียวกับกสิณ อานาปานสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานกองใหญ่ ทรงกำลังถึง ฌาน ๔ และเป็นกรรมฐานละเอียดจับได้ยาก เมื่อจับอานาปานสติกรรมฐาน ได้กรรมฐานกองอื่นจะรู้สึกเป็นของง่าย
 
ทีนี้เราทรงอานาปานสติให้คงที่ ให้เข้าถึงระดับฌาน ต้องมีพื้นฐานที่มีความสำคัญตามลำดับ จะยกเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านทรงยกขึ้นไว้ในอุทุมพริกสูตร ในอันดับแรกท่านทั้งหลายจะต้องควบคุมกำลังใจ ให้เรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะประพฤติใจของเราให้ตั้งอยู่ในอารมณ์สมาธิหรือว่ามีอารมณ์จิตบริสุทธิ์ เราไม่ยุ่งกับอารมณ์ของบุคคลอื่น จริยาของบุคคลอื่น เขาจะดีหรือเขาจะชั่วแค่ไหนเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา เขาดีก็ดีของเขา เขาเลวก็เลวของเขา เราไม่ได้พลอยดี เราไม่ได้พลอยเลวไปด้วย คือเวลานี้เราเข้ามาในเขตของพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราดี ปฏิบัติความดี คือการที่เราจะปฏิบัติความดีมันจะทำกันอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวเป็นพระบาลีว่า อัตตนา โจทยตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเองอยู่เสมอ อย่าไปเที่ยวนั่งเตือนชาวบ้านเขา เตือนตัวเองแหละเป็นสำคัญ ให้ตัวรู้ตัวไว้ว่าเวลานี้เราทำอะไร เวลานี้เราต้องการอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้เราเจริญอานาปานสติกรรมฐาน หรือแม้กรรมฐานกองอื่น ๆ ก็เหมือนกัน จะต้องเตือนตนเองไว้เสมอ ให้เรารู้ตัวเองว่า เวลานี้เรารู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก เราต้องการรู้ว่าลมกระทบฐานไหนบ้าง ลมเข้าลมออกกระทบฐานไหนบ้าง นี่เราต้องเตือนตนและบังคับจิตไว้เสมอ

ทีนี้ผลที่จะพึงได้รับ พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวไว้ว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน โก หิ นาโถ ปโร สิยา บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งเราได้ อัตตนา หิ สุทันเตนะ เมื่อเราฝึกฝนตนของเราดีแล้ว นาถัง ลภติ ทุลลภัง เราจะได้ที่พึ่งอันบุคคลอื่นพึ่งได้โดยยาก คือ เป็นอันว่าผลของการเจริญสมาธิภาวนาวิปัสสนาญาณ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่าเราเท่านั้นที่ทำตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หมายความว่า ในเมื่อเรารับคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วต้องปฏิบัติตามด้วยตนเอง ไม่ใช่จะไปนั่งอ้อนวอนให้ครูบาอาจารย์ช่วยบ้าง ขอบารมีคนนี้ช่วย ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วย ขอบารมีพระปัจเจกพุทธเจ้าช่วย ขอบารมีพระอรหันต์ช่วย ขอบารมีเทวดาพรหมช่วย เป็นต้น เรานึกน้อมถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและท่านอื่น ๆ ที่กล่าวมานั้นเป็นของดี แต่ทว่าอย่านึกว่าจะมาให้พระพุทธเจ้าทำจิตเราให้เป็นสมาธิอันนั้นไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันไว้แล้วว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอกเท่านั้น ความดีหรือความชั่วเป็นเรื่องของพวกท่านเองจะพึงปฏิบัติ อันนี้จำไว้ให้ดี จำไว้แล้วจงอย่าลืม ลืมเมื่อไรบรรลัยเมื่อนั้น คำว่า บรรลัยนี้เขาแก้ศัพท์ให้มันหย่อนลงมา ตามหลักพระพุทธศาสนาท่านบอกว่า ลืมเมื่อไรฉิบหายเมื่อนั้น เป็นผู้ฉิบหายเสียแล้วจากความดี ศัพท์นี้รู้สึกว่าจะเป็นปกติในทางพระพทธศาสนา บุคคลใดถ้าจะสลายซึ่งผลซึ่งตนจะพึงได้ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าผู้นั้นเป็นผู้ฉิบหายเสียแล้ว อย่างท่านอาฬารดาบสและอุทกดาบสซึ่งเป็นพระอาจารย์ สอนให้พระพุทธเจ้าได้สมาบัติ ๔ และสมาบัติ ๘ เมื่อพระองค์ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ ๆ องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงได้ระลึกถึงพระอาจารย์ทั้งสองว่าทั้งสองฟังธรรมของเราเพียงครั้งเดียวจะได้บรรลุพระอรหัตผล แต่ว่าทั้งสองท่านเวลานี้ ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีโอกาสที่จะรับสัมผัสในการแสดงพระธรรมเทศนา เพราะไม่มีอายตนะ ไม่มีหู ไม่มีตา ไม่มีกายทั้งหมด จึงกล่าวว่าเป็นที่น่าเสียดายที่อาจารย์ทั้งสองเป็นผู้ฉิบหายเสียแล้วจากความดี นี่ คำว่าฉิบหายนี้เป็นของธรรมดา เป็นพวกสลายตัวหมดเท่าที่จะได้รับ ถ้าพวกเราบอกว่าฉิบหายนี่เราโกรธ จะไปโกรธเขาทำไม ถ้าเราดี เราก็ไม่ฉิบหาย ไม่บรรลัย ไม่สลายตัว อันนี้เป็นเครื่องเตือนให้ท่านทั้งหลาย ว่าจงอย่าลืมถ้อยคำตามที่กล่าวมาแล้ว จำไว้ว่าเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่ช่วยตัวของเราเองได้
 
ในอันดับแรก จงจำไว้ว่าเราจะไม่ยุ่งกับอารมณ์ของบุคคลใด เราจะไม่ยุ่งกับจริยาของบุคคลใด เราจะสนใจอย่างเดียว ระงับอารมณ์ของเราให้ทรงอยู่ในด้านของกุศลเป็นอันดับแรก เราตั้งใจไว้ว่า เรากำหนดจิตแต่เฉพาะอารมณ์ใดเราจะทรงอารมณ์นั้นไว้โดยเฉพาะ นี่เป็นจุดเริ่มต้น ถ้าหากว่าท่านทำใจได้ดีอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าท่านเข้าถึงสะเก็ดของพระพุทธศาสนา เห็นไหม เมื่ออารมณ์ที่ไม่ยุ่งกับความดีและความชั่วของชาวบ้านนั้นเข้าถึงสะเก็ดของพระพุทธศาสนา ถ้าอารมณ์ใจของเรายังยุ่งอยู่ เราก็เข้าไม่ถึงสะเก็ด วัดใจของท่านเองไว้ด้วยนะ นี่ เวลานี้เราตั้งใจจะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เราก็ตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เราก็ตั้งใจกำหนดรู้เฉพาะลมหายใจเข้าออกเพื่อเป็นการกันความฟุ้งซ่านของจิต แต่อึกอักจะมาตั้งอารมณ์ให้ทรงตัวแบบนี้มันไม่ง่ายนัก พระกรรมฐานไม่ใช่ของง่าย แต่ก็ไม่ใช่ของยาก เมื่อควบคุมอารมณ์ไว้ได้ดีไม่ยุ่งในจริยาของคนอื่นแล้วก็จงรักษาศีลให้บริสุทธิ์ นี่เป็นอันดับสอง เพราะว่าเมื่อพยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้ชาวบ้านชาวเมืองอื่นเขาทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว
 
แล้วต่อไปก็ระงับนิวรณ์ห้าประการ นิวรณ์ห้าประการนี่เราจะต้องเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่ผู้แพ้ ถ้าท่านแพ้นิวรณ์ห้าท่านก็เขียนไว้เลือกเอาจะเอานรกขุมไหน ถ้าเป็นพระเป็นเจ้าด้วยยิ่งสบายดีนัก ลงอเวจีมหานรกจะนึกว่าทำไมเข้มข้นนัก ที่อื่นทำไมไม่พูดกัน ก็ที่อื่นเขาไม่ได้สนใจนี่ อยากจะลงนรกขุมไหนเขาก็ตามใจตนเอง แต่ว่าสำนักนี้ไม่ต้องการให้ใครลงนรก แต่ว่าถ้าอยากจะลงก็ห้ามไม่ได้เหมือนกัน ได้แต่แนะนำ ทีนี้การที่เราจะทรงสมาธิได้ดี ไม่ยุ่งกับอารมณ์ของบุคคลอื่น มีศีลบริสุทธิ์แล้วยังเอาดีไม่ได้ เคยบอกแล้วว่ามีศีลบริสุทธิ์มันยังไม่ดี พระพุทธเจ้ายังไม่ได้บอกไว้ ยังไม่ถือเป็นสมมติสงฆ์แท้ จะต้องมีอารมณ์ชนะนิวรณ์ห้า ขณะที่เราทรงสมาธิจิตกำหนดลมหายใจเข้าออก จิตจะไม่พะวงถึง
 
๑. กามฉันทะ คือ รูปสวย เสียงเพราะ รสอร่อย กลิ่นหอม สัมผัสนิ่มนวล อารมณ์ใคร่ครวญในกามารมณ์ ไอ้การอย่างนี้ต้องไม่มีในขณะที่เราทรงสมาธิ หรือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก
 
๒.เราจะไม่มีอารมณ์ความโกรธหรือความพยาบาทคิดอยู่ในใจขณะนั้น
 
๓.ขณะทีเรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เราจะตัดความง่วงไม่ให้เป็นเจ้าหัวใจของเรา
 
๔.เราจะคุมอารมณ์ใจของเราโดยเฉพาะในเวลาที่เราตั้งไว้
 
๕.เราจะไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชื่อว่าผลการปฏิบัตินีน่มีผลดีจริง ๆ

นิวรณ์ห้าประการนี้ทุกขณะที่ท่านต้องการทรงสมาธิ ทุกท่านจะต้องป้องกันไม่ให้มันเข้ามายุ่งกับจิตเป็นอันขาด แต่ถ้าหากมัวแต่คิดว่า ถ้าหากจะชนะแต่เวลาที่จะเจริญพระกรรมฐานมันยังเบาเกินไป วันหนึ่งเรามานั่งเจริญกรรมฐานกี่นาที เราปล่อยอารมณ์ให้มันเลื่อนลอยกี่นาที ดูปริมาณของเวลามันพอกันหรือไม่ ถ้าเวลาปริมาณมันพอกัน ก็ยังเรียกว่าเป็นคนกึ่งนรกกึ่งสวรรค์ ความจริงนิวรณ์ห้าประการนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพระไม่ควรจะให้มันเข้ามายุ่งในจิต แม้แต่วินาทีหนึ่งของ ๒๔ ชั่วโมง ถ้าหากว่านิวรณ์ไม่เข้ามายุ่งกับจิตของท่านเมื่อไร เวลานั้นคำว่าสมาธิจิตไม่มีแก่จิตของท่าน เข้าใจไว้ด้วย

เมื่อระงับนิเวรณ์ จิตใจของเราชนะนิวรณ์ได้โดยเด็ดขาดแล้ว ก็ต้องทรงพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา ความรัก แผ่ความรัก ความปรานี ปรารถนาความเป็นมิตรไปในทั่วจักรวาลทั้งปวง ถือว่าเราเป็นคนไม่มีศัตรู สัตว์และบุคคลทั้งหมดย่อมเป็นที่รักของเรา กรุณามีจิตสงสาร ใคร่จะสงเคราะห์ให้เขามีความสุขทั้งคนและสัตว์ มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี ไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา สิ่งใดที่มันเกินวิสัยซึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ความตายจะเข้ามาถึง จิตใจเราไม่ดิ้นรส ปล่อยเป็นเรื่องธรรมดาวางเฉย

หากว่าท่านทรงศีลบริสุทธิ์ ระงับนิวรณ์ห้าประการ ทรงพรหมวิหารสี่ โดยเฉพาะตลอดวันตลอดคืน อย่างนี้พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ท่านมีความดีเข้าถึงเปลือกของพระพุทธศาสนา นี่ต้องให้ดีนะ อานาปานสตินี่เราต้องคุยกันมาก เพราะเป็นกรรมฐานกองใหญ่ก็จะต้องพูดถึงฌาน ๔ หรือฌาน ๘ ว่ากันตามลำดับ นักศึกษาใหม่ฟังแล้วก็ตั้งใจทำให้ดีนะ เพราะการสอนพระกรรมฐานตอนกลางคืนนี่ไม่ซ้ำกัน จนกว่าจะจบกรรมฐาน ๔๐ และวิปัสสนาญาณ ใครจะมาก่อนมาหลังไม่รับทราบ เพราะถ้าขืนไปดูแล้วเวลานี้เราต้องการอธิบายให้เข้าใจเพื่อผลในการปฏิบัติเท่านั้น ก็จะสอนไปตามประเภทไม่ถอยหลัง

ทีนี้อันดับแรกนี้ ก่อนที่ะจบก็ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังว่า เวลานี้เราจะรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก จนกว่าจะสิ้นเวลา ก็จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา เอากันเท่านี้ก่อนนะ วันพรุ่งนี้ต่อไปใหม่ ต่อไปนี้ขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 18 มกราคม 2559 11:48:20
(http://f.ptcdn.info/844/032/000/1435415588-normalbudd-o.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๓๒ พรปีใหม่

ปีใหม่ก็จะคืบคลานเข้ามาถึง ก็เป็นอันวาชีวิตของเราก็ล่วงเข้ามาอีก ๑ ปี ปีใหม่ที่เคลื่อนเข้ามาเราก็จะแก่เข้าไปอีก ชีวิตของเราก็จะเดินเข้าไปหาความดับ เพราะธรรมดาของชีวิตเมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นและก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และมีการตายแตกทำลายพันธุ์ไปในที่สุด นี่เป็นกฎธรรมดาของสิ่งมีชีวิตที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ศ.๒๕๑๙ ที่จะเข้ามาถึงจัดว่าเป็น พ.ศ. ที่มีความวิกฤติที่สุดของชีวิตประเทศไทยในยุคนี้ เพราะว่าตกอยู่ในเขตที่มีความวิกฤตอย่างหนัก ความแปรปรวนเป็นไปของโลก ของชีวิตมนุษย์
 
อันนี้ก็ถือว่าเป็นปกติธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โลกมีอันจะต้องฉิบหายไปในที่สุด ไม่มีอะไรทรงตัว ทีนี้สำหรับเราเหล่าพุทธบริษัทในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นพุทธมามกะ คือนับถือพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ พระบาลีกล่าวว่า บุคคลผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยย่อมจะไม่สลาย คือ จะต้องไม่พินาศไปด้วยอำนาจของโลกซึ่งเต็มไปด้วยความแปรปรวน ทั้งนี้ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่า สิ้นเวลา ๒,๕๐๐ ปีเศษ สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแก่พระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป ๒,๕๐๐ ปีเศษ คือ หลังจากกึ่งพุทธกาล ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี คือ พ.ศ.๒๔๘๕ เป็นต้นมา โลกจะเต็มไปด้วยความวิกฤต ไฟจะตกจากอากาศ ไฟจะลุกในอากาศ ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ บรรดาคนจะมีความทุกข์ยากล้มตายเป็นอันมาก และองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงกล่าวต่อไปอีกว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ ความวิกฤตคือความร้ายแรงของโลกก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะมีความร้ายแรงก็จริงแหล่ แต่ทว่ายังไม่ร้ายแรงเท่าหลังกึ่งพุทธกาล อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อน อานนท์ ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นอาละวาด ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันล้มตายกันฝ่ายละครึ่งจึงจะหยุดยั้ง สมณะชีพราหม์จะล้มตาย แต่ว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยอันนี้เหมือนกัน แต่ทว่าไม่ร้ายแรงนัก ไม่ถึงกับพินาศ นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้
 
