[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 14 ตุลาคม 2558 15:34:04



หัวข้อ: พระปฏาจาราเถรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 14 ตุลาคม 2558 15:34:04

(http://thaniyo.brinkster.net/images2/monk02.jpg)

พุทธประวัติ
ตอน โปรดนางปฏาจารา


ปฏาจาราเป็นธิดาเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี เมื่อรุ่นสาวได้ร่วมรักกับคนใช้ของตน โดยที่มารดาบิดามิได้ทราบระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย
 
ต่อมาชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีศักดิ์ตระกูลเสมอกันมาขอนาง มารดาบิดาของนางยกให้ กำหนดวันวิวาห์แล้ว นางจึงบอกแก่คนใช้ซึ่งเป็นคนรักของนางว่า หากนางเข้าสู่พิธีวิวาห์แล้ว เขาไม่อาจพบนางได้อีก ไม่ว่าในกรณีไรๆ เพราะฉะนั้น หากว่ารักนางจริงก็ขอให้พานางหนีไปอยู่ที่อื่นเสียก่อน วันวิวาห์บุรุษนั้นรับทำตามคำของนางนัดหมายกันแล้ว วันรุ่งขึ้นเขาไปคอยอยู่แต่เช้าตรู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง

ปฏาจาราปลอมตัวเป็นทาสี นุ่งผ้าปอนๆ เอารำทาตัว สยายผมถือหม้อน้ำรวมไปกับพวกทาสี ไปยังที่นัดหมายแล้ว พากันหนีไปอยู่ ณ บ้านป่าแห่งหนึ่ง อยู่ร่วมกันอย่างสามีภรรยา สามีไถนาในป่า เก็บผักหักฟืน ส่วนภรรยาตักน้ำตำข้าวและหุงต้มเป็นต้น ต่อมานางมีครรภ์ เมื่อท้องแก่จะคลอด นางขอร้องสามีให้นำกลับไปบ้านเดิม เพื่อคลอดบุตร เพราะที่บ้านป่าไม่มีญาติพี่น้อง หรือใครๆ ที่จะช่วยเหลือในการคลอดได้ แต่สามีไม่ยอมไปเพราะกลัวพ่อตา แม่ยาย จะทำร้าย หรือฆ่าให้ถึงตาย นางอ้อนวอนแล้วเล่า แต่ไม่มีผล
 
วันหนึ่งเมื่อสามีออกไปทำงานในป่า นางสั่งเพื่อนบ้านว่า หากสามีกลับมาถามถึงนาง ขอให้บอกว่านางกลับไปคลอดที่บ้านเดิมดังนี้แล้วออกจากบ้านป่ามุ่งหน้าสู่นครสาวัตถี

สามีกลับจากป่าทราบความเข้า จึงรีบออกติดตามมุ่งหมายจะเอาตัวกลับ มาทันเข้าระหว่างทางอ้อนวอนให้นางกลับสู่บ้านป่าแต่นางหายอมไม่ ยืนยันจะไปคลอดที่บ้านอย่างเดียวขณะนั้นลมกัมมัชวาตเกิดขึ้น นางปวดท้องจะคลอดจึงเข้าไปบังพุ่มไม้แห่งหนึ่ง นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นดินคลอดได้โดยยาก แต่ก็คลอดจนได้ เมื่อคลอดแล้วสองสามีภรรยาจึงพากันกลับยังบ้านป่าดังเดิม

ต่อมานางตั้งครรภ์อีก จึงบอกสามีโดยนัยก่อนและหนีออกจากบ้านเมื่อสามีไม่อยู่ สามีมาตามทันเข้าอ้อนวอนให้กลับ นางก็ไม่ยอมกลับ ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอยู่ ฝนตั้งเค้าขึ้นมาพร้อมๆกับที่นางปวดครรภ์จะคลอด นางบอกความนั้นแก่สามี ขอให้ทำที่สักแห่งหนึ่งที่พอบังฝนได้ ฝ่ายสามีถือมีดเข้าไปยังพุ่มไม้ที่จอมปลวกแห่งหนึ่ง จึงเริ่มตัดไม้ อสรพิษมีพิษร้ายแรงตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากจอมปลวกกัดเขา สรีระของเขาเขียวขึ้นเพราะพิษงูแล่นไปทั่ว เสมือนไฟเกิดขึ้นภายในกายแล้วเผาไหม้อยู่เขาล้มลงตาย ณ ที่นั้นเอง
 
