หัวข้อ: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 11 พฤษภาคม 2559 19:15:00 ขอต้อนรับทุกท่านกลับเข้าสู่มหากาพย์สุดเฉื่อย เนื่องจากไม่ค่อยจะโพสท์ แถมพอโพสท์ก็โพสท์ไม่ค่อยจะจบ "น้าแม๊คพาเที่ยว" รอบนี้ผมจะพาทุกท่านมาเที่ยวที่ประเทศเพื่อนบ้าน หนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียนที่น่าจับตาสุด ๆ "ประเทศเวียดนาม" เมื่อไม่นานมานี้ ผมกับคณะเดินทางทั้งสามสาวได้ตกลงจะไปเที่ยวกันที่เวียดนาม เราวางแผนกันหลายเดือน จองตั๋วเครื่องบินกันข้ามปี และเตรียมตัวกันอีกพอสมควร ... จากนั้นเราก็ได้แต่นั่งรอ รอให้เวลาเดินทางมาถึง เป็นการรอคอยนานหลายเดือนที่ยิ่งเวลาผ่านไปข้อมูลการเดินทางและท่องเที่ยวของเราก็รัดกุมมากขึ้นตามไปด้วย เวลาผ่านไปนาน นานจนกระทั่งวันเวลาที่จะออกเดินทางได้มาถึง เรานัดเจอกันที่สนามบินตอนตีห้าครึ่ง เพื่อออกเดินทางไปสู่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เครื่องออกประมาณ 6.35 น. และแลนดิ้งที่สนามบินฮานอยเวลาประมาณ 8.10 น. ทุกคนมารวมตัวกันที่สนามบินทันเวลา เราเข้าเช็คอินที่หน้าเค้าท์เตอร์ มีผมคนเดียวที่โหลดกระเป๋าลงใต้เครื่อง ส่วนพวกสาว ๆ ที่ไปด้วยกันน่ะหรอ เดินสะพายกระเป๋าขึ้นเครื่องกันตัวปลิวเลย ระหว่างนั่งรออยู่ที่เกทเพื่อรอขึ้นเครื่อง ผมค่อย ๆ เห็นแสงอาทิตย์สาดส่องมาจากขอบฟ้า มันเพลิดเพลินดีจริง ๆ มีเครื่องบินบินขึ้นลงที่รันเวย์ไม่ขาดสายราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/20486244145366_001.jpg) ผมนั่งเพลินกับภาพตรงหน้าได้ไม่นานก็มีเสียงประกาศให้ขึ้นเครื่อง ผมคิดในใจ "ดีจริง จะได้นอนต่อสักที" ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะผมตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่ออาบน้ำล้างหน้า เช็คของในกระเป๋าอีกรอบ ก่อนจะหอบร่างเปื่อย ๆ มายืนโบกแท็กซี่อีกพักใหญ่ ๆ ให้ไปส่งที่สนามบิน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/37971915925542_002.jpg) พอขึ้นเครื่องแต่ละคนก็เริ่มหาอะไรทำ ฟังเพลง เล่นเกม อ่านหนังสือ ส่วนผมหรอ... ผมอยากนอนจะตายห่าอยู่แล้ว เครื่องบินเร่งเครื่อง เสียงกระหึ่งจากนอกหน้าต่างเป็นสัญญาณว่ามันกำลังจะเร่งความเร็วเพื่อดีดตัวขึ้นจากพื้นผิวโลก ไม่นานเครื่องก็เทคออฟพร้อมอาการสั่น แต่ใครจะสน เมื่อเจอเบาะนุ่ม ๆ กับแอร์เย็น ๆ ตอนนี้มันก็ไม่ต่างจากเตียงนักหรอก หลังจากเครื่องลอยตัวได้ไม่นาน สติผมก็ดับวูบไป ไม่มีกระทั่งความฝัน ผมรู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงประกาศให้ผู้โดยสารกลับสู่ที่นั่ง พร้อมรัดสายเข็มขัด เพราะเครื่องกำลังจะแตะพื้นแล้ว ผมไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่ามันมากพอแล้วแหละ ที่จะทำให้สามารถยืนได้ทั้งวันโดยไม่ล้มหงายหลัง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/91883645330866_003.jpg) หลังจากตื่นมาผมมองไปรอบตัวพวกเรายังสภาพอิดโรยกันอยู่เมื่อตอนเครื่องแตะพื้น เรางัวเงียลุกจากเบาะนั่ง แล้วเดินผ่านงวงช้างเข้าไปในตัวสนามบิน เราเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อสู้กับความง่วงเมื่อมาถึงปลายทาง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/75295239521397_004.jpg) สาว ๆ ของเราเลือกจะขึ้นไปบนสายพาน ก็แหงหละ ในเมื่อมันมีหนทางที่สบายแล้วไม่ต้องเหนื่อย เราจะไปเดินทำไมเล่า วันนี้ยังมีที่ให้เราเดินอีกเยอะ แต่มันต้องไม่ใช่ในสนามบินแน่นอน ! (http://www.sookjaipic.com/images_upload/44722027290198_005.jpg) เมื่อผ่าน ตม. ของเวียดนามมาได้ สิ่งแรกที่ผมทำคือไปรับกระเป๋า แต่สิ่งที่สาว ๆ เค้าทำกันน่ะหรอครับ ผมว่าใครที่ไปต่างประเทศบ่อย ๆ คงเดาได้ไม่ยาก พวกเธอหาซื้อซิมการ์ดมือถือครับ พร้อมกับลองเข้าเน็ต ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคที่เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับชีวิต มันเป็นสิ่งที่แทบจะขาดไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นหรอก ผมก็สอยซิมการ์ดอินเทอร์เน็ตมาอันนึงเหมือนกัน ! หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 11 พฤษภาคม 2559 19:22:09 เมื่อซื้อซิมการ์ดกันเสร็จก็มีแท็กซี่ของบริษัททัวร์มารับเราถึงสนามบิน เราใช้เวลาไม่นานนักจากสนามบินเข้าเมือง สิ่งที่น่าแปลกใจอย่างแรกคือรถที่นี่ขับช้ามากประมาณ 60 กม./ชม. กันทั้งเมือง เหตุผลคือกฏหมายเรื่องการขับขี่ของที่นี่เข้มงวดมาก มากจนตลอดเวลาเกือบสิบวันที่ผมตะลอนเที่ยวในเวียดนาม ผมไม่เคยเห็นใครขับเกินกำหนดเลยจริง ๆ ไม่ว่าจะทั้งในเมืองหรือออกนอกเมืองก็ตาม (http://www.sookjaipic.com/images_upload/90469333653648_006.jpg) หลังแท็กซี่ขับเลี้ยวไปเลี้ยวมาผมสังเกตว่าบรรยากาศเหมือนผมกำลังอยู่ในเชียงใหม่ คือมันไม่เจริญจนเกินไปเหมือนกรุงเทพ แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองใหญ่ ๆ ของบ้านเราที่พบเห็นได้ทั่วไปเลย แล้วแท็กซี่ก็จอดให้เราที่สี่แยกแห่งหนึ่ง คนขับแท็กซี่ชี้นิ้วเข้าไปในซอยให้เราเดินไปยังบริษัททัวร์ที่ว่า (http://www.sookjaipic.com/images_upload/86568403699331_010.jpg) ทัวร์ที่เราเลือกที่นี่ไม่ธรรมดาเพราะชาวเว็บบอร์ดพันทิพต่างแนะนำให้มาซื้อทัวร์ไปฮาลองเบย์จากที่นี่ แนะนำจนถึงขั้นว่าร้านนี้เอาโลโก้พันทิพขึ้นโชว์หราหน้าร้าน ว่าบริษัทเราเป็นบริษัทที่ชาวพันทิพแนะนำนะเออ เราเริ่มเสี่ยงตายครั้งแรกในบ้านเมืองนี้ด้วยการเดินข้ามถนนที่สี่แยกเล็ก ๆ ผมยอมรับเลยว่าการข้ามถนนครั้งแรก เป็นการเปิดโลกของผมมาก มันคือการเดินข้ามถนนสองเลนที่อันตรายที่สุดเท่าที่ชีวิตของผมเคยสัมผัสมันมา รถที่นี่ไม่พร้อมจะเบรคให้คนเดินข้ามถนน เหมือนเราต้องเสี่ยงกันเอาเอง ทุกมุมเมืองเต็มไปด้วยเสียงบีบแตรสนั่นหวั่นไหว หากจะมีที่ใดที่เหมือนที่นี่ ก็คงเป็นที่อินเดียนั่นหละ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/68042080601056_008.jpg) ผมเดินเข้ามาในบริทัษทัวร์ของพี่หงา พร้อมกับฝากกระเป๋า และคุยถึงเรื่องทริปที่เราจะไปกัน ท้ายที่สุดผมก็จองทัวร์กันเสร็จด้วยเงินเกือบคนละร้อยยูเอสดอลล่าร์ (ราว ๆ 3500 บาทต่อคน) ที่มันแพงเพราะมันคือตัวเงินที่จะพาผมไปนอนบนเรือที่ล่องอยู่กลางฮาลองเบย์ในอีกไม่กี่วันนั่นเอง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/62329261336061_009.jpg) ระหว่างจ่ายเงินผมก็ออกมานั่งรอสาว ๆ ด้านนอกบริษัททัวร์ขนาด 1 ห้องแถว มองวิถีชีวิตคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ผมมีความสุขจัง มันเหมือนเรากำลังย้อนกลับไปมองชุมชนแถวบ้านตัวเองเมื่อตอนสิบกว่าปีก่อน มันคลาสสิก ชวนให้นึกถึงอดีต และมันสวยงามจริง ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/21845032357507_007.jpg) เห็นคนแคระในภาพไหมครับ ที่เค้าเดินเข็นอะไรสักอย่าง ผมว่าให้เดาคงเดากันไม่ออกแน่ว่าเค้าทำอะไร เค้าเดินร้องเพลงครับ คล้าย ๆ ที่บ้านเราชอบมีคนตาดีจูงคนตาบอดมาร้องเพลงตามป้ายรถเมล์นั่นแหละ ดูน่ารักแล้วก็สู้ชีวิตดี ปล. พี่หงาน่ารักมาก ใจดี แนะนำที่เที่ยว ร้านกินข้าวอร่อย ๆ ให้เราด้วย ปล 2. พี่หงาเป็นคนเวียดนามเป็นผู้หญิงใส่แว่นในภาพที่เรากำลังจ่ายเงินนั่นแหละ ปล 3. พี่หงาพูดไทยไม่ได้ บริษัทนี้พูดอังกฤษกันลื่นมาก ชาวพันทิพต่างแนะนำที่นี่ ปล 4. พอได้ยินชื่อพี่หงาครั้งแรกผมนึกว่าเป็นผู้ชาย และนึกหน้าว่าคงเหมือนน้าหงา คาราวาน หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 11 พฤษภาคม 2559 20:34:25 มื้อแรกของเวียดนามที่เปลี่ยนความคิดของผมไปตลอดกาล หลังเครื่องแลนดิ้งที่สนามบินฮานอยได้พักใหญ่ จนเราจองทัวร์กันเสร็จเรียบร้อย พูดกันตรง ๆ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันเลย จากคำแนะนำของพี่หงา มีร้านอร่อย ๆ อยู่แถวนี้ เรียกว่าเป็นร้านดังกันเลยทีเดียว พี่หงาเรคคอมเมนด์ว่าต้องกินกันให้ได้ แหมคนพื้นที่แนะนำขนาดนี้มีหรือจะพลาด มันคือ "บุ๋นฉ่า" เจ้าเด็ดชื่อดัง DAC KIM ผมก็ไม่รู้หรอกไอ้บุ๋นฉ่าที่ว่ามันคืออะไร ชื่อมันไม่คล้องกับภาษาอังกฤษซักคำที่พอจะให้เราเดาออกได้เลย พี่หงาบอกมาเป็นภาษาอังกฤษว่ามันห่างไปแค่ช่วงตึกเดียวเอง เอากระเป๋าไว้ที่นี่แล้วไปกินให้สบายใจเถอะค่อยกลับมาเอา พี่หงากำชับนักหนาว่าเป็นร้านหมายเลขสองนะ อย่าไปเข้าร้านหมายเลขหนึ่ง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/93765940351618_016.jpg) ตอนนี้พยาธิในท้องผมกำลังเริ่มรวมตัวเตรียมก่อการจราจลแล้ว เนื่องจากผมยังไม่ได้บริโถคอาหารอะไรมานานนับสิบชั่วโมง ผมกับชาวคณะจึงออกมาตามทางที่พี่หงาบอก คะเนด้วยสายตาแล้วมันห่างเราไปไม่น่าจะถึงสามร้อยเมตร ทีแรกพวกเราก็งงที่พี่หงาบอกมาเรื่องเข้าหมายเลขสองนะ เราไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าอะไรวะหนึ่ง ๆ สอง ๆ ที่แกบอก (http://www.sookjaipic.com/images_upload/98516217081083_015.jpg) พอไปถึงที่ร้านหมายเลขสองที่ว่าผมนี่ถึงกับอึ้งแดกอยู่พักนึง แล้วยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บเอาไว้ซะเลย เพราะที่ร้านนี้ติดป้ายว่าไอ้ร้านข้าง ๆ กูเนี่ยมันของปลอม (หมายถึงร้านหมายเลข 1) ของแท้ต้องกูว่อย (อันนี้ต่อเอาเอง) คือเรื่องของเรื่องมันมีร้านบุ๋นฉ่าอยู่ติดกันสองร้านครับบรรยากาศเหมือนกันเป๊ะจนคิดว่าเป็นร้านเดียวกัน ร้านนี้ตั้งอยู่เลขที่ 2 ถนนฮังไมห์น เมื่อมาถึงแล้วดูเลขที่ร้านว่าเลข 2 (คือไอ้หมายเลข 1 กับ 2 เนี่ยมันคือเลขที่บ้านครับ) เราก็เดินขึ้นบันไดแคบ ๆ ซึ่งแคบแบบตัวควาย ๆ ขนาดผมเดินได้ยากลำบากเลยแหละ พอขึ้นไปยังชั้นสองมีโต๊ะอยู่สามตัว เราจึงหย่อนตูดลงนั่น จากนั้นก็เดดแอร์ ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากกันซักคน สาเหตุคือเราก็สั่งไม่เป็นจ้า อย่าว่าแต่สั่งไม่เป็นเลย เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้บุ๋นฉ่าเนี่ยมันคืออะไร (http://www.sookjaipic.com/images_upload/75726542787419_011.jpg) พนักงานมองหน้าอยู่พักนึงคงตระหนักได้ว่าไอ้เด็กเวรพวกนี้มันสั่งไม่เป็นแน่ เค้าเลยลงไปหยิบบุ๋นฉ่าให้คนละเซตครับ พร้อมกับผักชุดใหญ่ ตามมาด้วยเส้นเหมือนเส้นหนมจีนจานบะเริ่ม และปอเปี๊ยะทอดแบบเวียดนาม (http://www.sookjaipic.com/images_upload/34734541840023_017.jpg) สำหรับบุ๋นฉ่านั้นที่เสริฟเรามานะครับก็จะมีหมูสับปั้นก้อนปรุงรสอร่อยมากเอาไปย่างจนเกรียม มีทั้งแบบหมูสับปั้นแล้วย่าง กับที่เป็นแผ่น ๆ ย่างครับ สำคัญคือย่างกันจนเกรียม ไม่รู้จะเกรียมกันไปไหน จนอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่านี่มึงย่างหมูไว้แล้วเผลอไปนอนดูข่าวภาคเช้ากันมาใช่ไม๊ ? เชื่อว่าถึงจุดนี้หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าหมูย่างเกรียมซะขนาดนี้จะไม่มีสารก่อมะเร็งหรอ ? ผมตอบได้เลยครับว่าไม่ต้องห่วง "พอมึงแดกเสร็จนี่แทบจะเป็นก้อนมะเร็งเดินได้กันเลยทีเดียว" นอกจากหมู เส้น ผัก ปอเปี๊ยะ ก็ยังมีน้ำจิ้ม (หรือน้ำซุปก็ไม่รู้) ซึ่งรสชาติของที่นี่หวานอร่อยเค็มพอดิบพอดี