ทีนี้คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฎเป็นความจริง คือตั้งแต่ปี ๒๔๘๕ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เกิดขึ้น เมื่อสงครามสงบแล้ว ความวิกฤติของโลกยังไม่สงบ มีการรบราฆ่าฟันเป็นปกติ ระยะนี้เป็นระยะหลังกึ่งพุทธกาล มีสมณะชีพราหมณ์ทั้งหลายล้มตายเป็นอันมาก คำพยากรณขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรงตามความเป็นจริง อีกข้อหนึ่งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกันแต่ไม่ร้ายแรงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ก็ถือกันว่าเป็นประเทศที่ทรงพระพุทธศาสนา

ถ้าเราจะพิจารณากันตามความเป็นจริง จะเห็นว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งหมดไม่มีประเทศใดที่ทรงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้ครบถ้วนเช่นประเทศไทย ในประเทศไทยเรามีทั้งพระสูตร พระวินัย ปรมัตถ์ คือพระอภิธรรม สำหรับประเทศอื่น เช่น ประเทศพม่า โดยมากจะไม่เคร่งครัดในเรื่องของพระวินัย โทษในเรื่องพระวินัยเขาไม่เคร่งครัดเพราะถือว่าไม่สำคัญ จะนิยมแต่ในเฉพาะด้านของปรมัตถ์ คือ อภิธรรมเท่านั้น ตามบาลีว่า พระสูตรคือประเทศไทย พระวินัยคือมอญ อภิธรรมพม่า หมายความว่าในประเทศไทยเรานิยมพระสูตร แต่ว่าเรามีพระวินัยและพระอภิธรรมครบถ้วน สำหรับวินัยมอญก็มายถึงว่าประเทศมอญเขาเคร่งครัดในพระวินัยแบบชาวมอญ สำหรับพม่านั้นยกพระสูตรทิ้งไป พระวินัยทิ้งไป เหลือพระอภิธรรม เราก็จะเห็นว่าในประเทศไทยยังคงทรงไว้ได้ทั้ง ๓ ประการ คือ พระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม ทั้ง ๓ ประการ เมื่อเราพิจารณาตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระพุทธญาณท่านทรงพยากรณ์กับพระอานนท์แล้ว จะเห็นว่าประเทศไทยเราคงพระวินัย คือ เคารพองค์สมเด็จพระจอมไตรไว้ตามพระพุทธพยากรณ์ จึงถือว่าประเทศไทยอยู่ในเขตคำพยากรณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ คือ อาจจะต้องไม่สลายไป ในการนับถือองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่มีพระบาลีว่า พุทโธ อัปปมาโณ คือว่า คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ การเคารพในพระธรรมว่า ธัมโม อัปปมาโณ การเคารพในพระธรรมว่าหาประมาณมิได้ หรือคุณของพระธรรมหาประมาณไม่ได้ สังโฆ อัปปมาโณ คุณของพระอริยสงฆ์หาประมาณมิได้

การเคารพในคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามารถจะยังชีวิตและความสุขของเราให้คงอยู่ได้ปลอดภัยจากอันตราย ดูตัวอย่าง เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงชีวิตอยู่ในขณะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูเสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ในขณะนั้นปรากฎว่าพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ถูกพระยาชมภูบดีรุกราน เหมาะขึ้นมาในอากาศเห็นยอดปราสาทของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์มีความสวยสดงดงามยิ่งกว่า ความริษยาก็เกิดขึ้น จึงได้ลงมาจากอากาศมายืนอยู่บนยอดปราสาท ชักพระขรรค์อันประจำพระองค์ขึ้นฟันยอดปราสาท ความจริงพระขรรค์นี้ แม้แต่เหล็กท่อนใหญ่ ๆ กระทบแล้วไม่หนักนักก็จะขาดไปทันที แต่อาศัยที่พระเจ้าพิมพิสารมีความเคารพในองค์สมเด็จพระมหามุนี คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นไตรสรณาคมน์ทั้ง ๓ ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็นพระโสดาบัน ด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ จึงป้องกัน แทนที่ยอดปราสาทจะขาด พระขรรค์ของพระยาชมภูก็บิ่นทำลายไป พระยาชมภูมีความเจ็บใจ จึงได้ยกเท้าขึ้นกระทืบยอดปราสาทก็เป็นเหตุให้เหล็กยอดปราสาททิ่มทะลุรองเท้าไปโดนเท้าบาดเจ็บ ถึงกับมีความโกรธมากจึงเหาะกลับประเทศของพระองค์ และก็ใช้ อวิตาศรไปร้อยพระกรรณ คือ ร้อยหูของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ คือมีศรเป็นกรณีพิเศษ เมื่อศรเข้ามาประกาศว่า เราจะร้อยหูของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ พระเจ้าพิมพิสารได้ทราบแล้ว ได้ยินแล้ว เห็นแล้ว ก็มีความกลัว จึงเสด็จไปเฝ้าองค์พระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่สุดบารมีของพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขก็ระงับอันตรายนั้นเสียได้ ในที่สุดบังคับให้พระยาชมภูบดีเข้ามาเฝ้าสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ได้ฟังพระธรรมเทศนามีความเลื่อมใสอุปสมบทในพระพุทธศาสนา และก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล เป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา แสดงว่าที่พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอพ้นจากอันตรายได้เพราะอาศัยคุณพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ ในฐานะที่พระองค์เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน มีความมั่นคงในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศีลห้าเป็นสมุจเฉท คือ รักษาศีลห้าเป็นปกติ
 
ฉะนั้น วันนี้เป็นวันที่สุดของปี ๒๕๑๘ ปี พ.ศ.๒๕๑๙ เข้ามาถึง ก็เป็นปีที่เต็มไปด้วยความวิกฤตของประเทศไทย ฉะนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงอย่าประมาทในชีวิต จงทรงจิตของท่านให้มีควมมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ คือ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปฏิบัติจิตให้ตรงต่อเฉพาะพระพุทธองค์ว่าที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงสั่งสอนไว้ เราทำอย่างไรที่ว่าทรงความดีตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวให้พวกเราทุกคนเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ทุกสิกขาบท คือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภิกษุ และสามเณร มีความจำเป็นจะต้องทรงสิกขาบททั้งหมดให้ครบถ้วนบริบูรณ์ สำหรับฆราวาสก็มีความจำเป็นอยู่เหมือนกัน แต่ทว่าบางท่านก็สามารถรักษาสิกขาบทให้ครบถ้วนได้ เพราะความจำเป็นในชีวิต ฉะนั้น ขอให้ตั้งสัจธรรมไว้ว่า ถ้าศีลข้อใดก็ดีใน ๕ ข้อนี้ เราจะทรงไว้ได้ตลอดชีวิต จะไม่ละเมิด ให้ตั้งจิตถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ในชีวิตของเรานี่ สิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งหรือสองสิกขาบทก็ตามที ซึ่งไม่เกินวิสัยเราจะทรงไว้ให้ครบถ้วน ไม่ยอมให้มัวหมอง สำหรับท่านผู้ใดสามารถจะทรงสิกขาบททั้ง ๕ ประการได้ หรือ ๘ ประการได้ก็ยิ่งดี อย่างนี้ได้ชื่อว่ามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการปฏิบัติ กาย วาจา ใจ และสำหรับกำลังใจนั้นมีความสำคัญ บรรดาพุทธบริษัททุกท่านทรงความดี คือ นึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้มีจิตยึดพระพุทธคุณไว้เป็นสำคัญ
 
การนึกถึงพระพุทธคุณทำอย่างไร ว่ากันมากไปก็ไม่ถนัด อิติปิ โส ภควา ฯ จนจบก็ไม่ไหว ฉะนั้น โบราณาจารย์จึงกำหนดไว้ว่าบุคคลใดผู้ใดมีความนึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ภาวนาว่า “พุทโธ” ใช้คำว่า พุทโธ ให้เป็นปกติ ภาวนาไว้ทุกวันทุกคืนตลอดเวลา และการที่จะภาวนาไปได้ตลอดเวลา และการที่เราจะภาวนาไปได้ตลอดวันตลอดคืนก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะจิตย่อมมีภาระนึกคิดอย่างโน้นคิดอย่างนี้ บางทีก็ต้องสนทนาปราศรัย ในการที่จะนึกทุกวันทุกเวลาเป็นไปไม่ได้ แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่ขาด พระโบราณาจารย์ที่มีความฉลาดได้สั่งสอนไว้ว่า ถึงเวลาก่อนหลับให้บรรดาพุทธบริษัทกำหนดใจนนึกถึงคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ จะกำหนดการเข้าออกของลมหายใจว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุธ เวลาหายใจออกนึกว่า โธ อย่างนี้เป็นความดี หรือนึกถึงคุณความดีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็เป็นการป้องกันภัยอันตราย เวลาที่ท่านทั้งหลายภาวนาว่า พุทโธ อมน้ำลายไว้ในปาก ภาวนาไว้จนขึ้นใจ ในจิตมีความสุข ค่อยกลืนน้ำลายลงไป อย่างนี้คุณพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น จะคุ้มครองสรรพอันตรายแก่พุทธบริษัทได้ และเวลาตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ และก่อนหลับทุกวัน ทำแบบนี้เป็นปกติ เวลาที่ยังตื่นอยู่ ถ้าคิดขึ้นมาได้เมื่อไรก็ทำใจให้นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาวนาว่า พุทโธ เป็นปกติ อย่างนี้จิตของบรรดาท่านพุทธบริษัท ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึง พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะได้ ทั้ง ๓ ประการ แล้วการนึกถึงความดีของสมเด็จพระพิชิตมารก็ได้ชื่อว่าเข้าถึงความดีทั้ง ๓ ประการครบถ้วน คือ พระพุทธเจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็ต้องอาศัย พระธรรม เมื่อทรงธรรมแล้วพระองค์ก็บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธองค์ที่เราจะพบได้ก็อาศัยบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ประชุมสังคายนากันร้อยกรองเอาไว้ จึงได้ตกทอดถึงพวกเรา ฉะนั้น การนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงชื่อว่าเข้าถึงความดีครบไตรสรณาคมน์ทั้ง ๓ ประการ
 
การนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร ใช้คำว่า พุทโธ เป็นปกติ ถ้าหากว่ากล่าวโดยธรรม ถ้าเรามีอารมณ์อ่อน ที่ว่ามีอารมณ์จิตเข้าไม่ถึงฌาน เวลาตายแล้วก็ไปสู่สวรรค์เทวโลก มีชั้นดาวดึงส์ เป็นต้น ดูตัวอย่าง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร หรือ สุปติฏฐิตเทพบุตร เป็นต้น หรือสาตะกีเทพธิดา นี่ใช้กำลังจิตมีศรัทธายังอ่อน นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าชั่วเวลาเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุปติฏฐิตเทพบุตร ทำความชั่วคือฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาตลอดชีวิต เมื่อเวลาจะตายไม่กี่นาที จึงได้นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อาศัยนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลานั้น จิตผ่องใส เวลาตายแทนที่จะไปรับอกุศลในอบายภูมิ กลับไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดา สุปติฏฐิตเทพบุตรได้ฟังอุณหิสวิชัยสูตร จบลง ปรากฎว่าได้บรรลุพระโสดาบัน บาปทั้งหลายที่ท่านทำไว้ไม่มีโอกาสจะให้ผล
 
นี่การนึกถึงคุณความดีขององค์สมเด็จพระทศพลมีผลต่อบรรดาท่านพุทธบริษัท ถึงแม้ว่าเราจะทำบาปทำกรรม มากมายเพียงใดก็ตามที่อาศัยความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์สามารถจะบำบัดให้เราพ้นไปจากภัยพิบัติ คือ พ้นจากอบายภูมิได้ ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต คิดว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ปีเก่าจะหมดไป ปีใหม่จะเข้ามาถึงเราจงรักษาสัจธรรม ทรงความดีเข้าไว้ คือ จะนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่หยุดยั้ง คือว่าปี พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นปีที่จะเต็มไปด้วยวิกฤติการณ์อย่างที่สุด โดยวิธีที่เราจะใช้ในฐานะที่เป็นมนุษย์ธรรมดาเพื่อความพ้นอันตราย ดูตัวอย่างพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอต้องถูกทำร้ายจากพระยาชมพูบดี แต่อาศัยที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาอย่างมั่นคง ในที่สุดอันตรายก็ยุติลงด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า นี่ ในสมัยพระพุทธเจ้า ถ้ามาในสมัยหลัง เมื่อสมัยที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจเป็นพิเศษ ขณะนั้น ปรากฎว่าข้าราชบริพารของพระองค์ท่านหลายท่านที่อาตมารู้จักเป็นกลุ่ม ๆ บุคคลกลุ่มใหญ่มีความเคารพองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปกติ คือ ในยามปกติพวกเขาเหล่านั้นจะไม่คล้องพระเครื่องอยู่ในตัว เขาถือว่าจิตใจของเขาเข้าถึงพระอยู่เป็นปกติ แต่ว่าภาวนาของบุคคลพวกนี้ไม่ขาด พอตื่นขึ้นมาเช้าก็จับคำว่าพุทโธอยู่เป็นปกติ เวลายามว่าง เมื่อจิตว่างจากกิจอื่นก็ใช้คำภาวนาว่าพุทโธ เวลาที่ไม่ลืมเกรงว่าจะลืม เวลาเช้า เวลาที่จะไปไหนหรืออยู่บ้านก็ตาม เกรงว่าอันตรายจะมีต่อเขา เขาแนะนำ นี่อาตมาเคยได้รับทราบมาเอง คือ ได้รับคำแนะนำจากคนผู้นั้นจากปากเขาเอง บอกว่า เวลาที่เราเกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายให้อมน้ำลายไว้ในปาก ภาวนาว่า พุทโธ ให้ขึ้นใจ เป็นการเสกน้ำลายแล้วกลืนลงไป ๓ ครั้ง บุคคลประเภทนี้ แม้จะปะทะข้าศึกหนัก ศัตรูหนักเพียงใดก็ตาม ก็มีการแคล้วคลาด
 
ถ้ามีความดีเป็นที่สุดขนาดหนัก ถ้ามีจิตทรงความดีขนาดกลาง เขาบอกว่ายิงของเขาไม่ออก ถ้าว่าทรงความดีขนาดเบา ใจยังเบาอยู่ ยังไม่เข้าถึงที่สุด ยิงไม่เข้า เขาว่าอย่างนั้น ความจริงก็เป็นไปตามนั้น เพราะเคยไปด้วยกัน เขาปลอดจากอันตรายจากสรรพาวุธทุกอย่าง ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าวางใจ จงอย่าประมาทในชีวิต จงคิดว่าคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ทั้ง ๓ ประการ จะสามารถทรงเราให้มีชีวิตอยู่ได้ นี่กล่าวโดยเฉพาะ ถ้าเราสิ้นอายุขัย การนำถึงความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทำให้เราพ้นทุกข์

