[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 27 สิงหาคม 2558 09:28:20



หัวข้อ: ประวัติพระพาหิยทารุจีริยเถร
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 27 สิงหาคม 2558 09:28:20
.

(http://lh4.ggpht.com/_q_bg19-Mv2c/TNuYavCC7XI/AAAAAAAABVQ/xkDn4HHXxZs/picture_resize%5B3%5D.jpg)

ประวัติพระพาหิยทารุจีริยเถระ
 
พระพาหิยทารุจีริยเถระผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็ว

สำหรับพระเถระองค์นี้ แม้ว่าตามพระไตรปิฎก พระพุทธองค์จะทรงสถาปนาเป็นเอตทัคคะของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็วก็จริงอยู่ แต่ถ้าจะว่าตามตัวอักษรที่ปรากฏในพระไตรปิฎกแล้ว ท่านได้บรรลุพระอรหัตตั้งแต่ยังเป็นคฤหัสถ์ และได้ฟังพระธรรมเทศนาอย่างย่อจากพระพุทธองค์ที่กลางถนนในกรุงสาวัตถีแล้ว แต่ก่อนที่ท่านจะได้บรรพชาเป็นพระภิกษุท่านก็ถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดและเสียชีวิต และการที่พระพุทธองค์ทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นเอตทัคคะของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็วนั้น นอกจากเหตุที่ท่านสามารถบรรลุธรรมได้เพียงแค่ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์เพียงย่อๆ เท่านั้น แต่ยังเนื่องจากท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัปอีกด้วย ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้

ความปรารถนาในอดีต  กระทำมหาทานแด่พระปทุมุตตระพุทธเจ้า
 
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ แห่งหังสวดีนคร เมื่อเติบใหญ่ก็ได้เล่าเรียนจนถึงความสำเร็จในศิลปะของพวกพราหมณ์แล้ว เป็นผู้มีความรู้ไม่ขาดตกบกพร่องในเวทางคศาสตร์ทั้งหลาย วันหนึ่งท่านได้ไปยังสำนักของพระปทุมมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม ได้เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้ได้เร็วไว) ท่านปรารถนาจะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน ครั้นเมื่อครบ ๗ วันแล้ว จึงหมอบลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลขอพรโดยเริ่มว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อ ๗ วันก่อนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงได้สถาปนาภิกษุองค์ใดไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญา ในอนาคตกาล ข้าพระองค์ก็พึงเป็นเหมือนภิกษุรูปนั้น คือ พึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้ว ทรงทราบว่าความปรารถนาของเขาจักสำเร็จผล จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล เขาบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม จักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญาแล
 
เขาได้ทำบุญไว้เป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วได้บังเกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบัติในกามาวจร ๖ ชั้นในเทวโลกนั้นแล้วก็ได้เสวยสมบัติมีจักรพรรดิสมาบัติเป็นต้น ในมนุษยโลกอีกหลายร้อยโกฏิกัปจนสิ้นพุทธันดรหนึ่ง
 
บุรพกรรมในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต่อมา ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เขาได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง ได้ออกบวชหลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ในเวลาต่อมาเมื่อพระศาสนาใกล้จะเสื่อมสิ้นลง เขาและภิกษุอีก ๖ รูป มองเห็นความเสื่อมในการประพฤติของบริษัท ๔ ก็พากันสังเวชสลดใจ คิดว่าตราบใดที่พระศาสนายังไม่เสื่อมสิ้นไปพวกเราจงเป็นที่พึ่งแก่ตนเองเถิด จึงพากันไปสักการะพระสุวรรณเจดีย์สูงหนึ่งโยชน์ที่มหาชนได้ร่วมกันสร้างเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้วได้มองเห็นภูเขาสูงชันลูกหนึ่ง จึงชวนกันขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่บนภูเขาลูกนั้น โดยตั้งใจว่าถ้าไม่สำเร็จมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะยอมสิ้นชีวิตอยู่บนนั้น แล้วจึงตัดไม้ไผ่มาทำเป็นพะอง (บันไดไม้) เพื่อปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผาของภูเขานั้น เมื่อทั้งหมดพากันขึ้นไปยังยอดสูงของภูเขาลูกนั้นแล้ว ก็ผลักพะองให้ตกหน้าผาไปเพื่อไม่ให้มีทางกลับลงมาได้ แล้วต่างก็บำเพ็ญสมณธรรมอยู่บนนั้น
 