รสเลิศมากคาดว่าคงใส่ชูรสไปเยอะ แล้วที่สะดุดตาก็คือเค้ารองก้นชามน้ำจิ้มด้วยมะละกอดิบครับ คงคล้ายกับอาจาดบ้านเราที่เป็นแตงกวากับหอมซอยพริกแดงซอย เมื่อทุกอย่างกองตรงหน้าเราเรียบร้อย ยังครับเรายังไม่ได้เริ่มลงมือกิน เรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะไม่รู้ควรจะเริ่มกินกันยังไง และแล้วผ่านไปเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก ไอ้โต๊ะข้าง ๆ ก็มีคนมานั่ง เราทั้งโต๊ะเลยดูโต๊ะข้าง ๆ ครับ เค้าเอาเส้นหนมจีนใส่ไปในชามบุ๋นฉ่าแล้วกินเหมือนก๋วยเตี๋ยวครับ ทานพร้อมผักเคียงสารพัด จากนั้นเราจึงเริ่มรับประทาน สิ่งหนึ่งที่ผมชอบสุดคือที่นี่ใส่กระเทียมได้ไม่อั้น ผมใส่กระเทียมสดลงไปเต็ม ๆ สองช้อนโต๊ะ โอ้ จากที่อร่อยอยู่แล้วยิ่งอร่อยขึ้นเป็นกอง ในเวลาไม่นานเราก็อิ่มท้องจนจุก เป็นมื้อแรกที่ประทับใจมาก เปลี่ยนความคิดผมในบันดลว่าอาหารเวียดนามไม่อร่อยมีแต่ผัก ที่ไหนได้ (แม่ง)อร่อยโคตร ๆ เลย เป็นมื้อแรกในเวียดนามที่ถูกใจมาก อร่อยมาก ประทับใจมาก เราหมดกันไปคนละ 100,000 ครับ ตีเป็นเงินไทยอยู่ที่ราว ๆ 158 บาท ถือว่าราคาสูงนะ แต่ช่างเหอะ มันอร่อยจริงนี่หว่า (http://www.sookjaipic.com/images_upload/33753912275036_012.jpg) และนี่ครับอีกหนึ่งเมนูแนะนำ มาบ้านนี้เมืองนี้ลองกันซะให้ได้ ปอเปี๊ยะเวียดนามครับ ปอเปี๊ยะเวียดนามทอดไฟแรง ๆ อร่อยกลมกล่อมมาก แป้งเค้าบางเจี๊ยบ กรอบสะใจ อร่อยละมุนสุด ๆ โดยตัวแป้งเค้าทำมาจากข้าวครับ เอาข้าวไปโม่ แล้วนึ่ง แล้วเอาไปตากแดด มันจะบางและเหนียวครับ ที่นี่เค้าเรียกแป้งอันนี้ว่า เปเปอไรซ์ หรือกระดาษแป้งนั่นเอง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/40168495186501_013.jpg) จากภาพแม่ค้ากำลังเตรียมปอเปี๊ยะทอดจะเห็นได้ว่ามีปอเปี๊ยะวางเรียงอยู่จำนวนมาก และยังทอดต่อเนื่องเรื่อย ๆ มองไปเพลิน ๆ เหมือนเรากำลังดูคนทำปอเปี๊ยะแบบรีมิกซ์ หยิบ ทอด ยกสะเด็ดน้ำมัน จัดเรียง / หยิบ ยก ทอด ยกสะเด็ดน้ำมัน จัดเรียง เป็นการวนลูปแบบไม่รู้จบ หน้าที่ป้าแกมีเท่านี้จริง ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/62710274424817_014.jpg) ฝั่งนี้เป็นฝั่งเตรียมบุ๋นฉ่าครับ มีหมูย่างใส่ถ้วยรอไว้จำนวนมาก ตะกร้ามะละกอ แล้วก็น้ำจิ้ม ที่นี่ทำกันไวครับ ทำกันแบบงานใครงานมัน เหมือนที่เรามานั่งปุ๊บเค้าพร้อมเสิร์ฟปั๊บยังไงยังงั้น สรุปครับ บุ๋นฉ่าเนี่ยประกอบด้วยเส้นที่เหมือนหมี่ขาวเส้นใหญ่ประมาณหนมจีนไปแช่น้ำ กับหมูย่างระดับมะเร็งยิ้มหวานให้ เอาไปคลุกเคล้าในน้ำจิ้มขลุกขลิก ทานเคียงกับผักสดอีกหลายชนิด รสชาติของน้ำจิ้มมีครบทุกรส ทั้งเปรี้ยว หวาน มัน และเค็ม ที่อร่อยเหลือเชื่อ เหลือเชื่อจริง ๆ มันครบรสสุด ๆ เข้ากับทุกอย่างบนโต๊ะมาก ๆ หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 12 พฤษภาคม 2559 11:12:07 หลังจากท้องอิ่ม มุ่งหน้าสู่ที่พัก
เราตื่นเต้นมากกับอาหารอร่อย ๆ ที่เพิ่งผ่านลงกระเพาะไปเมื่อครู่ เมื่อทานบุ๋นฉ่าเสร็จพวกเราจึงเดินกลับมาเอากระเป๋าที่สำนักงาน ของพี่หงาครับ หลังจากนั้นพี่หงาก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่โรงแรมที่เราจองไว้ครับ ทันทีที่แท็กซี่จอดข้างฟุตบาท คนขับรถเค้าลงมาบริการเราครับ ช่วยยกของโน่นนี่นั่นจนเรียบร้อย เรียกได้ว่าเราแค่ขึ้นรถไปรออย่างเดียว พอยกของเสร็จ คนขับรถเข้ารถมาแล้วกดมิเตอร์ ! (ถ้าเป็นบ้านเราเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมักไม่ยอมกดมิเตอร์ครับ ฟันราคาหัวแบะทีเดียว) สำหรับมิเตอร์นะครับจะเริ่มที่ 12,000 ด่ง ตีเป็นเงินไทยผมว่าประมาณ 16-18 บาท ถูกกว่าบ้านเราเท่าตัวเลย แถมแท็กซี่ที่นี่ไม่ติดแก๊สครับ ใช้น้ำมันล้วน ๆ แล้วรถดีซะด้วยเป็นพวก micro suv ซะมากครับ หรือเก๋งใหม่ ๆ ก็เยอะ บ้านเรานี่ติดแก๊ส รถแย่ แถมยังมารยาทแย่กันอีก ตรงนี้ต้องชื่นชมครับ (ตลอดทริปการเดินทางไม่เคยโดนโกง) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/90176831599738_019.jpg) เรามาถึงที่พักแบบไม่โดนพาอ้อม (เพราะเราแอบเปิด Google map มาด้วย) เอาเป็นว่าผ่านครับ มีน้ำใจ ไม่ขูดรีด ราคาถูก พวกเราทุกคนประทับใจมากกับแท็กซี่ที่นี่ นั่งรถมาไม่นานก็มาถึงที่พักครับ อยู่ในไนท์บาร์ซ่าเลยชื่อว่า ตัวโรงแรมที่เราพักชื่อว่า Golden Time Hostel 3 ซึ่งผมพูดจริง ๆ จากใจเลยนะ ผมไม่เคยเจอโรงแรมที่ถูก และดี บริการน่าประทับใจขนาดนี้มาก่อน personal touch นี่สุดยอดมากครับ และไม่ใช่ผมคิดแค่คนเดียว แต่แขกท่านอื่น ๆ ก็ชมผ่านหูให้ได้ยินอยู่ตลอดเช่นกัน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/69959419593214_021.jpg) เราปล่อยตัวลงบนเก้าอี้ในล็อบบี้อยู่พักนึงด้วยสภาพอิดโรย ระหว่างรอเช็คอิน เจ้าของโรงแรมเอาน้ำชากาแฟ ผลไม้ ฯลฯ มาเสริฟให้ครับ ให้ทานเล่นระหว่างรอเช็คอิน หลังจากเช็คอินเสร็จคุณพระสงฆ์ เราต้องเดินขึ้นไปอีกสามชั้นครับ ห้องเราอยู่ชั้นสาม แทบจะเอาปากกัดพื้นแล้วลากตัวขึ้นไปกันเลยทีเดียว แน่ละครับอดนอนกันมาจนตาโหลเหลตั้งแต่เช้ามืด จากโปรแกรมที่วางไว้ว่าพอมาถึงฮานอยเราจะออกเที่ยวเลย แต่เอาเข้าจริงมันเปื่อยกว่าที่คิด สภาพแย่กันทุกคน เราหารือกันแล้วตัดสินใจเลือกที่จะนอนพักงีบนึงครับเพื่อให้มีแรงไปตะลุยโลกกว้าง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/80454741004440_020.jpg) หลังจากคลานขึ้นมาถึงห้อง เราหย่อนกระเป๋าไว้กับพื้น คลานขึ้นเตียง แล้วพวกเราก็ค่อย ๆ หลับกันไปทีละคน ทีละคน จนถึงคิวของผม... ที่หลับเป็นคนสุดท้าย ผมรู้สึกตัวอีกทีเพราะเสียงเอะอะ เราตื่นมาอีกทีเกือบบ่ายสองครึ่งครับ ตอนก่อนสติวูบดับผมดูนาฬิกามันบอกเวลา 11 โมง นั่นแปลว่าเรานอนกันไปสามชั่วโมงกว่า ๆ ยอมรับว่าเสียเวลาไปเยอะ แต่แหมพอตื่นมามันรู้สึกกะปรี้กะเปร่าขึ้นเยอะเลย เราไม่รอช้า เอาแค่ของจำเป็นติดมือแล้วออกจากโรงแรมครับ สำหรับวิธีเดินทางเราตกลงกันแล้วว่าจะเลือกใช้บริการขนส่งมวลตีน ใช่ครับ เราเลือกวิธีการเดิน เดินในบ้านเมืองต่างถิ่น เมืองที่มีแต่เสียงแตรรถ เมืองที่การข้ามถนนอันตรายพอ ๆ กับไปเหยียบตีนผู้มีอิทธิพลตามผับ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร เราจะไปที่ไหนเป็นที่แรก ติดตามกันต่อครับ... ปล. ถ้าไปฮานอยอย่าพลาดที่จะไปพักที่ Golden time hostel 3 ราคาไม่แพง บริการประทับใจ โฆษณาให้เลย หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 12 พฤษภาคม 2559 11:41:58 ซื้อตั๋วหุ่นกระบอกน้ำ หลังจากตกลงกันได้ว่าเราจะเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลตีน เราก็เริ่มออกเดินทางกันในทันที เราเปิดแผนที่แล้ววางแผน สถานที่แรกที่ควรแวะที่สุดคือทะเลสาบฮว่านเกี๊ยม และตรงข้ามกันมีจุดแสดงหุ่นกระบอกน้ำด้วย ซึ่งพอดีเลย เพราะเราต้องจองตั๋วไอ้หุ่นกระบอกน้ำที่ว่านี่แต่หัววัน ไม่งั้นอาจถึงกับไม่ได้ดูกันเลยทีเดียว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/29911082155174_022.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/71068914607167_023.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/18766622245311_024.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/69521019111076_025.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/90369337590204_026.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/57010369789269_027.jpg) ระหว่างทางเราก็พบเห็นวิถีชีวิตคนเมืองของที่นี่ หลายคนมองว่ามันตลก แต่ผมกลับมองว่านี่แหละธรรมชาติสุด ๆ ผมมองว่าในบ้านเมืองเรา คนเราเอาความหน้าบางและรับวิถีชีวิตจากคนอื่นมามากเสียจนทำให้ตัวเองลำบากขึ้น แต่กับที่นี่มันไม่ใช่ เค้าใช้ชีวิตกันอย่างเป็นธรรมชาติ สบาย ๆ ซึ่งผมบอกได้เลยว่าแบบนี้แหละที่ผมโคตรชอบ ก็ดูสิครับ ฟุตบาทที่นี่เค้าโคตรกว้าง บางทีเค้าอาจจะออกแบบมาเผื่อให้คนเหล่านี้เอาไว้ทำมาหากินก็ได้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/23608336928817_018.jpg) หนึ่งในสิ่งที่ผมว่ามันเจ๋ง เห็นแล้วกรี๊ดชนิดวัวตายควายล้มก็คือนี่แหละครับ การตัดผมกลางแจ้ง ตัดแบบไม่แคร์ใคร นั่งตีนพาดกำแพง ไม่ต้องเข้าร้านติดแอร์ที่มีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้ตัด นี่ถ้าไม่ติดว่าผมสั้น ก็อยากจะลองไปนั่งตัดกะเค้าบ้าง อยากรู้ว่าตัวเองจะคิดยังไงเวลามีคนเดินผ่านไปผ่านมาโดยมีเราตัดผมบนฟุตบาท เราอาจจะเขิลเพราะไม่เคย หรือเราอาจจะสนุกไปกับมันก็ได้ ใครจะไปรู้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/14761439007189_028.jpg) และนี่ครับ เห็นแล้วอึ้งแดกในความพยายาม และความไม่แคร์สื่อของเจ๊คนขาย มันคือต้นไม้ใหญ่ครับ ต้นไม้สาธารณะที่ถูกแขวนทั้งต้นเต็มไปด้วยกระเป๋าจนสูงเกือบหกเจ็ดเมตร ผมตลกตรงที่มีลูกค้ามาซื้อ แล้วเลือกดูเป้อันสูง ๆ เจ๊แกก็เอาไม้สอยให้ดู แต่เหยียดสุดแขนด้วยแถมเขย่งด้วยก็ยังไม่ค่อยจะถึง แล้วตอนแขวนมันแขวนเข้าไปได้ยังไง ถ้าดูจากในรูปจะเห็นเจ๊แกมีไม้ยาว ๆ นั่นแหละครับอันที่ใช้สอยเป้ เลยจากร้านอาเจ๊แขวนกระเป๋าเราก็เจอสามแยก เราเดินเลี้ยวขวามาไม่กี่สิบเมตรก็เป็นโรงละครหุ่นกระบอกน้ำ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/76326295609275_029.jpg) เป็นตึกใหญ่โต ป้ายบอกชัดเจนชื่อโรง Thang Long มีร้านกาแฟชั้นล่างให้นั่งเพลิน ๆ ระหว่างรอด้วยนะเออ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/60290548577904_031.jpg) ดูจากภาพจะเห็นได้ว่ามีฟรั่งมังค่ากับบรรดานักท่องเที่ยวมารอซื้อตั๋วกันเพียบ ทั้งที่มีรอบแสดงตอนค่ำ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/15067021176218_030.jpg) และแล้วเราก็ได้ตั๋วรอบสองทุ่ม เพื่อมาชมหุ่นกระบอกน้ำ หนึ่งในสิ่งที่ต้องชมเมื่อมาเวียดนาม หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 12 พฤษภาคม 2559 19:09:49 ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม จุดต่อไปของเราหลังจากซื้อตั๋วชมหุ่นกระบอกน้ำก็คือ ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม ครับ มีอีกชื่อว่าทะเลสาบคืนดาบ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/94869444560673_aaa.jpg) ที่เราเลือกมาที่นี่เป็นที่แรกให้ลองดูจากในแผนที่ที่ผมแนบมาครับ ในกรอบสีดำคือสถานที่แสดงหุ่นกระบอกน้ำ ส่วนในกรอบแดงนั่นคือวัดหง็อกเซินที่อยู่กลางทะเลสาบ คือมันใกล้กันมากครับ เราเลยวางแผนมาที่นี่กันเป็นที่แรก ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเขตเมืองเก่า มีตำนานเล่าขานกันถึงสถานที่แห่งนี้ เป็นตำนานการสร้างชาติว่า ในศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเล เหล่ย แห่งราชวงศ์เล ได้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่ชาวจีน แห่งราชวงศ์หมิงที่รุกรานให้ออกไปจากเวียดนาม ในขณะที่พระองค์ประทับบนเรือ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ก็มีตะพาบยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและบอกให้พระองค์ส่งดาบนั้นกลับคืนแด่จ้าวมังกร ดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบ เข้าไปในปากของตะพาบก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ อันเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบคืนดาบ ซึ่งตะพาบยักษ์ชนิดนี้ก็คือ ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง (Rafetus swinhoei) ซึ่งเป็นตะพาบขนาดใหญ่และใกล้สูญพันธุ์ที่สุด ชนิดหนึ่งของโลก ที่อาศัยอยู่ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ใน "วัดหง็อกเซิน" (Ngọc Sơn) หรือ "วัดเนินหยก" ที่ตั้งอยู่ตอนเหนือ ของทะเลสาบ สาเหตุที่เราเลือกจะเดินมาที่นี่เป็นที่แรกก็เพราะมันอยู่ไม่ไกลจากที่พักเรามากสามารถเดินเที่ยวได้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/28549207871158_032.jpg) เมื่อเราข้ามถนนมาเราก็จะเจอกับประตูทางเข้าวัดที่อยู่กลางทะเลสาบ หาไม่ยากครับ เพราะทางเข้าวัดหง็อกเซินมีทางเดียว จะเป็นจุดที่คนมามุง ๆ กันเยอะ ๆ ครับ หรือไม่ก็สังเกตจากสะพานครับ จะมีสะพานเดียวที่ใช้ข้ามจากฝั่งไปวัดกลางน้ำ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/95387393939826_035.jpg) แต่อย่าเพิ่งเดินดุ่ย ๆ เข้าไปครับ เราจำเป็นจะต้องมี Ticket ครับ หรือตั๋วเข้าชมนั่นเอง ราคาไม่แพง แต่ผมจำราคาไม่ได้ แต่ไม่แพงแน่นอนครับ ที่นี่ไม่มีเรทนักท่องเที่ยวครับ ทั้งคนในชาติคนต่างชาติราคาเดียวกันหมด ผมประทับใจเรื่องนี้มาก คือในทุกที่ที่ไปราคาทิคเก็ตมันถูกมากจนคนในชาติเค้าก็ซื้อได้สบาย แถมไม่มาขูดรีดคนที่มาเที่ยวจากชาวต่างชาติด้วย ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ผมนึกถึงประเทศสารขัณฑ์ประเทศนึงครับที่ผมไม่ค่อยชอบระบบการขายตั๋วเท่าไหร่ ตามตู้ขายตั๋วเค้าจะเขียนประมาณนี้ครับ (เรื่องสมมติ) อัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ • ชาวสารขัณฑ์ ๒๐ • foreigner 200 ดูสิครับประเทศสารขัณฑ์นี่คิดต่างชาติแบบขูดเลือดขูดเนื้อเอาเรื่องเลยนะผมว่า อาศัยว่าเค้าอ่านของเราไม่ออก ผมว่าแค่เค้าเลือกมาเที่ยวประเทศนั้น ๆ เค้าก็มาจับจ่ายใช้สอยเอาเงินเข้าประเทศพออยู่แล้ว ไม่เห็นต้องไปขูดกันอีก เอาละ นอกเรื่องมาเยอะเพราะความอัดอั้นตันใจส่วนตัว เรากลับมาเข้าเรื่องกันครับ หลังจากที่เราซื้อบัตรเรียบร้อยแล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่ที่คนชอบมาถ่ายรูปกันก็คือ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/91238677046365_034.jpg) นี่เลยครับ สะพานไม้โดดเด่นเป็นสง่า สะพานนี้ชื่อว่า "สะพานเทฮุก" ครับ ซึ่งแปลเป็นไทยก็คือ "สะพานแสงอาทิตย์" เป็นสะพานที่มีสีแดงสดใส ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของฮานอย สะพานนี้เชื่อมต่อเอาไว้ข้ามจากฝั่งแผ่นดินใหญ่ไปยังวัดซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของทะเลสาบ ผมขอเพิ่มเติมตรงนี้ให้นิดนึงครับถ้าใครต้องการแค่ถ่ายรูปสะพาน หรือไปถ่ายเซลฟี่กันบนสะพาน สามารถเดินไปได้เลยไม่ต้องซื้อตั๋วครับ แต่จะไม่สามารถเข้าไปในวัดได้ เพราะเจ้าหน้าที่จะตรวจตั๋วหน้าวัด หลังจากลงสะพานไปแล้ว แต่ไหน ๆ ก็ไปแล้วผมแนะนำให้เข้าไปในวัดด้วยครับ เพราะตั๋วราคาถูกมาก และที่นี่เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของฮานอยเลยทีเดียว มาทั้งทีต้องมาให้สุดครับ จากรูปจะเห็นได้ว่าบนสะพานนี่การจราจรของผู้คนคับคั่งมาก คนเยอะหยั่งกับลิง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/98945380995670_033.jpg) เมื่ออยู่บนสะพานแล้วมองไปทางซ้ายมือจะเห็นเหมือนหอคอยตั้งตระหง่านกลางน้ำครับ ดูสวยแปลกตา เป็นหอคอยโบราณที่โผล่ขึ้นพ้นน้ำ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า "ท้าปสั่ว" (Tháp Rùa) แปลเป็นไทยก็คือ "หอคอยตะพาบ" ตามที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นครับว่าที่นี่มีตำนานเกี่ยวกับที่ตะพาบเอาดาบไปคืนจ้าวมังกร นี่อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล่าขานครับ เพราะในปัจจุบันยังมีหลายคนได้เห็นตะพาบยักษ์โผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำอยู่ หลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนถ่ายฤดูกาล ซึ่งเชื่อกันว่ามีอยู่ 3-4 ตัว ในโลกเท่านั้น ตรงจุดนี้หากเข้าไปในตัววัดจะมีภาพถ่ายของตะพาบที่ว่าด้วยครับ ซึ่งเค้าบอกว่าถ่ายมาได้ในปี 2007 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/61081635620858_036.jpg) หลังจากข้ามสะพานแสงอาทิตย์ ตรวจตั๋วเรียบร้อยเราก็เดินเข้ามาในวัดครับ เราเดินมาทางขวามือ เป็นทางเดินเล็ก ๆ ร่มรื่นมากครับ อากาศเย็นสบายพอสมควร จากเงาไม้ภายในวัด (http://www.sookjaipic.com/images_upload/31977567159467_040.jpg) จนมาถึงอาคารนี้ ผมว่าอาคารนี้คือตัววัดครับ เพราะด้านในมีเหมือนเทพที่อยู่ตามศาลเจ้าบ้านเรา มีคนมาจุดธูปเทียนกราบไหว้บูชาไม่ขาดสาย บ่งบอกถึงความเป็นสถานที่สำคัญและรวมใจของผู้คนที่นี่ได้เป็นอย่างดี ผมไม่รอช้าเดินเข้าไปภายในตัวอาคาร (http://www.sookjaipic.com/images_upload/51418576141198_037.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/93576232633656_038.jpg) แล้วก็พบกับนี่ครับ ตะพาบในตู้กระจก ไม่รู้เป็นโมเดลจำลอง หรือว่าเป็นตะพาบสต๊าฟ เพราะไม่ได้มีป้ายบอกเอาไว้ แต่จากที่มอง ๆ ดูถ้าตัวใหญ่ขนาดนี้ก็สมควรแล้วที่คาบดาบเอาไปให้จ้าวมังกรได้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/51332560057441_044.jpg) และอันนี้คือภาพถ่ายครับ ที่ผมบอกไว้ข้างต้นว่าเค้าถ่ายกันมาได้ตอนปี 2007 เป็นภาพตะพาบยักษ์ในนี้ครับ รายละเอียดเห็นไม่ชัดจริง ๆ ด้านในตัวอาคารไม่ได้เปิดไฟครับ เอาจริง ๆ นี่ผมปรับค่าในกล้องช่วยแล้วด้วยซ้ำ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42845168047481_039.jpg) ส่วนฝั่งนี้ก็จะเป็นเหมือนศาลเจ้าครับ มีคนมากราบไหว้บูชาขอพร บรรยากาศคล้าย ๆ ศาลเจ้าแถวเยาวราชครับ คือเห็นแล้วรู้สึกคุ้นชิน ไม่เหมือนว่าเรามาต่างที่ต่างถิ่นสักเท่าไร (http://www.sookjaipic.com/images_upload/98352245075835_042.jpg) ก่อนออกจากวัดผมได้เจอของดีแห่งชาติเวียดนามครับ เป็นอะไรที่ผมกรี๊ดเป็นการส่วนตัว และต้องมาเจอให้ได้ พูดถึงเวียดนามหลายคนคิดถึงสงครามเวียดนาม หลายคนคิดถึงประเทศเกษตรกรรม หลายคนมองเห็นวัฒนธรรม หลายคนมองเห็นถึงความเป็นประเทศน่าจับตามองด้านเศรษฐกิจ แต่สำหรับผมทุกเรื่องที่กล่าวมาตัดทิ้งไปได้เลย เพราะพอพูดถึงเวีดนามสิ่งเดียวที่อยู่ในก้นบึ้งจิตใจ ในมโนสำนึกของผมคือ "อ๋าวหญ่าย" อย่างเดียวเลย ผมกรี๊ดมากกับสาวตัวเล็ก ๆ ใส่ชุดประจำชาติที่น่าจะสวยที่สุดแล้วในใต้หล้า และเธอก็ยืนอยู่ตรงหน้า ผมนี่ตาค้างเลยทีเดียว มือเมอนี่สั่นไปหมด จับกล้องผิด ๆ ถูก ๆ กันเลยทีเดียว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/23884830499688_043.jpg) อย่าว่าแต่อ๋าวหญ่ายเลยครับ สาวเวียดนามเฉย ๆ นี่ก็ทำผมกรี๊ดพออยู่แล้ว ก็แหมผิวสวย ตัวเล็ก ๆ หุ่นเป๊ะ หน้าจิ้มลิ้ม เห็นแล้วน่าจิ้ม(ลิ้ม)เหลือเกิน มีรุ่นพี่ผมคนนึงที่ฟิตเนส พี่แกเคยมาเที่ยวเวียดนามห้าหกรอบ เค้าบอกว่าสาวเวียดนามเนี่ย รวมข้อดีของสาวเอเชียเอาไว้ทั้งหมด ซึ่งผมไม่เถียงเลยจริง ๆ ข้อนี้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/48531089723110_041.jpg) หลังจากเดินชมกันทั่วแล้วก็ออกจากวัดครับ ที่นี่เข้าออกทางเดียวครับ น่าจะด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ ตอนนี้เราเริ่มคอแห้งกันแล้ว เดี๋ยวเราจะพาไปหาอะไรชุ่มคอ ๆ กินกันครับ... ปล. น้ำในทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมโดยปกติจะเป็นสีเขียว จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ทะเลสาบหลุกถวี" หรือ "ทะเลสาบน้ำเขียว" หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 12 พฤษภาคม 2559 21:13:47 กาแฟไข่เจ้าดังแห่งฮานอย ไอ้สิ่งชุ่มคอที่เราจะกินกันต่อมาก็คือ กาแฟไข่ ใช่ครับ ได้ยินไม่ผิด มันคือกาแฟไข่ ในฐานะที่ผมก็เป็นคนชอบทำอาหาร สิ่งท้าย ๆ บนโลกใบนี้ที่ผมจะไม่เอามันมาผสมกันคงไอ้ไอ้ของพวกนี้แหละ อารมณ์เหมือนมีคนเดินมาบอกว่า "เฮ้ย มึงไปลองมารึยังบัวลอยไข่หวานใส่น้ำปลา อร่อยนะเว้ย" สิ่งที่จะโผล่เข้ามาในสมองของเราเป็นอันดับแรกคือคำว่า "แม่ง มันจะไปแดกได้ยังไงวะ" และคำนี้ก็เกิดขึ้นในหัวผมทันทีครับ ว่ากาแฟ + ไข่ มันจะไปแดกได้ยังไง แต่สาว ๆ เค้าเตรียมตัวกันมาดีครับ ที่ผมบอกว่าทริปนี้เราวางแผนกันข้ามปี ไอ้แผนที่ว่ามันรวมถึงร้านนี้ด้วยครับ ร้านนี้ได้รับรีวิวเกือบเต็มห้าดาวเชียวนะครับ ใจนึงก็คิดว่าแดกไม่ได้แน่ อีกใจก็คิดว่า เฮ้ยมันอาจจะดีก็ได้นะเว้ย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/89258669482337_051.jpg) แต่ปัญหาตอนนี้ไม่ใช่แค่แดกได้หรือไม่ได้ ปัญหามันคือเราหาร้านไม่เจอครับ เราเปิดจีพีเอสแล้วเดินตามแผนที่ เดินหายังไงก็หาไม่เจอ จนกระทั่งผมเหลือบไปเห็นป้ายเล็ก ๆ แขวนไว้เหนือหัวครับ ใช่แน่ มันต้องใช่ที่นี่แน่นอน เป็นทางเข้าร้านที่บัดซบที่สุดในโลกหล้าเท่าที่ผมเคยไปกิน นึกภาพตึกแถวที่สร้างติด ๆ กันออกใช่ไม๊ครับ แต่อยู่ดี ๆ มันดันมีซอก ๆ นึงเหมือนสร้างตึกแล้วประกบกันไม่สนิท มันจะมีซอกแคบ ๆ ขนาดหนึ่งคนเดินผ่าน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/25551274046301_057.jpg) ทางเดินเข้าจะมืด ๆ อับ ๆ มีไฟดวงเล็ก ๆ สร้างบรรยากาศให้ดูเข้มขลัง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจะไปทำผิดกฏหมาย ระหว่างทางยังอุตส่าห์มีป้ายบอกด้วยนะเออว่าเข้าไปในนี้แล้วจะเจอ Lake View Cafe อยู่ข้างใน สงสัยจะกลัวหลง แล้วพอเดินเข้าไปราว ๆ สิบเมตรมันก็เป็นที่กว้างที่ถูกล้อมด้วยตึกทั้งสี่ด้าน เป็นผังที่นรกแตกสุด ๆ ผมพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วรู้สึกเสียดายทำเลมาก ถ้าเจ้าของที่เอาที่ไปเปิดบ่อน หรือเป็นที่ส่งยาบ้าน่าจะกำไรดีกว่า ก็แหมหลืบซะขนาดนั้น (http://www.sookjaipic.com/images_upload/88644002336594_048.jpg) เห็นรูเล็ก ๆ ทางด้านซ้ายมือของภาพไม๊ครับ มันแคบมากจนผมเองยังเดินอึดอัด นั่นคือไอ้รูที่เราเข้ามาครับ ผมยังแอบแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าไอ้มอเตอร์ไซค์ที่เข้ามาจอดข้างในนี่ พวกมึงถอดแยกออกเป็นชิ้น ๆ แล้วเอาเข้ามาประกอบกันข้างในรึไง ดูแล้วมันไม่น่าจะขี่เข้ามาได้ ส่วนความกว้างของสถานที่ก็ตามที่เห็นครับ มันแคบมากจนผมก็ไม่เข้าใจว่าเค้าเหลือที่ตรงนี้เอาไว้ทำไมกัน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/63601313490006_046.jpg) อันนี้เค้าท์เตอร์สั่งกาแฟครับ ดูเก่า เข้มขลัง มีป้ายภาษาจีนตัวโต ๆ มีเทวรูปเป็นของประดับ ทุกอย่างดูกลืนกันไปหมด ผมรู้สึกแปลก ๆ มากตรงจุดนี้ อารมณ์มันเหมือนเราเข้าไปในศาลเจ้าพ่อเสือ เพื่อที่จะสั่งกาแฟมาจิบกันสักคนละแก้ว อดคิดไม่ได้ว่าถ้าจิบกาแฟอยู่แล้วมีองค์มาลงประทับคงได้สนุกกันพิลึก (http://www.sookjaipic.com/images_upload/47780587772528_047.jpg) หน้าตาของเมนูเค้า เก่าจนเปื่อย ไม่รู้ว่าขายกันมานาน