ฉะนั้น นับตั้งแต่นี้ต่อไป ตั้งใจไว้ว่า จนกว่าจะสิ้นปี พ.ศ.๒๕๑๙ ที่เต็มไปด้วยความวิกฤตทุกทิศของโลกจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน เราจะยึดเอาคุณความดีขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไว้เป็นประจำ คือ คำภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ เป็นปกติ ถ้าเป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะมีความสุขในชีวิต คือ จิตของท่านจะทรงสมาธิ อำนาจบารมีของพระพุทธเจ้าจะทำจิตใจของท่านให้เยือกเย็นมีความสุข อันตรายจะเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลายก็จะพ้นภัย และด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ แต่ถ้าชีวิตอายุขับที่จะสิ้นไปเมื่อไร ความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะบันดาลให้เราพ้นอบายภูมิทั้ง ๔ ประการ คือ ไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างเลวที่สุด เราก็จะเป็นเทวดา ถ้าจิตใจมีสมาธิแรงกล้า เราจะเข้าถึงการเป็นพรหม ถ้าจิตของเราโดยนิยมไม่ยึดในขันธ์ห้า หรือว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จิตเราเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน เราจะไปที่นั่น เอาใจตรงนี้ยึดองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดานั่นเอง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วพุทธบริษัททั้งหลายถ้าจะพ้นจากกิเลสจะเข้าถึงพระนิพพานได้
 
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับปีเก่าจะสิ้นไป ปีใหม่จะเข้ามา ขออำนาจพุทธบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมสุคตศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สุด จงปกปักรักษาบรรดาท่านพุทธบริษัททุกที่านให้มีความมั่นในคุณพระรัตนตรัย ขอให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหมด ภัยใด ๆ ที่ปรากฎต่อโลกจงอย่ามีกับพุทธบริษัท ขอให้จิตใจของท่านพุทธบริษัทมีความปลอดโปร่งพ้นจากกิเลสเป็นสมุจเฉทปทาน เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้
 
เราท่านพุทธบริษัททุกท่าน กาลเวลาที่จะพูดก็เลยมาแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ยึดอานาปานสติเป็นอารมณ์ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ หรือว่าท่านพุทธบริษัทท่านใดจะพิจารณาวิปัสสนาญาณ กรรมฐานบทใดไปตามควมประสงค์จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา



หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 14:56:38
(http://f.ptcdn.info/844/032/000/1435415588-normalbudd-o.jpg)
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๓๓ อานาปานสติ

บัดนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้พากันสมาทานศีลและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อนี้ไปก็เป็นโอกาสที่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายจะพึงกำหนดจิตให้เป็นสมาธิวิปัสสนาญาณ

สำหรับวันนี้ก็จะพูดถึงอานาปานสติกรรมฐานต่อ แต่ว่าก่อนที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะใช้อารมณ์เป็นอานาปานสติกรรมฐานหรือว่ากรรมฐานกองใดก็ตามที่ได้เคยศึกษามา ในตอนต้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัทกำหนดใจหาความจริงของขันธ์ห้าไว้เป็นปกติ ความจริงที่เราควรจะยอมรับนับถือที่เราเรียกว่าอริยสัจ กล่าวโดยย่อ คือ อนิจจัง-ความไม่เที่ยง ทุกขัง-ความทุกข์ อนัตตา-การสลายตัว

เมื่อความเกิดมีขึ้นในร่างกายย่อมมีความเปลี่ยนแปลงเป็นปกติ คือ จากความเป็นเด็กหถึงความเป็นผู้ใหญ่ ความมีสภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์บริบูรณ์เข้าถึงความเสื่อม การทรงตัวในฐานะเป็นคนปกติมาถึงความเป็นคนป่วยไข้ไม่สบาย จากความเป็นหนุ่มเป็นสาวมาถึงคราวเป็นคนแก่ นี่เรียกว่าความเสื่อม คือความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงอย่างนี้ย่อมมีเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ที่เกิดมาในโลก

แต่ความไม่เที่ยวปรากฎมันก็มีความทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจเกิดขึ้น เราไม่ต้องการความไม่เที่ยง แต่ความไม่เที่ยงมันก็จะต้องมี เราห้ามอาการมันไม่ได้เพราะมันเป็นปกติธรรมดา ถ้าเราไม่ใช้ปัญญาพิจารณาหาความจริง อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดตรงไหน เกิดตรงที่เราไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เราไม่ต้องการความป่วยไข้ของร่างกาย เราไม่ต้องการควมปรารถนาไม่สมหวังที่เกิดขึ้นกับจิต แต่มันก็ต้องมี มีความไม่ต้องการความไม่ปรารถนา การมีอารมณ์ความรู้สึกฝ่าฝืนอาการที่เป็นไปตามปกติ อย่างนี้เรียกว่าคนที่ไร้ปัญญา ขาดการพิจารณาหาความจริง เมื่อขาดการพิจารณาตามความเป็นจริง เมื่อความจริงมาปรากฎเราไม่ต้องการ ความทุกข์มันก็เกิด เพราะมันมีอารมณ์ฝืน

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เรายอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง เรามีอารมณ์รู้อยู่เสมอว่าเมื่อความเกิดมีขึ้นแล้ว ความเปลี่ยนแปลงมันย่อมปรากฎ ความแก่เข้ามาถึง ความป่วยไข้ไม่สบายเข้ามาถึง ความตายจะเข้ามาถึงในที่สุด อาการพลัดพรากจากของรักของชอบใจยังมีอยู่ ในเมื่อจิตของเรายอมรับความเป็นจริง ยอมรับนับถือกฎธรรมดาแบบนี้แล้ว ถ้าอาการเหล่านี้ทั้งหลายปรากฎ จิตเราก็มีความสบาย เรารู้อยู่แล้วว่าอาการมันจะต้องเป็นอย่างนั้น ต่อมาเมื่อความตายมันเข้ามาถึงเรา ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าอะไร เพราะว่ามันเกิด แก่ เจ็บแล้วก็ตายในที่สุด เป็นอันว่า ความเกิดมีขึ้นก็มีความตายคู่กันเป็นของธรรมดา

เมื่อความตายมันมีแล้ว ก็หันไปพิจารณาร่างกาย มันเป็นเราเป็นของเราจริงหรือเปล่า ก็จะเห็นว่าร่างกายมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เพราะว่ามันมีความเกิดในเบื้องต้น มันมีความแก่ในท่ามกลาง มีการแตกสลายไปในที่สุด เราไม่ต้องการอย่างนั้น แต่เราก็ไม่สามารถจะห้ามปรามมันได้ ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริง เราก็ห้ามมันได้ ในเมื่อเห็นว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าเราจะหลงความเกิดต่อไป เราก็ต้องพบกับความตายอย่างนี้อีก นี่ พระพุทธเจ้าท่านให้วางภาระในการเกิดเสีย เมื่อเราไม่เกิดมันก็ไม่ตาย

แล้วการที่เราไม่เกิดเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องทำจิตให้บริบูรณ์ไปด้วยทาน ตัดโลภะ-ความโลภ จิตบริบูรณ์ไปด้วยศีล ตัดโทสะ-ความโกรธ เพราะศีลจะมีได้เพราะอำนาจเมตตาบารมีเป็นสำคัญ แล้วก็ตัดความหลงการยึดถือสภาพร่างกายเป็นเราเป็นของเราเสีย ถือว่ามันมีความเกิดในเบื้องต้น ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง มีความแตกสลายไปในที่สุด อย่างนี้เป็นภาระที่มีความทุกข์ อย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก ไม่ยึดถือขันธ์ห้าว่าเป็นเราเป็นของเราต่อไป ทีนี้จิตใจของเราก็มีความสุข นี่พูดถึงวิปัสสนาญาณโดยย่อควรคิดไว้เป็นปกติ แล้วควรคิดให้มันแนบเนียนไปกว่านี้ แต่นี่มันเบื้องต้นธรรมดา ท่านพุทธศาสนิกชนคิดได้ก็จะมีความสบายใจขึ้นมาก
 
ทีนี้อารมณ์ที่จะทรงวิปัสสนาญาณได้จริง ๆ อารมณ์ของบรรดาท่านพุทธบริษัทชาย-หญิงจะต้องมีสมาธิจิตเป็นสำคัญ ต้องระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านให้สิ้นไป ไม่ยอมให้อารมณ์ใด ๆ เข้ามายุ่งกับร่างกาย ในเมื่อเราพิจารณาวิปัสสนาญาณ การระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดากล่าวว่าต้องใช้อานาปานสติกรรมฐานเป็นสำคัญ เพราะอานาปานสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานที่ระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต อานาปานสติกรรมฐานก็คือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เมื่อเวลาที่จิตมันซ่านจริง ๆ ก็ไม่ต้องใช้คำภาวนา ใช้กำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นสำคัญอย่างเดียวเท่านั้น ถ้ามันซ่านจริงถ้าเราภาวนามันจะยิ่งซ่านกันใหญ่

ทีนี้การกำหนดลมหายใจเข้าออกทำอย่างไร ตั้งใจไว้โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก นี่เบื้องต้น นี่เริ่มฝึกในจุดต้น ถ้ากำหนดรู้โดยเฉพาะ ให้รู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าสั้นหรือยาว อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้เป็นด้านของมหาสติปัฏฐานสูตร เรียกว่าเป็นพื้นฐานของสุกขวิปัสสโก ถ้าหากเราต้องการศึกษาเพื่อเตวิชโช คือ วิชชาสาม ฉฬภิญโญ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทัปปัตโน ปฏิสัมภิทาญาณ ก็ต้องกำหนดฐานลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้าลมหายใจกระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบจมูกหรือริมฝีกปาก ถ้าคนริมฝีปากเชิด ลมจะกระทบริมฝีปาก ริมฝึกปากคุ้มจะกระทบจมูก
 
การเจริญอานาปานสติกรรมฐานนี้แยกออกเป็น ๒ ประเภทด้วยกันตามขั้นสุดท้าย ถ้ารักแค่สุกขปัสสวิโกก็ไม่ต้องกำหนดลม ๓ ฐาน ถ้าจะใช้สมาธิให้ได้ถึงวิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ ก็ใช้ ๓ ฐาน ให้เลือกเอาตามอัธยาศัย นี่การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกมันเป็นของยาก ถ้าเราพูดกันนี่มันไม่ยาก เวลาทำจริง ๆ มันยากเพราะว่าจิตของเรามันชอบซ่านชอบคิดเป็นปกติ จิตมีสภาพกลับกลอกดิ้นรนตลอดเวลา มีความไวมาก การจะบังคับจิตให้อยู่นิ่ง ๆ เหมือนบังคับลิงไม่ให้มันเคลื่อนไหว มันก็ยากเหมือนกัน แต่ทว่ามันก็ไม่เกินวิสัยที่เราจะทำได้
 
ในระดับแรก ถ้าเราบังเอิญเราไม่เคยปฏิบัติทางด้านจิตกับสมาธิ ท่านให้ใช้เวลาสั้น ๆ อย่าใช้เวลายาวเกินไป โดยตั้งใจไว้ว่าในช่วงเวลาเพียงเท่านี้ เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตคิดเรื่องอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่เรากำหนดไว้ว่ารู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าจิตมันไม่ฟุ้งซ่านเพียงใดจะควบคำภาวนาใด ๆ ก็ได้ตามอัธยาศัย แล้วให้ทรงอยู่เฉพาะอย่างนั้น เพราะจะกำหนดจิตไว้ว่า ๑๐ ช่วง เฉพาะลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าหายใจออกนับเป็นหนึ่ง เข้าออกอีก ๑ คู่นับเป็น ๒ อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ช่วงจังหวะ ๑๐ คู่ของลมหายใจเข้าลมหายใจออก เราจะไม่ยอมให้จิตคิดถึงเรื่องอื่นอย่างหนึ่งอย่างใดทั้งหมด นอกจากแต่เพียงว่ารู้ลมหายใจเข้าออก อย่างนั้นก็ดี หรือว่าเราจะใช้พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติควบก็ได้ไม่บังคับ ถ้าจิตมันซ่านเกินไป ท่านใช้พุทธานุสสติควบ เวลาหายใจเข้านึกว่าพุธ เวลาหายใจออกนึกว่า โธ อย่างนี้ก็ได้ หรือว่าจะภาวนาว่าอย่างไรก็ได้ นี่สอนเลย อานาปานสติ แต่ก็ไม่เป็นไรมันไม่ผิด ถ้าจิตไม่ซ่านเกินไปก็ใช้ได้ ในชั่วช่วง ๑๐ คู่ของลมหายใจเข้าออก หรือบางทีท่านพุทธบริษัทที่ฝึกใหม่ก็อย่าให้มันน้อยเกินไป เราอย่าถือปริมาณของเวลาเป็นสำคัญ การเจริญพระกรรมฐานควรจะถือคุณภาพเป็นสำคัญ การใช้ปริมาณของเวลานั่งครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง ถ้าหากจิตซ่านล็อกแล็ก ๆ หาการทรงตัวไม่ได้ มันก็จะมีสภาพไม่ต่างอะไรกับการเอาตะกร้าไปตักน้ำ ตักทั้งวันทั้งคืนไม่มีน้ำติดขึ้นมา อย่างดีที่สุดก็เป็นตะกร้าเปียก ๆ เท่านั้น สู้เราเอาจอกเล็ก ๆ เข้าไปตักจ้วงทีเดียวน้ำติดขึ้นมาหน่อยหนึ่งไม่ได้ ไม่ต้องเสียเวลามาก ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ท่านนักปฏิบัติพระกรรมฐานหวังเอาความดีกันจริง ๆ นี่เราพูดเอาดีกันจริง ๆ ตามที่เขาปฏิบัติกันมามันมีผล เขาใช้เวลาน้อย ๆ อย่าให้มากนัก แต่ว่าไม่ใช่เกณฑ์ให้น้อยเสมอไป คือใช้เวลาช่วงสั้น ๆ สัก ๑๐ คู่ของลมหายใจเข้าออก ในช่วง ๑๐ คู่นี้เราจะไม่ยอมให้จิตคิดอย่างอื่นเลย ถ้าเราจะไม่ภาวนาด้วย หรือว่าภาวนาด้วย จิตจะอยู่เฉพาะภาวนาที่เราต้องการ ถ้าบังเอิญในช่วง ๑๐ คู่นี่ในระหว่างที่มันไม่ทันถึง ๑๐ จิตมันแวบไปสู่อารมณ์อื่น พอรู้สึกตัวมันเริ่มต้นใหม่ ทรมานมันเสีย อย่าตามใจมัน อย่างนี้ใน ๑ ถึง ๑๐ ภาวนาไป ก็จับลมหายใจได้ ๑ คู่ จะนับนิ้วมือก็ได้ ให้จิตมันทรงตัว คือบังคับให้จิตอยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เรียกว่าสมาธิ แล้วถ้าบังเอิญนับ ๑ ถึง ๑๐ แล้วมันยังดีอยู่ เราถือว่าเป็นทุนที่เราตั้งใจไว้ จิตยังไม่ซ่านนับต่อไปอีก ๑๐ ตอนนี้ถือว่าเป็นกำไร ถ้านับต่อไปถึง ๑๐ ยังดีอยู่ ก็นับต่อไปอีก ๑๐ การที่จะคิดว่าการนับอยู่นี่จะเป็นสมาธิได้อย่างไร อารมณ์แนบสนิทในสมาธิไม่ต้องรู้อะไร ถ้าคิดอย่างนี้ผิดถนัด
 
