หัวข้อ: อวตารต่าง ๆ ของพระนารายณ์ ( พระวิษณุ ) เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 11:44:53 อวตารต่าง ๆ ของพระนารายณ์ ( พระวิษณุ )
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/97640813721550_IMG_8723.jpg) พระวิษณุ (विष्णु) หรือที่รู้จักกันในพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า พระนารายณ์ (नारायण) เป็นหนึ่งในสามตรีมูรติ มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั้ง 3 โลก ตามความเชื่อของชาวฮินดู จากคัมภีร์พราหมณ์ รูปร่างลักษณะมีพระวรกายจะมีสีที่เปลี่ยนไปตามยุค ฉลองพระองค์ดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎทอง อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์ กงจักร ตรี คทา แต่ที่จะพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือถือ จักร์ สังข์ คทา ส่วนอีกกรจะถือ ดอกบัวบ้าง หรือไม่ถืออะไรเลยบ้าง (โดยจะอยู่ในลักษณะ"ประทานพร") โดยปรกติ พระวิษณุ จะทรงประทับอยู่ที่เกษียรสมุทร โดยส่วนมากจะบรรทมอยู่บนหลังอนันตนาคราช โดยมีพระชายาคือพระลักษมีมหาเทวี คอยฝ้าดูแลปรนิบัติอยู่ข้าง ๆ เสมอ พาหนะของพระวิษณุคือ พญาครุฑ พระวิษณุ มีอีกพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า "หริ" แปลว่าผู้ดูแลแห่งจักรวาลถือเป็นเทพสูงสุด เพราะทุกอย่างเกิดจาก "หริ" โดย"หริ" ได้แบ่งตนเองออกเป็น 3 คือ • พระพรหม มีหน้าที่สร้างและลิขิตสรรพสิ่งทั้งปวงในทั้งสามโลก • พระวิษณุ หรือ พระหริ มีหน้าที่ดูแลทั้งสามโลกให้อยู่ในความเรียบร้อย และสมดุล • พระศิวะ มีหน้าที่ทำลายสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงในโลกทั้งสาม หัวข้อ: Re: อวตารต่าง ๆ ของพระนารายณ์ ( พระวิษณุ ) เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 12:00:58 ก่อนอื่นว่าด้วยเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับพระวิษณุซึ่งปรากฏมีพัฒนาการยาวนาน ชาวทราวิฑ เริ่มนับถือพระวิษณุก่อนในฐานะเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร สมัยพระเวท ชาวอารยันถือว่าพระวิษณุเป็นเทพชั้นรอง มีสถานะเป็นตัวแทนของพลังดวงอาทิตย์ สมัยพราหมณะ พระวิษณุถูกยกย่องสูงขึ้นอีกในฐานะเทพผู้นำโชค แต่ยังไม่ถือเป็นมหาเทพ สมัยปุราณะ พระวิษณุได้รับการยกย่องเป็นมหาเทพผู้รักษาคุ้มครองโลก และเชื่อว่าเป็นองค์เดียวกับพระนารายณ์ คัมภีร์วิษณุปุราณะและภาควตปุราณะซึ่งแต่งขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 ได้พัฒนาบทบาทของพระวิษณุ โดยการเชื่อมโยงวีรบุรุษในตำนานของชาวอินเดียหลายคน เช่น พระราม พระกฤษณะ พระโคตมพุทธเจ้า ว่าล้วนแต่เป็นปางอวตารของพระวิษณุเพื่อผดุงธรรมะบนโลก ในยุคนี้เองที่เกิดลัทธิไวษณพ ซึ่งถือว่าพระวิษณุคือพระเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กว่ามหาเทพอื่น ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/46542160461346_IMG_8730.jpg) ว่าด้วยพระวิษณุในแต่ละคัมภีร์ ในคัมภีร์ของลัทธิไวษณพ (นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่) กล่าวว่าเมื่อยามที่พระวิษณุผู้เป็นใหญ่แห่งจักรวาลมีประสงค์ จะสร้างโลกทั้ง 3 นั้น ท่านได้เห็นว่าการสร้างโลกทั้ง 3 นี้ เป็นงานที่หนักสำหรับคนเพียงคนเดียว ท่านจึงแบ่งบางส่วน ของร่างกายพระองค์ออกเป็นมหาเทพทั้ง 3 พระองค์ โดยแขนซ้ายเป็นพระพรหม แขนขวาเป็นพระศิวะ และส่วนอกเป็น พระวิษณุ (แม้แต่ในรูปตรีมูรติ ก็จะเห็นว่า พระพักตร์ของพระวิษณุจะอยู่ตรงกลางเสมอ) ส่วนในคัมภีร์ของลัทธิไศวะ (นับถือพระศิวะเป็นใหญ่) จะกล่าวต่างออกไปคือ “พระปรเมศวร” (พระศิวะ) เป็นผู้สร้างพระวิษณุ เนื่องจากมีพระประสงค์จะสร้างสวรรค์และโลกซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ จึงต้องการผู้ช่วย โดยการนำหัตถ์ซ้ายมาลูบหัตถ์ขวา บังเกิดเป็นเทพชื่อ “พระวิษณุ” หรือ “พระนารายณ์” พระปรเมศวร ได้สอนศิลปะด้านต่าง ๆ ให้กับพระวิษณุในทุกด้าน และให้ประทับอยู่ ณ เกษียรสมุทร เมื่อเกิดเหตุร้ายในโลกมนุษย์ หรือสวรรค์เมื่อใด พระวิษณุก็จะมีหน้าที่ไปปราบปราม เหล่าอสูรและผู้ประสงค์ร้ายนั้น ๆ โดยในบางคราวก็จะได้รับการร้องขอจากเหล่าเทพเทวดาบ้าง คัมภีร์มหาภารตะ เล่าไว้ถึงพระนารายณ์ว่าแต่เดิมคือฤๅษีตนหนึ่ง เป็นบุตรของฤๅษีธรรมะ ได้เดินทางจากโลกมนุษย์ ไปสู่สถานที่ของพวกพราหมณ์พร้อมเพื่อนสนิทนามว่า “นร” เพื่อบำเพ็ญเพียรจนได้รับการเคารพบูชาจากเทพเทวดาทั้งมวล ต่อมาได้รับการขอร้องจากเหล่าเทวดาให้ช่วยปราบอสูรที่สร้างความเดือดร้อน ฤๅษีทั้งสองจึงได้รับปากช่วยเหลือ โดยได้ออกรบกับอสูรจนได้รับชัยชนะ จึงได้รับความเคารพนับถือจากเหล่าเทวดายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน จนภายหลังฤๅษีนารายณ์ได้ออกเดินทางไปบำเพ็ญตนยังหิมาลัยจนบรรลุผลเป็นพราหมณ์ (ผู้รู้แจ้งทุกสิ่งในโลก) และได้เป็นผู้นำเหล่าพราหมณ์ในเวลาต่อมา จากการยกย่องบูชาตลอดที่ผ่านมาจนเป็นที่รู้จักในนาม “พระวิษณุ” (http://www.sookjaipic.com/images_upload/54983781816230_IMG_8731.jpg) พระนามของพระวิษณุ พระนามของพระวิษณุ มีผู้ขนานนามเรียกขานจากความแตกต่างกันตามความเชื่อ ตามฤทธิ์อำนาจ และตามเหตุการณ์ที่ต่างกันตามกาล อาทิ
หัวข้อ: Re: อวตารต่าง ๆ ของพระนารายณ์ ( พระวิษณุ ) เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 12:40:02 พระนารายณ์ 10 ปาง ในความเชื่อของคนไทย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/33450268581509_IMG_8839.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/45635609908236_IMG_8864.jpg)
