[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ จิบกาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 18 มกราคม 2559 16:38:48



หัวข้อ: "ต้องศรกามเทพ" สำนวน "รักแรกพบ"
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 18 มกราคม 2559 16:38:48

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/de/Kamadeva18thcenturyengraving.jpg/200px-Kamadeva18thcenturyengraving.jpg)

ต้องศรกามเทพ

ต้องศรกามเทพ หมายถึง “บังเกิดความรักขึ้นโดยกะทันหันหรือลุ่มหลงในความรักจนถอนตัวไม่ขึ้น ราวกับถูกศรกามเทพทิ่มแทงเข้าไปในใจฉะนั้น”

กามเทพป็นเทพเจ้าในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ฮินดู ถือเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก  มักจะบรรยายภาพเป็นชายหนุ่มรูปงาม มีปีก มีอาวุธเป็นคันศรและธนู คันศรนั้นทำมาจากลำอ้อย มีผึ้งตอม และลูกศรประดับด้วยดอกไม้หอม ๕ ชนิด มีสหายเป็นนกดุเหว่า นกแก้ว ผึ้ง ฤดูใบไม้ผลิ และสายลมเอื่อย ทั้งหมดล้วนเป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ  เรื่องราวของกามเทพมีที่มาจากวรรณคดีสันสกฤตโบราณ ตั้งแต่ยุคพระเวท ๔,๐๐๐ ปี เรื่อยมาจนถึงสมัยมหากาพย์และปุราณะ (ก่อนศตวรรษที่ ๒๕ เล็กน้อย)

ในสมัยพระเวทเริ่มแต่ฤคเวทสํหิตา กล่าวว่า กามเทพ เป็นนามธรรมไม่มีรูปร่างและเกิดมาพร้อมกับการสร้างโลก จึงได้ชื่อว่าเป็นเทพที่เก่าแก่ที่สุด เพราะเกิดมาพร้อมกับจักรวาลโลก และในขณะเดียวกันก็เป็นเทพที่หนุ่มที่สุด เพราะความรักเกิดขึ้นทุกวัน ไม่มีวันเสื่อมคลาย  ในยุคพระเวทสมัยหลังมีการอ้างถึงกำเนิดของกามเทพว่า กามเทพเป็นโอรสของธรรมเทพ (พระยม) กับนางศรัทธา ต่อมาถึงสมัยมหากาพย์และปุราณะ อันเป็นช่วงของศาสนาพราหมณ์ มีการอ้างว่ากามเทพนั้นเป็นโอรสของพระวิษณุ (นารายณ์) กับพระลักษมี บางทีกล่าวว่ากามเทพเป็นโอรสของพระพรหม และกามเทพมีชายาชื่อรตี (แปลว่า “ความยินดี”) ธิดาของประสุติและทักษะ

กามเทพในคัมภีร์ปุราณะ อ้างว่าเกิดจากน้ำ จึงได้ชื่อว่า “อิราช” และบางคัมภีร์ว่ากามเทพเกิดขึ้นเอง ไร้พ่อและแม่ จึงเรียกว่า “อาตมภู” และบางแห่งก็เรียกว่า “อนันยช” แปลว่า “จะเกิดจากใครอื่นก็หาไม่” กามเทพนั้นเป็นเทพแห่งความรัก เช่นเดียวกับเทพ Eros ของกรีก และ Cupid ของโรมัน กามเทพในคัมภีร์ปุราณะต่างๆ นั้นเป็นชายหนุ่มรูปงาม มีนกแก้วเป็นพาหนะ มีคณานางอัปสรเป็นบริวารแวดล้อมโดยรอบ นางหนึ่งถือธงแดง มีรูปปลามังกรอยู่ตรงกลาง ตัวกามเทพนั้นถือคันศรที่ทำจากลำอ้อย มีสายธนูเป็นตัวผึ้งต่อกัน มีลูกศรอันมีคมเสียบด้วยดอกไม้ ๕ ชนิดอันมีชื่อว่า บุษปศร ประกอบด้วย ดอกอรวินทะ (บัวขาว) ดอกอโศก ดอกมะม่วง (จูตะหรืออามระ) ดอกมะลิ (นวมัลลิกา) ดอกนิลุบล หรือนีโลตบล (บัวสีน้ำเงิน)