การรู้ลมหายใจเข้าออก รู้อยุ่ ๑ ถึง ๑๐ เราคิดว่าเรากำหนดรู้เพียงเท่านี้ ถ้าจิตมันทรงอยู่แบบนี้ เขาเรียกกันว่าสมาธิ เพราะว่าสมาธิแปลว่าความตั้งใจมั่น คือว่าตั้งใจไว้ว่าจะรู้อะไรเราก็รู้อยู่เท่านั้น เราเรียกกันว่าสมาธิ คือ เวลาฝึกใหม่ ๆ ท่านทั้งหลายอย่าใช้เวลามาก คือว่าเราจะไม่ต้องการไม่บังคับในการใช้เวลามาก ถ้าจิตยังทรงอารมณ์ดีอยู่ จะทรงอยู่เท่าไรก็ได้ไม่ห้าม ถ้าเห็นวาอารมณ์จิตซ่านเกินไป ทำอย่างไรมันจึงจะหยุดหรือควรจะปฏิบัติอย่างไร นี่มีความสำคัญมาก ต้องฟังคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำถึงการบังคับจิตไม่ให้อารมณ์จิตซ่าน
 
นักปฏิบัติ ถ้าเขาฉลาดละก็ เรื่องสมาธิไม่เป็นของยาก โดยเฉพาะอานาปานสตินี่ก็ต้องใช้เวลาพูดหลายคืนหน่อย เพราะว่าเวลาพูดแต่ละคืนมีจำกัด ถ้าอารมณ์จิตดี ซ่านจริง ๆ ก็มีวิธีปฏิบัติอยู่ ๒ อย่าง ถ้าซ่านจริง ๆ บังคับไม่ไหวจริง ๆ ให้เลิกเสียอย่างหนึ่ง อย่าฝืนทำต่อไป จิตมันจะดิ้นรน ถ้าจิตมันซ่านเราบังคับไม่ได้มันจะกลุ้ม ความกลุ้มเกิด ความกระวนกระวายปรากฎ ความทุกข์กายไม่สบายใจปรากฎ ดีไม่ดีถ้าคิดมากไปก็เลยกลายเป็นโรคเส้นประสาท ไอ้ที่ทำกรรมฐานแล้วคลั่งขาดสติสัมปชัญญะ เพราะไม่รู้จักการประมาณตัวเป็นสำคัญ ยังมีวิธีหนึ่ง ถ้ามันซ่านจริง ๆ พระพุทธเจ้าให้เลิกเสีย
 
แล้วมีอีกวิธีหนึ่ง พระพุทธเจ้าแนะนำให้ใช้การยืดหยุ่น การยืดหยุ่นเป็นของสำคัญ อันนี้เคยปฏิบัติมาแล้วทั้ง ๒ อย่าง มันมีผลจริง ๆ แต่ว่าวิธีที่ ๒ นี้ เป็นวิธีที่อาตมาชอบที่สุด แต่ว่าทั้ง ๒ อย่างนี้เป็นวิธีของพระพุทธเจ้าที่จะต้องการอย่างไหนก็ได้ วิธีที่ ๒ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้ว่าถ้าบังคับไม่หยุดจริง ๆ บังคับไม่อยู่แน่ ๆ เว้นไว้แต่เพียงว่าถ้าเราเป็นพระอริยแล้วขึ้นไปถึงอรหัตผล หรือว่าเป็นผู้ทรงฌานได้จริง ๆ ก็บังคับได้ชั่วระยะเวลา ยามว่างเข้าเวลาปกติก็ดิ้นรนตึงตัง ๆ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันไปมันยังไม่หมดได้ แต่ตั้งอยู่ในอารมณ์ของกุศล อกุศลไม่มี ถ้าถึงพระอรหันต์แล้วสบายมาก วันทั้งวันสบาย น้อมอยู่ในกุศลตลอดเวลา มีแต่ความเยือกเย็นของจิต
 
หวนกลับมาวิธีที่ ๒ ถ้ามันซ่านจริง ๆ พระพุทธเจ้าบอกให้ปล่อยให้มันคิดไปส่งเดชเลยเพราะบังคับ ๆ ไม่อยู่ มันอยากจะคิดอะไรก็เชิญคิดตามอัธยาศัย อย่าขัดคอมัน แต่ตั้งใจไว้เลยว่ามันเลิกเมื่อไรจะเริ่มต้นกันใหม่ วิธีนี้เป็นวิธีที่มีความสำคัญมาก เหมือนคนที่บังคับม้าพยศ ถ้าม้ามันพยศมันยังมีกำลังอยู่ไม่สามารถจะบังคับให้เข้าทางได้ ท่านบอกให้กอดคอถือแส้เข้าไว้ มันจะไปไหนให้มันวิ่ง ปล่อยให้มันวิ่งให้มันหมดฤทธิ์ ในเมื่อมันหมดฤทธิ์ที่มันจะวิ่งไปได้แล้ว กำลังมันก็น้อย เราจะบังคับให้มันวิ่งไปสบาย ไปขวา ไปหน้า ไปหลังก็ได้ เพราะหมดแรงพยศ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด จิตของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันจะฟุ้งบังคับไม่อยู่ ก็เชิญมันคิดตามอัธยาศัย ลองดูนะ ลองดูแล้ว ลองดูหลายครั้ง เพราะว่าตอนระยะแรกๆ คุมมันไม่อยู่เหมือนกัน ก็เลยปล่อยให้มันคิดไปตามที่ท่านแนะนำมันก็ไม่เกิน ๑๕ นาทีถึง ๒๐ นาที มันเลิกคิด ปล่อยไปตามอัธยาศัยจะเข้าบ้านเข้าช่องใครก็ช่างหัวมัน พอมันเลิกคิดก็กลับมาจับอารมณ์ใหม่ คราวนี้มาจับอารมณ์เพียงวินาที หรือสองวินาที อารมณ์มันจะหยุดซ่านทันที เพราะมันเหนื่อย อารมณ์จะดิ่งเป็นฌานนานแสน บางทีชั่วโมงหรือครึ่งชั่วโมง มันยังไม่ถอน อารมณ์จะเงียบจริง ๆ จะทรงเป็นสมาธิจริง ๆ
 
วิธีทั้งสองประการขอบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งชายหญิง และพระภิกษุสามเณร จงพยายามกำหนดเอาชนะจิตด้วยวิธีนี้ คือว่า สู้มันไม่ไหวจริง ๆ ปล่อยมันคิด ถ้ามันเลิกคิดแล้วดึงมันกลับเข้ามาสู่ลมหายใจเข้าออกภาวนาด้วยก็ได้ อันนี้จิตจะแนบสนิทเป็นฌานได้อย่างดีมาก อันนี้คำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพยายามประพฤติปฏิบัติตลอดเวลา เพราะเป็นวิธีเดียวกับที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติมาแล้วก็มีผล ตลอดจนท่านอริยชนทั้งหมดคือพระอริยเจ้าที่บรรลุมาแล้วก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน ตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระพิชิตมารก็มีผลเช่นเดียวกัน ไม่ควรจะทอดทิ้งเสีย ควรจะยึดถือเอาไว้ปฏิบัติเพราะอานาปานสติกรรมฐานเป็นตัวคุมอารมณ์จิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน ตัวนี้เป็นกรรมฐานสำคัญมาก เราจะเจริญวิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทา ทำกสิณ ทำอสุภะ อะไรก็ตามถ้าไม่ยึดอานาปานสติกรรมฐาน จิตมันจะไม่ลงเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้น อานาปานสติกรรมฐานจึงถือเป็นกรรมฐานใหญ่อย่างยิ่ง ครอบกรรมฐานทั้งหมด เพราะฉะนั้น ในมหาสติปัฏฐานสูตร องค์สมเด็จพระบรมสุคตจึงขึ้นอานาปานสติกรรมฐาน พอเริ่มต้นก็สอนอานาปานสติกรรมฐานก่อน เป็นการคุมใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลากาลที่เราจะพูดกันก็หมดลงแล้วก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
 
ต่อไปนี้ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา



หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 14:59:05
กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๓๔ อาณาปานสติ (ต่อ)


สำหรับวันนี้ก็จะได้พูดถึงอานาปานสติต่อ แต่ว่าก่อนที่จะพูดอะไรทั้งหมดรับฟังอะไรทั้งหมด ก็จงอย่าลืมให้พิจารณาไว้เสมอว่า พิจารณาไว้เป็นปกติว่า อัตภาพนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นเพียงร่างกายที่มาอาศัยชั่วคราว เมื่อความเกิดมีขึ้นแล้วก็มีความแปรปรวน มีความป่วยไข้ ความแก่ ไม่สบาย มีการสลายตัวไปในที่สุด ขณะใดที่มีอัตภาพอยู่ ขณะนั้นชื่อว่าเรามีความทุกข์ ฉะนั้น เราไม่ต้องการอัตภาพนี้อีก ความปรารถนาในความเป็นมนุษย์ก็ดี ความเป็นเทวดาก็ดี ไม่เป็นเหตุให้หมดทุกข์ เราไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการคือพระนิพพาน และตั้งใจไว้เสมอว่าเรายอมรับนับถือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเหตุผล และจะใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง จะได้เกิดความมั่นใจว่าพระพุทธเจ้าสอนจริงถูกจริง อย่าน้อมใจเชื่อ เมื่อเราไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทำใจให้เข้าถึงคุณพระรัตนตรัย ยอมรับนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยความจริงใจ สำหรับพระสงฆ์นี้ต้องเลือกนะ เพราะถือว่าตั้งแต่พระอริยสงฆ์ขึ้นไป แต่ถึงแม้ว่าสงฆ์ที่เป็นปุถุชนเราก็ไม่ดูถูก หากว่าองค์ไหนไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเราก็งดเว้นการยอมรับนับถือเสีย เพราะอันนั้นเป็นการยอมรับนับถือโจรให้ปล้นพระพุทธศาสนา ตัดการสงเคราะห์เสีย ดูตัวอย่าง เช่น อนาถบิณฑิกคหบดีตัดการสงเคราะห์พระสุธรรมเถรเพราะการปฏิบัติไม่ดี อันนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า ช่วยกันกำจัดโจรร้ายที่ปรากฎในพระพุทธศาสนา แต่นี้ในเมื่อเรายอมรับนับถือความดีของพระสงฆ์คือพระอริยสงฆ์ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปด้วยความมั่นคงถือว่าเป็นสรณะ จากนั้นก็พยายามรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ สำหรับศีลแปดนี้ก็ให้เป็นไปตามกาลตามสมัย แต่ว่าบุคคลใดจะรักษาได้ก็เป็นการดี บุคคลใดรักษาศีลห้าเป็นปกติ มีจิตใจยอมรับนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างมั่นคง อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าท่านเป็นพระโสดาบัน จำองค์พระโสดาบันไว้ให้ครบว่า

เรายอมรับนับถือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่มีข้อสงสัย การที่จะไม่สงสัยก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อนว่าพระพุทธเจ้าสอนเกิด แก่ เจ็บ ตาย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นความจริงไหม ถ้าจริง เชื่อได้ ใจเรายึดถือได้มั่นคงก็ยอมรับนับถือคำสอนของพระพุทธเจ้ายอมรับนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในเมื่อเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของมีจริง เราต้องการพ้นจากการเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่างแรกเราปิดอบายภูมิเสียก่อน โดยที่ไม่ยอมเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ก็เพราะว่าเรามีศีลห้าบริสุทธิ์ เรียกว่าศีลห้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ให้ระมัดระวัง ทรงให้ได้ ความเป็นพระโสดาบันจะเข้าถึงเรา สำหรับการเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงเอาไว้ว่ากันทีหลัง อันดับแรกเป็นพระโสดาให้ได้เสียก่อนเท่านี้ดีพอแล้ว แล้วก็อย่าเพ่อหยุดยั้งตั้งใจระงับกิเลส ทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปทานจริง ๆ แล้วอารมณ์ใจจุดนี้ก็ควรรักษาไว้ตลอดชีวิตและทุกลมหายใจเข้าออกว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นธาตุสี่ เป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว ไม่ช้ามันก็สลายก็พัง ปกติมันก็เต็มไปความสกปรกโสมม มันเป็นแดนนำมาซึ่งความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก ขึ้นชื่อว่าความเป็นมนุษย์ก็ดี ความเป็นเทวดาก็ดี ไม่เป็นแดนที่หมดทุกข์ เราไม่ต้องการ เราต้องการความสิ้นทุกข์ คือ พระนิพพาน แล้วทำจิตให้มั่นในคุณพระรัตนตรัย รักษาศีลห้าให้เป็นปกติเป็นการป้องกันอบายภูมิไว้ก่อน พระโสดาบันคุ้มตัวได้เพียงไม่ลงอบายภูมิ แต่ก็ต้องเกิดเป็นมนุษย์กับเทวดา แต่ว่าจำกัดเขต อันนี้ชื่อว่าเราเข้าถึงความดี องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เบื้องแรกก็ได้กระแสพระนิพพาน คือพระโสดาบัน มั่นใจเหยียบหัวหาดเข้าไว้ ยึดให้ได้ต่อไปก็ตะลุยเข้าถึงพระอรหัตผล วันนี้ก็จะขอพูดถึงอานาปานสติกรรมฐานต่อไป การใคร่ครวญแบบที่จะพูดต่อไปนี้ท่านจะไม่ภาวนากรรมฐานกองไหนเลยก็ยิ่งดี พิจารณาตามนั้นเป็นการตัดกิเลสโดยเฉพาะ
 
วานนี้เราพูดถึงอานาปานสติกรรมฐานเข้าถึงฌานสี่ หวังว่าพอเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจไปพลิกหนังสือดู ทีนี้เมื่ออานาปาน์เข้าถึงฌานสี่แล้ว เราก็ทำกรรมฐานอีกสามสี่ห้ากอง กองไหน นี่เป็นของง่าย เราจะต้องฝึกซ้อมฌานสี่ให้มีความคล่องแคล่ว เข้าเมื่อไรออกเมื่อไรให้มีการทรงตัวตามอัธยาศัย จึงค่อยย้ายไปหาฌานอื่น นี่เป็นแต่เพียงอานาปานสติกรรมฐานอย่างเดียว ถ้าเราเข้าถึงฌานสี่หรือเข้าไม่ถึงฌานสี่ก็ตาม ถามว่าจะไปนิพพานได้ไหม อันนี้ก็ต้องขอตอบว่าได้ ใช้อานาปานสติอย่างเดียวเป็นพื้นฐาน เป็นกำลังแค่ขณิกสมาธิก็ดี อุปจารสมาธิก็ดี ปฐมฌานก็ดี เราทำวิปัสสนาญาณควบคู่กันไป แต่ความจริงมันต้องคู่กันทุกบท ไม่ว่ากำหนดกรรมฐานกองใดก็ต้องยึดอารมณ์วิปัสสนาญาณไว้ให้ควบคู่ ให้ทรงตัวอยู่ด้วยกัน
 
