[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => กระบวนการ NEW AGE => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 05 เมษายน 2553 08:28:00



หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : สิทธิมนุษยชน-ความก้าวหน้า-สมัยใหม่ ฯลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 05 เมษายน 2553 08:28:00
(http://siqintelligens.dk/images/1/soul%20-%20in%20the%20World_2.jpg)
 
ที่ละไว้เพราะว่าไม่มีที่จะเขียน คิดว่าคงไม่มีหัวเรื่องไหนที่ยืดยาวถึงสองสามบรรทัด ครั้นจะตัดอย่างที่เป็นหัวเรื่องของบทความนี้ ก็กลัวท่านผู้อ่านจะเข้าใจผิด ผู้เขียนไม่ใช่ฮิปโปคริต แต่ความจริงที่ต้องย้ำในที่นี้ก็คือ ผู้เขียนเห็นด้วยกับ เดวิด ลอย-นักปรัชญาของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และครูผู้สอนเซ็นพุทธศาสนา-อย่างยิ่ง ที่กล่าวว่าความเป็นตะวันตก ความเป็นอเมริกัน คือน้ำมันกับไฟที่ช่วยโหมกระพือวัฒนธรรม หรือวิถีสังคมของเราให้เชื่ออย่างผิดๆ ว่า ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีจะยังให้ประเทศที่ใช้ระบบนั้นๆ เจริญ หรือการกระตุ้นให้ประชาชนของประเทศตนเป็นนักบริโภคนิยม-ก้าวหน้า ที่สำคัญวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวัตถุนิยมที่แยกส่วนและไร้จิตวิญญาณ (embodied) คือความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า (David Loy: A Buddhist History of the West, 2002) ซึ่งหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาเลย หากแต่เป็นเรื่องคำสอนพระพุทธองค์เรื่องกิเลสตัณหา โดยเฉพาะความหลงผิดโมหจริต (delusiom) ของสังคมอเมริกันที่สอนให้มนุษย์เห็นแก่เงิน หรือเห็นกงจักรเป็นดอกบัว นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมตะวันตก หรือความเป็นอเมริกันที่เดี๋ยวนี้เรียกว่ากระแสโลกานุวัตรส่งออก และคำอื่นๆ-ที่ผู้เขียนคิดว่าจะตั้งเป็นหัวข้อของบทความบทนี้-ซึ่งต่างเป็นคำที่เราเอามาใช้กันอย่างโก้หรู โดยไม่คิดว่ามันผิดธรรมชาติอย่างที่สุด นับเป็นสาเหตุสมุฏฐานของวิกฤติ มหาวิกฤติ ดุษฎีวิกฤติต่างๆ หรือโลกพัง เช่นคำว่า เศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี บริโภคนิยม กระแสโลกานุวัตร บรรษัทข้ามชาติ สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย (แบบที่มีอยู่หรือประชาธิปไตยตัวแทน) อิสรภาพ ความเจริญ ความก้าวหน้า สมัยใหม่ หรือความทันสมัย การพัฒนา ซึ่งก็คือการหาทางเอาชนะหรือควบคุมธรรมชาติ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดก่อให้เกิดโมหจริต ความหลงผิด กับความเป็นสอง ความแตกแยก ท่านผู้อ่านกรุณาคิดให้รอบคอบว่าทำไมทุกคนจึงอยากเป็น "คนดี" หรือทำไมบางคนถึงมีพฤติกรรมเป็นดั่งสัตว์นรกนั่น-เป็นความต้องการของเขา หรือเพราะสังคมบีบคั้นหรืออย่างไร?
 