นอกจากศรดอกไม้ทั้ง ๕ ดังกล่าวนี้แล้ว คัมภีร์อมรโกศของอมรสิงห์ ยังอ้างว่ากามเทพมีศรอีก ๕ ดอกชื่อ อนุมาทนะ ตาปนะ โศษณ สตัมภนะ และสัมโมหนะ

และเพราะความที่ลำพองตนในอำนาจศรของตน กามเทพจึงกระทำความผิดต่อองค์พระมหาเทพ (ศิวะ) ทำให้พระองค์ต้องสังหารกามเทพเสียด้วยไฟจากพระเนตรที่ ๓ ของพระองค์เอง ดังมีเรื่องปรากฏในรามายณะของวาลมีกิ พาลกาณฑ์ บทที่ ๒๓ ความว่า “เมื่อพระศิวะสูญเสียพระสตีผู้เป็นชายาไปแล้ว มีความเศร้าโศกมาก เสด็จไปบำเพ็ญตบะในภูเขาแห่งหนึ่ง และเลิกติดต่อกับบุคคลทั้งหลายโดยสิ้นเชิง ในระยะเวลาดังกล่าว ปรากฏว่าอสูรชื่อตารกะก่อความเดือดร้อนต่อโลกและสวรรค์ทั่วไป ทวยเทพไปทูลเชิญพระศิวะให้มาปราบอสูรผู้นั้น แต่พระองค์ไม่ไยดี ทวยเทพจึงไปเฝ้าพระพรหมขอให้ช่วย พระพรหมแจ้งแก่เหล่าเทพว่า บัดนี้พระสตีไปเกิดเป็นพระอุมาธิดาของท้าวหิมวัตแห่งภูเขาหิมาลัยและพระนางเมนาแล้ว ถ้าพระศิวะได้แต่งงานกับนางจะมีบุตรเป็นเทพแห่งสงคราม (คือ พระสกันทกุมาร ซึ่งเราเรียกกันว่า “พระขันทกุมาร”) และพระกุมารนั้นจะเป็นผู้ฆ่าตารกาสูรให้สิ้นไป ทวยเทพจึงไปวอนกามเทพให้ช่วยเหลือ กามเทพจึงเชิญพระอุมาให้มาประทับตรงเบื้องพระพักตร์พระศิวะ แล้วกามเทพกับพระวสันต์ก็บันดาลให้เกิดวสันตฤดูขึ้น ทำให้บริเวณโดยรอบสดใสงดงามและกามเทพก็ยิงบุษปศรไปต้องพระอุระของพระอิศวร พระอิศวรถูกศรก็สะดุ้ง ลืมพระเนตรทันดี แลเห็นพระอุมาอยู่ตรงหน้าก็บังเกิดความเสน่หาขึ้นทันที แต่เมื่อเหลียวไปพบกามเทพ ก็ทราบเรื่องโดยตลอด ทรงแค้นเคืองกามเทพมาก จึงลืมพระเนตรที่ ๓ บนพระนลาฏ เป็นไฟกรดเผาผลาญกามเทพไหม้เป็นจุณไป กามเทพจึงไม่มีร่างกายตั้งแต่บัดนั้น และได้นามว่าพระอนงค์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นางรติผู้เป็นชายาของกามเทพได้ทูลอ้อนวอนขอโทษอยู่ช้านาน พระมหาเทพจึงช่วยให้กามเทพไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นลูกชายของพระกฤษณะ (นารายณ์อวตารปางที่ ๘) กษัตริย์เมืองทวารกา ชื่อประทยุมน์ และให้นางรตีลงไปเกิดเป็นนางมายาวดี ได้เป็นชายาของพระประทยุมน์สมความปรารถนา”