การที่เรามีอานาปานสติกรรมฐานเข้ามาเป็นวิปัสสนาญาณ เราทำได้อย่างไร ความจริงอานาปานสติกรรมฐานจริง ๆ เป็นวิปัสสนาญาณไม่ได้ นอกจากว่าเราดัดแปลงให้เป็นวิปัสสนาญาณเท่านั้น แล้วก็มีผลเท่ากัน

คือในอันดับแรกอานาปานสติกรรมฐาน เราอาศัยการทรงจิตให้อยู่ตัวเสียก่อน ให้จิตมันไม่กระสับกระส่ายในอารมณ์อื่น ด้วยอำนาจอานาปานสติเป็นเครื่องควบคุม
 
เมื่อจิตสบายแล้วก็มาน้อมถึงกาย คือมาน้อมถึงลมหายใจเข้าออก ว่าลมหายใจเข้าก็ดีออกก็ดี ว่ามันไม่ใช่ของเก่า เราดึงลมข้างนอกหายใจเข้ามาช่วยบริหารร่างกายภายใน เมื่อปอดขยายตัวแล้ว การทำงานของอวัยวะภายในทรงตัว เวลาหายในออกลมหายใจในท้องออกไป และหายใจเข้าใหม่ ความจริงมันไม่ใช่ลมเก่า มันเป็นลมใหม่ ส่วนของเก่ามันก็หมดไป ของใหม่เข้ามาแทนที่ ชีวิตเรายังทรงอยู่ได้
 
นี่เรามานั่งพิจารณาว่าถ้าเราหายใจออกแล้วเราไม่หายใจเข้ามันจะเป็นอย่างไร หรือหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกมันจะเป็นอย่างไร ก็ต้องตอบว่าตาย ถ้าขาดลมหายใจเสียอย่างเดียวก็ต้องตาย ที่เราทรงอาการอยูได้เพราะอาการสันตติ คือความสืบต่อของชีวิต ลมหายใจเข้าหายใจออกท่านกล่าวว่าเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่เรียกว่าผัสสาหาร คืออาหารของการสัมผัส ถ้าขาดอาหารจุดนี้เสียแล้ว จะมีอาหารจุดไหนก็ตาม มีกินมีใช้เท่าไรก็ตาม ไม่มีประโยชน์ การที่เราทรงชีวิตอยู่ได้ก็เพราะอาศัยการหายใจเข้าหายใจออกไม่หยุด มันติดต่อตลอดไป ถ้าอาการหายใจเข้าหายใจออกหยุดเมื่อไรเราก็ตาย หรือถ้าหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้า หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก มันก็ตายหมดชีวิตกัน
 
ชีวิตที่มันต้องสลายไปมันเป็นเราเป็นของเราหรือเปล่า ชีวิตที่มันเป็นเรามันเป็นของเรามันเป็นความเป็นอยู่แต่ขันธ์ห้าคือร่างกายล่ะมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราเสียแล้ว เรามาอาศัยอยู่ ขันธ์ห้ามันก็สลายตัวมันก็พังไปสิ้นลมปราณเรียกกันว่าเป็นผีไป นี่เราก็มานั่งดูการเกิดไปเป็นคนแล้วก็ไปเป็นผี เป็นผีแล้วก็กลายเป็นคน เป็นคนแล้วก็กลายเป็นผี มันไม่มีอะไรจะสนุก ถ้าเป็นผีดี อย่างไปเป็นเทวดาหรือเป็นพรหมก็พอทำเนา เป็นผีชั่วอย่างเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต อสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่เป็นเรื่อง มันมีความทุกข์หนัก ทุกข์มาจากไหน ทุกข์มาจากความหลง คือ โลภะ-ความโลภ หรือราคะ-ความรัก โทสะ-ความโกรธ โมหะ-ความหลง มันอยู่ในใจ
 
เวลานี้เรามีแต่อานาปานสติกรรมฐานมันเป็นอย่างไร เราก็กำหนดทิ้งร่างกายว่าชีวิตของเราไม่ต่างอะไรกับลมหายใจเข้าออก ร่างกายที่มันทรงอยู่ได้ก็เพราะอาหารใหม่เข้าไปเลี้ยง อาหารเก่าสลายตัวไปหมดคุณภาพ ร่างกายต้องการใหม่คือความหิว แสดงความหิวให้ปรากฎ แสดงความอยากให้ปรากฎ ร่างหายหิวแสดงว่าอาหารเก่าที่เข้าไปเลี้ยงร่างกายหมดกำลังหมดสมรรถภาพไปแล้ว ต้องการอาหารใหม่เข้าไปแทนที่ เราก็หาให้ นี่มันก็เหลือลมหายใจ ลมหายใจเก่าหมดไปลมหายใจใหม่ก็พอดีเข้ามา มันทรงตัว ถ้าเราไม่ส่งอาหารใหม่เข้าไปมันก็ตาย พัง เพราะมันขาดการช่วยเหลือ นี่มันเป็นจุดหนึ่งที่เราควรจะคิดเพราะว่าชีวิตของเรานี่มันเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ยังมีความต้องการในอาหาร ความต้องการในอาหารมี ๒ ประเภท คือหิวธรรมดา แสดงว่าอาหารที่ปรนปรือร่างกายหมดสมรรถภาพต้องการอาหารใหม่เข้าไป ทีนี้อารมณ์อยากเปรี้ยว อยากขม อยากเผ็ด อยากเค็ม อยากร้อนอะไรก็ตาม ถ้าอยากเป็นกรณีพิเศษ นั่นก็เป็นความต้องการของร่างกายที่ร่างกายขาดตกบกพร่อง ร่างกายต้องการสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเข้าไปจุนเจือ
 
อันนี้ถ้าหากว่าเราไม่จุนเจือมัน หรือเราจุนเจือมันอยู่อย่างนี้แหละ ถ้าเราบอกอย่าแก่เลยนะ เธออยากจะกินอะไรฉันจะหาให้ มันอยากอะไรเราก็หามาให้มัน อย่ายอมแก่ไหม มันไม่ยอม ไม่ยอมเลิกแก่ มันก็ต้องแก่ไปตามสภาพของมัน
 
ความแก่เราไม่ว่า อย่าป่วยเลยนะ อย่างไรฉันก็ช่วยลูกช่วยหลานดูปลาดูไก่ไปตามเรื่อง เลี้ยงหลานได้ แต่อาการอย่างนี้มันจะเชื่อเราที่ไหน เราจะปรนเปรอมันขนาดไหนก็ตาม หาอาหารอย่างดีมาให้มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่เกิดประโยชน์ มันอยากจะป่วยเสียอย่างมันก็ป่วย นี่แสดงถึงการที่เราบังคับไม่ได้
 
จะป่วยก็ไม่ว่าละ จะนอนซมอยู่กับบ้านมีลืมตาเห็นลูกหลานคุยกับลูกคุยกับหลาน มองดูทรัพย์สินที่เราหาได้ อย่าตายเลยนะ เอาแค่ป่วยก็แล้วกันต่อไปมันเชื่อไหม มันก็ตาย
 
นี่หากว่าเราจะเกิดมาใหม่มันก็มีสภาพแบบนี้ถ้าเป็นคน เป็นสัตว์ก็มีสภาพเหมือนคน มีเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน เป็นเทวดาหรือพรหมถ้าหากหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องหล่นลงมา ดีไม่ดีเลยไปหานรก เพราะกรรมที่เป็นอกุศลมันมีอยู่ นี้เราจึ่งนำอานาปานสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่องค์สมเด็จพระบรมครูสอนว่าเวลาหายใจเข้านึกว่าพุท หรือโธก็ตาม หายใจออกนึกยังไงก็ตาม แล้วกลับมาพิจารณาใหม่ ว่าลมหายใจเข้าหายใจออกนี่มันเป็นอนิจจังนะ มันเป็นของไม่เที่ยง ถ้ามันเที่ยงจริง ๆ มันก็ไม่ต้องหายใจเข้าใหม่หรือไม่ต้องหายใจออกใหม่ อันนี้มันไม่ทรงตัว ไอ้การไม่ทรงตัวแบบนี้มันก็ต้องทุกข์ ถ้าบังเอิญจมูกหายใจไม่ออกต้องหายใจทางปากมันก็ทุกข์ หรือจมูกหายใจได้ข้างหนึ่งไม่เต็มสองข้าง อย่างนี้เราก็ทุกข์ และต่อไปแม้ว่าเราจะบำรุงร่างกายสักเท่าไรก็ตามแต่ร่งกายมันแก่ไปมากกว่านี้เราก็ทุกข์ เป็นอันว่าการเกิดนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ลมหายใจเลี้ยงร่างกายเราไว้เพื่อให้ทนต่อสู้กับความทุกข์ เราไม่เอาแล้ว มันทุกข์ เราไม่เอา เราต้องการความสุข
 
ต้องการความสุขทำยังไง แทนที่จะบอกว่าตัดราคะเสีย ตัดโลภะ ตัดโทสะ ตัดโมหะ ความหลง ไม่บอก เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้คิดไว้เสมอว่าร่างกายนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ มันไม่เที่ยง และมันสลายตัวไปในที่สุด เราต้องการมันทำไม นั่งนึกดูร่างกายว่าอะไรมันดีบ้าง มองดูแล้วจริง ๆ ด้วยความจริงใจจะเห็นว่าไม่มีอะไรในร่างกายมันทรงตัวอยู่ได้เลย คำว่าดีไม่มี มันมีแต่แก่ลงไปทุกวัน ๆ หาความพัง ก่อนจะพังก็เต็มไปด้วยความทุกข์นานาประการ จากความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความกระทบกระทั่งจากอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ และมีการสัมผัสที่ไม่เป็นไปตามความปรารถนาทุกอย่างนี่ เราแบกทุกข์ไว้ทั้งหมด แต่เราไม่เป็นทุกข์ นี่เรามองทุกข์แล้วเราทำยังไงดีล่ะ เกิดมีร่างกายไม่ดีแล้วว่าร่างกายมีเพียงใด ความเป็นเทวดาหรือพรหมก็หวังยากเพียงนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนิพพาน ถ้ายังมัวเมาในร่างกายแล้วละก็ ไป แหมลำบาก แล้วก็ไปโน่นแหละ นรก การขึ้นสวรรค์มันก็ไม่มี ทีนี้ทำไง
 
เราก็มานั่งปลงตัวเดียวว่าร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ถ้าใจมันยังทรงอยู่ก็ไม่ต้องไปทำลมมันหรอก คิดพิจารณาไปเลย แล้วมันก็สลายตัว เราจะไปมัวยึดถือร่างกายนี้มันเป็นเราเป็นของเราเพื่อประโยชน์อะไร มันอยากจะตายก็เชิญตาย มันอยากจะแก่ก็เชิญแก่ มันอยากจะป่วย ที่เชิญนี่ไม่ใช่อะไร มันห้ามไม่ได้ ถ้ามันเป็นเข้าจริง ๆ แล้วเราก็ไม่ดิ้นรน ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ชื่อว่าเป็นธรรมดาของมัน พอเราจับธรรมดาได้แล้ว พอจิตมันตกอยู่ในธรรมดาเป็นปกติ อย่างนี้เขาเรียกว่าลงทางตรง เข้าทางตรง ความเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา เป็นของไม่ยาก เมื่อจิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดา มีใครเขามายั่วยวนให้เกิดกามราคะถือว่าเป็นธรรมดา แต่ว่าปัจจัยนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์เราไม่เอาด้วย ใครเขาจะมาแนะนำสั่งสอนให้คดโกงชาวบ้านชาวเมืองเราไม่เอาด้วย นี่ใครเขาบอกว่าจงคิดให้ดีนะ ชาตินี้เกิดแล้วชาติหน้าเราก็มาเกิดกันใหม่ เราสั่งสมบุญบารมีเพื่อความเกิดเป็นมนุษย์ เราก็บอกเขา ไม่เอา ฉันจะไปนิพพาน ฉันต้องการจุดเดียว คือไปพระนิพพาน
 
มองดูตัวทุกข์ให้เห็นว่ามันเป็นทุกข์จริง และปัจจัยที่ทำลายความทุกข์ได้คือการตัดตัณหาความทะยานอยาก ตัดอยากเสียให้หมด อยากเที่ยว อยากกิน อยากหวาน อยากเฝื่อน อยากทำอะไรก็ช่าง อยากสวย อยากงาม อยากแก่ อยากหนุ่ม เลิกกัน ไม่อยากแล้ว ขี้เกียจ อยากไปเท่าไร ๆ ก็อยากไม่ได้นาน ไม่ช้าก็ตาย ก็เลยไม่อยากต่อไป ทำอารมณ์ว่าเราจะยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเราแล้ว เราจะรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ เราจะพยายามทำลายกามราคะให้สิ้นไป เราจะพยายามทำลายโทสะให้สิ้นไป นี่เป็นพระอนาคามีแล้ว
 
เราจะไม่เมาในรูปฌาน อรูปฌาน เราไม่ถือตัวถือตนว่าเราดีกว่าเขา เลวกว่าเขา เราเสมอเขา ทำใจสบาย ใครมาอย่างไรก็รับรองได้ ไม่ถือว่าใครใหญ่ใครเล็ก เราจะระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านด้วยอานาปานสติกรรมฐานคุมไว้ตลอดเวลา ให้จิตจับอยู่เฉพาะพระนิพพานเป็นอย่างเดียว ตัดฉันทะ-ความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพรหม เป็นเทวดา ตัดราคะที่เห็นว่าโลกมนุษย์มีความสวยสดงดงามด้วยอำนาจของความโง่สั่งสอนเราไม่เอา ต่อแต่นั้นเราก็มาตัดราคะ คือความกำหนัดยินดีว่าโลกนี้สวยสดงดงาม พรหมโลกและเทวโลกสวยสดงดงาม เราไม่เอา เราต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วเราก็ดูใจของเรา พิจารณาอารมณ์ของเราว่ารักร่างกายไหม หรือว่าถือเป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะพัง ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร อารมณ์นี้มีกับเราหรือเปล่า มีตลอดวันไหม ถ้าเป็นได้ตลอดวันละก็ ชื่อว่าใจของเราเข้าสู่จุดแห่งพระนิพพานแล้ว
 
เอาละท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ต่อไปนี้ขอให้ท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
 


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 04 เมษายน 2559 14:35:59
(http://www.bloggang.com/data/p/phaiseethong/picture/1250012292.jpg)

กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๓๕ อารมณ์สมาธิ

สำหรับวันนี้เรามาสรุปอารมณ์กันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อบรรดาท่านนักปฏิบัติทั้งหลายจะได้มีความเข้าใจหรือเผื่อว่าจะลืมไป สำหรับอารมณ์สมาธินี่ตั้งใจให้ดีนะ จะเป็นกรรมฐานกองใดก็ตาม ในด้านสมถภาวนา เราต้องการอย่างเดียว คือ ทรงสติสัมปชัญญะ คำว่าสติ แปลว่า คอยนึกเข้าไว้ สัมปชัญญะแปลว่ารู้ตัว สติเข้ามานึกไว้ ก็หมายความว่าคอยนึกอยู่เสมอว่า เวลานี้เราเจริญพระกรรมฐานกองไหน สัมปชัญญะ-รู้ตัวว่าเราทรงอารมณ์อยู่อย่างนั้นบ้างหรือเปล่า ว่าเราสามารถควบคุมอารมณ์ได้อย่างนั้นหรือเปล่า มีอะไรบ้างที่เรากำลังควบคุมอยู่
 