หรือเป็นเพราะความชื้นกัดกิน แต่ดูขลังเข้ากับบรรยากาศมาก แต่เมนูเค้าเข้าใจง่ายครับ มีภาษาอังกฤษกำกับให้ มีป้ายราคาบอกชัดเจนไม่ต้องห่วงเรื่องโดนฟันหัวแบะ ร้านอาหารที่นี่ส่วนมากที่เราได้เข้าไปทานจะมีภาษาอังกฤษกำกับเสมอครับ ว่าใส่อะไรบ้าง ผมว่ามันดีมากจริง ๆ สำหรับนักท่องเที่ยว เพราะเราสามารถคาดเดาได้ว่ามันจะออกมาแบบไหน (ยกเว้นกาแฟไข่ครับที่ผมนึกมันไม่ออก) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/24813643553190_049.jpg) จากนั้นเราก็เลือกเมนูครับ ที่นี่เค้าจะให้เราเลือกจากเมนูก่อนว่าจะกินอะไร แล้วเค้าถึงจะเอาไปเสริฟครับ ทีแรกเราก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมมันไม่ให้เรานั่งก่อนวะแล้วค่อยเอาเมนูมาให้แล้วมารับออเดอร์ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/17275245818826_050.jpg) น้องพนักงานตาแป๋ว ๆ รับออเดอร์ตามที่เราบอกแล้วก็ชี้ ๆ กันในเมนู หน้าตาน้องบ่งบอกออกมาเป็นคำพูดได้ว่า "เหลียวลื้อรู้ ลื้อรอเหลียว" (http://www.sookjaipic.com/images_upload/71358423969811_053.jpg) หลังจากสั่งกาแฟกันเสร็จ น้องชี้ให้ไปหาโต๊ะนั่งกันได้เลย เดี๋ยวเสร็จแล้วจะไปเสริฟให้ที่โต๊ะ ตอนนี้ผมถึงบางอ้อเลยทีเดียวว่าทำไมมันถึงไม่ให้เรามานั่งก่อนแล้วค่อยเอาเมนูมาให้เลือก สาเหตุที่เราต้องสั่งกันก่อนเพราะโต๊ะของเรามันอยู่ที่ชั้นดาดฟ้าครับ เราต้องเดินขึ้นตึกไปสามสี่ชั้น นั่นแปลว่าถ้าไม่สั่งเอาไว้ก่อนเค้าต้องเดินขึ้นลงแบบนี้หลายรอบ พนักงานเสริฟอาจหมดแรงร่วงตกบันได ตั้งแต่ครึ่งวันแรก หนักสุดอาจถึงขั้นมรณภาพกันเลยทีเดียว เพราะทางขึ้นลงมันดูไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/81521088340216_054.jpg) พอขึ้นมาปุ๊บ อื้อหือ วิวสวยใช้ได้ครับ มีฟรั่งนั่งกันอยู่สองสามโต๊ะ พวกฟรั่งเค้านั่งกันตากแดดครับ ทั้งที่ร้อนจะตายห่า แต่ยอมรับเลยครับเรื่องวิว มันมองเห็นทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมด้วย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/17228741902443_055.jpg) นี่ครับหนึ่งในภาพที่เราเห็นจากข้างบน เราสามารถมองเห็นท้าปสั่ว หรือหอคอยตะพาบ ที่อยู่กลางน้ำได้ด้วย แม้แต่อยู่บนดาดฟ้าเสียงแตรรถก็ยังดังไม่เคยขาดสาย ลั่นไปทุกหัวระแหง แต่เหมือนเราเริ่มจะชินกับมัน เวลาผ่านไปช้า ๆ เรานั่งเอนกายหลังจากเดินกันมาไม่หยุดตั้งแต่ออกจากโรงแรม สายลมเอื่อย ๆ หอบไอร้อนจากผิวคอนกรีตที่แอ่นอกรับแสงอาทิตย์ สิ่งเดียวที่ทำให้เราสดชื่นได้กำลังจะมา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/76066944044497_045.jpg) ผ่านไปครู่เดียว กาแฟไข่ที่พวกเราสั่งไว้ก็มาเสริฟ ส่วนผมไม่กินกาแฟผมเลยสั่งโกโก้ไข่ นี่แหละครับหน้าตาของมัน ผมถึงบอกไงว่าผมจินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่ามันจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วมันก็ไม่เหมือนที่ผมคิดซะด้วยสิ ทีแรกผมคิดว่าอาจเป็นกาแฟชงแล้วตอกไข่ดิบลงไป เป็นไข่ดิบ ๆ ลอยตุ๊บป่องอยู่ในแก้วกาแฟ แต่คิดไปคิดมา มันจะใจร้ายเกินไปหน่อยถ้าเป็นไข่ดิบ ความคิดต่อมาผมเลยคิดว่ามันอาจเป็นไข่ลวกแล้วเอามาคนให้เข้ากัน แต่สุดท้ายที่เดามาทั้งหมดผิดหมดเลยครับ เพราะมันคือไข่ปั่นครับ เค้าเอาไข่มาตีเหมือนครีม เป็นฟอง ๆ ฟู ๆ แล้วเอามาใส่โปะหน้ากาแฟเหมือนพวกวิปครีมครับ แต่จะเหลวกว่า จบครับ กาแฟไข่ ! ง่ายกว่าที่คิด ไม่รอช้าเราต่างก็คว้าแก้วมาดูด ไข่นี่ไข่จริง ๆ ครับ ยังคาว ๆ นี่แหละ แค่มันเป็นฟอง ๆ แค่นั้นเอง เรื่องรสชาติก็เหมือนกาแฟกับโกโก้ทั่วไปครับ หวาน ๆ แต่เพิ่มมาคือความคาว ที่ได้มาจากไข่ดิบ ๆ ผมกินอย่างพะอืดพะอมครับ ทั้งโต๊ะมีเพียงคนเดียวที่บอกอร่อยแปลก ๆ ดี แต่สำหรับผม ใครก็ได้พากูไปอ้วกที (http://www.sookjaipic.com/images_upload/55296651356750_052.jpg) โต๊ะเรามีคนสั่งกาแฟแบบไม่ไข่ด้วยนะครับ รสชาติก็กาแฟเย็นบ้านเรานี่แหละ ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะเห็นว่าบ้านเมืองเค้า ไม่ค่อยใส่น้ำแข็งกันเหมือนบ้านเรานะครับ บ้านเราจะเน้นอัดน้ำแข็งกันเข้าว่า มันเลยเย็นเจี๊ยบชื่นใจ ผมไปมาหลายประเทศเค้าจะใส่น้ำแข็งแบบแค่พอให้เย็น ๆ แต่ไม่เย็นฉ่ำชื่นใจ เวลากินมันเลยรู้สึกขัด ๆ ใจชอบกล (http://www.sookjaipic.com/images_upload/25947093135780_056.jpg) หลังจากกินกันเสร็จเราก็ออกเดินทางกันต่อครับ จริง ๆ ผมว่ามันอาจอร่อยก็ได้นะถ้าเทียบจากคะแนนแล้วก็รีวิว แต่มันอาจไม่ถูกปากพวกเราก็แค่นั้นเอง แต่ที่แน่ ๆ วิวสวยครับ ถ้ามาเช้า ๆ แดดอ่อน ๆ ได้มองวิว มีลมเย็น ๆ ผมว่ามันเป็นที่ที่ยอดเยี่ยมเลยแหละ หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 12 พฤษภาคม 2559 23:59:28 ระหว่างทางไปโบสถ์ หลังจากกาแฟไข่ผ่านลิ้นลงสู่กระเพาะพร้อมกับอาการพะอืดพะอมของผม ตอนนี้ผมอยากได้น้ำมาล้างคอมาก ผมเชื่อว่าผมคงลิ้นไม่ถึงพอจะกินของพวกนี้ เชื่อไหมครับ กาแฟไข่ของเวียดนามนี่ดังมาก มากแบบมากโคตร ๆ ถึงขั้นที่ว่ามันติด 1 ใน 10 เครื่องดื่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกกันเลยทีเดียว เป็นแค่ 1 ในสองประเทศของเอเชียที่ติดโผ และเป็นประเทศเดียวของอาเซียนที่ได้ติดอันดับ นอกจากนี้เวียดนามยังเป็นผู้ส่งออกกาแฟมากที่สุดเป็นที่ 2 ของโลก และเมล็ดกาแฟเวียดนามนี่ถือว่าเป็นกาแฟอันดับท็อป ๆ เลยแหละ คุณต้องไม่เชื่อแน่ถ้าผมบอกว่าเวียดนามเพื่อนบ้านเรา ส่งออกกาแฟมากกว่าปีละ หนึ่งล้านสี่แสนตัน ! เนื่องจากกาแฟของที่นี่มีรสชาติยอดเยี่ยมอยู่แล้ว พอได้ความกลมกล่อมของไข่ที่กินแล้วเหมือนทีรามิสุ ใครกินจึงติดใจ ส่วนที่เป็นฟองไข่ เหมือนฟองนมที่ผมบอกของกาแฟไข่นี่เป็นการผสมผสานระหว่าง ไข่แดง นมข้น เนย น้ำตาล กับชีส มันมีกรรมวิธีมากกว่าที่คิด แต่พระเจ้าช่วย มันถูกปากใครก็ช่างแต่มันไม่ถูกกับผมซะเหลือเกิน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/89943918502993_aaaa.jpg) เราเดินออกจากร้านกาแฟเพื่อไปยังโบสท์เซนต์โจเซฟ (st. Joseph Cathedral) ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไปตามแผน โดยเลือกใช้เส้นทางตามแผนที่ด้านบน ซึ่งในกรอบสีดำคือร้านกาแฟครับ เผื่อใครสนใจอยากไปลองโดนดูสักตั้ง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/58865551071034_058.jpg) ผมเดินพะอืดพะอมมาตามเส้นทาง แดดส่องหน้า เหงื่อหยดติ๋ง แถมร่างกายเรียกหาน้ำ อยากได้น้ำเย็น ๆ มาล้างคอ อยากดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ เผื่อว่าอาการพะอืดพะอมมันจะดีขึ้นบ้าง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/52948141429159_059.jpg) เราเดินกันมาพักนึงจนมาเจอกับอะไรที่มันสะดุดตา บนฟุตบาทมีวัยรุ่นเวียดนามจำนวนมากนั่งล้อมวงกินอะไรสักอย่าง กินกันจนเราเดินกันได้ลำบาก และมันคงต้องอร่อยแน่เลยคนมันถึงกินกันเยอะขนาดนี้ ระหว่างที่ผมยืนซื้อน้ำเย็น สาว ๆ ก็ให้ความสนใจกับร้านที่ขายอะไรที่ว่านี่ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/61110859860976_060.jpg) ที่หน้าร้านมีกระบะอะไรสักอย่าง ดูแล้วเป็นของที่เค้าต้องกำลังล้อมวงกินกันแน่ ๆ สาว ๆ มองหน้ากันแล้วตัดสินใจสั่ง เมื่อเราอยู่ในจุดที่ไม่มีใครสื่อสารอะไรกับเราได้รู้เรื่อง สิ่งที่ทำให้การสื่อสารนั้นไม่ติดขัดก็คือ ภาษากาย สาว ๆ ชี้ไปที่บรรดากระบะ แล้วชี้นิ้วขึ้นฟ้า เป็นภาษาสากลที่เข้าใจได้ในทันทีว่า "กูเอาไอ้พวกนี้เนี่ย 1" แม่ค้าชี้ไปที่เก้าอี้ตัวเท่ากับเก้าอี้ซักผ้าที่วางอยู่บนพื้นฟุตบาท บอกความหมายว่า "พวกมึงไปหยิบมันมานั่งซะ" เราบริการตัวเองแล้วนั่งลงแบบไม่แคร์ผู้คนที่สัญจรไปมา เราก็แค่ทำตามคนที่เค้าทำกันก่อนหน้า มันก็แค่นั้น (http://www.sookjaipic.com/images_upload/53687053132388_061.jpg) เร็วมากชนิดที่ตดยังไม่ทันหายเหม็น อาหารชนิดหนึ่งก็ถูกใส่มาในกระทงพลาสติก พร้อมไม้เสียบลูกชิ้นสองอัน หน้าตาแปลก ๆ แต่คล้ายกับยำอะไรสักอย่าง เราลองเอาตะเกียบ (ไม่ลูกชิ้น) คีบขึ้นมากิน แล้วเราก็ได้พบว่า เฮ้ย นี่มันอร่อยอีกแล้ว ! บ้านนี้เมืองนี้มันมีแต่ของอร่อยรึยังไงนะ ทำไมมันผิดกับร้านเวียดนามที่บ้านเราจัง ในเวลาไม่นานทุกอย่างก็หมดเกลี้ยง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/12469326001074_064.jpg) ผมกินของที่ว่าไปไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมสดชื่นขึ้นมากเพราะน้ำเย็น ๆ ที่ซื้อมาจากข้างทางเมื่อครู่ อาหารที่ว่าเรามานั่งคุยกันว่ามันคืออะไรวะ อ่านก็ไม่ออก ภาษาอังกฤษก็ไม่มีบอก แต่มันก็อร่อยจริง ๆ นั่นหละ เท่าที่ดูมันมีเหมือนเนื้อฝอย ๆ ปลาหมึกเส้น ๆ แบบปลาหมึกเต่าทอง แล้วก็อะไรสักอย่างรสชาติเหมือนส้มแผ่น ผักโรย ๆ ไข่นกกระทา แล้วก็น้ำปรุงรส (http://www.sookjaipic.com/images_upload/82261810162001_062.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/24944718596007_063.jpg) อันนี้บรรยากาศภัตตาคารริมทางที่ผมนั่งกินครับ เรานั่งเหมือน ๆ เค้านี่แหละ จะเห็นได้ว่าเค้านั่งกันไม่แคร์สื่อเลย ไม่ได้มีแค่นี้นะครับ รอบ ๆ ตัวยังมีอีกหลายวง ผมบอกแล้วฟุตบาทบ้านนี้เมืองนี้เค้ากว้างจริง กินกันตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ยันวัยชรา อารมณ์เหมือนกินยำรถเข็นในกทม.เป๊ะเลย แต่ทุลักทุเลกว่า ผมเก็บข้อสงสัยเกี่ยวกับอาหารชนิดนี้ จนกระทั่งผมได้เป็นเพื่อนกับไกด์ของกลุ่มเรา (ซึ่งจะได้เห็นในโพสท์ถัด ๆ ไป) แล้วได้มีโอกาสถามเมื่อเร็ว ๆ นี้เองว่ามันคืออะไร พร้อมกับส่งภาพไปให้เค้าดู แล้วก็ได้คำตอบมาดังนี้ครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/11758447479870_aa2.jpg) ที่โน่นเค้าเรียกกันว่าก๋อยครับ เป็นพวกยำ ซึ่งตอนที่เรายังไม่รู้ชื่ออาหาร เราเรียกมันว่ายำปลาหมึกแห้งครับ ถ้านับจากจุดที่เรานั่งกิน อีกไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงโบสท์แล้ว เมื่อท้องอิ่มมีเรี่ยวมีแรงเราจึงเริ่มเดินกันต่อ หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 13 พฤษภาคม 2559 11:24:38 โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph Cathedral) หลังจากเรายัดยำปลาหมึกลงท้องสนองความใคร่ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย (ผมกินไปนิดเดียว แต่ซัดโฮกน้ำไปสามขวด) เราก็เดินลัดเลาะจากไอ้ร้านที่ว่า เลี้ยงขวาไปนิดเดียว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/78747844033771_069.jpg) ชะแหว่ง ! ภาพเบื้องหน้าเราคือโบสถ์เซนต์โจเฟซ แหม่นึกว่าจะไกล ที่ไหนได้อยู่แค่ปลายจมูกเรานี่เอง สำหรับโบสถ์นี้ก็เหมือนแลนด์มาร์คหนึ่งของฮานอยเลยครับ อารมณ์ไปเที่ยวอยุธยาแล้วเจอวัดพนัญเชิงนั่นแหละ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำของที่นี่เลยครับเพราะที่นี่นับเป็นโบสท์ที่เก่าที่สุดในฮานอย อันเนื่องมาจากยุคล่าอาณานิคม ตอนที่ฟรั่งเศษได้เข้าปกครองเวียดนาม ด้วยความที่จะปฏิรูปประเทศใต้ปกครองให้ทันสมัย ฟรั่งเศษจึงทำลายสิ่งก่อสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เกี่ยวกับความเชื่อของชาวเวียดนามไปมากโข และหนึ่งในนั้นคือบริเวณนี้เลยครับ ก่อนหน้าที่จะเป็นโบสถ์ ที่ตรงนี้เป็นที่ตั้งของเจดีย์บ่าวเทียน ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยครับ เจดีย์บ่าวเทียนถูกทำลายลงแล้วสร้างเป็นโบสถ์เซนต์โจเฟซแทน นี่จึงเป็นแลนด์มาร์คที่มีทั้งความสวยงามและน่าสะเทือนใจ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/18892897168795_065.jpg) เมื่อมาถึงที่นี่สาว ๆ ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับสถานที่ประวัติศาสตร์ แต่เรื่องของเรื่องคือพอเราไปถึงปุ๊บ ประตูโบสถ์ก็ปิดปั๊บ ! ปิดมันดื้อ ๆ ปิดมันต่อหน้าต่อตา ปิดแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมได้แต่ยืนอ้าปากค้าง นี่กูซวยขนาดนี้เลยหรอเนี่ย เคยไปเที่ยววัดดัง ๆ ตอนห้าโมงเย็นไม๊ครับ ที่แบบพอเราไปถึงปุ๊บ หลวงพี่มาปิดประตูโบสถ์ใส่หน้าเรา อารมณ์เดียวกันเลย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42489746626880_066.