ในบรรดาภิกษุทั้ง ๗ รูปเหล่านั้น พระเถระผู้อาวุโสสูงสุด ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยอภิญญา ๖ ในคืนนั้นเอง ครั้นรุ่งเช้าพระมหาเถระจึงไปสู่หิมวันตประเทศด้วยฤทธิ์ ล้างหน้าที่สระอโนดาต เที่ยวไปบิณฑบาตในอุตตรกุรุทวีป ฉันอาหารเสร็จแล้วได้ไปยังที่อื่นต่อไป ได้ภัตตาหารเต็มบาตรแล้ว เอาน้ำที่สระอโนดาตล้างหน้าแล้วและเคี้ยวไม้สีฟันชื่ออนาคลดา แล้วจึงนำภัตและสิ่งของเหล่านั้นมายังพระภิกษุเหล่านั้นที่ยังไม่บรรลุธรรมอันวิเศษแล้วกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลายบิณฑบาตนี้ผมนำมาจากแคว้นอุตรกุรุ น้ำและไม้สีฟันนี้นำมาจากหิมวันตประเทศ ท่านทั้งหลายจงฉันภัตตาหารนี้บำเพ็ญสมณธรรมเถิด ผมจะอุปัฏฐากพวกท่านอย่างนี้ตลอดไป ภิกษุเหล่านั้นได้ฟังแล้วจึงกล่าวว่า พระคุณเจ้าขอรับ พระคุณเจ้าทำกิจเสร็จแล้ว พวกกระผมแม้เพียงสนทนากับพระคุณเจ้าก็เสียเวลาอยู่แล้ว บัดนี้ขอพระคุณเจ้าอย่ามาหาพวกกระผมอีกเลย

พระมหาเถระนั้นเมื่อไม่สามารถจะให้ภิกษุเหล่านั้นยินยอมได้โดยวิธีได ๆ ก็หลีกไป
 
แต่นั้นบรรดาภิกษุเหล่านั้นรูปหนึ่ง โดยล่วงไป ๒-๓ วันได้เป็น พระอนาคามีได้อภิญญา ๕ ภิกษุนั้นก็ได้ทำเหมือนอย่างเช่นที่พระเถระที่บรรลุพระอรหัตทำเหมือนกัน ครั้นถูกภิกษุที่เหลือที่ยังไม่บรรลุธรรมใดๆ ห้ามก็กลับไปเช่นเดียวกัน  ภิกษุที่เหลือ ๕ องค์นั้น ครั้นถึงวันที่ ๗ จากวันที่ขึ้นไปสู่ภูเขาก็ยังไม่บรรลุคุณวิเศษ จึงมรณภาพแล้วก็ไปเกิดในเทวโลก ฝ่ายพระเถระผู้เป็นขีณาสพก็ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเอง ท่านที่เป็นพระอนาคามีได้บังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส เทพบุตรทั้ง ๕ เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้นกลับไปกลับมา
 
กำเนิดเป็นพ่อค้าชื่อพาหิย ในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า
 
ในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในมนุษยโลก ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น คนหนึ่งไปเป็นโอรสเจ้ามัลละนามว่าปุกกุสะ (ต่อมาได้พบพระพุทธองค์ ได้ฟังธรรมและประกาศตนเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต) คนหนึ่งชื่อว่ากุมารกัสสปะ อยู่ในกรุงตักกสิลา แคว้นคันธาระ (ต่อมาได้บวชและบรรลุอรหัตและได้รับการสถาปนาเป็นเอตทัคคะผู้กล่าวธรรมได้วิจิตร) คนหนึ่งชื่อว่า พาหิยทารุจิริยะ คนหนึ่งชื่อว่าทัพพมัลลบุตร (ต่อมาได้ออกบวชและบรรลุเป็นพระอรหัตเป็นเอตทัคคะเลิศกว่าภิกษุผู้จัดแจงเสนาสนะ ) และคนหนึ่งชื่อว่า สภิยปริพพาชก (ต่อมาได้พบพระพุทธองค์ ทูลขอบรรพชาและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง)
 
ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น พาหิยทารุจิริยะคนนี้ ได้บังเกิดในตระกูลพ่อค้าในพาหิยรัฐ ได้ชื่อว่า พาหิยะ เพราะเกิดในพาหิยรัฐ เขาเจริญวัยแล้วก็ประกอบอาชีพโดยเอาเรือบรรทุกสินค้ามากมายแล่นไปค้าขายยังคาบสมุทรอื่น กลับไปกลับมา สำเร็จความประสงค์ ๗ ครั้งจึงกลับนครของตน ครั้นครั้งที่ ๘ คิดจะไปสุวรรณภูมิ จึงขนสินค้าแล่นเรือไป เรือแล่นเข้ามหาสมุทรยังไม่ทันถึงถิ่นที่ตั้งใจ เรือก็ต้องพายุอับปางลงในท่ามกลางสมุทร ผู้คนที่เหลือก็เสียชีวิตไปทั้งหมดเหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาได้เกาะไม้กระดานแผ่นหนึ่งลอยตัวอยู่ท่ามกลางคลื่น ในวันที่ ๗ ก็เข้าถึงฝั่งใกล้ท่าสุปปารกะ ท่านนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาดเพราะเสื้อผ้าถูกน้ำซัดไปหมด ด้วยความละอายเขาจึงได้ลุกขึ้นเข้าไประหว่างพุ่มไม้มองไม่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะใช้มาเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ จึงหักก้านไม้รัก เอาเปลือกพันกายทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้ แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่าเจาะแผ่นกระดาษเอาเปลือกไม้ร้อยทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้ ท่านจึงได้ชื่อใหม่ว่า พาหิยทารุจีริยะ เพราะนุ่งผ้าทำด้วยไม้
 
เขานั้นก็เที่ยวถือชามกระเบื้องอันหนึ่ง เดินขอข้าวที่ท่าสุปปารกะ ชาวบ้านเห็นเข้าจึงคิดว่าถ้าพระอรหันต์ยังมีในโลกอยู่ ท่านก็คงประพฤติอย่างนี้แหละ พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้จะรับผ้าที่เขาให้เอาไว้หรือไม่ หรือไม่รับเพราะความมักน้อย ก็ประสงค์จะทดลองใจดังนี้ เมื่อจะลองใจจึงนำเอาผ้าจากที่ต่างๆ เข้าไปถวาย พาหิยทารุจีริยะคิดว่าถ้าเราจะนุ่งหรือจะห่มผ้าไซร้ พวกเหล่านี้ก็จะไม่เลื่อมใสเรา ลาภและสักการะของเราก็จักเสื่อมสิ้นไป ฉะนั้นเราจำต้องไม่รับ ถ้าเราทำเช่นนี้ลาภสักการะก็จักเกิดขึ้นแก่เรา เมื่อเขาคิดอย่างนี้แล้ว จึงไม่ยอมรับผ้าที่พวกชาวบ้านนำมาถวาย ใช้สอยเฉพาะแต่ผ้าเปลือกไม้อย่างเดียว พวกชาวบ้านก็เกิดความเลื่อมใสว่าพระผู้เป็นเจ้านี้มักน้อยแท้จึงกระทำสักการะเป็นอันมาก ฝ่ายเขารับประทานอาหารแล้วได้ไปยังเทวสถานแห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล ฝูงชนก็ไปกับเขาเหมือนกันและได้ทำการซ่อมแซมเทวสถานนั้นให้ เขาคิดว่าคนเหล่านี้เลื่อมใสเราเพียงเพราะเรานุ่งผ้าเปลือกไม้ จึงพากันทำสักการะถึงอย่างนี้ เราควรจะมีความประพฤติอย่างสูงสำหรับคนเหล่านี้ เขาจึงทำตัวเป็นผู้มีบริขารไม่มากเป็นผู้มักน้อยอยู่ และเขาเมื่อถูกคนเหล่านั้นยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ก็เลยสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่นั้นการทำสักการะและทำความเคารพก็มีมากยิ่งๆ ขึ้น และท่านก็ได้มีปัจจัยมากมาย
 