เป็นอันว่าการเจริญสมถภาวนาเขาเจริญกันลืม ถ้ามีสติสัมปชัญญะอยู่เป็นปกติก็หมายถึงว่าเราไม่ลืม เพราะกันลืมกัน กันลืมตรงไหน อารมณ์สมถภาวนาจะต้องการอารมณ์สงบของจิต คำว่าสมถะ แปลว่าอุบายเป็นเครื่องสงบจิต หรือทำจิตให้สงบ วิปัสสนาเป็นเครื่องทำให้ปัญญาเกิดขึ้น หรืออุบายเป็นเครื่องเรืองปัญญา คือให้มีปัญญา คำว่าปัญญาในที่นี้ ต่างคนต่างก็มีด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็เจาะจงลงไป เจาะลงไปให้อยู่เฉพาะปัญญา พิจารณารู้เท่าทันตามความเป็นจริงของขันธ์ห้า
 
นี่เรายังไม่พูดกันถึงวิปัสสนา พูดกันเรื่องสมถะ ทำจิตให้สงบ สมถะเป็นอุบายให้จิตสงบตรงไหน จับใจความให้ดี ให้เกิดความเข้าใจชัด เขาสงบกันตรงนี้ คือสงบตรงที่ไม่ปล่อยให้อารมณ์จิตเข้าไปยุ่งกับจริยาของคนอื่น อันดับต้น เมื่อเราจะดี ใครเขาจะดีจะชั่วก็ช่างเขา เราไม่เกี่ยว เขาดีเขาก็ดีของเขา เขาชั่วก็ชั่วของเขา ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่หมายความว่าพระพุทธเจ้าดี พระอริยสงฆ์ดีละก็ไม่เอา ไม่ใช่อย่างนั้น นี่เราพูดถึงความดีชั่วตามจริยของโลก ใครเขาจะกินจุ ใครเขาจะกินน้อย เดินก้าวยาวหรือเดินก้าวสั้น เขาจะเสียงดังหรือจะเสียงเบาช่างเขา เราไม่ยุ่ง เรามาควบคุมกำลังใจของเราเองโดยเฉพาะ ว่าไม่ยอมให้อารมณ์แห่งความชั่วทั้งหมดมันมาเกิดกับใจ หรือว่าอารมณ์นอกรีตนอกรอยทั้งหมดมันเกิดขึ้นกับใจ
 
อารมณ์ของความชั่วมันมีอะไรบ้าง คืออารมณ์ที่ชอบทำลายศีลด้วยตัวเอง หรือว่ายุชาวบ้านให้เขาทำลายศีล เมื่อเห็นบุคคลอื่นทำลายศีลแล้วดีใจว่าเขาไม่รักษาศีลทำลายศีลเสียได้ก็ดี อารมณ์ชั่วอย่างนี้อย่าให้มี คือ ศีลทุกสิกขาบท พระ เณร อุบาสก อุบาสิกา รู้สภาวะว่าเรามีอะไรเป็นศีล พระนี่สำคัญมาก ๒๒๗ ดีไม่ดีไม่รู้หรอกว่า ๒๒๗ มีอะไรบ้าง แต่ของเรายังดี นั่งฟังกันทุกวันจำได้หรือเปล่าไม่ทราบ ความจริงพระนี่ต้องถือว่าบวชเข้ามาในวันนั้นต้องรู้ศีลของตัว ไม่ใช่บวชเข้ามาสัก ๑๐ วันยังไม่รู้ อันนี้ไม่ได้ คือเรียกว่าเราจะต้องควบคุมว่าเราจะไม่ทำลายศีลด้วยตัวเอง ศีลของใครมีเท่าไรรู้ไว้ด้วย เราจะไม่คิดยุยงให้คนอื่นคิดทำลายศีล เราจะไม่ดีใจในเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว นี่ สงบตรงนี้ สงบตรงที่ไม่ทำจิตให้ชั่ว
 
ข้อต่อไป เมื่อคุมศีลอยู่แล้วก็คุมพร้อมกันนั่นแหละ ไม่ได้เฉพาะอย่าง ก็ระวังให้จิตสงบจากนิวรณ์ห้าประการ คือ
 
๑. กามฉันทะ เราจะไม่ยอมรับทราบเรื่อง รูปสวย รสอร่อย เสียงเพราะ กลิ่นหอม การสัมผัส สัมผัสระหว่างเพศ หรืออารมณ์ที่เกลือกกลั้วไปด้วยกามารมณ์ คือคิดสร้างวิมานในอากาศ การมีคู่ครองดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ มีทรัพย์สินสวยๆ มีบ้านสวยๆ มีรถสวยๆ ราคาแพงๆ มีตู้เย็นสวยๆ มีเครื่องปรับอากาศสวย ๆ ของสวยสดงดงาม เสียงเพราะๆ กลิ่นหอม หอมหวนยวนใจ ไม่ติดใจไม่สนใจอะไรทั้งหมด เห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีการทรงสภาพ มันสวยไม่จริง เดี๋ยวมันก็เก่า เก่าแล้วมันก็พัง เสียงเพราะผ่านหูแล้วมันก็หายไป กลิ่นหอมผ่านจมูกแล้วก็หายไป รสอร่อยผ่านปลายลิ้นถึงกลางลิ้นถึงโคนลิ้นแล้วก็หายไป การสัมผัส สัมผัสแล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรเอาใจเข้าไปเกาะอยู่ มันก็ไม่ติดอยู่ อารมณ์ที่เกลือกกลั้วนึกสร้างวิมานในอากาศก็ไม่มีในใจ นี่เป็นข้อที่หนึ่ง
 
๒. มีเมตตาเป็นปกติ ระงับความโกรธ ความพยาบาท ไม่ให้เกิดขึ้นกับใจ เห็นโทษของความโกรธความพยาบาทว่าไม่ดี อารมณ์โกรธ อารมณ์พยาบาท พยายามตัดทิ้งเสีย
 
๓. เมื่อปฏิบัติความดีอยู่ ระงับความง่วง อย่าให้ความง่วงเข้ามาครอบงำจิต ข้อนี้ต้องระวัง ต้องดูเองว่า คำว่าระงับความง่วงนี่หมายถึงความง่วงที่เกิดจากนิวรณ์นะ เราต้องดูว่าร่างกายของเราเพลียหรือเปล่า อดนอนมากไหม ตรากตรำงานมามากหรือเปล่า ต้องดูด้วย คำว่าระงับความง่วงที่เกิดจากนิวรณ์นี่เป็นอย่างนี้ คือว่าเวลาปกติเราสบายๆ มีใจโปร่งสว่างไสวดี ยังไม่มีอะไรทำท่าจะง่วง เราไม่อดนอน ไม่เพลียจนเกินไป แต่ทว่าพอจับจิตเป็นสมาธิปับเราก็เริ่มง่วง นี่คือตัวนิวรณ์ หากว่าเราเพลียเกินไปหรือว่าอดนอนเกินไป ตรากตรำเกินไป เกิดความเพลียขึ้นมา มีอาการคล้ายง่วง นั่นมันเพลียจากการงาน เพลียจากการง่วงนอน อันนี้ห้ามทนนะ ต้องรีบนอน ต้องรีบพัก ทรงสติจับอารมณ์ลมหายใจเข้าออก คำภาวนาพิจารณาเล็กน้อย ปล่อยให้มันหลับไปเลย อย่างนี้ไม่ใช่นิวรณ์ ร่างกายมันอ่อนแอมันเพลียมาก อย่าไปฝืนมัน มันจะเป็นโรคเส้นประสาท ถ้าหากว่าร่างหายเราดีๆ อยู่สว่างไสวอยู่ พอเริ่มจับจิตเป็นสมาธิพักง่วง จิตมันจะเป็นนิวรณ์ นี่ต้องรู้ ถ้าไม่รู้แบบนี้โรคเส้นประสาทมันจะกิน
 
๔. อุทธัจจะกุกกุจจะ ข้อนี้สำคัญมาก ขณะที่เราทรงตัว เราหวังในการทรงสมาธิ จิตจับอารมณ์สมถภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะไม่ยอมให้อารมณ์ของเราฟุ้งซ่าน แต่ก็อย่าลืม ข้อนี้เราชนะมันไม่ได้แน่ จะชนะตลอดกาลตลอดสมัยไม่ได้ ต้องชนะชั่วคราว เพราะอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่าน ตัวนี้ที่ตัดได้จริงๆ คือพระอรหันต์ อันนี้เรากันไม่ได้ ฟุ้งซ่านกันตรงไหน กันความฟุ้งซ่านตัวนี้ คือไม่ยอมให้อารมณ์ที่เป็นอกุศลเข้ามาถึงจิต กำลังของจิตในด้านสมถะต้องแบ่งเป็น ๒ ตอนด้วยกัน ตอนที่เรายังไม่เป็นผู้ทรงฌานตอนหนึ่ง และตอนที่เราเป็นผู้ทรงฌานแล้วตอนหนึ่ง ที่เรายังมีอารมณ์ยังไม่เป็นทรงฌานนั้น บังคับจิตมันอยู่ในอารมณ์เดียวนานๆ นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ประเดี๋ยวก็วิ่งหลังวิ่งหน้า วิ่งหน้าวิ่งหลัง อันนี้จะทำอย่างไร ระยะที่จิตเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรือว่าเป็นอัปปนาสมาธิ ขั้น ฌาน ๑, ฌาน ๒, ฌาน ๓ นี่มันก็โดดหน้าโดดหลัง เป็นเหมือนกัน เว้นไว้แต่ว่าถ้าเข้าถึงฌานแล้วเราสามารถกำหนดจิตทรงฌานได้ก็เป็นฌานโลกีย์ แม้แต่ฌาน ๔ ก็ตาม จิตจะทรงความดีอยู่แต่เฉพาะในเวลาที่จิตเข้าฌานเท่านั้น ถ้าเวลาถอนจากฌานมาแล้ว จิตก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ ก็วิ่งไปวิ่งมาเหมือนกับม้าที่ถูกขัง ถ้าปล่อยแล้วมันก็โขยกไปตามเรื่อง
 
ทีนี้ตัวอุทธัจจะตัวนี้เราคุมมันไม่ได้ตลอดเวลา ถ้าเป็นกิจในเบื้องต้นก็เอาจิตคุมไว้ว่า ถึงแม้ว่ามันจะส่ายจากจุดเดิม แต่ทำโดยเฉพาะก็ตั้งใจไว้ ภาวนาว่าพุทโธ ตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หรือว่าตั้งใจพิจารณากรรมฐานกองใดกองหนึ่ง เราจะกำหนดจิตไว้ว่า ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ห้านาที สิบนาที นี้เป็นกำลัง เราจะไม่ยอมให้จิตพล่านไปสู่จุดอื่นอารมณ์อื่นนอกจากที่เราตั้งใจไว้จะภาวนาหรือยังไม่ถึงกำหนดนั้น มันพล่านไปตั้งต้นใหม่ให้มันเข็ด แต่อย่าให้นานนัก จนกว่าอารมณ์จิตจะชิน ก็ขยับให้มากขึ้นมาทีละน้อย ทีนี้ในเมื่อจิตธรรมดาต้องพล่าน ในเมื่อจิตมันเลยอารมณ์มาแล้ว ในเมื่อจิตทรงอยู่ในกรรมฐาน โดยเฉพาะตามที่เราตั้งไว้ ฌานโลกีย์ก็เป็นอย่างนั้นแหละ ถ้ามันไม่นึกอะไรเสียเลย จิตไม่วอกแวกเสียเลย จิตไม่ฟุ้งซ่านเสียเลย อันนี้เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปแต่ว่าพยายามควบคุมว่า นอกจากเวลาที่เราควบคุมไว้ โดยเฉพาะเป็นเวลาสั้น ๆ เวลาเหลือจากนั้นมันจะซ่านก็ว่านเถอะ แต่ว่าให้จิตน้อมอยู่ในกุศลตลอดเวลา มันคิดไปถึงว่าการให้ทานมันดี เป็นเทวดาน่ะมันดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ก็ว่าไป ให้ทานดีเป็นการผูกมิตรทำลายศัตรูไปในตัว เราให้ทาน ทานัง สัคคโสปาณัง ทานเป็นบันไดไปสู่สวรรค์ การให้ทานดีมาก ตายแล้วไปเป็นเทวดา มีทิพยสมบัติมาก เกิดมาเป็นคนก็เป็นคนร่ำรวย ไม่ยากจนเข็ญใจ ถ้ามันจะฟุ้งซ่านก็ให้อยู่ในขอบเขตนี้ ให้มันอยู่ในด้านของกุศล
 
ทีนี้อยากจะถามว่าเราบังคับมันอย่างนี้อกุศลมาได้ไหมล่ะ มันมาได้แน่ มันมาได้แล้วละก็ พอรู้ตัวก็ขับมันไป มันต้องมา ไม่มาไม่ได้หรอกเพราะจิตเรายังไม่ชนะมัน เมื่อเวลาเรายังมีอารมณ์ฟุ้งซ่านอยู่ หมายความว่าถึงผู้ทรงฌานแล้วก็ยังมีอารมณ์แทรก นี่หมายถึงผู้ทรงฌานตั้งเวลาเฉพาะไว้ แต่เวลาอยู่ในฌานมันดีจริงๆ ออกนอกฌานมันก็เอาอีกแหล มันก็เหมือนกับรูปเดิม ดีไม่ดีก็คิดถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถึงอสุภกรรมฐาน กสิณ และอนุสสติ ๑๐ อะไรก็ตามไปๆ มาๆ มันก็พรวดพราดกลับไปหาทางอื่นอีกเพราะมันยังไม่พ้นวิสัยของกามารมณ์ยังไม่พ้นวิสัยของความพยาบาท ความหลง แต่ก็ต้องคอยเอาสติยับยั้งไว้ ถ้ามันพรวดพราดเข้าไปในด้านอกุศลก็บอกว่าไม่เป็นเรื่องแล้ว ที่นายทำความดีมาตั้งนาน นายจะลงนรกน่ะมันจะใช้ได้หรือ นี่อารมณ์มันเป็นอย่างนี้ ก็คอยตั้งว่าคอยสงบอารมณ์ที่มันเป็นความชั่ว อย่าให้อารมณ์ที่เป็นความชั่วเข้ามาสิงใจ
 
