[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 19 ธันวาคม 2552 12:52:39



หัวข้อ: ในแต่ละวันอะไร ?เกิด - ดับ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 19 ธันวาคม 2552 12:52:39
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/PE090001.jpg)

ถ้าความเห็นนั้นไม่ตรงตามความเป็นจริงชื่อว่าเห็นผิด  (:KM:)มิจฉาทิฏฐิ (:NOY:)เพราะ.......................
ความจริง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีปัจจัยหลายอย่างแม้แต่รูปยังมีสมุฏฐานให้เกิดถึง
สี่ประเภทคือ เกิดจากกรรมก็มี เกิดจากอุตุ ฯ ก็มีเกิดจาก (:LOVE:)จิต (:LOVE:)ก็มีเกิดจากอาหาร
ก็มีส่วนนามธรรมก็มีปัจจัยเป็นจำนวนมากทำให้เกิดขึ้น เช่น เหตุปัจจัยอารัมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย เป็นต้น  ยังไม่มีตัวอย่างในขณะนี้ครับ แต่ถ้าพิจารณา
 (:4:)แล้วก็รู้ได้ว่าเห็นไม่ตรงตามความเป็นจริง
ทุกสิ่งทุกอย่างทีมีจริงเกิดจากเหตุหลายประการ ไม่ใช่เกิดจากผลของกรรมเท่านั้น
อย่างเช่น (:DY:)กิเลสที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกิดจากผลของกรรมแต่เกิดจากกิเลสที่มีอยู่ทำให้มี
เหตุให้กิเลสเหล่านั้นเกิดขึ้น รูปบางอย่างเกิดจากผลของกรรมก็มี(ประสาทตา ประสาท
หู เป็นต้น (:VA:)รูปบางอย่างเกิดจาก อุตุฯก็ได้ เช่น ต้นไม้ เป็นต้นดังนั้นต้องเข้าใจว่าขณะ
ไหนเป็นผลของกรรมผลของกรรมคืออะไร(:QS:) ดังนั้นสิ่งที่ประสบพบเจอจะเป็นผลของ
กรรมคือขณะที่เห็นได้ยิน (:88:)ได้กลิ่น (:88:)ลิ้มรส (:RL:)รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส (:UU:)เป็นต้นเป็นผลของกรรม
แต่ขณะอื่นๆที่เป็นกุศลหรือออกุศลไม่ใช่ผลของกรรม (:7:)ซึ่งหากเข้าใจว่าขณะที่เห็น
ได้ยิน.........เป็นวิบากอันนี้ไม่ผิดแต่ถ้าเข้ใจว่าเป้นผลของกรรมที่ทำมาในอดีตทั้งหมด
ตรงนี้ไม่ใช่ อาจเกิดจากกรรมในปัจจุบันก็ได้
ถ้าเชื่อกรรมและผลของกรรมมีจริงเช่นทำดี (:-_-:)ได้ดีทำชั่วได้ชั่ว (:-_-:)ก็เป็นสัมมาทิฏฐิ  
 (:7:)ทุกขณะที่เห็น (:BYE:)ที่ได้ยิน (:HIT:)ที่ได้กลิ่น (:12:)ที่ลิ้มรสที่กระทบสัมผัส(:UU:)เป็นผลของกรรม
ปัจจัยทั้งหมด  มี  24   ปัจจัย    ตราบใดที่ยังมีกิเลสก็ยังมีเหตุมีปัจจัยให้เกิดอวิชชา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุมีปัจจัยไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นมาลอย ๆ (^^)เป็นความ
จริงที่ว่ากรรมที่ได้กระทำไปแล้วสำเร็จไปแล้วเมื่อถึงคราวให้ผลไม่มีใครหนีพ้น
ได้ไม่ว่าจะอยู่ในอากาศ(an!)อยู่ในซอกเขาหรืออยู่ในน้ำก็ตามถ้าศึกษาให้ละเอียดก็จะ
เข้าใจได้ว่าขณะใดบ้างในชีวิตที่เป็นผลของกรรมเริ่มต้นตั้งแต่เกิดมาในภพนี้  แรกที่
เกิดก็เป็นผลของกรรมแล้วขณะที่เห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส
ก็เป็นผลของกรรมแต่นอกจากนั้นแล้วยังมีสภาพธรรมอื่น ๆ อีกที่ไม่ใช่ผลของกรรม
อย่างเช่นขณะที่เกิดโลภะหรือโทสะก็มีปัจจัยที่จะเกิด :'(ขณะที่โลภะ หรือโทสะเกิด (:FR:)
ไม่ใช่ผลของกรรมเป็นไปตามการสะสมเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น (:11:)จึงควรทราบว่า สภาพธรรมใดก็ตามที่จะเกิดก็เพราะมีเหตุมีปัจจัยจึง
เป็นไปอย่างนั้น (:UU:)ซึ่งจะต้องเป็นกิจหน้าที่ของปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ความจริงได้
ไม่มีทางเป็นความจริงได้ (:SLE:)เพราะอดีตก็ล่วงไปแล้วดับไปหมดแล้ว
ส่วนอนาคตก็ยังไม่เกิดขึ้นขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏให้ศึกษา ให้พิสูจน์
ว่าเป็นเพียงธัมมะอย่างหนึ่งเท่านั้น
ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญหมายถึงให้อยู่กับขณะปัจจุบันไม่คิด
ถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้วหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึงมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาคือการเจริญสติปัฏฐาน
สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปไม่กลับมาอีก เห็นขณะนี้ดับไปแล้ว สภาพธรรมอื่นๆ
เกิดใหม่ตลอดเวลาไม่สามารถย้อนกลับไปสู่สภาพธรรมเก่าที่ดับไปแล้วได้ได้แต่นึก
ถึงเรื่องราวของสภาพธรรมที่ดับไปแล้วแต่ตัวจริงที่มีลักษณะให้รู้ในขณะนั้น ย่อมไม่
สามารถไปรู้ได้ไม่มีใครย้อนเวลาได้เพราะเวลาก็เกิดจากสภาพธรรมที่จิตเกิดดับทีละ
ขณะจึงมีเวลาเกิดขึ้น (:DY:)เป็นวินาที (:DY:)นาที วัน (:SLE:)เดือน (:PL:)ปีสภาพธรรมเกิดดับใหม่ตลอดเวลา
จึงไม่มีคำว่าย้อนเวลาแต่มีแต่เดินหน้าตามสภาพธรรมที่เกิดดับอนาคตยังไม่มาถึง (:14:)
ขณะนี้กำลังมีสภาพธรรมในปัจจุบันเมื่ออนาคตยังไม่มาถึงก็ไม่มีลักษณะตัวจริงให้รู้
เวลาของทุกท่านกำลังเดินหน้าไปทีละขณะจิตให้เหลือในการอบรมปัญญาในชาตินี้
อีกไม่นานเลย อย่าประมาทกับเวลาที่เสียไป
กิเลส (:VA:)คือ (:FR:)อกุศลธรรมที่ไม่มีคุณประโยชน์อะไรเลย (:14:)
http://www.ijigg.com/songs/V2CAGFFPA0 (http://www.ijigg.com/songs/V2CAGFFPA0)