ท่านผู้อ่านไม่ทราบว่าจะเคยมีประสบการณ์สังเกตพฤติกรรมปกติธรรมดาทั่วไปของสัตว์ที่เราเห็นเป็นประจำ เช่น หมา แมว วัว ควาย อาจจะยกเว้นพวกลิง พวกมันจะไม่ทำอะไรเลย นอกจากกินกับนอนนอกจากฤดูสืบพันธุ์ของมัน ส่วนพวกลิงนั้นหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติของมันก็จะมีฤดูสืบพันธุ์เหมือนกัน เว้นเสียแต่ถูกจับมาอยู่ในสวนสัตว์ ซึ่งลิงตัวผู้อาจจะมีอารมณ์ทางเพศคล้ายๆ กับมนุษย์ที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องกำหนดเวลาที่จะสืบพันธุ์ แต่ตัวเมียโดยธรรมชาติจะไม่ยอม เพราะว่าแม่จะต้องคำนึงถึงเวลาหลังคลอดที่ลูกลิงจะต้องมีความปลอดภัยที่สุดตามสัญชาตญาณธรรมชาติของสัตว์ ดังนั้น ประสบการณ์อันเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ตามที่สังเกตมา จะคำนึงถึงความปลอดภัยในทุกด้านหรือการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เป็นสำคัญที่สุด ส่วนเวลาที่เหลือ-หากแน่ใจว่าปลอดภัย-คือ หากิน หากินกับหากิน และนอน นอนกับนอนเท่านั้น ที่พูดมานั้นเป็นส่วนสำคัญของวิวัฒนาการทางกายภาพ ที่ให้พฤติกรรมทางกายเช่นเดียวกันของสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกหรือเป็นสังคมในธรรมชาติ วิวัฒนาการในรูปแบบที่กว้างๆ ในทางกายภาพของมนุษย์ (ยกเว้นเพศสัมพันธ์) ก็เป็นเช่นนั้น เพราะมนุษย์เคยชินกับความปลอดภัย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์โลกหรือเป็นมนุษย์ จะมีเป้าหมายหรือข้อจำกัดที่สิ้นสุดทั้งนั้น คือ ปลอดภัย สืบพันธุ์ กิน นอน ทุกอย่างพอเพียงพอดีและยั่งยืน (ปลอดภัย) ตามฐานันดรภาพของข้อจำกัดนั้นๆ มนุษย์โดยเฉลี่ยจะมีอายุไม่เกินร้อยปี มีสมองที่หนักไม่เกิน 1,400 กรัม และหัวใจจะหนักไม่เกิน 250 กรัมทั้งนั้น ส่วนวิวัฒนาการทางจิตนั้น มีเป้าหมายที่วิวัฒนาการของสมอง (ที่ไม่ใช่จิต) ซึ่งต้องวิวัฒนาการไปด้วยกัน เพราะว่าสมองมีหน้าที่บริหารจิต สัตว์โลกทุกชนิดประเภทมีเป้าหมายเฉพาะของสัตว์โลกประเภทนั้นๆ นั่นคือวิวัฒนาการธรรมชาติของกายและจิต ส่วนวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์นั้น เพราะตัวของเราเอง กับเพราะอวิชชา อหังการ และตัวกูที่ไม่รู้สึกตัว (unconscious-self) เราถึงได้ทำผิดธรรมชาติมาตั้งแต่ต้นเลย
 
ไม่ใช่เป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บ ไม่ใช่เป็นการต่อต้านสังคม ไม่ใช่เป็นการต่อต้านวัฒนธรรมอเมริกัน และยิ่งไม่ใช่เป็นบุคคลที่ใช้การตัดสินอย่างเบ็ดเสร็จว่าอะไรคือผิดหรือไม่ถูกต้องชั่วร้าย และอะไรคือความดีงามถูกต้องและชอบธรรม เพราะฉะนั้น ผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยกับจอร์จ บุช จูเนียร์ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเลย เมื่อบุชได้พูด-หลังกรณีเหตุการณ์ถล่มศูนย์การค้าโลก หรือกรณี 9/11 ที่นิวยอร์ก ว่า "เป็นการขัดแย้งที่แตกหักของอารยธรรม (clash of civilizations)..และเราขอเรียกร้องให้ (ชาวคริสต์ที่รักประชาธิปไตย) ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ (holy war ที่จอร์จ บุช จูเนียร์ ใช้คำว่า crusade) ต่อสู้กับความชั่วร้ายนี้" ตรงกันข้ามวัฒนธรรมของอเมริกา-จักรวรรดินิยมที่ใช้เงินและการเป็นผู้นำโลก (ภาวะจำยอมเพราะเป็นผู้ชนะแบบเบ็ดเสร็จสงครามโลกครั้งที่สองแต่ผู้เดียว) ที่มีว่าวัฒนธรรมของอเมริกาคือความถูกต้อง ประชาธิปไตยตัวแทนคือความถูกต้อง สิทธิมนุษยชนคือความถูกต้อง ความเจริญก้าวหน้า ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม การตลาดเสรี บริโภคนิยมยิ่งมากยิ่งดีคือความถูกต้อง ฯลฯ สรุปก็คืออะไรๆ ที่ฝรั่งตะวันตกและอเมริกาและอเมริกันมีอยู่และสนับสนุน-วัตถุกายภาพย่อมสำคัญและมีคุณค่ากว่าจิตใจที่มองไม่เห็น-ล้วนถูกต้องทั้งนั้น?
 