ทีนี้วิธีที่จะปฏิบัติพระกรรมฐาน เอาด้านที่สรุปง่ายๆ จากสมาธิ ถ้าจะให้ดีมันดีตรงไหน วิปัสสนาญาณนี่ก็เหมือนกันหรอก จะให้ดีก็มีว่าเวลาที่เราตั้งเวลาไว้เฉพาะๆ นั่นเป็นเวลาหนึ่งเวลาเท่านั้นเท่านี้ เราจะเจริญสมาธิ ทีนี้เวลาที่เหลือจากนั้น นั่งอยู่ กินอยู่ เดินอยู่ ทำการงานใดอยู่ อะไรก็ตาม ถ้าจังหวะมันดีก็ให้นึกถึงอารมณ์สมาธิที่เราตั้งใจไว้ ในกรรมฐานสี่สิบกองไม่จำกัดให้เฉพาะบุคคลใดว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ จะพิจารณาก็ได้ จะเพ่งก็ได้ ใคร่ครวญก็ได้ ให้เป็นไปตามอัธยาศัยในกรรมฐาน ๔๐ กอง อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ไม่ต้องเลือก เวลาไหนจิตมันอยากจะคิดก็ให้มันคิดอยู่ในขอบเขตของกรรมฐานที่จะพิจารณา เวลาไหนจิตมันจะทรงอารมณ์สงัดตามที่มันต้องการ ระวังไว้อย่างเดียวว่าอย่าให้อกุศลเข้ามายุ่งกับใจเท่านั้น นี่เป็นระเบียบแห่งการปฏิบัติที่ควบคุมด้วย เรียกว่าจิตสงบเป็นสมาธิ สมาธิคือการตั้งใจมั่น ก็หมายความว่าตั้งใจไว้เฉพาะอารมณ์ในอารมณ์กรรมฐาน ๔๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งใช้ได้หมด ไม่ใช่เฉพาะเวลานี้ กำหนดลมหายใจเข้าออกภาวนาว่าพุทโธ อาจารย์บอกอย่างนั้น แต่บางเวลาจิตมันอยากจะล่อ ธัมโม สังโฆ ขึ้นมา นึกถึงความดีของศีลขึ้นมา นึกถึงความดีของฌาน นึกถึงความดีของเทวดา นึกถึงมรณัสสติ การนึกถึงความตายนี่ดีนะ เราจะได้ไม่ประมาท นึกถึงความดีของพระนิพพานอะไรอย่างนี้ นึกถึงร่างกายเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ร่างกายเต็มไปด้วยของสกปรก ร่างกายเราตายแล้วขึ้นอืด เป็นของน่าเกลียด ร่างกายประกอบไปด้วยธาตุสี่ อาหารที่เรากินเข้าไปปรากฎว่ามันเป็นของสกปรก ถ้ามันคิดอย่างนี้มันดีทั้งนั้น ในกรรมฐาน ๔๐ ดีหมด
 
มาพูดถึงกรรมฐาน ๔๐ ในกรรมฐาน ๔๐ ควรศึกษาว่ามันมีอะไรบ้าง ถ้าวันไหนจิตมันไปชนข้อใดข้อหนึ่ง ปล่อยมันเลยใช้ได้ทั้งนั้น ดีกว่าปล่อยให้มันยุ่งกับอกุศล คำว่าเป็นกุศลก็คืออยู่ในขอบเขตของกรรมฐาน ๔๐ หรือว่าในมหาสติปัฏฐานสูตรอย่างใดอย่างหนึ่ง สติปัฏฐานสูตรตามที่มีแบบไว้นะ ไม่ใช่ตามแบบย่อที่ใครๆ เขาตั้งไว้ใหม่ๆ น่ะ ไม่เอา เอาแบบของพระพุทธเจ้าโดยตรง ในมหาสติปัฏฐานสูตรอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าจิตมันข้องอยู่ ใคร่ครวญตามนั้นได้ทันที อย่างนี้เราจิตสงบหรือว่าจิตเป็นสมาธิตั้งมั่น มั่นอยู่เฉพาะในอารมณ์ที่เป็นความดีที่พระพุทธเจ้าตรัส อันนี้ดี ควรทำ อย่างนี้ชื่อว่าเป็นอารมณ์สมาธิที่เราต้องการ
 
ถ้าถามถึงผล ผลของสมถภาวนา อย่าเผลอเชียวนะ ถ้าอารมณ์จิตมันเป็นฌานจริง ๆ มันกดอารมณ์แน่น จิตแน่นสนิทดีไม่ดี นึกว่าเป็นพระอรหันต์ส่งเดชไป ถ้าจะเอาอะไรล่ะ จะไปติดรูปสวยๆ เห็นว่าสวยหรือเปล่าให้เฉย ได้ยินเสียงเพราะๆ รสอร่อย กลิ่นหอม จะไปติดในรูป รส กลิ่น เสียง หรือก็เปล่า ไม่เป็นเรื่อง ไม่เอา ไม่เอาเสียแล้ว อย่างไรๆ เราก็ไม่ต้องการ มันเป็นเรื่องเล็ก นี่เวลาจิตมันทรงฌาน มันกดนิ่ง สบายๆ จิตมันแนบสนิท พูดจาไม่อยากพูดกับใคร ขยับเขยื้อน ไปไหนก็ไม่เอา ถ้าการงานมันเคร่งคครัด นี่ความเที่ยงแท้แน่นอน จิตใจมันไม่อยากจะล็อกแล็กไปไหน ไม่สอดสายเพราะเกรงสมาธิจะเคลื่อน จิตมีอารมณ์สงัด บางทีเผลอไปว่า นี่เราเป็นพระอรหันต์เสียแล้ว นี่ความพลาดมันอยู่ตรงนี้ นี่จงทราบให้ดี จงระมัดระวังให้ดี อย่าประมาทคิดว่าเราดีแล้ว ถ้าเราคิดว่าเราดีแล้วเมื่อไร มันก็เป็นทางแห่งความตาย คือการสลายตัวแห่งสมาธิหรือความดี
 
วันนี้เราก็แนะนำไว้อย่างนี้เป็นจุดรวมๆ จะได้ว่าการเจริญสมาธิเขาเอาตรงไหน เขามีความเข้าใจกันตรงไหน รวมสรุปอีกครั้งว่าการเจริญสมาธิในด้านสมถภาวนา เราต้องการสงบจากอารมณ์ที่เป็นอกุศล คือารมณ์ที่ค้านกับศีล หรืออารมณ์ที่ตามใจนิวรณ์ห้า ไม่เอาเราต้องค้านกับนิวรณ์ห้า ศีลนี่ค้านกันได้ ต้องตามใจศีลแต่ว่าคัดค้านนิวรณ์ห้าประการ ถ้าจะให้สูงไปว่านั้นก็ต้องตามใจพรหมวิหารสี่ อันนี้ดีมาก ถ้าตามใจพรหมวิหารสี่เสียอย่างเดียว นิวรณ์ก็พัง ถ้าไปจับวิปัสสนาญาณก็เปิดวิ่งแน่บ ไปเร็วจริงๆ
 
เวลาที่จะพูดก็หมดนานแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไปขอให้ท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา



จาก หนังสือกรรมฐาน ๔๐


หัวข้อ: Re: กรรมฐาน ๔๐
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 11 เมษายน 2559 09:47:48

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/631/5631/images/Article-1/shadow1a.jpg)

กรรมฐาน ๔๐
โดย พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ)
ตอนที่ ๓๖ อสุภกรรมฐาน

อสุภกรรมฐานนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้เหมาะกับราคจริต เพราะว่าเป็นการทำลายความรู้สึกกายของคนและสัตว์เต็มไปด้วยความสวยงาม สำหรับอสุภกรรมฐานนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายพิจารณาเป็นเอกัคตารมณ์หรืออารมณ์เป็นปกติ ก็จะเป็นปัจจัยเข้าถึงพระอนาคามี โดยง่าย จะว่าเฉพาะพระอนาคามีก็ไม่ได้ เพราะพระอนาคามีแล้วอีกประเดี๋ยวใจก็เดินไปถึงอรหัตผล นี่จงจำไว้ให้ดีว่าสำหรับอสุภกรรมฐานนี้ ไม่ใช่กรรมฐานเพ่ง เป็นกรรมฐานพิจารณา แต่ว่าเราจะเพ่ง ก็ได้ แต่ถือว่าไม่สำคัญ
 
ก่อนที่จะพิจารณาอสุภกรรมฐาน อันดับแรกพยายามจับลมหายใจเข้าออก ภาวนาว่า พุทโธ ไว้ก่อนให้จิตสบาย พอจิตสบาย จิตทรงอารมณ์ดี ก็มาพิจารณา สุภกรรมฐาน อสุภ แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม จำไว้ให้ดี นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้พิจารณาคนตาย ตายแล้ว วันหนึ่ง สองวัน สามวัน นี่เป็นคนตายขึ้นอืด มีน้ำเหลืองไหลตลอดถึงร่างกายทรุดโทรม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แล้ว รู้สึกว่าหน้าหายไป เหลือแต่กระดูก กระดูกเป็นท่อน แต่ว่าทรงเป็นรูปอยู่ แล้วต่อมากระดูกก็แตกขาดไป เป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นอัน แล้วในที่สุดก็แตกเล็กน้อยเรี่ยราดไป ในที่สุดก็จมพื้นแผ่นดิน ก็จะขอกล่าวแต่ โดยย่อว่า อสุภความจริงมี ๑๐ อย่าง เมื่อรวมแล้วก็พิจารณาเรื่องของคนตาย ตามธรรมดาคนเรา ถ้ายังไม่ ตายก็มีความรักกัน มีความผูกพันกันอยู่ประคับประคองกันได้ ไม่มีการรังเกียจ รักกันปานจะกลืนกิน แต่ทว่าพออีกคนสิ้นลมปราณไปแล้วเท่านั้น บางทีขณะที่เขาตายลงไปใหม่ ๆ เราก็ไม่อยากเข้าไปแตะต้อง รังเกียจว่า ร่างกายมันเย็น มันมีสภาพเป็นซากศพ ดีไม่ดีก็เลยกลัว หาว่าเป็นผี
 
ต่อไปนี่นั่งนึกถึงความเป็นจริงที่องค์สมเด็จพระจอมไตรเอามาสอน ความจริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เอาอะไรมาสอนเรา เอาของจริง ๆ ที่มีอยู่ แต่ว่าเราไม่ยอมรับรู้ตามความเป็นจริง ทั้งนี้ก็หมายความว่า ของน่ะมีจริง แต่เราไม่เคยคิดว่ามันเป็นอย่างนั้น คนและสัตว์ที่อยู่กับเรา ถ้ายังไม่สิ้นลมปราณแล้ว เราไม่เคยคิดว่ามันสกปรก แต่ความจริงถ้าเราพิจารณากายคตาสติกรรมฐานมาแล้วมันก็พอแล้ว ทีนี้ถ้าหากว่ามันยังไม่พอ กายคตาสติกรรมฐานและอสุภกรรมฐาน สองอย่างรวมกัน แต่อสุภแยกเป็น ๑๐ ประเภท กายคตาสติ ๑ เป็น ๑๑ เป็นตัวตัดราคจริต ความเห็นสวยสดงดงาม นี่เราที่จะเดินทางไปสู่พระนิพพานไม่ได้ ทำใจให้ถึงพระอนาคามีไม่ได้ ทำลายกามราคะให้สิ้นไปไม่ได้ ก็เพราะอารมณ์ฝืนความเป็นจริง กายคตาสติกรรมฐาน ให้พิจารณาว่ากายมันสกปรก กายเป็นชิ้น เป็นท่อน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก ตับ ไต ไส้ ปอด มัน แต่ละส่วนแยกกันออกไป แล้วก็เต็มไปด้วยความสกปรก แต่ว่ามันยังสกปรกน้อยไป ส่วนที่มันยังแข็งแกร่ง มีความสะอาดสดชื่นมันยังมีอยู่
 
ทีนี้เรามานั่งนึกดูถึงคนตาย ตายแล้วหนึ่งวัน มีสภาพเป็นอย่างไร สิ้นลมปราณตัวแข็ง ธาตุไฟหายไป ธาตุลมหายไป เหลือแต่ธาตุน้ำกับธาตุดิน เราไม่อยากจะแตะต้อง ไม่อยากจะมองทั้งที่รักจะขาดใจตาย
 
ตายแล้ววันที่สองเป็นอย่างไร เริ่มท้องเขียว ๆ ขึ้นมาแล้ว
 
ตายแล้ววันที่สามดีขึ้นไปหน่อย ผิวพรรณชักจะเริ่มเปล่งปลั่งขึ้น ชักจะมีความอ้วนพีขึ้น ตอนนี้ชักมีกลิ่น กลิ่นที่ปรากฏขึ้นเป็นกลิ่นที่เราไม่ต้องการ
 
วันที่สี่ วันที่ห้า ดีแล้ว ขึ้นอืดน้ำเหลืองไหล ต่อไปก็มีมันจุก เนี้อหนังปริ มันขึ้นอืดเต็มที่ ตอนนี้ดูซิสิ่งสกปรกในร่างกายมันก็หลั่งไหลออกมาดูไม่ไหว เดินไปท้ายลมทนไม่ไหว เดินเข้าไปใกล้ก็ไม่อยากจะเข้าไป มันน่าเกลียดน่ากลัว เราก็มานั่งพิจารณากันตอนนี้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่สกปรกนี่มันมีอยู่ที่ไหน มันมาจากที่ไหน มันมาทีหลังหรือว่ามาระหว่างที่คน ๆ นั้นมีชีวิตอยู่ ถ้าเราพิจารณาจริง ๆ มันไม่ได้มาจากไหน ความจริงขณะที่ท่านมีลมปราณ เดินไปไหนมาไหน พูดได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันมีอยู่ในตัวครบถ้วนบริบูรณ์ ได้อาศัยจิตที่มีการทรงตัวอยู่ และมีการบังคับระบบประสาทต่าง ๆ ก็มีกำลังที่จะปกปิดความสกปรกไว้ได้ เราจึงไม่เห็นสภาพอย่างนั้น หรือว่าไปอีกที ธาตุสี่มีกำลังเสมอกัน บางอย่างจะอ่อนไปบ้าง แต่ก็มีกำลังจะปกปิดไว้ได้ นี่พอธาตุลมหายไป ไม่มีใครปรนปรือ จักรกลภายใน หยุดทำงาน
 
ต่อมาความอบอุ่น คือ ธาตุไฟหายไปเหลือแต่น้ำกับดิน เมื่อเหลือแต่น้ำกับดิน น้ำมีสภาพซึมซับ มันก็จะละลายดิน ดินทนไม่ไหวก็พังยุ่ยไป ทีนี้สิ่งสกปรกที่อยู่ภายในก็ปรากฏ หาอะไรดีไม่ได้ เมื่อพิจารณานึกถึงซากศพทั้งหลายแล้วก็นึกถึงตัวเราว่ามันมีสภาพอย่างนั้น ถ้านึกถึงคนอื่น บุคคลอื่น สัตว์อื่น มันก็มีสภาพอย่างนี้ เมื่อเห็นหน้าคนเมื่อไร เห็นหน้าสัตว์เมื่อไร ก็นึกถึงภาพว่าคนนี้คือศพ มีสภาพขึ้นอืด มีน้ำเหลือไหล ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก น่าเกลียดโสโครก แล้วมานึกถึงตัวเรา ร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี่ก็เหมือนกัน ก็มีสภาพแบบนั้น ไม่มีอะไรจะน่ารัก
 