ฝ่ายปฏาจารา ประสบทุกข์อย่างหนัก ฝนเริ่มเทลงมาอย่างแรง นางมองดูทางมาของสามีก็ไม่เห็น ได้คลอดบุตรตรงนั้น เด็กทั้งสองไม่อาจต้านทานกำลังลมและฝนได้จึงร้องไห้ลั่นออกมา นางหมดปัญญาที่จะทำอย่างอื่นจึงเอาเข่าและมือทั้งสองยันลงกับพื้นคล่อมบุตรทั้งสองไว้ตลอดคืน ราตรีล่วงไปด้วยความยากลำบากของนางเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายของนางซีดเหลืองไม่มีโลหิต เสมือนใบไม้เหลือง

เมื่ออรุณขึ้น นางกำหนดทางที่สามีเดินไปเมื่อเย็นวาน แล้วอุ้มบุตรคนหนึ่ง จูงคนหนึ่งเดินไปตามทางนั้น เห็นสามีนอนตายอยู่ข้างจอมปลวก นางเสียใจอย่างใหญ่หลวง รำพันว่า "เพราะเราแท้ๆ สามีจึงตายอย่างนี้" นางเดินทางมาถึงลำน้ำอจิรวดี ซึ่งขณะนั้นน้ำเต็มเปี่ยมลึกแค่อกของนาง นางจึงไม่สามารถนำบุตรทั้งสองข้ามไปพร้อมกันได้ จึงให้บุตรคนโตรออยู่ก่อน พาบุตรคนเล็กเพิ่งคลอดเมื่อคืนนี้ข้ามไปก่อน วางไว้บนฝั่งแล้วกลับมาเพื่อรับบุตรคนโต

ขณะที่นางมาถึงกลางแม่น้ำ เหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่งบินมา เข้าใจในบุตรคนเล็กของนางว่าเป็นชิ้นเนื้อจึงโฉบลงมา นางซึ่งหันรีหันขวางอยู่กลางแม่น้ำเพราะเป็นห่วงบุตรคนเล็ก ได้เห็นดังนั้นจึงส่งเสียงไล่นก แต่นกไม่ได้ยิน ฝ่ายบุตรคนโต ยืนอยู่รอแม่อยู่ฝั่งนี้ ได้ยินเสียงแม่และเห็นแม่ยกมือทั้งสองขึ้น เข้าใจว่าเรียกตนจึงกระโดดลงน้ำ

น้ำซึ่งกำลังไหลเชี่ยวได้พัดเด็กน้อยจมลงทันที
 
ปฏาจาราต้องสูญเสียบุตรทั้งสองในเวลาเดียวกัน นางขึ้นจากแม่น้ำร้องไห้รำพันไปว่า "สามีของเราตายในทางเปลี่ยว บุตรคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป…."

นางพบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา จึงถามถึงมารดาบิดาในเมืองสาวัตถีชายนั้นตอบว่า เมื่อคืนนี้ฝนตกหนักท่านทราบมิใช่หรือ   ปฏาจาราตอบว่า ทราบ แต่ฝนนั้นตกเพื่อนางคนเดียว คือเพื่อลงโทษนางคนเดียว ชายนั้นบอกให้ทราบว่า เมื่อคืนนี้เรือนของเศรษฐีพังทับคนทั้ง ๓ ถึงตาย คือเศรษฐี ภรรยา และบุตรชายคนหนึ่ง คนทั้ง ๓กำลังถูกเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน ควันยังปรากฏให้เห็นอยู่
 
ปฏาจาราได้ทราบความนั้น ตลึงงัน ไม่รู้สึกแม้ความที่ผ้านุ่งหลุดลุ่ยออกจากตัว ร้องไห้รำพัน บ่นเพ้อ เซซวน ไปว่า "บุตร ๒ คนตายเสียแล้ว สามีก็ตายในทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน"
 