พระเถระที่เป็นพระอนาคามีและไปเกิดเป็นพรหมมาเตือน
 กล่าวถึงพระเถระที่ร่วมปฏิบัติธรรมอยู่บนยอดเขาในครั้งกระโน้น และบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี เมื่อสิ้นชีวิตลงก็ได้ไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ตรวจดูพรหมสมบัติของตน ก็นึกรำลึกถึงเรื่องราวก่อนที่ตนจะมาเกิดในพรหมโลก รำลึกถึงเรื่องที่ตนขึ้นไปยังภูเขาก็เพื่อนสหธรรมิก เห็นที่บำเพ็ญสมณธรรมแล้ว จึงนึกถึงสถานที่ที่คนที่เหลืออีก ๖ คนไปเกิด ก็รู้ว่าท่านหนึ่งปรินิพพานแล้ว และรู้ว่านอกนี้อีก ๕ คนไปบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร
 
ครั้นเวลาต่อมาก็ได้รำลึกถึงคนทั้ง ๕ เหล่านั้นอีก ก็สงสัยว่าเวลานี้คนทั้ง ๕ เหล่านั้นไปบังเกิดในที่ไหนหนอ เมื่อตรวจดูจึงได้เห็นทารุจิริยะ ผู้อาศัยท่าสุปปารกะเลี้ยงชีวิตด้วยการการหลอกลวงจึงคิดว่าเมื่อก่อนเขาผู้นี้พร้อมกับพวกเรา ผูกบันไดขึ้นภูเขาทำสมณธรรมไม่อาลัยในชีวิต เพราะประพฤติกวดขันอย่างยิ่ง แม้พระอรหันต์จะนำบิณฑบาตมาให้ก็ไม่ฉัน บัดนี้เพียงแค่ประสงค์แต่จะให้เขายกย่อง ตัวเองไม่เป็นพระอรหันต์เลย ก็ยังเที่ยวประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะมีความปรารถนาลาภสักการะและชื่อเสียง อีกทั้งไม่รู้ว่าพระทศพลอุบัติขึ้นแล้ว เอาเถอะเราจักทำเขาให้สังเวชสลดใจแล้วให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว ดังนี้
 
ทันใดนั้นเองจึงลงจากพรหมโลก ปรากฏตรงหน้าท่านทารุจีริยะ ที่ท่าสุปปารกะ ตอนกลางคืน ท่านพาหิยะเห็นแสงสว่างโชติช่วงในที่อยู่ของตนจึงสงสัยว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น แล้วได้ออกไปข้างนอกเพื่อตรวจดูอยู่ ครั้นเมื่อออกมาแล้วก็แลเห็นท้าวมหาพรหมลอยอยู่ในอากาศ จึงยกมือขึ้นสักการะแล้วถามว่า ท่านเป็นใคร  ท้าวมหาพรหมตอบว่าเราเป็นสหายเก่าของท่าน เมื่อครั้งนั้นเราบรรลุอนาคามิผล ตายแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก แต่ตัวท่านไม่สามารถจะทำคุณวิเศษอะไรให้บังเกิดได้ ท่านทำตัวเป็นเดียรถีย์ ตนไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลยยังเที่ยวคิดว่าตนเป็นพระอรหันต์
 