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/27866866232620_067.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/14531050332718_068.jpg) แล้วทำไงหละทีนี้ ก็เดินถ่ายข้างนอกไปสิครับ แหม่ ผมเดินถ่ายรูปอยู่แป๊บนึง หันมาอีกทีสามสาวหายไปไหนกันหมดวะ ? แล้วความซวยแบบช้อนหักจวักงอของผมมันคือการที่ผมเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่มีมือถือใช้ เพราะผมทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่ไทย เพื่อให้ลูกค้าติดต่องานได้ หันซ้ายหันขวาไม่เจอใคร เดินวนสองรอบก็ไร้วี่แวว ผมบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ ท่ามกลางบ้านเมืองที่วุ่นวาย และเรากำลังโดดเดี่ยว จำไม่ได้แม้แต่โรงแรม ไม่ได้พกมากระทั่งพาสปอร์ต (โรงแรมยึดไว้) ความคิดมากมายผุดขึ้นมา ท่ามกลางเมืองหลวงที่กว้างใหญ่ในต่างแดน กับตัวเราที่ห่วยเรื่องภาษาอังกฤษชนิดที่สื่อสารกับคนอื่นได้ลำบาก แถมเราดันอยู่ในเมืองที่สกิลด้านภาษาของคนในเมืองนี้ก็ไม่ต่างจากเรามากมายนัก รู้สึกเหมือนเป็นต่างด้าวหลบเข้าเมือง เอกสารอะไรก็ไม่มี ประกอบกับหน่วยก้านแล้วเราอาจโดนพาตัวไปเป็นแรงงานเถื่อนตามเรือประมงผิดกฏหมายได้ไม่ยาก สิ่งที่ผมเลือกจะทำคือ อยู่เฉย ๆ ครับ อยู่นิ่ง ๆ ไม่กระดิกไปไหน ถ้าผมเป็นฟรั่งก็คงอารมณ์แบบมาเที่ยวเมืองไทย แล้วพลัดหลงกับเพื่อนที่วัดพระแก้ว ทำได้แต่รอจริง ๆ ผ่านไปห้านาทีเริ่มใจหวิว คิดในใจว่าเอ๊ะ ไอ้สามคนนั้น มันจะจำได้ไม๊นะว่าคลาดกันครั้งล่าสุดที่นี่ มันจะย้อนกลับมาตามหาเราไม๊นะ หรือมันจะไปเที่ยวฮาลองเบย์ โดยลืมเราไว้ในฮานอย ! เวลาผ่านไปนานพอสมควรในที่สุดผมก็เจอละไอ้สามสาวที่ว่ากำลังเดินออกมาจากข้างโบสถ์จ้า โธ่ปล่อยกูใจตกไปอยู่ตาตุ่ม อยู่ซะตั้งนาน สรุปก็คือในโบสถ์กำลังจัดพิธีแต่งงานกันอยู่เลยปิดประตูหน้า แต่ประตูข้างเปิดไว้สาว ๆ เค้าเลยเดินเข้าไปดู เป็นหนึ่งในเหตุการณ์เหวอแดกที่สุดของผมในทริปนี้เลยก็ว่าได้ สาว ๆ เดินเกาะกลุ่มกันมา แล้วเห็นผมยืนอยู่ลานด้านหน้าโบสถ์ หนึ่งในนั้นถามผมว่า "อ้าวมายืนอะไรตรงนี้" อยากจะตอบกลับไปเหลือเกินว่า "ก็ยืนรอมึงนี่แหละ กูกลัวจนจะร้องไห้อยู่แล้ว" แต่ก็ได้แค่คิดไม่ได้ตอบกลับไป จากนั้นผมจึงเดินเข้าไปด้านในโบสถ์จากทางประตูข้าง ยอมรับเลยว่าผมไม่เคยเห็นงานแต่งงานแบบชาวคริสต์มาก่อน แถมครั้งแรกที่ได้เห็นมันก็อยู่ในสถานที่สุดอลังการซะด้วย งานนี้เลยไม่พลาดที่จะเก็บภาพสวย ๆ ไว้ประดับความทรงจำ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/79964612714118_070.jpg) คนเข้าร่วมเยอะพอสมควรครับ ด้านในโบสถ์เงียบมาก มีเพียงเสียงพูดของหลวงพ่อที่ดังกังวานไปทั่ว ดูศักดิ์สิทธิ์มาก (http://www.sookjaipic.com/images_upload/58626164164808_072.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/77835286118917_071.jpg) ดูความสวยสดงดงามของลวดลายด้านในสิครับ ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/71345466582311_073.jpg) ภาพเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวครับ เนื่องจากดูเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนเงียบกริบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ผมเลือกจะยิงภาพไกล ๆ จากด้านหลังสุดของโบสถ์ครับ ทั้งที่ใจอยากเข้าไปถ่ายภาพใกล้ ๆ ก็ตาม จบกันไปแล้วกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของฮานอย สถานที่เก่าแก่ในระดับหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ใครไปฮานอยต้องไม่พลาดที่จะไปเยือนที่นี่ครับ หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 13 พฤษภาคม 2559 11:47:57 กราฟิตี้โจ๊ก (http://www.sookjaipic.com/images_upload/70430082413885_074.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/98926628919111_075.jpg) ออกจากโบสถ์เซนต์โจเซฟเราก็เดินลัดเลาะถนนแวะนั่งชิลที่สวนสารธารณะอะไรสักแห่ง ดูเหมือนเป็นสถานที่สำคัญ เพราะมีป้ายใหญ่ ๆ พาดไว้เหนือประตูของสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ที่นั่น มีคนแวะมานั่งพักไม่ขาดสาย บ้างก็ไปนั่งเล่นในสนามหญ้า หลังจากเรานั่งพักกันจนหายเหนื่อย พวกเราเดินกันต่อเพื่อไปเตรียมตัวรอชมหุ่นกระบอกน้ำที่เราซื้อตั๋วทิ้งไว้ ตั้งแต่ก่อนเข้าทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ระหว่างทางเราผ่านซอย ๆ นึงมีของกินแบบนั่งเกะกะหลายต่อหลายร้าน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/56747591164376_077.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/50873213633894_076.jpg) ที่บอกว่าเกะกะคือเค้านั่งเก้าอี้เล็ก ๆ ตามข้างทางเหมือนตอนเรากินยำปลาหมึก ในซอยที่ว่ามีทั้งของปิ้งของย่าง เฝอ (ก๋วยเตี๋ยว) บาแก็ต (บ้างก็เรียกปาเต) แล้วก็ของกินอีกสารพัด (http://www.sookjaipic.com/images_upload/68649845777286_080.jpg) แต่ที่สะดุดตาเราและมีคนนั่งกินอยู่เยอะมากมันคือร้านขายโจ๊ก ! เป็นร้านดูง่อย ๆ ไม่มีอะไร มีแค่หม้อโจ๊กใหญ่ ๆ วางไว้ แล้วก็มีถาดใส่เครื่องที่เอาไว้กินกับโจ๊ก พวกหมู พวกไก่หยอง ดูสิ้นคิดมาก ขัดแย้งกับปริมาณคนกินเมื่อเทียบกับร้านอื่น (http://www.sookjaipic.com/images_upload/57265992752379_078.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/79884694599442_079.jpg) แต่พอทำออกมามันผิดคาด เราสั่งกันมาคนละชาม มันเป็นโจ๊กหน้าตาน่าทานราคาไม่ถึงสามสิบบาทไทย เนื้อเนียนละเอียด กลิ่นหอมของข้าวนี่เตะจมูกสุด ๆ หอมจริงไม่ติงนัง ละมุนลิ้นจนตาพริ้ม แถมยังใส่ปาท่องโก๋ทอดหอม ๆ มัน ๆ เข้ากันดี โรยด้วยไก่หยองรสเค็มกว่าบ้านเราเยอะ สำหรับเครื่องปรุงก็มีแค่พริกไทยให้เราโรยแค่นั้นเอง แต่เชื่อเถอะ เห็นดูเรียบง่ายแบบนี้แต่มันอร่อยโคตร อร่อยจนว๊าว ทุกอย่างมันเข้ากันพอดิบพอดีลงตัวมาก ส่วนชื่อร้านกราฟิตี้โจ๊กพวกผมตั้งให้เองแหละ เพราะที่นี่ไม่มีชื่อร้าน แต่ด้านหลังมันมีรอยพ่นกำแพง เป็นลวดลายกราฟิตี้ เราเลยตั้งชื่อนี้ให้ ผมบอกพิกัดไม่ถูกหรอก แต่จะบอกว่ารสชาติต่างจากสภาพร้านแบบสุดขั้ว เลอค่าสุด ๆ ร้านนี้นี่มันผ้าขี้ริ้วห่อโคลนชัด ๆ !! หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 14 พฤษภาคม 2559 17:35:59 แวะทานอาหารค่ำ หลังจากที่กินโจ๊กกันเสร็จ ซึ่งยังไม่อิ่มกันหรอกชามแค่นี้เมื่อเทียบกับพลังงานที่เสียไปทั้งวัน เราเลือกจะเดินเล่นกันที่ถนนคนเดิน ไม่ได้มีแค่เมืองไทยนะครับที่นิยมถนนคนเดิน ต่างชาติเพื่อนบ้านเราก็นิยมไม่แพ้กัน และเผื่อฟลุ๊ค ๆ เราจะได้แวะหาอะไรกินด้วย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/12409505248069_081.jpg) ตอนนี้เราดูนาฬิกากันแล้วเหลือเวลาอีกเกือบ ๆ สองชั่วโมงครึ่งแน่ะกว่าการแสดงหุ่นกระบอกน้ำจะเริ่ม ถนนคนเดินเป็นตัวเลือก ที่ดีเพราะมันอยู่ใกล้กับทั้งที่พักเรา และใกล้กับทั้งโรงแสดงหุ่นกระบอกน้ำด้วย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42004109380973_085.jpg) หลังจากเดินลัดเลาะกันไม่นาน (โดยแทบไม่ต้องเปิดแผนที่ด้วย) เพราะเราเดินกันจนจับจุดและเริ่มจำถนนหนทางแถวนี้กันได้ ในเวลาไม่นานเราก็มาถึงจุดหมาย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/37543949609001_084.jpg) ป้ายไฟบอกว่าที่นี่ Tuyen Pho Di Bo Walking Street พาดเด่นเห็นแต่ไกล บรรทัดที่เหลือจับใจความไม่ได้ เพราะเป็นภาษาเวียดนาม เราเดินเข้าไปข้างใน ร้านรวงข้างทางเพิ่งจะเริ่มตั้งเพราะยังหัวค่ำอยู่ รถรายังขวักไขว่ ตระหนักได้ทันทีว่าเรามากันผิดเวลาไปนิดนึง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/39191679697897_082.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/52720221918490_083.jpg) แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอยู่ดี เพราะเราเลือกที่จะเดินชมบรรยากาศกันแบบไม่เร่งรีบ พร้อมกันนั้นสายตาก็สอดส่องมองหาของอร่อย จริงอยู่ที่เรากินอะไรเล่น ๆ ระหว่างทางกันมาเยอะ แต่อาหารค่ำมื้อหลักเรายังไม่ได้กินกันเป็นกิจจะลักษณะกันเลย เดินไปเดินมาก็เจอกับร้านที่คิดว่าน่าจะฝากความหิวเอาไว้ได้ ร้านที่คนกินเยอะจนเต็มร้าน ผิดกับร้านรอบ ๆ ที่คนจะบางตากว่า เราเข้าไปในร้านโดยไม่รู้ว่าเค้าขายอะไรบ้าง และตอนเราเข้าไปมีโต๊ะว่างแค่ตัวเดียว (ร้านขนาด 1 ห้องแถวครึ่ง) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/94142165697283_087.jpg) มีทั้งชาวเวียดนามแล้วก็ชาวต่างชาติที่เข้ามากินพร้อมกับหวดเบียร์กันแต่หัววัน บรรยากาศร้านคึกคักกว่าที่คิด ต่างคนต่างคุยกันอย่างออกอรรถรส เรียกได้ว่าไม่ต้องเกรงใจใครเลย อาจเป็นเพราะร้านแคบด้วยเลยรู้สึกล้งเล้งเป็นพิเศษ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/34501322565807_086.jpg) เมนูมีมากมายครับ ง่ายหน่อยตรงที่ใต้ภาษาเวียดนามมีภาษาอังกฤษกำกับ เราเลยรอดตัวไม่ต้องสั่งกันมั่ว ๆ เมนูที่ให้มาอาหารหลากหลายมากครับ เล่มหนาเอาเรื่องเลยทีเดียว เราเลือกจะสั่งกันคนละอย่างสองอย่างแล้วกินรวมกัน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/87084784896837_088.jpg) หลังจากรับออเดอร์ไปไม่นาน อาหารก็ลงเสริฟ ต้องบอกเลยว่าเป็ดย่างร้านนี้เลอเลิศมากมาย รสออกเค็มนำแต่มีความหอม อร่อยลงตัวเป็นเป็ดเนื้อไม่เยอะเท่าเป็ดฟาร์มบ้านเรา คือให้ลืมไปเลยว่าจะเจอเป็ดอ้วน ๆ หนังหนา ๆ ไขมันเยอะ ๆ เนื้อฟู ๆ เพราะเป็ดที่นี่อารมณ์คล้าย ๆ ไก่บ้านครับ คือเนื้อน้อยแต่แน่น เสริฟมาแยกกับน้ำราดครับ แต่เชื่อเถอะเจอจานนี้เข้าไป เป็ดเอ็มเคนี่ไปไกล ๆ เลย ของเค้าอร่อยนัว หวานมันเค็มผสมกับความหอมของเครื่องเทศและน้ำราดนี่โคตรจะเพอร์เฟกต์ อร่อยชนิดหาตัวจับได้ยากในเมืองไทยเลยหละครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/77538424399163_089.jpg) นอกจากนี้ก็ยังมีแกงกะหรี่รสชาติบอกไม่ถูก มันอร่อยมากแต่ไม่เหมือนรสชาติแบบที่บ้านเราคุ้นชิน รสเค้าจะอ่อนกว่า แต่กลิ่นของเครื่องแกงกะหรี่เค้าจะเข้มข้นกว่า (http://www.sookjaipic.com/images_upload/55839197668764_090.jpg) ตามมาด้วยสตูว์หมูนุ่ม ๆ ที่เลอค่าไม่แพ้กันรสชาติเค็มนำ หวานอ่อน ๆ ตาม หอมเข้มข้น กลิ่นเตะจมูกมากครับชามนี้ หมู่ที่เคี่ยวจนเปื่อย กับน้ำข้น ๆ ทานกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยมาก พูดถึงข้าวสวย ข้าวเวียดนามอร่อยไม่แพ้เราเลยครับ ไม่ต่างจากข้าวหอมมะลิชั้นดีเลย แล้วที่สำคัญเราสามารถหาทานข้าวเม็ดนิ่ม ๆ หอม ๆ ได้ทั่วไปครับ ผิดจากบ้านเรา ที่ถ้าเป็นร้านข้างทางมักจะลดต้นทุนใช้ข้าวถูก ๆ เม็ดแข็งกระด้าง เวลาเสริฟก็แปลกตาครับ เค้าจะไม่ได้ใส่มาในโถข้าว แต่เค้าจะตักใส่จานมาพูน ๆ แล้วมีช้อนใหญ่ ๆ ให้มาตักแบ่งกันเอาเองครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/30245212382740_092.jpg) และหนึ่งในเมนูที่ถูกใจผมที่สุดของมื้อนี้คือข้าวผัดครับ ข้าวผัดหอม ๆ รสชาติกลาง ๆ ใส่ผงขมิ้นนิดนึงมันลงตัวมาก ยิ่งทานกับเป็ดกับแกงต่าง ๆ นะ มันยิ่งเป็นตัวที่ชูรสให้อร่อยขึ้นอีกมาก พูดกันตรง ๆ ว่าประทับใจชนิดที่สั่งเพิ่มมาอีกจาน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/21456462062067_093.