การพิจารณาอสุภกรรมฐาน ถ้าจิตเข้าถึงจริง ๆ พิจารณาทีละเล็กทีละน้อย ต่อไปเมื่อจิตเข้าถึงเอกัคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง เป็นอะไรก็ตามมันเป็นซากศพไปหมด เราก็มีความรังเกียจในร่างกายของเรา ในร่างกายของบุคคลอื่นและสัตว์อื่น เมื่อความรังเกียจมีขึ้น กามราคะคือความพอใจในผิวพรรณวรรณะ หรือการสัมผัสมันก็ไม่มี เพราะขณะใดมองเห็นทีไรมันเป็นศพไปทุกที เห็นความเน่าเห็นความอืด เห็นความสกปรกมันจับอยู่ที่ขั้วหัวใจ
 
แล้วผลแห่งการพิจารณาอย่างนี้จะเป็นผลอย่างไร ถ้ากำลังใจของเราเข้มแข็งแล้ว มานั่งนึกในใจว่า โอหนอร่างกายของคน ของเราก็ดี ของบุคคลอื่นก็ดี สัตว์ก็ดี มีความสกปรกอย่างนี้ แต่เนื้อแท้ที่จริง เรามันหลงว่าร่างกายนี้มันเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา แต่ความจริงร่างกาย มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เพราะร่างกายมันเป็นเพียงธาตุสี่เข้ามาประชุมกัน ทรงสภาวะชั่วคราว เราคือจิตหรืออทิสมานกายที่มาอาศัยอยู่ในร่างนี้ เราไปหลงใหลใฝ่ฝันว่า มันเป็นเรา เป็นของเราแล้ว นอกจากนั้นเราก็หลงใหลใฝ่ฝันว่ามันมีสภาพน่ารักน่าชื่นชม ดีไม่ดีเราก็ไป นิยมในร่างกายของบุคคลอื่นเข้าอีก เนื้อแท้ที่จริงที่เรามีอารมณ์คิดอย่างนี้เพราะอาศัยความโง่เป็นปัจจัย ไม่มองหาความเป็นจริง
 
ความจริงแล้วร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก มันเต็มไปด้วยความทุกข์สกปรก ไม่พอมันก็ทุกข์อีก เพราะอะไร ทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงไปตามปกติ ในที่สุดมันก็มีการสลายตัว นี่ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริง เราก็บังคับมันไม่ได้ มันจงอย่าสกปรกนะ จงสะอาด จงพยายามอาบน้ำ ขัดสีฉวีวรรณทุกวัน แต่มันก็เป็นเพียงแต่ภายนอกเท่านั้น แค่หนังกำพร้า ในความจริงเราทำความสะอาดได้ชั่วหนึ่งในล้านคือหนังกำพร้านิดเดียว แต่มันก็สะอาดไม่จริง ทุกวันมันเต็มไปด้วยความ สกปรก และต้องชำระล้างมันตลอดวัน แต่เราไม่ได้ใช้ปัญญามองลงไปว่า สิ่งที่เราซึมซาบออกมาจากภายในร่างกายมันเป็นของสกปรก นี่ส่วนข้างในจริง ๆ เลอะเทอะ ดูอะไรไม่ได้ เมื่อมันดูอะไรไม่ได้ เราก็หลงมันเป็นเราเป็นของเราเสียอีก ทีนี้เมื่อมันเป็นเราจริง เป็นของเราจริง เราก็บังคับมัน อย่าแก่นะ มันก็ไม่ยอมมันต้องแก่ จงอย่าป่วยนะมันก็ไม่ยอมมันจะป่วย อวัยวะบางส่วนบอกอย่าเพ่อเสื่อมซิ ผมอย่าเพิ่งหงอก มันยอมหรือ มันก็ไม่ยอม ตาอย่าเพ่อฝ้าฟาง มันก็ไม่ยอม ฟันอย่าเพ่อหัก มันก็ไม่ยอม เป็นอันว่าร่างกาย กำลัง จงอย่าสลายไปเราจะทำงาน มันก็ไม่ยอม นี่แสดงว่านอกจากความสกปรก โสโครกแล้วมันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันพังไปตามสภาพ แล้วเราจะมานั่งยึดถือว่ามันเป็นเรา เป็นของเราแล้ว จะมาหลงใหลใฝ่ฝันว่าเป็นของสะอาด น่ารัก น่าชม น่านิยม น่าประคับประคองเพื่อประโยชน์อะไร
 
นี่พยามยามคิดนึกถึงสภาพซากศพที่ตายแล้วใหม่ ๆ จนกระทั่งตายแล้วขึ้นอืด แล้วก็ร่วงโรยลงไปถึงหนังหุ้มกระดูก ถึงกระดูก กระดูกยังทรงร่างอยู่ และต่อมากระดูกก็หลุดเป็นชิ้น ๆ เป็นท่อนเป็นอัน มันสวยตรงไหนบ้าง เริ่มตายใหม่ ๆ เราก็รังเกียจแล้ว นี่นั่งพิจารณาแบบนี้ทุก ๆ วัน เวลาพิจารณาไป ใจมันเริ่มส่ายไปสู่อารมณ์ ก็ทิ้งอารมณ์นี้เสีย จับลมหายใจเข้าออก เพื่อให้จิตมันทรงตัว เวลาที่จับลมหายใจเข้าออกเราจะภาวนาว่าอย่างไรก็ได้ ว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ได้ อย่างไรก็ช่าง

เรามาพิจารณาตอนนี้ว่า ถ้าหากว่าจิตเราเห็นว่าร่างกายของคนและสัตว์เต็มไปด้วยความสกปรกเหมือนกับผีเดินได้ เราจับภาพไหนก็ตามถ้าชัดถ้าชอบร่างกระดูก เราก็พิจารณานึกถึงภาพกระดูก อยู่ตลอดเวลา และก็มองมาในร่างกายของเรา เห็นว่าเป็นโครงกระดูกอยู่ตลอดเวลา เห็นร่างกายของบุคคลอื่นเห็นเป็นโครงกระดูก โครงกระดูกเดินได้ แล้วมองดูเฉพาะโครงกระดูก มันสวยตรงไหน ตาโบ๋ ฟันซี่โต ไม่มีเนื้อ ไม่มีหนังหุ้ม มีแต่ซี่โครงระยั้วระเยี้ยไปหมด ร่างกายเต็มไปด้วยความน่าเกลียด นี่ภาพกระดูกนะ บางคนพอใจในจุดนี้ บางคนก็พอใจในสภาพคนตายใหม่ ๆ ชอบพิจารณาตรงนั้นเห็นชัด บางคนก็ชอบร่างกายมีสีเขียวบ้าง ขึ้นอืดบ้าง เป็นชิ้น เป็นท่อน เป็นตอนบ้าง เห็นสภาพของแร้งกา กัดกินบ้าง อันนี้ก็ตามอัธยาศัย ว่าชอบตรงไหนก็พิจารณาจุดนั้นให้มันเห็นชัด เมื่อมันเห็นชัดแล้วก็พิจารณาว่ามันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา มันมีสภาพเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ไม่ช้าเราก็ได้อนาคามิผล เมื่อทำลายกามราคะเสียได้ ถ้าไม่ได้ชาตินี้ทำอย่างไรถ้าไม่ได้ในชาตินี้ เกิดไปชาติหน้าไปเป็นเทวดาหรือพรหมสุดแท้แต่กำลังของสมาธิ ถ้าสมาธิอ่อนก็เป็นเทวดาแน่ กลับมาเกิดเป็นคนอีกที ถ้าพบพระอรหันต์หรือพบพระพุทธเจ้า ฟังเทศน์ในเรื่องราวของอสุภกรรมฐาน หรืออนุปุพพิกถาอย่างท่านพระยศ ฟังครั้งแรกเป็นพระโสดาบัน ฟังซ้ำอีกครั้งชั่วระยะเวลาใกล้ ๆ เป็นพระอรหัตผล
 
นี่เป็นผลที่เราเจริญอสุภกรรมฐานจงพยายามทำใจให้เข้าถึง คือมีอารมณ์ดึงสภาวะให้เห็นเป็นปกติแล้วก็แสดงความรังเกียจ ไม่ใช่ว่าเห็นว่าเป็นอสุภแล้วไม่เป็นไร ต่างคนต่างสกปรก มันจะปะทะกันอย่างไรก็ช่าง อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องพิจารณาให้เห็นสภาพเป็นที่น่ารังเกียจ น่าโสโครก นึกขึ้นมาทีไรนึกสะอิดสะเอียนเมื่อนั้น นี่สภาพบุคคลและสัตว์ เห็นหน้าคนและสัตว์จะแต่งตัวสวยสดงดงาม จะมีร่างกายทรวดทรงเป็นอย่างไรก็ตาม เห็นปับเห็นผ้าทะลุเข้าไปถึงหนัง ทะลุหนังเข้าไปหาเนื้อ ทะลุเนื้อเข้าไปภายในเห็นว่าร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก เป็นกายคตาสติ มองไปอีกที ที่ไหนได้เจ้านี่เป็นศพขึ้นอืด เห็นเป็นโครงกระดูกเดินได้ รังเกียจใหญ่เลยตอนนี้ นี่อย่างนี้จึงจะเรียกว่าการเจริญอสุภกรรมฐานเข้าถึงจุด เข้าถึงที่ของอสุภกรรมฐาน ในขณะที่เจริญไปแบบนี้แล้วต้องนั่งดู พิจารณาดูเห็นด้วยปัญญาว่า เออ ร่างกายนี่มันสกปรกอย่างนี้หนอ แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราจะมานั่งมัวเมามันเพื่อประโยชน์อะไรในทั้งร่างกายเราและกายคนอื่น เป็นของที่เราควรครอบครอง นี่เราโง่จัด แล้วองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ พระองค์ไม่โง่ มีความฉลาด สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงเข้าสู่พระนิพพานได้ มีความสุข
 
สำหรับเรายังพอใจอยู่ในความทุกข์นี่มันน่าสลดใจอย่างยิ่ง นี่คิดย้อนไปย้อนมา ย้อนมาย้อนไป จนจิตมันซ่านก็ตั้งอารมณ์ใหม่ในอานาปานสติกรรมฐาน ถ้าทำอย่างนี้จริง ๆ ไม่นาน ใช้เวลาเท่าไร อย่าไปคิดแต่เฉพาะกลางคืน และก็อย่ามานั่งนึกเฉพาะเวลาเจริญกรรมฐาน กรรมฐานกองใดก็ตามถ้าจับขึ้นมาเป็นอารมณ์แล้ว ว่ามันตลอดไป ไม่ใช่ไปนั่งท่องอสุภะ อัฏฐิกัง ๆ ปฏิกุลัง ๆ อะไรพรรค์นี้ไม่เอา
 
แล้วอสุภกรรมฐานไม่ใช่กรรมฐานมานั่งภาวนากัน เป็นตัวใช้ปัญญามามองหาความจริง อันดับแรกเรียกใช้สัญญาความจำ จำสภาพของคนตายแต่ละจุดว่ามันเป็นอย่างไร แล้วก็ใช้ปัญญาล้วงเข้า ไปดูสิ่งที่โสโครกว่ามันมาจากไหน มันมีทรงอยู่ก่อนหรือว่าตายแล้วมันถึงจะมา ย้อนไปย้อนมา ล้วงหาความจริงให้ปรากฏอย่างนี้แหละ ขึ้นชื่อว่าเราเป็นพระสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ถ้าทราบแล้วนี่ถ้าชาตินี้เราไม่ได้ แต่จิตใจมันทรงอยู่ในความสุข มันเกิดกับใจมาก เพราะความหลงใหลใฝ่ฝันในร่างกายของเราของบุคคลอื่นไม่มี ถ้าความรักความติดใจในความสวยสดงดงามไม่มี มันเป็นความสุขใจ อย่างบอกไม่ถูกเพราะหมดห่วง เมื่อรักตัวเราว่าสวย รักในคนอี่นว่าสวย ติดในของสวยทั้งคนก็ดีทั้งวัตถุก็ดี มันยุ่งใจบอกไม่ถูก ถ้าอะไรสกปรกนิดรู้สึกว่าสมองหมุน นี่แค่วัตถุ เห็นคนที่เรารัก เราปรารถนาไปคุยกับคนอื่น ชักไม่ชอบใจเสียแล้ว ดีไม่ดีคนนั้นป่วยไข้ไม่สบายหมุนคว้างเลย ทั้งเหน็ดทั้งเหนื่อย ทั้งมีความสุขทุกข์กาย ทุกข์ใจ เสียทรัพย์สิน ถ้าไปโดนคนที่รักตายเข้า ดีไม่ดีจะตายตามเขาเลย ทำอะไรต่ออะไรไม่ถูก อย่างนี้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะความโง่ ถ้าคนมันสกปรก เรารู้ว่ามันสกปรก คนมันต้องแก่เราก็รู้ว่าแก่ คนมันต้องตายเราก็รู้ว่าตาย ตายแล้วไปห่วงทำไม ในเมื่อป่วยไข้ไม่สบายก็รักษาพยาบาล เป็นการสงเคราะห์ เป็นการระงับบรรเทาเวทนา เป็นเรื่องธรรมดาอยู่ ก็สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน คิดไว้เสมอว่าคนนี้ก็คือซากศพนั่นเอง แล้วเราก็ซากศพ ต่างคนต่างสกปรก มันผูกพันอะไรกันนัก นี่จิตใจถ้าเราวางได้อย่างนี้มันก็สบาย ความสุขมันก็มี มันไม่มีความหนักใจใครจะตายก็ตาย พลัดพรากจากกันไป ก็เป็นของธรรมดา วางเสียได้มันก็มีความสุขไม่มีอะไรดึงใจ
 
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องอสุภกรรมฐานพูดไปพูดมามันก็วนอยู่กับตัวสกปรก แต่เมื่อวนก็ให้วน แต่ใจของตนให้เป็นอารมณ์ปกติ วันทั้งวัน คืนทั้งคืน มองดูหน้าใคร นึกถึงใครขึ้นมา เห็นมันขึ้นอืด เน่าอืดสกปรก หรือจิตคิดอยู่ในร่างกายในกระดูก ก็เห็นเป็นร่างกระดูก นอนก็เห็นเป็นร่างกระดูกเหยียด นั่งก็เป็นร่างกระดูกนั่ง มันสวยไหมร่างกระดูก ว่าง ๆ ก็ไปเอามาดู จะเดินก็เป็นร่างกระดูกเดิน ถ้าติดใจในร่างกระดูก ถ้าติดใจถ้าพอใจในการพิจารณาในการขึ้นอืด น้ำเหลืองไหลเฟะ ตาโปน แลบลิ้นปลิ้นตา มีผิวกายแตกน้ำเหลืองไหลโซม ดูมันน่าเกลียดบอกไม่ถูก นี่ใจมันติดแบบนี้ เห็นหน้าคนปับมันมีความรู้สึกเป็นอย่างนั้น เห็นหน้าสัตว์นั้นมีความรู้สึกเป็นอย่างนั้น นึกถึงใครขึ้นมามีความรู้สึกเป็นอย่างนั้น ถ้าจิตมันติดอย่างนี้จริง ๆ ละก็ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง แล้วควบกับวิปัสสนาญาณตามที่กล่าวแล้วว่ามันไม่ใช่ร่างของเรา มันเป็นเรือนร่างที่เราอาศัยชั่วคราว ไม่ช้ามันพัง มันก็สลายตัว นี่ความเป็นพระอนาคามีจะปรากฏแก่ท่านภายในระยะเวลาไม่ช้า
 
เวลาการพูดมันก็ย้อนไปย้อนมา ต่อไปนี้ขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา



จาก หนังสือกรรมฐาน ๔๐