คนทั้งหลายเห็นอาการของนางแล้วพูดกันว่า "ผู้หญิงบ้ " จึงเอาหยากเยื่อและฝุ่นโปรยลงบนศรีษะ ขว้างปาด้วยก้อนดิน
 
ขณะนั้นพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ณ เชตวันมหาวิหาร ทอดพระเนตรเห็นนางปฏาจาราผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาสิ้นแสนกัปป์ มีอภินิหารเต็มเปี่ยมแล้ว กำลังเดินมา
 
ทราบว่าปฏาจาราเห็นพระเถระผู้ทรงวินัยรูปหนึ่งซึ่งพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ จึงทำความดีปรารถนาว่า "ขอให้หม่อมฉัน ได้ตำแหน่งเอตทัคคะทางทรงวินัยในศาสนาของพระพุทธเจ้าในอนาคต"

พระปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า จักได้ตำแหน่งนั้นในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า
 
พระโคดมพุทธเจ้า ทอดพระเนตรเห็นนางผู้มีบุญอันทำไว้แล้ว มีอภินิหารอันทำไว้แล้ว กำลังเดินมาเช่นนั้น ทรงดำริว่า "เว้นเราเสียผู้อื่นซึ่งจะเป็นที่พึ่งของนางได้ไม่มี "จึงทรงบันดาลให้นางมุ่งหน้าสู่วิหารเชตวัน พุทธบริษัทเห็นนางแล้วกล่าวกันว่า อย่าให้หญิงบ้าเข้ามา แต่พระศาสดาตรัสว่า อย่าห้ามเธอเลย จงให้เธอเข้ามาเถิด เราจักเป็นที่พึ่งของนาง
 
เมื่อนางเข้ามาใกล้แล้ว พระศาสดาตรัสว่า "น้องหญิงจงได้สติเถิด" ด้วยพระพุทธานุภาพนั้นเอง นางกลับได้สติแล้ว กำหนดได้ว่าตนมิได้นุ่งผ้า จึงมีอาการขวยเขิน นั่งกระโหย่งเพื่อซ่อนเร้นอวัยวะอันพึงละอาย ชายคนหนึ่งโยนผ้าห่มไปให้ นางนุ่งแล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์แทบพระบาททั้งสอง ทูลว่า "ขอได้โปรดเป็นที่พึ่งของหม่อมฉันด้วยเถิดพระเจ้าข้าเหยี่ยวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีตายในทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับตาย"

พระศาสดาทรงปลอบนางว่า "ปฏาจารา! บัดนี้เธอได้มาอยู่เฉพาะหน้าของผู้อันจะเป็นที่พึ่งของเธอได้แล้ว อย่าคิดอะไรมาก อย่าเสียใจเลย เธอจะได้สิ่งอันยิ่งใหญ่อื่นมาชดเชยสิ่งที่สูญเสียไป ปฏาจาราเอ๋ย ! น้ำตาของคนที่ร้องไห้เพราะสูญเสียปิยชน มีบุตรเป็นต้น ในสงสารอันยาวนานนี้มีมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุไร เธอจึงประมาทอยู่เล่า"
 
เมื่อพระศาสดาตรัสอนมตัคคปริยายนี้อยู่ ความโศกของนางได้เบาบางลง พระศาสดาทรงทราบความนั้น แล้วตรัสต่อไปว่า "ปฏาจารา ปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่สามารถต้านทาน หรือป้องกันบุคคลผู้ไปสู่ปรโลกได้ บุตรเป็นต้นนั้น แม้มีก็เหมือนไม่มี บัณฑิตทราบดังนี้แล้ว รีบเร่งชำระศีลให้บริสุทธิ์ ทำทางไปสู่พระนิพพานของตน"
 
เมื่อจบเทสนา ปฏาจาราได้บรรลุโสดาปัตติผล คนอื่นๆ ก็ได้รับประโยชน์จากพระธรรมเทศนานี้มาก…