หัวข้อ: Re: อวตารต่าง ๆ ของพระนารายณ์ ( พระวิษณุ ) เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 12:49:10 ปางที่ 1 วราหาวตาร อวตารเป็นหมูเผือกเขี้ยวเพชร (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42843424694405_IMG_8741.jpg) อ้างถึง ปางเสด็จเสวยชาติพญาหมู เพื่อปราบตรูหมู่มารมรรคาสัย ฤทธิรงค์ม้วนแผ่นดินหนีบเอาไว้ ธแปลงกายเป็นหมุป่าขวิดถึงตาย แล้วทรงงัดเอาโลกคืนกลับมา สู่โลกสันติสุขนิรัติศัย แต่เป็นเหตุต้องอวตารอีกหนไป ถึงสี่ปางชลาสัยนิรัตกร (http://www.sookjaipic.com/images_upload/45987302396032_IMG_8739.jpg) ปางอวตารแรก (บางตำราว่าเป็นปางที่สาม) ของพระนารายณ์มหาเทพผู้พดุงสันติสุขของจักรวาลคือวราหาวตาร เป็นพญาหมูป่าเผือกมีเขี้ยวเป็นเพชร เพื่อปราบหิรัณยากษะ ผู้ม้วนโลกไว้ในรักแร้ ทั้งยังเห็นเหตุให้พระนารายณ์ ต้องอวตารลงไปอีกสี่ครั้ง โดยเรื่องมีอยู่ว่า หลังจาการกวนน้ำอมฤตซึ่งใช้เวลานานมากทำให้ทรงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากพอเสร็จพระนารยณ์ก็เข้าบรรทมสิทธุ์ทันที เวลานั้นมีพรหมกุมารสี่ตนอันได้แก่ สนกะ สนันทนะ สนาตนะ สันตกุมารซึ่งเคยได้รับอนุญาตจากพระนารายณ์ ให้เข้าเฝ้าเวลาไหนก็ได้นั่น ได้เดินทางมาเฝ้าพระนารายณ์เวลานั้นยามเฝ้าทวารชื่อชยะ วิชยะได้ห้ามปราบพรหมกุมารทั้งสี่ แม้พรหมกุมารทั้งสี่บอกว่าตนได้รับสิทธิพิเศษก็ไม่เชื่อ ทั้งยังกล่าววาจาถูกหมิ่นว่าเป็นเพียงเด็กน้อย พรหมกุมารทั้งสี่จึงโกรธ ว่ามาว่ากล่าวตนซึ่งเป็นพราหมณ์ ซึ่งตามคัมภีร์พระเวทเป็นบาปมหันต์ จึงสาปให้ทั้งสองลงไปเกิดเป็นมาร้ายในโลก สมกับบาปที่เจ้ากระทำถึง 3 ชาติ ในครั้งนั้นเกิดเสียงดังกัปนาทจนพระนารายณ์ตื่นบรรทมมาและเห็นเข้าจึงรีบกุลีกุจอต้อนรับพรหมกุมารทั้งสี่ ทั้งยังขอโทษเป็นการใหญ่ ฝ่ายชยยะกับวิชยะก็รู้ว่าตนผิดไปแล้วจึงขอให้พระนารายณ์ช่วยเหลือ แต่พระนาราณย์ ก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะคำสาปของพรามหณ์นั้นศักดิ์สิทธิ์แก้ไม่ได้ แต่พระนารายณ์ได้อนุเคราะห์ด้วยการจะทรงลง ไปสังหารทั้งสองด้วยตัวเองโดยชาติแรกทั้งสองเกิดเป็นหิรัณยากษะและหิรัณยกศิปุสองพี่น้อง ตนจะไปเป็นหมูป่า และนรสิงห์ ชาติที่สองไปเกิดเป็นตระกูลพรหมยักษ์นามทศกัณฐ์และกุมภกรรณและตนจะเกิดเป็นพระรามไปปราบ ส่วนชาตอที่สามไปเกิดเป็นมนุษญ์ชื่อพญากงส์และศิสุปาลและทรงไปเกิดเป็นมุนษย์ชื่อกฤษณะเพื่อปราบทั้งสอง แล้วชยยะและวชยะก็ลงไปเกิดในโลกมนุษย์ที่แสนลำบากโดยไปเกิดเป็นหิรัณยากษะกับหิรัณกศิปุสองพี่น้อง ทั้งคู่เป็นยักษ์ที่มีกำลังมากจนพวกพราหมณ์ มนุษย์ต่างเกรงกลัวทั้งสิ้นนานวันเข้าทั้งสองก็ผยองคิดว่าตนแน่ หิรัณยากษะกำเริบเสิบสานคิดว่าตนมีกำลังเนิดกว่าผู้ใดคิดจะครอบครองโลกแต่เพียงผู้เดียวจึงใช้อิทธิฤทธิ์ของตน ในการม้วนแผ่นดินทั้งโลกไว้ใต้รักแร้และลงไปอยู่ในโลกบาดาล ยังผลให้เดือดร้อนไปทั่ว ร้อนถึงพระนารายณ์ ที่ต้องลงมาสะสางปัญหาด้วยการอวตารแบ่งภาคลงมาเป็นพญาหมูป่าตัวเผือกขาวดังสำลีมีเขี้ยวโง้วยาวเป็นเพชร