ดูก่อนพาหิยะ เรารู้ดังนี้จึงได้มาหาท่าน เพื่อจะเตือนท่านว่าท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคอย่างแน่นอน ท่านไม่มีปฏิปทาเครื่องให้เป็นพระอรหันต์หรือเครื่องเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรค ท่านจงสละทิฏฐิอันลามกเช่นนั้นเสียเถิด ท่านอย่าได้ทำตนให้เกิดความฉิบหาย ทำตนเพื่อให้เกิดทุกข์ตลอดกาลนานเลย
 
ฝ่ายพาหิยะมองดูท้าวมหาพรหมผู้ยืนกล่าวอยู่ในอากาศแล้ว คิดว่า โอเราได้กระทำกรรมหนักหนอ เรามิได้เป็นพระอรหันต์แต่คิดว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ท้าวมหาพรหมนี้กล่าวกะเราว่าท่านไม่ใช่เป็นพรอรหันต์เลย ทั้งท่านก็มิได้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัตด้วย
 
ลำดับนั้น พาหิยะจึงถามท่านท้าวมหาพรหมนั้นว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกใครเล่าเป็นพระอรหันต์หรือว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัต ลำดับนั้นท้าวมหาพรหมจึงบอกเขาว่า พาหิยะ ในอุตตรชนบทมีพระนครหนึ่งชื่อสาวัตถี บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กำลังประทับอยู่ในพระนครนั้น พระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์และทรงแสดงธรรมเพื่อให้คนเป็นพระอรหันต์ ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระองค์เถิด.
 
ในราตรีนั้นเอง พาหิยะด้วยความสังเวชสลดใจ จึงได้ออกจากท่าสุปปารกะ แล้วได้เดินทางไปยังกรุงสาวัตถีระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ โดยคืนเดียวด้วยอานุภาพแห่งเทวดา
 
เมื่อเขาถึงกรุงสาวัตถี.ก็เป็นเวลารุ่งเช้า ในเวลานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าพาหิยะมาถึง ทรงพระดำริว่า ชั้นแรกอินทรีย์ของท่านพาหิยะยังไม่แก่กล้า แต่ในระหว่างชั่วครู่หนึ่งจักถึงความแก่กล้า ดังนี้แล้ว จึงต้องรอคอยให้ท่านมีอินทรีย์แก่กล้าเสียก่อน จึงเสด็จทรงบาตรยังกรุงสาวัตถีในขณะนั้นพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ส่วนท่านพาหิยะนั้นก็เข้าไปยังพระเชตวันเห็นภิกษุเป็นอันมากฉันภัตตาหารเช้าแล้วจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้ง จึงถามว่าบัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไหน ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบาตรยังกรุงสาวัตถี แล้วถามว่า ก็ท่านเล่ามาแต่ไหน ท่านตอบว่ามาจากท่าสุปปารกะ ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่าท่านมาไกลเชิญนั่งก่อน จงล้างเท้า ทาน้ำมัน แล้วพักสักหน่อยหนึ่ง ในเวลาพระองค์กลับมาก็จะเห็นพระองค์
 
ท่านพาหิยะกล่าวว่า ท่านขอรับกระผมไม่รู้ว่าชีวิตของกระผมจะสิ้นไปเมื่อใด กระผมเดินทางมาโดยม่พักนานตลอดระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ เพียงขอให้ได้เฝ้าพระศาสดาแล้วจึงจะพักผ่อน  เขาพูดอย่างนั้นแล้วก็รีบร้อนเดินทางเข้าไปยังกรุงสาวัตถีได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งกำลังเสด็จจาริกไป เมื่อท่านพาหิยะได้แลเห็นพระพุทธเจ้า ด้วยพระพุทธสิริอันหาที่เปรียบมิได้ ก็บังเกิดปิติขึ้นท่วมท้นแล้วก็น้อมสรีระไปแล้วกราบลงที่ระหว่างถนนด้วยเบญจางคประดิษฐ์จับที่ข้อพระบาทไว้มั่นแล้ว กราบทูลว่าอาราธนาพระพุทธองค์ให้แสดงธรรมโปรด
 
