[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 => ข้อความที่เริ่มโดย: Compatable ที่ 09 พฤษภาคม 2558 23:11:35



หัวข้อ: เกือบตาบอดเพราะความเพียร : หลวงปู่ชอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Compatable ที่ 09 พฤษภาคม 2558 23:11:35
(https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xat1/v/t1.0-9/11218517_814239925325637_2196731359314401980_n.jpg?oh=fe4cd4af7d004e4064038818fb5806a3&oe=560C8FB4)

หลวงปู่ชอบเล่าว่า..
ตอนจำพรรษาที่ถ้ำนายมหลวงปู่เร่งความเพียรอย่างอุกฤตนั่งภาวนาชนิดหามรุ่งหามค่ำโดยไม่สนใจวันคืน นั่งภาวนา
ข้ามวันข้ามคืนติดต่อกันหลายวันจนก้นแตก ทำให้นั่งภาวนาลำบาก เมื้อนั่งภาวนาไม่ได้ก็หันมาเดินจงกรมแทน ท่านเดิน
จงกรมชนิดเอาเป็นเอาตายจนหนังที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้างเปิดออกมีอาการเจ็บแสบที่ฝ่าเท้าไม่ต่างอะไรกับถูกมีดกรีด
เวลาเดินต้องเอาผ้าพันฝ่าเท้า เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด..
ท่านพิจารณาถึงความเพียรของตนเองว่า เราทำความเพียรหนักมากจนเกินไปไม่มีความพอดีในการปฎิบัติ
ร่างกายเลยสู้กับความเพียรไม่ไหว ถ้าขืนยังเร่งความเพียรอย่างหนักแบบนี้อีก ต่อไปร่างกายมันจะทนไม่ไหว...

‪"กิเลสยังไม่ตายแต่ร่างกายของเรามันแตกไปก่อนกิเลส‬"

ท่านจึงผ่อนความเพียรของตนลงเพื่อรักษาธาตุขันธ์.. ช่วงที่ท่านผ่อนความเพียรลงนั้น พอท่านฉันข้าวก็มีอาการ
ง่วงเหงาหาวนอนอย่างผิดปกติ เวลาสวดมนต์ไหว้พระนั่งภาวนาก็เผลอสตินั่งหลับสัปหงกอยู่เป็นประจำ พอเผลอสติ
เมื่อไหร่อาการหลับนกหลับในก็มาเยือนทุกทีซึ่งแต่ก่อนอาการเหล่านี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นกับท่านมากนัก
ท่านหาอุบายวิธีต่างๆมาแก้ไขตนเองในเรื่องนี้ เช่นฉันพริกในเวลาที่เกิดอาการง่วง ตอนมันเผ็ดมันก็หายง่วงไปชั่ว
ขณะแต่พอหมดฤทธิ์พริกอาการง่วงมันก็กลับมาเหมือนเดิม ท่านจึงตั้งสัจจะไม่นอนเพื่อเป็นการดัดสันดานทรมานกิเลส
ตัดง่วงเหงาที่คอยมารบกวนในการปฎิบัติของท่าน ท่านตั้งสัจจะว่าถ้าหากข้าพเจ้าเผลอสติหลับไปในเวลาใด ขอให้
ข้าพเจ้าขาดใจตายไปพร้อมกับขาดสติของข้าพเจ้าโดยทันที หลวงปู่ชอบท่านเริ่มอดนอนครั้งสามวันถึงจะพักคืนหนึ่ง
ต่อมาถึงเพิ่มเป็นเจ็ดวันถึงจะพักผ่อนครั้งหนึ่ง พอเห็นว่าร่างกายและสติของตนเองมีความเข้มแข็งขึ้นมามาก ท่าน
จึงเพิ่มจำนวนวันในการอดนอนทำความเพียรเป็นลำดับ โดยเพิ่มการอดนอนทำความเพียรต่อเนื่องกันถึงสิบวันสิบ
ห้าวันถึงจะพักผ่อนครั้งหนึ่ง

ตอนอดนอนสิบห้าวันนั้นท่านว่ามันทรมานมาก นัยต์ตาของท่านทั้งสองข้างจะมีอาการปวดจนน้ำตาไหลออกมาอยู่
เรื่อยๆมองดูแสงสว่างก็ไม่ได้เพราะทำให้ปวดลูกนัยต์ตาจนต้องไปอยู่ในถ้ำเพื่ออาศัยความมืดภายในของถ้ำ
ช่วยประคองสายตา ถ้าไม่ทำเช่นนั้นแล้วเส้นเลือดนัยต์ตา‎จะแตกและอาจตาบอดได้‬ !

ปู่ชอบเล่าว่า ธุดงค์สิบสามข้อเราทำมาทั้งหมดไม่มีข้อไหนหนักเท่ากับเนสัชชิก ข้อนี้หนักสุด ทรมานที่สุด
อดข้าวเป็นเดือนยังไม่หนักเท่ากับการอดนอนทั้งอาทิตย์...อดข้าวยังได้นอนพักสายตา แต่อดนอนจะได้พักสายตาก็
ต่อเมื่อหลับภาวนาเท่านั้น อดนอนหลายวันตามันปวด น้ำตามันจะไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา หนักๆเข้าเหมือนกับ
มีไฟมาจ่อสุมอยู่ในลูกตาตลอดเวลา..เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า..ทำไมพระจักขุบาลท่านถึงได้ตาบอด
จากการทำความเพียรอดนอน

อดนอนนี่มหาโหดที่สุด ถ้าถือธุดงค์ข้อนี้แล้ว แต่แอบไปนอนในท่านั่ง ถ้าทำแบบนี้กิเลสมันก็ขี่หัวได้เหมือนเดิม..
นั่งผิงผาหลับใครก็ทำได้หรอก ถ้าทำแบบนี้แล้วอย่ามาตั้งสัจจะให้เสียเวลา ! อย่ามาตั้งสัจจะให้อายพระพุทธรูป !
ให้มันหลอกตัวเอง สุดท้ายแล้วก็ถูกกิเลสสับกระโหลกให้หลับอยู่คือเก่า..เราบ่อเอาแบบนั้น ตั้งสัจจะไม่นอน แต่มานั่ง
ผิงฝา ตั้งสัจจะแบบนั้นเป็นการหลอกตัวเองเฉยๆ ไม่มีประโยชน์ เราเอาขนาดว่าถ้าเราเผลอสติหลับไปเมื่อ
ไหร่ก็ให้เราขาดใจตายกันไปเมื้อนั้นเลย กิเลสมันก็กลัวตายเหมือนกันมันเลยบ่กล้าหลับ ปีนั้นซัดกันหนักเลย...
‪‎ตาจะบอดหรือตัวจะตายเพราะความเพียรเราแลกทั้งหมด‬ !

จากเรื่องเล่าของหลวงปู่ชอบ..