ลงไปสังหารหิรัณยากษะทั้งสองต่อสู้กันอย่างรุนแรงหิรัณยากษะมัวแต่ห่วงแผ่นดินใต้รักแร้จึงพลาดท่าถูกหมูป่ายักษ์ขวิด ถึงแก่ความตายตาย เสร็จแล้วพญาหมูป่าก็ใช้จมูกทูนแผ่นดินขึ้นมาด้านบนและใช้เขี้ยวคลี่แผ่นดินออก ให้โลกกลับสู่สันติสุขอีกครั้ง แล้วตนก็กลับไปรวมภาคกับพระนารายณ์ตามเดิม (http://www.sookjaipic.com/images_upload/31019374272889_IMG_8742.jpg) หัวข้อ: Re: อวตารต่าง ๆ ของพระนารายณ์ ( พระวิษณุ ) เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 13:02:38 ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/90554807417922_IMG_8746.jpg) อ้างถึง ปางทวิราชอวตารมหาเทพ ทรงเสด็จแปลงเป็นเต่าเจ้าชลสิทธิ์ แบกรองรับกันโลกรั่วด้วยพิธี กวนเกษียรณธาราอมฤต เพลานั้นปรากฎอสุรามัจฉา มากวนก่อทำลายบั่นเสาหิน ทรงฤทธานุภาพชัยนรรินทร์ ชำระสิ้นซึ่งอาธรรม์มรรคาลัย ปางอวตารลำดับที่สองของพระนารายณ์คือกูรมาวตาร โดยทรงอวตารมาเป็นเต่าเรื่องมีอยู่ว่า ฤษีทุรวาส (หนึ่งในปางอวตารของพระศิวะ) เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสามภพได้เดินทางมาบนสวรรค์ เวลานั้นพระอินทร์ ทรงช้างเอราวัณผ่านมาพอดี ฤาทุรวาสเห็นเทวธิบดีจึงถอดพวงมาลัยดอกไว้จากคอมาถวายแก่พระอินทร์แต่พอถวายไป ช้างเอราวัณซึ่งพอได้กลิ่นดอกไม้ก็เกิดตกมันอาละวาดคว้าเอาพวงมาลัยมากระทืบจนแหลก ฤษีทุรวาสโกรธ ว่าพระอินทร์ไม่ให้เกียรติตนจึงสาปพระอินทร์และหมู่เทวดาว่า"หากรบทัพจับศึกคราก็ให้พ่ายแพ้ทุกครั้ง" แล้วฤาษีทุรวาสก็เหาะกลับไปอาศรมของตน พวกเทวดาพอถูกสาปต่างรู้ถึงฤทธานุภาพของพระฤาษีต่างก็เกรงกลัวภัยยิ่ง เพราะทุกครั้งเวลาตนรบกับพวกอสูรยักษ์ก็ชนะมาตลอด พระอินทร์จึงมีบัญชาให้เก็บไว้เป็นความลับ แต่เรื่องนี้ก็ได้รั่วไหล ไปสู่หูของพวกอสูรจนได้จึงยกพลขึ้นมารบกับเทวาดผลคือเทวาดาแพ้ พระอินทร์และพวกต้องหนีไปพึ่งพระนารายณ์ ที่เกษียรสมุทรไวกูณฐ์โลก บ้างก็หนีไปบ้างก็ถูกจับเป็นเชลยบ้างก็ถูกฆ่าตาย ด้วยความเมตตาพระนารายณ์จึงออกอุบาย แก้คำสาปของฤาษีทุรวาสว่า ควรทำพิธีกวนนำอมฤตเพื่อเพิ่มพลังให้แก่เทวดา ยังทำให้พวกเทวดาเป็นอมตะไม่มีวันตายอีกด้วย แต่ต้องให้เทวดาแก้งอ่อนน้อมต่ออสูรโดยรับว่าต่ำต้อยกว่า เพราะการกวนนำอมฤตเป็นงานใหญ่ต้องใช้การ่วมมือของทั้งสองฝ่าย และพระอินทร์ก็ออกอุบายพักรบมากวนนำอมฤตโดยร่วมกันหาสมุนไพรและจะแบ่งให้กินพวกอสูรก็หลงกลทำตาม พอได้เวลาพระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ก็เสด็จมาเป็นประธานในพิธีเหล่าเทวดาและอสูรต่างก็เอาสมุนไพรมาเทลง ในเกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) ที่ประทับของพระนารายณ์ และก็ถอดเอาเขามันทรามาปักไว้กลางเกษียรสมุทรเป็นไม้กวน และให้พญานาควาสุกรีเป็นเชือกพันรอบเขามันทราแล้วออกอุบายว่า ให้เทวดาฉุดด้านหางและอสูรฉุดด้านหัว เพราะด้านหัวพญานาคต้องใช้กำลังมากจึงต้องอาศัยคนที่มีฤทธิ์เดชเยอะ เวลานั้นพวกอสูรก็ทะนงตัวว่ามีอานุภาพเกรงไกร ฝ่ายเทวดาเองก็ทำตามอุบายของพระนารายณ์ที่โอนอ่อนตามพวกอสูรจึงหลงกลพากันไปฉุดทางหัวซึ่งลำบากกว่า เพราะการกวนใช้เวลานานมากพญานาคต้องเหนื่อยและล้าเพราะถูกฉุดอยู่ตลอดเวลาเมื่อทนไม่ไว้ก็จะคายพิษออกมาที่หนึ่ง ไปถูกอสูรตายไปเป็นจำนวนมากแล้วส่วนใหญ่ก็อ่อนแรงลง เวลานั้นเองเขามัทราที่เป็นไม้กวนถูกใช้กดลงไปแรงเกินไป ซึ่งอาจทำให้พื้นทะลุลงไปยังโลกมนุษย์พระนารายณ์จึงแบ่งภาคอวตารมาเป็นเต่า ใช้กระดองของตนรองรับแรงเสียดสี ของเขามัทรามิให้พื้นทะลุและทำให้โลกแตกได้ เมื่อการกวนผ่านไปนานเข้าพิษพญานาคก็คายออกมามากขึ้น ก็เกิดกริ่งเกรงว่าพิษที่ลงไปยังทะเลจะไล่ลงไปยังโลกและจะสังหารทุกอย่างพระศิวะจึงนำสังข์ของตนมารองรับพิษนาค และดื่มกินไว้เองเพื่อป้องกันอันตรายนี้เป็นเหตุให้พระศิวะมีคอสีดำและสีดำกลายเป็นสีของความรักอันบริสุทธิ์ของชาวฮินดู (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42694929945799_IMG_8747.jpg) ในระหว่างการกวนนำอมฤตมีอสูรปลาตนนี้คิดไม่ดีหวังจะทำลายโลกจึงมาคอยตอดทำลายเขาให้พังลงมา พระนารายณ์ในร่างเต่าจึงเข้าสังหารอสูรปลาทันทีมิให้มาขวางการกวนน้ำอมฤต ในระหว่างการกวนน้ำอมฤตซึ่งใช้เวลานานมาก ได้เกิดของวิเศษ 14 อย่างผุดขึ้นมาคือ สิ่งที่ 1 ที่ผุดขึ้นมา คือ ดวงจันทร์ เหล่าทวยเทพแลอสูรต่างสำนึกในบุญคุณแห่งการเสียสละของพระศรีกัณฐะ จึงต่างเห็นพ้องกันว่าของวิเศษประการแรกควรถวายแด่องค์พระโยเคศวรศิวะเจ้า พระเป็นเจ้าจึงหยิบเอาดวงจันทร์นั้น มาทัดเป็นปิ่นทันที เทวดาและอสูรได้เห็นพระรัศมีที่งดงามของพระเป็นเจ้าศิวะและของดวงจันทร์คู่กันอย่างเหมาะสมลงตัว จึงต่างสรรเสริญพระนามให้ใหม่ในทันทีว่า “จันทรเศขร” สิ่งที่ 2 ที่ผุดขึ้นมา คือ แก้วเกาสตุภะ เทวดาและอสูรก็นำไปถวายแด่องค์พระวิษณุมัธวะ สิ่งที่ 3 ที่ผุดขึ้นมา คือ ดอกบัวซึ่งมีพระลักษมีเทวีประทับอยู่ในนั้น แล้วพระลักษมีก็เสด็จออกจากกลางดอกบัว ทั้งเทวดาอสูรและเหล่าฤาษีต่างมองกันอย่างไม่กระพริบตาด้วยความงดงามขนาดจินตกวียังไม่รู้จะหาคำใดมาพรรณาในความงามนี้ ได้อย่างถูกต้อง ทันใดนั้นพระวิศวกรรมจอมช่างก็ได้เนรมิตเครื่องทรงถวายพระศรี แล้วพระศรีทรงคล้องพวงมาลัยทิพย์ที่ไม่รู้จัก มาสวมไว้ แล้วเสด็จตรงโดยไม่ใยดีผู้ใดในสามโลก ตรงมาเข้าเฝ้าพระอนันตไศยินในทันทีพระวิษณุก็ทรงรับสวมกอดเอาไว้ ด้วยพระศรีนั้นเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง ทั้งสามโลกจึงไม่มีใครกล้าปฏิเสธในการเลือกของพระเทวีในครั้งนี้ สิ่งที่ 4 ที่ผุดขึ้นมา คือ นางวารุณีเทวีแหล่งเหล้า สิ่งที่ 5 ตามมาด้วยช้างเผือกเอราวัณ พระอินทร์นั้นรับไว้เป็นพาหนะประจำพระองค์ สิ่งที่ 6 จากนั้นก็ตามมาด้วยม้าอุจไจศรพ พระอินทร์ก็รับไว้เป็นพาหนะอีก แล้วก็ตามมาด้วย สิ่งที่ 7 ต้นปาริชาติ อันมีดอกที่หอมมาก มีสรรพคุณสามารถระลึกชาติได้ ต้นไม้นี้ก็ล่องลอยขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ทันที สิ่งที่ 8 ที่ผุดขึ้นมา คือ โคสุรภี หรือ กามเธนุ เป็นโควิเศษสามารถบันดาลอะไรได้ตามต้องการ สิ่งที่ 9 ที่ผุดขึ้นมา คือ หริธนู สิ่งที่ 10 คือ สังข์ สิ่งที่ 11 ที่ผุดขึ้นมา คือ เหล่านางอัปสรผู้เลอโฉม 35 ล้านตน แต่หามีเทวาและอสูรรับพวกนางไว้ครอบครอง เลยต้อง กลายเป็นของกลางไม่ตกแก่ใคร เป็นนางบำเรอสร้างความสุขทั่วไป สิ่งที่ 12 ที่ผุดขึ้นมา คือ พิษร้าย ซึ่งไม่มีใครรับไว้ครอบครองนอกจากพวกเหล่าอสรพิษทั้งหลาย สิ่งที่ 13 และ 14 ที่ผุดขึ้นมาพร้อมๆ กันคือ ธันวันตริผู้เป็นแพทย์สวรรค์ ผุดขึ้นมาทูนหม้อน้ำทิพย์อมฤตซึ่งเป็นสิ่งวิเศษ ลำดับที่ 14 ขึ้นมาด้วยแล้วค่อยๆ ประคองวางลงบนแท่นบัวทองคำอันวิจิตรสถิตอยู่ริมฝั่งเกษียรสมุทร พอหม้อมน้ำอมฤตทูนออกมาพวกอสูรและเทวดาก็แย่งกันแต่เทวดาสู้ไม่ได้ พระนารายณ์จึงแปลงกายเป็นนางอัปสร ชื่อโรหิณีไปล่อลวงอสูรให้หลงงงงวยในความงามของนาง พระอินทร์ได้โอกาศก็แอบขโมยนำอมฤตกลับมาแบ่งในหมู่เทวดา มีเพียง ราหู ที่ไม่หลงกลแปลงกายเป็นเทวดามาดื่มด้วยพระอาทิตย์กับพระจันทร์รู้เข้าจึงไปฟ้องพระนารายณ์ พระนารายณ์จึงขว้างจัรกสุทรรศน์ไปตัดราหูออกเป็นสองท่อน แต่ราหูไม่ตายเพราะดื่มน้ำอมฤตแล้ว ราหูจึงโกรธแค้นพระอาทิตย์ และพระจันทร์มาและจะจับกินทุกครั้งที่เจอกันเป็นปรากฏการณ์สุรยคราสและจันทรคราส ฝ่ายอสูรกว่าจะรู้ตัวว่าโดนหลอก เทวดาก็ดื่มน้ำหมดแล้วจะยกพลขับไล่พวกอสูรออกไป พระนารายณ์ได้มอบหม้อนำกับพระอินทร์เก็ยรักษาเป็นของห้วงห้าม ของสวรรค์ ฝ่ายพวกนาคพวกงูที่หวังจะมีส่วนรวมบ้างก็พลอดอดไปด้วยแต่ก็มาเลียนกินหญ้าคาซึ่งรองรับหม้อน้ำ ซึ่งพอมีน้ำหลงเหลืออยู่บ้าง หญ้าคาบาดลิ้นทำให้ลิ้นแตกเป็นสองแฉกนับแต่นั้นมา และนี้คืออวตารปางที่สองกูรมาวตาร (http://www.sookjaipic.com/images_upload/72927367397480_IMG_8745.jpg) หัวข้อ: Re: อวตารต่าง ๆ ของพระนารายณ์ ( พระวิษณุ ) เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 13:19:29 ปางที่ 3 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง/ตะเพียนทอง) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/39056883090072_IMG_8748.jpg) อ้างถึง ปางจะกล่าวถึงปฐมอวตารภาค องค์สมเด็จพระนารายณ์เจ้านาถา ทรงเสด็จปราบยุคเข็ญในโลกหล้า ปราบหมู่มารผจณปัจจามิตร ครั้นพรหมนิทราราตรีทิพย์ หัสยครีพอสุราผู้ทรงมหิทธิศร ขโมยพระเวทเล่งคาถายุภากร ให้สาครท่วมมั่วทั้งโลกา พระวิษณุผู้ประสานเมตตาธรรม วรนำอำภาสุชาศัย อวตารมาเป็นปลาตะเพียนทองอำไพ ช่วยโลกหล้าเข้าไว้รอดมหาภัย เมื่อพระพรหมทรงสร้างสากลจักรวาลเสร็จสิ้นซึ่งใช้เวลาการสร้างยาวนานมากแล้วจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน พอสร้างเสร็จแล้วก็ทรงเข้าสู่นิทราเรียกว่า "พรหมราตรี" เป็นช่วงเวลาที่พระพรหมหลับซึ่งใช้เวลายาวนานมาจะตื่นอีกครั้ง