เช่นนั้นแล้ว เราจะช่วยตัวเองจากความเคยชินที่กลายเป็นนอร์ม กลายเป็นความปกติธรรมดาของ "ประเทศโลกที่สาม" ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้ง และจัดการให้ฝรั่งยุโรปหรืออเมริกาเท่านั้นเป็นคนฉลาด เก่งและเฮงกว่า เหมือนกับว่าฝรั่งเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ ส่วนมนุษย์ที่เหลือทั่วทั้งโลกอยู่ในนรก เราจะทำอย่างไรจึงจะกำจัดสิ่งเป็นเสมือนมะเร็งร้าย ความหลงผิด โมหจริตที่ชั่วร้าย หลอกหลอนหลายชั่วคนให้หมดไป? เราจะเอาชนะได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มก็ด้วยการรู้ความจริงที่แท้จริงเท่านั้น และเราต้องเข้าใจเช่นนั้นอย่างถ่องแท้ ความจริงแท้ที่อยู่ภายในและมองไม่เห็น เราจะต้องรู้ว่าสิ่งที่มองไม่เห็น หรือสิ่งที่ธรรมชาติซ่อนไว้อย่างมิดชิดนั้นย่อมจะสำคัญมากกว่าสิ่งพื้นๆ ที่ใครก็มองเห็นและหยิบฉวยได้ไปอย่างสบายมาก
 
นั่นคือเราต้องเข้าใจสังคมของมนุษย์ทั้งหมด ไม่เฉพาะแต่ระบบเงินหรือเศรษฐกิจที่ความเป็นอเมริกันมองว่า นั่นคือหัวใจของวิถีชีวิตของอเมริกันชน เพราะความเป็นชาติค่อนข้างใหม่ และเป็นหม้อหลอมของเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ที่ไม่มีวัฒนธรรมของชาติไม่มีกำพืดเป็นของตัวเอง แต่ยังต้องรวมทั้งระบบการเมืองใหม่ ระบบสังคมใหม่ ประวัติศาสตร์ใหม่ และองค์ความรู้หรือวิทยาศาสตร์กับศาสนาเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราในประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย โดยเฉพาะเราที่เป็นชาวพุทธจะต้องไม่ตามหลังอเมริกาหรือฝรั่งตะวันตกทุกๆ อย่างโดยไม่คิดหรือไตร่ตรองให้รอบคอบ เรา-ชาวพุทธต้องรู้ว่า หากว่าทุกประเทศจะต้องมีกฎหมายสูงสุดหรือรัฐธรรมนูญปกครองประชาชน ภพภูมิต่างๆ ก็ต้องมีกฎหมายสูงสุดหรือภพธรรมนูญเพื่อปกครองชาวโลกทุกๆ คน-ทั้งที่ตายจากภพภูมิหรือโลกนี้ ทั้งที่ยังไม่ตาย-นั่นคือกฎแห่งกรรมที่ปกครองมนุษย์ทุกๆ คน (ที่เจตนา) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสเองว่าทุกๆ คนเลย แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะนับถือหรือไม่นับถือพุทธศาสนา ฉะนั้น กฎแห่งกรรมคือกฎหมายสูงสุด-ที่ไม่เพียงแต่มนุษย์ใดๆ ในโลกนี้หรือภพภูมิแห่งนี้ ทั้งที่ตายแล้วหรือยังไม่ตาย-ที่ปกครองประชาชนทุกๆ คนในภพภูมิทั้งห้าภพภูมิ มันจึงไม่มีสิทธิมนุษยชน ความเจริญก้าวหน้า หรืออย่างหนึ่งอย่างใดดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น กฎหมายหรือธรรมนูญการปกครอง หรือความจริงทางโลกทางสังคมจะมีความสำคัญกว่ากฎแห่งกรรม หรือภพธรรมนูญ หรือความจริงที่แท้จริงได้อย่างไร? เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกเกิด เลือกผิวสีและเผ่าพันธุ์ เลือกสังคมประเทศชาติได้-หรือไร?
 