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงตรัสห้ามเขาไว้ด้วยเหตุว่ามิใช่เวลาเหมาะ เพราะเป็นเวลาที่พระพุทธองค์จะทรงบิณฑบาต

พาหิยะก็ได้กราบทูลวิงวอนซ้ำอีก พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสห้ามอีกเป็นครั้งที่สอง ในครั้งที่สามเมื่อท่านพาหิยะทูลวิงวอนอีก พระศาสดาได้มีพระดำริว่าที่ท่านห้ามท่านพาหิยะถึงสองครั้งก็ด้วยเหตุว่านับตั้งแต่เวลาที่ท่านพาหิยะเห็นพระพุทธองค์แล้ว เขาก็มีปิติท่วมท้นไปทั้งร่างกาย ในช่วงเวลาที่ปิติมีกำลังมากนี้ แม้จะได้ฟังธรรมก็จักไม่ทำให้ท่านสามารถบรรลุธรรมได้เลย อีกประการหนึ่งเป็นเพราะทรงเห็นว่าพาหิยะมีความกระวนกระวายในการฟังธรรมมาก ซึ่งก็เป็นเหตุให้ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เช่นกัน เพราะเหตุนั้นพระศาสดาจึงตรัสห้ามถึง ๒ ครั้ง ครั้นเมื่อเขาทูลขอในครั้งที่ ๓ ทรงพิจารณาเห็นความแกร่งกล้าในอินทรีย์ของท่านพาหิยะพร้อมแล้ว จึงทรงประทับยืนอยู่ในระหว่างทางและได้ทรงแสดงธรรมโดยย่อว่า
 
   ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
    ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล
    ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ฯ

 

พาหิยะนั้นขณะกำลังฟังธรรมของพระศาสดาอยู่นั่นแล ได้ทำอาสวะทั้งปวงให้หมดสิ้นไปแล้วได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ ครั้นแล้วท่านจึงได้ทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านว่า ท่านนั้นได้มีบาตรและจีวรครบแล้วหรือ ท่านพาหิยะกราบทูลว่า ยังไม่มีพระเจ้าข้า พระศาสดาจึงตรัสให้ท่านไปแสวงหาบาตรและจีวรมาก่อนแล้วก็เสด็จหลีกไป
 
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ จักไม่เกิดขึ้นแก่เขาแน่จึงมิได้ประทานการบรรพชาด้วยเอหิภิกขุ
 
ได้ทราบมาว่า ในอดีตที่ท่านพาหิยะบำเพ็ญสมณธรรมมาสิ้น ๒ หมื่นปี ท่านไม่ได้ทำการสงเคราะห์บาตรหรือจีวรแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่งเลย อรรถกถาจารย์บางท่านกล่าวว่า ในอดีตเมื่อสมัยโลกว่างจากพระพุทธศาสนา ท่านเป็นโจร เที่ยวไปในป่า เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เพราะความโลภในบาตรและจีวร จึงใช้ธนูยิงท่านแล้วถือเอาบาตรและจีวรไป ด้วยเหตุนั้นบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์จึงมิปรากฏ
 
ในเวลาที่ท่านพาหิยทารุจิยะกำลังแสวงหาบาตรและจีวร จากกองขยะอยู่นั้น ขณะที่ท่านกำลังดึงเอาเศษผ้าออกจากกองขยะอยู่ นางยักษิณีผู้มีเวรกันในกาลก่อน เข้าสิงในร่างของโคแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง วิ่งเข้าขวิดท่านที่โคนขาข้างซ้าย ล้มลงเสียชีวิตอยู่ในกองขยะนั่นเอง
 