ก็ตอนโลกาวินาศและสร้างโลกใหม่อีกครั้ง ระหว่างที่หลับอยู่นั้นเองก็มีอสูรตนหนึ่งชื่อว่าหัยครีพหรือสังขอสูร อสูรหอยสังข์ผู้มีใจหายช้าปรารถนาที่จะครอบครองพระเวทไว้ เพราะคัมภีร์พระเวทในความเชื่อของฮินดูเป็รแหล่งของพลังอำนาจ และพระพรหมเป็นผู้เก็บรักษาไว้จึงว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจสูงสุดนั้นเอง ระหว่างที่พระพรหมหลับน้ำลายก็ไหลออกมาจากปาก ตอนนั้นเองพระเวทซึ่งเก็บรักษาไว้ในปากก็ไหลออกมาด้วย หัยครีพเห็นก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปคว้าเอาพระเวทมาครอบครอง ซึ่งสรางความปั่นปวนในจักรวาลเป็นอย่างมาก หัยครีพคิดจะลองฤทธิ์ของพระเวลทเลยเปิดอ่านดูและพบว่าโลกเวลานี้ เต็มไปด้วยคนชั่วใกล้ถึงเวลาแตกดับด้วยการถูกน้ำท่วมโลก หัยครีพเห็นก็ดีใจว่าตนจะรอดตายเพราะตนเป็นสัตว์น้ำ เลยคิดจะลองให้พระเวทในการเร่งให้น้ำท่วมโลกเร็วขึ้น การณ์อันวุ่นวายปรากฎไปทั่วพระนารายณ์ทรงเล็งเห็นจึงทรงอวตาร แบ่งภาคลงมาเป็นปลาตะเพียนทองชื่อสะพะริน ในโลกมนุษย์เวลานั้นเต็มไปด้วยความชั่วคนดีเหลือน้อยมารวมทั้งท้าวสัตยวา กษัตริย์เมืองพาราณสีซึ่งเป็นกษัตริย์ ที่มีเมตตาธรรมยิ่ง วันหนึ่งท้าวสัตยวาได้เดินไปประพาสป่าพบได้ยินสิ่งเสียงร้องเรียกตนเลยหันไปมองเห็นปลาตะเพียนทอง อยู่ในแอ่งน้ำที่เกิดจากรอยเท้าสัตว์ใกล้แห้งขอดเต็มที ปลาตะเพียนทองตัวน้อบร้องขึ้นมาว่า "ข้าแต่พระราชาผู้ประเสร็จโปรดช่วยข้าให้พ้นจากมรณภัยเป็นกุศลสักคราเถิด" ทาวสัตยวาตอบกลับไปว่า "เจ้ามาแต่ที่ใดเหตุฉะไหนถึงมาติดอยู่ที่นี้" ปลาน้อยตอบว่า "ข้าชื่อสะพะรินถูกพายุเมื่อคืนก่อนพัดมาตกอยู่นี้ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิอ เพราะไม่มีใครคิดช่วยข้าเลย ข้ามิอยากสิ้นชีพที่นี้" ท้าวสัตยวาผู้มีเมตตาจึงลงไปเอามือวักเอาปลามาใส่ถ้วยนำของตนและนำไปเลี้ยงที่อ่างดินหน้าพระตำหนัก เวลาผ่านไปไม่กี่วัน ปลาตะเพียนสะพะรินตัวโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนคับอ่างเป็นที่ตกใจของข้าราชบริพารเป็นอันมาก ท้าวสัตยวาเห็นก็สงสาร จึงทำตามที่ปลาสะพะรินขอด้วยการย้ายไปอยู่ที่สระบ้วใกล้พระตำหนัก แต่เพียงไม่กี่วันปลาตะเพียนก็ตัวโตขึ้นจนคับสระ ท้าวสัตยวาก็บัญชาให้ย้ายไปไว้ในบึงในพระอุทยาน แต่ปลาตะเพียนก็ตัวโตขึ้นอีกจนต้องย้ายไปไว้ในห้วง คลอง แม่น้ำ จนออกมหาสมุทรตามลำดับ ท้าวสัตยวานั้นสังเกตความแปลกประหลาดของปลาตัวนี้มานานแล้วเห็นแปลกใจจนในที่สุด เมื่อท้าวสัตยวาไปเยี่ยมปลาสะพะรินที่ปากมหาสมุทรก็เลยถามว่า "สะพะรินเอย เราสังเกตพฤติการณ์เจ้ามาหลายเพลาแล้วเห็นผิดประหลาดจากมัจฉาทั่วไป จงบอกความจริงมา ว่าเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่จะเป็นเทวดาหรือปีศาจอสูรหรือสิ่งไรจงแถลงมา" ปลาตะเพียนทองกล่าวขึ้นว่า "ท้าวสัตยวาผู้เมตตาเรานั้นหาใช่อสูรร้ายหรือปีศาจผีสางที่ได้" ทันใดนั้นก็ทรงแสดงฤทธิเป็นรูปพระนาราย์สี่กรถือคทาจักรตรีสังข์ท่อนบนและท่อนล่างเป็นปลาให้ท้าวสัตยวา และข้าราชบริพารเห็นต่างตกใจตะลึงและปลาตะเพียนก็เล่าความจริงให้ฟังเกี่ยวการอวตารมาครั้งนี้เพื่อที่จะช่วยคนดีให้พ้นภัย ของหัยครีพอสูรและปราบอสูรผู้นี้เอาพระเวทกลับไปคืนพระพรหม พร้อมกล่าวว่าที่ตนทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการทดสอบ เมตตาและขันติของท้าวสัตยวาว่าควรข้าที่พระองค์ผู้เป็นมหาเทพจะช่วยเหลือหรือไม่และท้าวสัตยวาก็สอบผ่าน จึงมีพระบัญชาให้ท้าวสัตยวาสร้างเรือลำใหญ่เอาสัตว์ชนิดต่างๆอย่างละคู่ตัวผู้ตัวตัวเมียตัว พันธ์ไม้นานาชนิดอย่างละสอง พร้อมพระองค์ มเหสีพระราชวงศ์ ข้าราชบริพารที่มุคณความดีซึ่งสะพะรินเลยแล้ว รวมทั้งฤาษีทั้งเจ็ดกับชาวบ้าน ที่มีคุณธรรมอีกสิบครอบครัวขึ้นไว้บนเรือ เมื่อมหันตภัยล้างโลกมาถึงจะได้ปลอดภัยและเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์อีกครั้ง ในอนาคต ท้าวสัตยวารับบัญชาพระนารายณ์อวตารแล้วก็ทรงไปสั่งการณ์ตามนั้น (http://www.sookjaipic.com/images_upload/88061959296464_IMG_8753.jpg) หัยครีพอสูรนั้นได้อ่านพระเวลทจบบทก็เกิดระลอกน้ำขนาดใหญ่ฝนตกห่าใหญ่เจ็ดวันเจ็ดคืนจนนำท่วมทั่วทุกแห่งหน ผู้คนตายไปเหลือคนานับ พวกของท้าวสัตยวาที่ทำตามบัญชาพระนารายณ์ก็อยู่ในเรือเพราะนำท่วมสูงขึ้น ลมพายุต่างโหมกระหน่ำ ดุจเรือจะแตกออกสะพะรินก็ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมพญานาค ปลาสะพะรินได้ให้พญานาคคดรอบลำเรือและม้วนตัวที่หน้าเรือ เป็นเชือกให้สะพะรินว่ายพาเรือออกไปล่องตามลำนำจนพ้นอันตรายแล้วพญานาคก็คลายตัวออกไป สะพะรินก็ได้สั่งในท้าวสัตยาวา ล่องเรือไปตามทางตะวันออกเรื่อยๆส่วนตนก็ดำลงไปในน้ำพบหับหัยครีพอสูรก็ได้ต่อสู้กัน หัยครีพอสูรเห็นตนไม่มีทางสู้ เพราะปลาตัวนี้คือพระนารายณ์อวตารจึงกล่าวปรารถนาแห่งตนว่า "ตนปรารถนาจะอยู่ค่คัมภีร์พระเวทตอลดไป" ปลาตะเพียน กลายร่างเป็นพระนารายณ์ดังที่ปรากฏต่อหน้าท้าวสัตยวาแล้วแหวกอกหัยครีพออกล้วงเอาพระเวทคืนมาได้สำเร็จและหัยครีพอสูร ก็ถึงแก่ความตาย สะพะรินก็กลับไปรวมกับพระนารายณ์นำพระเวทไปคืนพระพรหมให้สร้างโลกอีกครั้ง นับแต่นั้นมาหอยสังข์ที่เป็นลูกหลานของหัยครีพจึงต้องมีรอยเหมือนมือคนแหวกอยู่และพราหมณ์ก็ใช้หอยสังข์ ในการเป่ารวมกับการอ่านคัมภีร์พระเวทตามปรารถนาของหัยครีพอสูร รวมทั้งตำนานนี้ยังเกี่ยวข้องกับตำนานน้ำท่วมโลก ซึ่งก็คล้ายกับตำนานเรือโนอาห์ของคริสต์ศาสนา โดยเชื่อว่าโนอาห์คือภาคเลียนแบบของมัตสยาวตารไปเพราะศาสนาฮินดู เกิดก่อนกำเนิดของศาสนาคริสต์และได้มีการพบปะกันในชั่วจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจจึงเป็นไปได้ว่ามีการแลกเปลี่ยน ทางวัฒนธรรมตรงนี้นั้นเอง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/58003932858506_IMG_8754.jpg) |