พุทธศาสนานั้นมองชีวิตและสังสารวัฏที่รวมจักรวาลและโลกนี้เป็นภพภูมิแห่งความทุกข์ ที่น่าจะแปลว่าความขัดแย้ง หรือความต้องการ หรือความถมไม่เต็มของความปรารถนามากกว่าความทุกข์ (suffering) ที่เราเข้าใจกันอันเป็นเรื่องกายภาพกับจิตรู้-ที่เป็นเรื่องของสมอง-ขณะที่ความปรารถนาความถมไม่เต็มเป็นเรื่องของอัตตา ตัวตน (self) ซึ่งเป็นเรื่องของจิตไร้สำนึก (unconsciousness) สมองจึงมีหน้าที่บริหารจิตไร้สำนึกที่ว่านั้นให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้เท่านั้น ความจริงแล้วจิตวิทยาของพุทธศาสนานั้น เป็นวิชาของพุทธศาสนาที่เป็นทั้งอะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ที่ผู้สนใจจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไปเมืองนอก เพียงหมั่นศึกษาพุทธศาสนาก็พอถมเถไป แถมดีกว่าด้วย พุทธศาสนานั้น เดวิด ลอย และเซ็นพุทธศาสนาจะแบ่งพุทธศาสนาออกเป็นสามสมัย เรียกว่า "หมุนกงล้อธรรมจักร" (turning dharma wheel) รุ่นแรกหรือรุ่นที่หนึ่งเป็นเรื่องที่เรียกว่าเป็นยุคคลาสสิก (classical period) ที่เน้นการเป็นอิสรภาพส่วนตัวหรือการเป็นปัจเจกพุทธ (personal liberation) มากกว่าคนอื่นๆ ซึ่งยุคนี้จะมีอายุราวๆ 700-800 ปี หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงประกาศให้มีพุทธศาสนา และมาถึงมีมิลินทปัญหาและพระไตรปิฎกที่ลังกาแล้ว และแพร่มาสู่พม่า ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาษาที่ใช้ในคัมภีร์ระหว่างนั้นจะใช้ภาษาบาลีเป็นพื้น ยุคการหมุนกงล้อธรรมจักรครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อมีคริสต์ศาสนาใหม่ๆ ราวก่อนขึ้นคริสต์ศตวรรษที่ 4 (ญาณโมฬี) เมื่อมีการกำเนิดขึ้นของมหายานพุทธศาสนาที่อินเดียเหมือนกัน แพร่ไปสู่จีน เกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งจะเน้นที่ความเป็นโพธิสัตว์หรือการหลุดพ้นของสัตว์โลกทั้งผอง (liberation of all sential beings) ซึ่งกลายเป็นนิกายวัชรญาณที่แพร่สู่ทิเบต มองโกเลีย และที่อื่นๆ ภาษาที่ใช้ในคัมภีร์พุทธศาสนาเดิมคือภาษาสันสกฤต ส่วนยุคแห่งการหมุนกงล้อธรรมจักรครั้งที่สามนั้นกำลังเริ่มที่จะเกิดบ้างแล้ว นั่นคือยุคสมัยของจิตวิญญาณ (noosphere) ยุคของวิญญาณแห่งโลก (world soul) มารวมกันและวิวัฒนาการต่อไปของมันตามเป้าหมาย ยุคสมัยแห่งจิตวิญญาณที่ปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง ศรีอรพินโธ และนักคิดคนอื่นๆ แม้แต่เคน วิลเบอร์ คาดหวัง วิญญาณของโลก (world soul) ที่ไม่ใช่วิญญาณของปัจเจกชนในศาสนาที่มีพระเจ้าเป็นดวงๆ แต่หมายถึงจิตหนึ่งหรือจิตจักรวาลอันกระจ่างใส
 
ฉะนั้น ยุคแห่งการหมุนกงล้อธรรมจักรครั้งที่สามของพุทธศาสนา คือพุทธศาสนาที่ได้แพร่กระจายไปสู่ประเทศต่างๆ ทางตะวันตกมากขึ้น มากอย่างไม่น่าเชื่อในปัจจุบันวันนี้ และหมายถึงการเป็นอิสรภาพหรือการหลุดพ้นของทั้งส่วนตัวและสัตว์โลกทั้งหลายที่แยกออกจากกันไม่ได้ และภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาของฝรั่งตะวันตก
 
วลีหรือคำใหม่ๆ เพราะๆ ที่ยกมาข้างบนนั้น เราต้องคิดให้ดีก่อนที่จะนำมาใช้กับสังคมมนุษย์ เพราะนั่นผิดทั้งกฎแห่งกรรมและผิดธรรมชาติ มิน่าที่ไม่ว่าอะไรในโลกที่มนุษย์คิดขึ้นมาใช้กับสังคมที่คิดว่าเป็นความจริงแท้ ต่างล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาและก่อวิกฤติทั้งนั้น ไม่วันนี้ก็วันหน้าโดยไม่มียกเว้น เพราะว่ามนุษย์เห็นแก่อัตตาตัวตนกับเห็นแต่มนุษย์ยิ่งใหญ่ที่สุด เราคิดแต่เหตุผลกับการพัฒนา-ซึ่งไม่มีจริง ธรรมชาตินั้นมีแต่การก้าวล่วงเหตุผล (transrational) และวิวัฒนาการ ศาสนาหรือจิตวิญญาณ (spirituality) โดยเฉพาะพุทธศาสนา คือเส้นทางไปสู่สภาวะนั้น.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/210310/19643 (http://www.thaipost.net/sunday/210310/19643)