บุรกรรมของพาหิยทารุจิยะและนางยักษิณี
ได้ยินว่าโคแม่ลูกอ่อนนั้น เป็นยักษิณีตนหนึ่ง เป็นแม่โค ปลงชีวิตคนทั้ง ๔ นี้ คือ กุลบุตรชื่อปุกกุสาติ ๑ พาหิยทารุจิยะ ๑ นายโจรฆาตกะชื่อตัมพทาฐิกะ ๑ สุปปพุทธกุฏฐิ ๑ จากชีวิตคนละร้อยชาติ.เรื่องในอดีตมีอยู่ว่า ชนเหล่านั้น เป็นบุตรเศรษฐีทั้ง ๔ คน นำหญิงแพศยาผู้เป็นนครโสเภณีคนหนึ่งไปสู่สวนอุทยาน ร่วมภิรมย์กันตลอดวันแล้วได้มอบทรัพย์หนึ่งพันกหาปนะและเครื่องประดับอันมีค่าให้เป็นค่าจ้าง ครั้นตกเย็น ได้ปรึกษากันอย่างนี้ว่า  “ในที่นี้ไม่มีคนอื่น เราทั้งหลาย จักฆ่าหญิงนี้เสียกันเถิด แล้วเอาทรัพย์ และเครื่องประดับทั้งหมดนั้นคืนมาเถิด” หญิงนั้นเมื่อฟังถ้อยคำของบุตรเศรษฐีเหล่านั้นแล้ว คิดว่า “ชนพวกนี้ไม่มียางอาย อภิรมย์กับเราแล้ว บัดนี้ ปรารถนาจะฆ่าเรา เราจักอาฆาตชนเหล่านั้น” เมื่อถูกชนเหล่านั้นฆ่าอยู่ได้กระทำความปรารถนาว่า “ขอเราพึงเป็นยักษิณี ผู้สามารถฆ่าชนเหล่านั้น เหมือนอย่างที่พวกนี้ฆ่าเราฉะนั้น”
 
พระพุทธองค์ทรงให้ปลงศพและก่อสถูป
พระศาสดา เสด็จจาริกไปบิณฑบาตแล้วทรงกระทำภัตรกิจเสร็จแล้ว ขณะกำลังเสด็จออกพร้อมกับพวกภิกษุมากรูป ได้ทอดพระเนตรเห็นร่างของพาหิยะซึ่งฟุบจมกองขยะแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพื่อนสพรหมจารีของพวกเธอปรินิพพานแล้ว และตรัสให้พระภิกษุนำร่างของท่านพาหิยะขึ้นเตียงนำออกไปทางประตูเมือง และให้ทำการฌาปนกิจ เก็บเอาธาตุไว้ก่อเป็นสถูป  พวกภิกษุเหล่านั้นดำเนินการตามที่พระบรมศาสดาทรงตรัสแล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ได้กราบทูลให้ทรงทราบถึงการงานที่ตนได้ทำเสร็จแล้วและทูลถามพระพุทธองค์ถึงคติภพ (ภพเบื้องหน้า) ของท่านพาหิยะ
 
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบอกแก่ภิกษุเหล่านั้นว่าท่านพาหิยะปรินิพพานแล้ว  ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงตรัสบอกว่า ท่านพาหิยทารุจีริยะบรรลุพระอรหัตที่ไหน. และเมื่อตรัสว่า ในเวลาที่ฟังธรรมของเรา พวกภิกษุจึงทูลถามว่า ก็พระองค์แสดงธรรมแก่ท่านในเวลาไหน. พระศาสดาตรัสว่า เมื่อเรากำลังบิณฑบาตยืนอยู่ระหว่างถนนวันนี้เอง. ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่พระองค์ยืนตรัสในระหว่างถนนนั้นมีประมาณน้อย ท่านทำคุณวิเศษให้เกิดด้วยเหตุเพียงเท่านั้นได้อย่างไร. พระศาสดาเมื่อทรงแสดงว่า ภิกษุทั้งหลายเธออย่าประมาณธรรมของเราว่ามีน้อยหรือมาก แม้คาถาตั้งหลายพันแต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ไม่ประเสริฐเลย ส่วนบทคาถาแม้บทเดียวซึ่งประกอบด้วยประโยชน์ยังประเสริฐกว่า
 
พระศาสดาทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ (เหตุเกิดเรื่อง) จึงสถาปนาท่านพาหิยะทารุจิริยะไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลาย ผู้ตรัสรู้ได้โดยพลัน