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/20959062625964_091.jpg) หลังจากนั้นก็หนุบหนับ ๆ เสียงช้อนกระทบจาน ไม่ขาดสาย เรากินกันอย่างมีความสุข เราว๊าวกับรสชาติอาหารของที่นี่ ไม่แปลกใจว่าทำไมคนอื่น ๆ ในร้านถึงส่งเสียดังกัน บางทีการเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้วมาได้ทานอาหารอร่อย ๆ มันก็ถือเป็นการพักผ่อนที่สุดยอดไม่แพ้การพักผ่อนรูปแบบอื่น ๆ เลย ไม่ผิดหวังเลยบ้านนี้เมืองนี้ เสียดายอย่างเดียวจริง ๆ ที่ไม่ได้จำชื่อร้าน แต่ถ้าให้ไปอีกก็ไปถูกนะ !! ร้านติด ๆ กับ Tran Hotel เยื้องกับโรงแรม May De Ville หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 14 พฤษภาคม 2559 18:51:33 การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ ของเวียดนาม (http://www.sookjaipic.com/images_upload/45202767724792_095.jpg) ทานข้าวเสร็จประทับใจกันไม่หาย เราเดินไปคุยไปเรื่องอาหารพร้อมชมตลาดริมทางที่มีผู้คนมากมายเริ่มมาตั้งร้าน แล้วจากรูปเห็นไม๊ครับ การตั้งร้านของที่นี่เค้าตั้งแบบไม่สนใจครั้งทั้งนั้น กูตั้งมันกลางถนนถ้าไม่อยากขับชนมึงหลบกันเอง เป็นการตั้งร้านค้าที่โคตรอินดี้ที่สุดในโลกหล้าตั้งแต่ได้พบเห็นมาเลยทีเดียว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/40286940005090_094.jpg) ผ่านไปไม่นานนักเราก็ย้อนกลับมาที่เดิมเป็นรอบสี่สามของวันซึ่งก็คือบริเวณทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ผู้คนพลุกพล่านราวกับห้าแยกลาดพร้าวแห่งกรุงฮานอย ตรงนี้เป็นจุดที่ผู้คนสัญจรไปมาเยอะมากครับ ทั้งกลางวันกลางคืนไม่ต่างกันเลย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/95806300060616_096.jpg) เห็นอะไรในรูปไม๊ครับ ? ผมอยากให้สังเกตกันดี ๆ ถึงเหตุผลที่ผมบอกว่าข้ามถนนที่นี่เหมือนเอาชีวิตไปทิ้ง ถ้าลองมองดี ๆ จะเห็นว่าผู้คนบนถนนกับปริมาณรถมากพอ ๆ กัน แล้วก็นี่แหละครับความโคตรอันตรายของมัน คือระหว่างเดินข้ามอยู่ไอ้รถที่ผ่านมาอาจหลบเราแล้วไปชนคนอื่น หรือมันอาจหลบคนอื่นแล้วมาชนเราก็ได้ ที่สำคัญไม่ต้องหวังพึ่งเสียงแตรครับ เพราะมันดังมาจากรอบตัวคุณ ๆ นั่นแหละ จนไม่รู้ว่ามันบีบให้ใครหลบกันแน่ พี่ที่โรงแรม Golden Place ที่เราเข้าพักเค้าสอนวิธีเดินข้ามถนนให้เรามาครับ พี่เค้าบอกว่าการจะข้ามถนนให้ปลอดภัย ให้ยึดเอาไว้สามข้อครับ 1. ห้ามวิ่ง 2. ห้ามหยุด 3. ห้ามถอยหลังกลับ เค้าบอกให้ข้ามไปเลยเสมือนว่าบนถนนไม่มีรถ เดี๋ยวคนขับขี่รถเค้าจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าเค้าจะหลบไปทางไหน ผมได้แต่คิดในใจ นี่ถนนนะมึงไม่ใช่สวนดอกไม้ แต่ในท้ายที่สุดมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ คนที่นี่เค้านึกอยากจะข้ามเค้าก็ข้าม เดี๋ยวรถที่วิ่งเค้าจะหลบกันเอง หลบไม่พ้นเค้าก็เบรคมันแค่นั้นจริง ๆ และผ่านไปครึ่งวันเราก็เริ่มซึมซับวัฒนธรรมการเดินข้ามถนนของที่นี่ครับ เหมือนกำลังก้าวข้ามหุบเขาแห่งความตาย ที่มียมบาลนั่งยอง ๆ เอามือท้าวคางรออยู่ตามริมฟุตบาท และเค้าก็คงเป็นแบบนี้กันจริง ๆ ครับ เพราะผมแทบไม่เคยได้ยินว่ามีอุบัติเหตุชนคนข้ามถนนเลย ทั้งที่เป็นแบบนี้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/12984507903456_098.jpg) เราเลือกจะเดินข้ามถนนมาริมทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมก่อนครับ เพราะเรามาถึงก่อนเวลาแสดงพอสมควร จึงเดินเตร็ดเตร่ ถ่ายรูปเล่นอยู่แถวนั้น ซึ่งก็มีวัยรุ่นหนุ่มสาวเวียดนามหลายคน หลายคู่มาถ่ายรูปกันครับ บรรยากาศสวยดี (http://www.sookjaipic.com/images_upload/81787454419665_099.jpg) จากริมทะเลสาบเราสามารถมองเห็นวัดหง็อกเซินได้ด้วยครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/57238728635840_097.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/71591857365435_100.jpg) และเพื่อให้สมชื่อกับสะพานแสงอาทิตย์ที่ข้ามไปยังวัดหง็อกเซิน สะพานจึงมีการจัดแสงไว้ด้วยครับ แดงเจิดจ้าสะใจ ถ่ายภาพไกล ๆ ก็สวย หรือจะไปถ่ายบนสะพานก็ได้เช่นกัน เป็นอีกที่ถ่ายรูปยามค่ำคืนของฮานอยที่ผมขอแนะนำ เราเดินเล่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามเพื่อไปรอชมการแสดง เรานั่งรอในร้านกาแฟของโรงละคร สั่งกาแฟสดมากินกันชิล ๆ เพราะโปรแกรมสุดท้ายของวันนี้กำลังจะหมดลงแล้ว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/23684889781806_101.jpg) และแล้วก็ถึงเวลาเข้าชม สำหรับที่นี่ไม่มีข้อห้ามเรื่องการถ่ายภาพใด ๆ แต่มีเงื่อนไขตรงที่ว่าถ้าอยากถ่ายภาพ คุณก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งเค้าเก็บเพิ่มที่ 20,000 ด่อง หรือคิดเป็นเงินไทยก็สามสิบบาทปลาย ๆ ซึ่งผมว่ามันก็แฟร์ดี ราคาไม่แพง สามารถถ่ายกันได้เต็มที่ ไม่ต้องแอบถ่าย ไม่ต้องมาหวงอะไรกันมากมาย จริง ๆ แล้วระบบนี้ผมยังอยากให้มีในบ้านเราเลยเวลาไปดูการแสดงต่าง ๆ ผมว่ามันเป็นการช่วยโปรโมตอย่างหนึ่ง (จากความคิดเห็นส่วนตัว) หลังซื้อบัตรสำหรับตากล้องแล้วเราก็เดินเรียงกันเข้าสู่สถานที่แสดง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/21714939011467_102.jpg) ภายให้ห้องแสดงบรรยากาศคุ้นตาเหมือนกับห้องประชุม คนมากมายเข้ามาในห้องจัดแสดงอย่างรวดเร็ว คนเข้าชมมากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ หลังประตูเปิดไม่นานคนก็มากันแน่นโรง ทั้งที่ไม่ใช่วันหยุดใด ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/68304140410489_103.jpg) ทันทีที่ผู้เข้าชมมากันครบ แสงไฟก็หรี่ลง ไม่นานนักดนตรีก็เริ่มบรรเลงเพลง ถัดมาก็เป็นการแสดงในเนื้อเรื่องต่าง ๆ นับสิบเนื้อเรื่อง สำหรับเราแล้วถือว่าได้มาดูหนึ่งในการแสดงของชนชาติเวียดนาม แต่ยอมรับว่าไม่ได้บันเทิงมากมายนัก เพราะหุ่นกระบอกที่ว่าทำได้แค่แกว่งแขนกับหมุนตัว ที่เห็นจะแปลกตาคือเค้าแค่เชิดอยู่ในน้ำก็เท่านั้น ส่วนคนเชิดจะอยู่หลังม่านอีกที และที่เซ็งกันพอสมควรคือดูไม่รู้เรื่องครับ ไม่รู้ว่าเค้าสื่อสารอะไร เป็นภาษาเวียดนามล้วน ๆ ผิดกับบ้านเรา เช่นถ้าไปดูโขนที่ดิโอลด์สยาม แม้จะพูดเสียงไทยก็จริงแต่บ้านเราจะมีซับไตเติลภาษาอังกฤษให้ด้วยครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/76523200381133_104.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/98603489208552_105.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/49074778167737_106.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/34527525761061_107.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/43526371444264_108.jpg) มีการแสดงราว ๆ สิบชุดต่าง ๆ กันไปครับ ผมเองพยายามจะอินไปกับเนื้อหาและการแสดง แต่ทำไม่ได้จริง ๆ ดูไม่รู้เรื่องด้วย การเคลื่นไหวซ้ำ ๆ ด้วย ผ่านไปไม่นานผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งมาจากทางขวา "เสียงกรน" มีคนหลับคอพับคาการแสดง อย่าว่าแต่คนอื่นเลยครับ ผมเองก็ยังแย่ แอร์เย็น ๆ โรงมืด ๆ เสียงดนตรีกล่อม กว่าจะจบการแสดงนี่เล่นเอาแย่เหมือนกันครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/34667403292324_109.jpg) หลังการแสดงผ่านไปนานพอสมควร เมื่อจบการแสดงชุดสุดท้าย นักเชิดหุ่นก็เดินลุยน้ำออกมาด้านหน้า พร้อมโบกมือให้กับผู้ชม เสียงปรบมือดังสนั่งไปทั่วโรง ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะสนุกหรือเพราะอะไรกันแน่ ยังแอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามีแต่เรารึเปล่าที่ดูไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไม่น่า เพราะผู้เข้าชมส่วนมากเป็นชาวต่างชาติเหมือนเรา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/95195853585998_110.jpg) หลังการแสดงจบลงหลายคนเริ่มทยอยกันออกจากโรง ผมไม่อยากบอกเลยว่ามีคนยังไม่ตื่นด้วย 5555 ผมเลือกจะเดินออกทีหลังเพราะขี้เกียจไปเดินเบียดกับใคร แล้วจะได้เลือกซื้อของที่ระลึกได้สะดวก ๆ และนี่คือสภาพของสาว ๆ หลังจากจบการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/93642991946803_111.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/73375710969169_112.jpg) ผ่าง !! (:9:) (:9:) (:9:) จบกันไปแล้วครับ การแสดงหุ่นกระบอกน้ำที่ใคร ๆ ต่างก็แนะนำให้มาดูให้ได้ แต่อย่าถามความคิดเห็นผมเลย สำหรับผมผมยังอึ้งแดกพูดอะไรไม่ออกครับ ปล. การแสดงไม่ใช่ไม่ดีนะครับ หลายฉากตื่นตาตื่นใจผมมาก โดยเฉพาะอันที่เป็นจุดไฟ ดูน่ากลัว ๆ แต่ความน่าเบื่อในมุมมองของผมมันคือการที่เราไม่รู้สึกอินไปกับเนื้อหาเพราะไม่รู้ว่าเค้ากำลังพูดอะไรหรือเล่นอะไร แต่ถามว่าสำหรับคนอื่นผมว่าน่าจะสนุก เพราะผมได้ยินเสียงหัวเราะเป็นพัก ๆ จากด้านหลัง ซึ่งคาดว่าเป็นคนเวียดนาม หรือไม่ก็เป็นคนที่ฟังภาษาเวียดนามรู้เรื่อง หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 15 พฤษภาคม 2559 21:03:57 เพิ่มเติมเรื่องหุ่นกระบอกน้ำ ก่อนจะไปว่ากันด้วยสถานที่ต่อไป ด้วยความที่ผมดูหุ่นกระบอกน้ำไม่รู้เรื่อง ประกอบกับผมได้หยิบแผ่นพับติดมือกลับมาด้วย ทำให้ผมได้รู้ว่าเค้าแสดงอะไรกันบ้าง แต่อย่าให้ผมต้องหาข้อมูลมาบรรยายเลยครับ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ไม่ใช่อ่านเหนื่อยนะ คนหาข้อมูลอ่ะเหนื่อย มันเป็นนิทานพื้นบ้าน เป็นตำนานของประเทศเค้า แค่นั่งแปลสงสัยจะมีหมดวันแน่นอน เอาเป็นว่าหนึ่งในเรื่องที่แสดงมันก็มีเรื่องเกี่ยวกับเรื่องตะพาบยักษ์ที่มาเอาดาบคืนที่เป็นตำนานในทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมด้วยแล้วกัน หลังจากนั้นผมก็มานอนเปิดอินเทอร์เน็ตในห้องพักเพื่อหาข้อมูลแล้วก็พบข้อมูลสำคัญว่าการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ เป็นการละเล่นพื้นบ้านโบราณของชาวเวียดนาม มีถิ่นกำเนิดบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ฉากเป็นซุ้มที่ตกแต่ง เป็นสถาปัตยกรรมเวียดนาม ทำด้วยไม้ไผ่เป็นผืนมู่ลี่กางไว้เรี่ยผิวน้ำ มีหลืบหัวท้ายและกลางให้ตัวหุ่นลอดออกมาโลดแล่น การแสดงแบ่งเป็นชุดๆ เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิต การทำมาหากิน ศิลปการละเล่นพื้นบ้านของชาวเวียดนาม ที่มาของการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ 1. แต่เดิมบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำซงโห่ง หรือแม่น้ำแดงบริเวณที่ราบลุ่มต่ำ ซึ่งอาจจะจมอยู่ใต้น้ำในฤดูฝน หากไม่มีฝายกั้นน้ำที่เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ยาวถึง 7,000 กม. สร้างตัดไปตามผืนนาและหมู่บ้าน ฝายกั้นน้ำนี้เดิมสร้างขึ้นจากดิน เมื่อ 1,000 ปีมาแล้ว ก่อนหน้านั้น สมัยราชวงศ์หลีในตศวรรษที่ 11 แม่น้ำแดงจะเอ่อท้นฝั่งขึ้นมาท่วมภูมิภาคนี้อยู่สม่ำเสมอทุกปี 2. การที่น้ำท่วมเป็นประจำได้กลายเป็นแรงบันดาลให้เกิดรูปแบบความบันเทิงชนิดที่หาได้ในเวียดนาม คือหุ่นกระบอกน้ำนั่นเอง ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของคณะหุ่นกระบอกชั้นนำของฮานอยได้อธิบายว่า “ชาวไร่ชาวนาไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีในช่วงน้ำท่วม จึงพากันคิดค้นศิลปะรูปแบบนี้ขึ้นมา” 3. หุ่นกระบอกน้ำเป็นการผสมผสานระหว่างความหลงใหลในเทพตำนานกับความรักชาติอย่างรุนแรงซึ่งปลูกฝังกันมา ในจิตใจชาวเวียดนาม นักเชิดหุ่นกระบอกจะยืนอยู่หลังฉากในน้ำที่ท่วมถึงเอวแล้วควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นด้วยไม้ไผ่ลำยาว หลายศตวรรษที่ผ่านมา ทุกหมู่บ้านจะมีคณะละครแสดงในสระน้ำหน้าดิงห์ หรือศาลาประชาคม เทคนิคการเล่นได้ถูกเก็บงำ เป็นความลับอย่างมิดชิด แม้ปัจจุบันนี้ นักเชิดหุ่นอาวุโสทั้งหลายยังไม่ใคร่ยอมถ่ายทอดวิชาให้คนรุ่นหลัง แต่ด้วยเกรงว่าวิชาจะดับสูญบางท่านจึงยอมสอน ทุกวันนี้ มีคณะหุ่นเหลืออยู่ไม่มากนักในเวียดนาม ที่ฮานอยมีสองคณะ 4. ปกติแล้วการแสดงหุ่นจะมี 12 องก์ แต่ละองก์จะเป็นการเล่าเรื่องเทพตำนานเกี่ยวกับเวียดนามและประวัติศาสตร์ นักดนตรีจะเล่นดนตรีแบบดั้งเดิมคลอไปด้วย มีเรื่องหนึ่งเล่าเกี่ยวกับเต่าใหญ่ที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมที่ฮานอย เต่าตัวนี้จะโผล่ขึ้นมาถวายดาบแก่พระเจ้าเลไทโต ซึ่งพระองค์ต้องการนำไปใช้ขับไล่ผู้รุกรานชาวจีน ส่วนเรื่องอื่นๆ เล่าเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ในชนบท เช่น การเพาะปลูก การเกี่ยวข้าว การประมง การแข่งเรือ เป็นต้น ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก >> thaifly.com/index.php?route=news/news&news_id=921 หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 16 พฤษภาคม 2559 01:28:25 พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา เวียดนาม 1 ดูหุ่นกระบอกน้ำเสร็จพวกเราเดินกลับที่พัก หลังกลับถึงที่พัก สาว ๆ ทั้งสามก็ออกไปเดินตลาดกันต่อ ผมนึกในใจ มึงแอบไปดูดม้ากันมารึไง เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนวะ แต่ผิดคาดครับสาว ๆ หายกันไปได้ไม่ถึงสิบห้านาที เสียงเคาะประตูห้องป๊อก ๆ ๆ เป็นสัญญาณว่าคุณเธอทั้งหลายได้กลับมาแล้ว ก็แน่ละไม่น่าเดินกันต่อไหวหรอกเดินมาทั้งวัน เหนื่อยจะตายห่ากันอยู่แล้ว จากนั้นคิวห้องน้ำก็เต็ม เธอทั้งสามเธอใช้เวลาอาบน้ำไม่นาน และในเวลาไม่เกินชั่วโมงครึ่งก็ม่อยกระรอกหลับกันราวมรณภาพ มีแต่ผมคนเดียวที่นั่งเล่นไอแพดตาแป๋วยันตีสองเพราะความเคยชิน (ปกติผมนอนดึก) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/22063078441553_113.jpg) หลายชั่วโมงผ่านไป เราตื่นเช้ามาอย่างกระปรี้กระเปร่า อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมากินอาหารเช้าที่ชั้นล่างในโรงแรม ซึ่งเป็นเมนูง่าย ๆ อย่างขนมปังบาแก็ตกับเนย ไข่เจียว ออมเลต ไข่ดาว แล้วแต่จะสั่ง กับพวกชา กาแฟ แต่ของผมอาหารเช้าที่ผมเลือกกินคือ ขนมปังบาแก็ตกับชีส และปิดท้ายด้วยกระทิงแดงสองกระป๋อง กับมอนสเตอร์เอ็นเนอร์จี้ เครื่องดื่มชูกำลังที่ผมกินทุกวันเลยที่ไปเวียดนาม (ผมกินทุกวันตลอดทริปการเดินทาง) หลังจากทานอาหารเช้ากันเสร็จ โรงแรมก็เรียกแท็กซี่ให้พาเราไปส่งที่พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ฯ ใช้เวลาพักใหญ่ ๆ กว่าที่เราจะมาถึง เพราะที่นี่ไกลพอสมควรเลย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/32504930223027_115.jpg) และนี่คือภาพตอกย้ำการจราจรในบ้านเมืองนี้ ขนาดซอยเล็ก ๆ มึงยังขับเหมือนจะชนกันตลอดเวลา น่าแปลกที่มาเที่ยวที่นี่ ผมไม่เคยรู้สึกหวาดระแวงในทรัพย์สิน ไม่กลัวโจรขโมย แต่ผมกลับกลัวการเดินทางบนท้องถนนเสียมาก (http://www.sookjaipic.com/images_upload/21764883812930_116.jpg) แล้วแท็กซี่ก็พาเรามาจอดที่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง พื้นที่กว้างขวาง มีอาคารใหญ่โต ผู้คนพลุกพล่านที่กำลังต่อคิวกันซื้อตั๋ว ใช่ครับเรามาถึงแล้ว พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาเวียดนาม (Vietnam Ethnology Museum) ที่นี่อยู่ห่างจาก ตัวเมืองฮานอยประมาณ 8 กิโลเมตร รัฐบาลเวียดนามอนุมัติที่ดินกว้างขวางให้จัดสร้างอาคารขึ้นใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 แต่แล้วเสร็จจนเปิดให้เข้าชมกันได้ก็เมื่อล่วงเข้าพฤศจิกายนในอีกสิบปีถัดมา ที่นี่ตั๋วถูกมากครับ เป็นแหล่งศึกษาความรู้ที่ผมว่าคุ้มค่าคุ้มราคามาก ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/38782897136277_114.jpg) พอซื้อตั๋วเสร็จเข้ามาข้างใน สาว ๆ เลยถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเผื่อเอาไว้ให้ลูกหลานดูยามแก่เฒ่า บริเวณพิพิธภัณฑ์จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก ส่วนแรกอยู่ในอาคาร มีนิทรรศการเรื่องราวของชาติพันธุ์ 54 กลุ่มในเวียดนาม แบ่งตามตระกูลภาษาเป็นหลัก และยังมีสำนักงานศึกษาวิจัยเรื่องราวของชาติพันธุ์ทั่วทั้งเวียดนามตั้งอยู่ อาคารนิทรรศการมีสองชั้น ใช้สื่อผสมทั้งภาพถ่าย วัตถุจัดแสดง วีดีทัศน์ หุ่นจำลองฯลฯ บางมุมจำลองบ้านไม้ขนาดย่อม ที่สามารถเดินเข้าไปชมได้ (แล้วก็ยังมีบ้านไม้จำลองด้วยครับ เป็นบ้านโมเดล อยู่ที่ชั้นสอง) นอกจากนี้ยังมีมุมจัดแสดงบางส่วนที่นำเครื่องใช้ในพิธีกรรมมาจัดแสดงประกอบการฉายวีดีทัศน์ที่บันทึกเหตุการณ์จริง มีมุมทอผ้า มุมแต่งงาน มุมตลาดนัด แล้วก็รูปถ่ายตั้งแต่สมัยอดีตซึ่งผมดูแล้วประทับใจมาก การจัดแสงสีมันชวนให้อินจริง ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/13907625898718_117.jpg) นี่ครับห้องแรกที่เราเดินเข้าไป เราจะพบกับคำว่าซินจ่าวตัวเบ้อเริ่ม (Xin Chao) พร้อมกับคำว่าสวัสดีใจภาษาต่าง ๆ ครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/20461946808629_119.jpg) ห้องนี้มีวีดีทัศน์ประกอบด้วยครับ น่าจะเป็นเกี่ยวกับการกล่าวต้อนรับ หรือไม่ก็ข้อมูลเบื้องต้นของสถานที่ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/24075172220667_118.jpg) ต่อมาก็เป็นห้องที่มีแผนที่เวียดนามครับ ห้องนี้ผมดูแค่ผ่าน ๆ แต่ก็มีชาวเวียดนามมากมายดูให้ความสนใจ เป็นภาพที่ดีมากเลยครับ ผมคนนึงที่เวลาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ในประเทศแล้วจะชอบเดินอ่าน แล้วจะรู้สึกขัดใจนิด ๆ เวลาเจอคนเดินเหมือนมาเดินเล่น แบบดูผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจเนื้อหา ไม่ได้สนใจข้อมูลใด ๆ ผิดกับชาวเวียดนามในพิพิธภัณฑ์ที่เวียดนามครับ ทุกที่ที่ผมไป ชาวเวียดนามดูจะให้ความสนใจในเนื้อหาอยู่ไม่น้อย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/68037363058990_120.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/89218785199854_121.jpg) ดูปริมาณคนในห้องสิครับ ผมรู้สึกสัมผัสได้ถึงความภูมิใจในการเป็นประเทศเกษตรกรรมของที่นี่จริง ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/47845043904251_122.jpg) ทุกส่วนจัดแสดงล้วนคับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยว และประชาชนในประเทศที่เข้ามาศึกษาหาความรู้ เราเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเชื่อมต่อระหว่างแต่ละห้องอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ผมรู้สึกว่าเค้าเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาและการเรียนรู้มากมายเหลือเกินเมื่อดูจากการให้ความสำคัญ กับพิพิธภัณฑ์ และจากปริมาณของคนที่ให้ความสนใจในแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนเหล่านี้ และแล้วผมก็มาถึงห้องที่ทำให้เวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/39026840486460_127.jpg) ...ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ห้องจัดแสดงภาพถ่ายในอดีต... (http://www.sookjaipic.com/images_upload/23962065246370_123.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/18526705313059_124.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/18750353074735_125.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/94277216121554_126.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/17628272540039_128.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/53372616858945_129.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/95409466409020_133.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/58426180109381_130.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/71216858343945_131.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/20090728294518_132.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/95409466409020_133.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/86240850844317_135.jpg) ภาพหนึ่งภาพสื่อความหมายได้นับไม่ถ้วน บอกเล่าเรื่องราวได้ไม่สิ้นสุด นั่นคือเหตุผลที่ผมชอบถ่ายภาพ และมันคือเหตุผลเดียวกับที่ผมเลือกจะโพสท์แต่ภาพ แต่ไม่อธิบายอะไรเกี่ยวกับภาพพวกนี้ นี่เป็นเพียงส่วนน้อยที่ผมนำมาลงให้ได้ชมกัน หลายคนอาจไม่ได้อินไปกับภาพถ่ายเหมือนอย่างที่ผมเป็น แต่นั่นมันเรื่องของคุณ เพราะผมอิน และผมเป็นคนโพสท์ ฮ่า ๆ ๆ ผมยืนพิจารณาทุกภาพถ่ายทุกครั้งอย่างละเอียดในทุกองค์ประกอบก่อนจะยกกล้องขึ้นลั่นชัตเตอร์ ผมยืนอยู่แล้วมองในทุกรายละเอียดที่ภาพแต่ละภาพกำลังกระซิบบอกเล่าเรื่องราวให้ผมฟัง ทุกครั้งที่ผมย้ายจุดไปอีกภาพแล้วจ้องมอง มันเหมือนผมกำลังถูกตรึงให้อยู่กับที่พร้อมเรื่องราวมากมายในหัวตัวเอง ถ้าคุณชอบถ่ายภาพ ถ้าคุณชอบเสพย์อาร์ต คุณอาจเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น ผมเดินออกจากห้องมาพร้อมกับความรู้สึกอิ่ม แสง สี บรรยากาศ องค์รวมทุกอย่างในห้องนี้มันช่างดึงดูดเหลือเกิน ผมเดินขึ้นบันไดแคบ ๆ ขึ้นมาที่ชั้นสอง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/21925233263108_137.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/92581043889125_138.jpg) ชั้นนี้มีหลากเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวเวียดนาม การทอผ้า การแต่งงาน พิธีกรรม ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ มันถูกจัดวางอย่างเหมาะเจาะในที่ที่มันควรอยู่ ถึงแม้จะไม่ว๊าวเท่ากับชั้นแรก แต่มันก็มีดีพอจะทำให้พวกเราทุกคน อ่านและพิจารณาข้าวของเครื่องใช้แทบทุกชิ้นอย่างไม่ปล่อยให้ผ่านตาไปโดยเสียเปล่า (http://www.sookjaipic.com/images_upload/56060986469189_139.jpg) ภาพถ่ายพิธีแต่งงาน ชุดคล้าย ๆ ของจีนนะครับ ดูน่ารักมุ้งมิ้งกระดิ่งแมว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/38871051039960_136.jpg) เดินมาอีกหน่อยเค้ามีบ้านจำลองด้วยนะเออ แล้วใกล้ ๆ กันก็มีโมเดลบ้านจำลองด้วยครับ แต่ไม่ขอลงรูปไว้ละกัน เพราะเดี๋ยวผมจะพาไปดูของจริงกันที่ด้านนอก ซึ่งเค้าจำลองโครงสร้าง ขนาด ฯลฯ ให้เหมือนกับบ้านที่ชาวบ้านเค้าอยู่อาศัยกันจริง ๆ ในแต่ละภูมิภาคของเค้าครับ หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 16 พฤษภาคม 2559 12:41:01 พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา เวียดนาม 2 ส่วนที่สอง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/53010843570033_140.jpg) ผมเดินออกมาจากอาคารจัดแสดงหลัก หลังจากที่เดินชมครบหมดทุกห้อง เราออกมาแล้วเดินตามทางเดินออกมาทางซ้ายของอาคาร เป็นทางเดินไม่กว้างมากนัก แต่ก็มากพอจะให้เดินสวนกันได้อย่างสบาย ๆ เส้นทางคดเคี้ยวเลาะมาด้านข้างอาคาร ร่มรื่นเย็นสบาย ผมมองเห็นอาคารไม้หลายหลังตั้งอยู่ห่าง ๆ กันท่ามกลางต้นไม้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/15264663389987_141.jpg) สถานที่แห่งนี้กว้างกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ ส่วนที่สองของพิพิธภัณฑ์ที่ผมกล่าวถึงก็คือโซนนี้นี่เอง ส่วนที่สองเป็นส่วนกลางแจ้ง แสดงบ้านจำลองของกลุ่มชาติพันธุ์ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ผู้ชมสามารถขึ้นไปบนบ้านไม้ยกพื้นสูง และเข้าไปชมบรรยากาศ ภายในห้องต่างๆ ของตัวบ้านได้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์เตรียมน้ำชาไว้ต้อนรับผู้เข้าชมอีกด้วย ระหว่างทางผมก็ไปสะดุดตากับภาพนี้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/70395883710847_143.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/97661284647054_142.jpg) เด็กชาวเวียดนามสิบกว่าคนมานั่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของตัวเอง แล้วก็วาดรูปบ้านตามที่ตัวเองเห็น เด็กพวกนี้ดูมีความสุข ผิดกันเลยกับบ้านเรา ที่เวลาโรงเรียนพาไปทัศนะศึกษาจะบังคับให้เด็กจดข้อมูลแล้วต้องเอามาส่งให้ครูตรวจ เด็กจากฝั่งนึงทำอย่างมีความสุขบรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข เด็กคุยเจี๊ยวจ๊าวกันอย่างสนุกสนาน ส่วนเด็กอีกฝั่งมาเที่ยวทั้งทีดันโดนตั้งโจทย์บังคับให้ทำ เหมือนแข่งแรลลี่แล้วต้องหาป้าย RC ไม่น่าแปลกใจที่ระบบการศึกษาฝั่งแรกโตเอาแบบก้าวกระโดด ส่วนฝั่งหลังนี่นับวันมีแต่ดิ่งลงเหว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/20722912210557_144.jpg) ผมเดินไปทั่วบริเวณ ถ่ายรูปพร้อมกับอ่านป้ายไปทั่ว เราแวะเข้าบ้านทุกหลังที่เค้าสร้างเอาไว้ ก็เค้าสร้างไว้ให้เราเข้าชมนี่นา แปลกตาดีครับกับบ้านเรือนที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค (http://www.sookjaipic.com/images_upload/64731535936395_149.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/53897023159596_145.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/46768624956409_146.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/20287704757518_147.jpg) ผมเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ดูคล้ายบ้านเรือนของประเทศเราที่สุดแล้วครับหลังนี้ เป็นบ้านไม้ใต้ถุนยกสูง ด้านบนเป็นที่อยู่ ส่วนด้านล่างก็เหมือน ๆ กับบ้านเราครับ มีตั่งเตียง มีข้าวของเครื่องใช้แขวนอยู่ ดูจากในภาพก็ไม่ต่างจากบ้านเรือนไทยมากมายนัก เว้นแต่... พื้นครับ ! พื้นเค้าเป็นไม้ไผ่สาน ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราส่วนมากจะเป็นไม้กระดานครับ แล้วประเด็นมันคือก้าวแรกที่ผมเหยียบเข้าไป ผมไม่กล้าเดินต่อ ผมยืนนิ่ง ๆ อยู่กับที่ มือไม้กวัดแกว่งไปในอากาศ ผมอุทานออกมาทันที "ชิบหายแล้ว" ผมยังไม่อยากพาดหัวเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เวียดนาม "ชายไทยหนัก 110 กิโล เหยียบบ้านจำลองในพิพิธภัณฑ์พื้นทะลุ" มันน่ากลัวจริง ๆ ครับ ความรู้สึกในหัวผมตอนนี้คือ ถ้ากูเดินต่อไปมันทะลุแน่ ตอนนี้เจ้าหน้าที่สาวเวียดนามหันมามองครับ ไม่ใช่มองเปล่า เธอมองแล้วหัวเราะคิกคัก ผมย่อตัวลงตามสัญชาติญาณ อายก็อาย ขอกูหลบตาก่อนเถอะ ผ่านไปอึดใจผมเริ่มลองยืนขึ้นอีกครั้งแล้วทดลองก้าวไปต่อ เสียงไม้ลั่นแกรบ ๆ ในทุกก้าวเดิน พร้อมกับพื้นที่ยวบลงตามน้ำหนัก ผมเลือกจะเดินใกล้ ๆ เสาบ้าน เผื่อมันทะลุจริง ๆ จะได้มีอะไรให้เกาะได้บ้าง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/24296637624502_148.jpg) ผมหันไปมองด้านหลัง หนึ่งในสาว ๆ เลือกจะเดินบนไม้คานครับ กางแขนออกราวกับพวกกายกรรมเดินบนเส้นลวด แหมขนาดคนหนักน้อยกว่าผมเกินครึ่งยังรู้สึกไม่ปลอดภัยกับไอ้พื้นนี่ แล้วนับประสาอะไรกับผมเล่า ผมไม่แปลกใจเลยที่เค้าใช้ไม้ไผ่บาง ๆ เป็นพื้นบ้าน ก็ในเมื่อชาวเวียดนามล้วนแต่ตัวเล็ก ๆ กันทั้งนั้น เค้าสร้างบ้านอยู่กันเอง ไม่ได้สร้างไว้ให้ยักษ์อย่างผมอยู่ ผมเดินลงจากบ้านสวนกับฟรั่งคนนึงที่กำลังปืนป่ายบันไดขึ้นไปบนตัวบ้าน ฟรั่งที่อ้วนกว่าผม ! ผมนึกขำในใจ "เดี๋ยวมึงรู้" (http://www.sookjaipic.com/images_upload/90507846863733_150.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/89780725455946_151.jpg) ผมออกเดินต่อ มีจุดให้เราแวะชมหลาย ๆ จุด ในแต่ละจุดก็ล้วนแต่มีเรื่องราว บวกกับความร่มรื่นของสถานที่ อากาศไม่ร้อนเพราะร่มไม้และความชื้นจากดิน ผมเดินเพลินจนแทบจะลืมเวลา แล้วผมก็สะดุดตาเข้าอีกครั้ง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/96761726091305_152.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/82206704633103_153.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/44132495961255_154.jpg) ผมเจอสิ่งนี้ แต่เป็นโมเดลไม่ใหญ่มาก อยู่ในชั้นสองของอาคารจัดแสดง ผมอ๋อในทันที มันคือ Jarai Tomb House โดย Jarai (Người Gia Rai, Gia Rai ส่วนตัวแล้วคิดว่าน่าจะอ่านว่าเกียไร) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งของเวียดนาม อยู่ในที่ราบสูงทางตอนกลางของเวียดนาม ส่วนอาคารที่เห็นพร้อมรูปสลักแปลกตาอันนี้คือ Tomb House หรือสุสานครับ โดยสุสานของเค้าจะมีลักษณะเหมือนกระท่อมหลังเล็ก ๆ ภายในจะบรรจุไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตาย ผมลองหาข้อมูลดูบางที่มีเอาทีวีไปวางไว้ด้วยราวกับจะให้ผู้ตายเอาไปดูในภพหน้า ที่โดดเด่นอีกอย่างคือเสาไม้ที่อยู่รายรอบ ซึ่งถูกแกะสลักในรูปแบบต่าง ๆ กัน ซึ่งเป็นดั่งตัวแทนของผู้คุ้มกันจิตวิญญาณ จากข้อมูลที่ผมอ่าน ๆ ดู พิธีศพแบบนี้จะมีราคาแพงมาก มีการล้มวัวล้มควาย ถ้าครอบครัวยังไม่พร้อมก็จะเลื่อน การประกอบพิธีกรรมออกไปก่อนได้เป็นปี ๆ ผมเดินถ่ายรูปตุ๊กตาไม้รอบหลุมศพจำลอง สาว ๆ ขบขันกับตุ๊กตากระจู๋โด่ที่แกะสลักกระจู๋จนใหญ่แบบผิดสเกล (http://www.sookjaipic.com/images_upload/39278380158874_155.jpg) แล้วก็เช่นเคยครับ วัยรุ่นหนุ่มสาวที่ดูจะสนใจและให้ความสำคัญกับข้อมูลภายในพื้นที่แห่งนี้สามารถพบได้ทั่วไปทั้งบริเวณ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/32192487476600_156.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/24022833092345_157.jpg) และนี่ครับบ้านที่ผมชอบที่สุด บ้านทรงประหลาด ทำสูงเฟี้ยวรูปทรงเหมือนใบเรือ เป็นบ้านของทางภาคใต้ครับ คาดว่าเนื่องจากต้องเจอลมแรงและมรสุม หลังคาจึงต้องสูงเฟี้ยว บาง และชัน เพื่อให้น้ำไหลลงจากหลังคาได้ไวที่สุด ที่สำคัญคือต้องไม่ต้านลม เป็นการออกแบบที่ชาญฉลาด ส่วนที่ผมชอบอีกส่วนคือขั้นบันไดครับ เค้าใช้ไม้ท่อน ๆ มาแกะเป็นขั้น ไม่ใช่เป็นไม้แผ่น ๆ เหมือนบ้านหลังอื่น ดูในภาพเหมือนไม่สูงมาก แต่ผมลองขึ้นดูแล้วดูอันตรายเอาเรื่องเลยครับ ด้านในไม่มีอะไรมาก คล้าย ๆ บ้านหลังอื่น แต่มีจุดให้เสียบคบไฟเยอะมากติดอยู่ตามเสา เป็นตัวบ่งชี้ได้อีกอย่าง ว่าที่นี่คงลมแรงจริง เปียกจริง จึงต้องมีคบไฟเยอะขนาดนี้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/54992438976963_158.jpg) ดูสิครับบ้านของทางเวียดนามใต้เค้าจะทำแบบเพรียว ๆ ไม่ต้านลม มีสีสันฉูดฉาดผสมกับความเรียบง่าย ตัดสิ่งไม่จำเป็นออก เป็นการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม อะไรที่ควรมีก็ล้วนมีครบครัน ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านงี้แน่นมาเชียว เพอร์เฟกต์มาก หลังคาบ้านนี่หยั่งขาวววว... อุ่ยขอโทษครับ ลงภาพประกอบผิดไปนิดนึง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/13808681484725_159.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/32015037246876_160.jpg) เอาเป็นว่ามาต่อกันที่บ้านหลังสุดท้ายครับ อันนี้ผมไม่เห็นป้าย เลยไม่ได้อ่านรายละเอียดอะไร เอาเป็นว่ามันเป็นบ้านยกพื้นเตี้ย ๆ ประเด็นคือยาวมาก มากพอจะเล่นฟุตบอลในบ้านได้ ผมไม่รู้รายละเอียดจริง ๆ ว่าทำไมเค้าต้องออกแบบมาซะยาวขนาดนี้ รู้แค่ว่าเดินวนในบ้านสักสองรอบน่าจะเหนื่อยพอ ๆ กับเดินรอบสนามฟุตบอล เราใช้เวลาที่นี่เกือบสองชม. มันไม่มากเลยสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของเพื่อนบ้านเรา ส่วนที่ผมชอบที่สุดคือโซนกลางแจ้งนี่แหละที่มีบ้านทรงแปลก ๆ ให้เราเข้าไปชมด้านใน ต้องบอกว่าที่นี่เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ ที่ผมชื่นชอบที่สุดเลยเพราะมันมีรายละเอียดครบถ้วน เน้นที่ความรู้มากกว่าความหรูหรา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับสถานที่ที่จะให้คนมาเรียนรู้ความเป็นมาของชนชาติ นาง เลทิมิงหลี อธิบดีกรมมรดก แห่งกระทรวงวัฒนธรรมกีฬาและท่องเที่ยวเวียดนามเผยว่า อ้างถึง มีหลายคนคิดว่าหากเป็นวัตถุโบราณถึงจะจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ได้ หรือต้องมีวัตถุโบราณถึงจะเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งดิฉันว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น ที่พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาไม่มีการจัดแสดงวัตถุโบราณ หากเป็นเพียงสิ่งของธรรมดาในชีวิตประจำวันแต่บรรยากาศที่นี่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต้องการมาชมเมื่อมาฮานอยรวมทั้งคณะผู้แทนระดับสูงของประเทศต่างๆ แล้วทำไมพิพิธภัณฑ์นี้ถึงมีคุณค่าและมีความหมายเช่นนี้ได้ คำตอบคือแรงดึงดูดใจนั้นแฝงไว้ในคุณค่า ของวัตถุต่างๆ ที่จัดแสดง ปล. ค่าเข้าชม 25,000 ด่อง ตีเป็นเงินไทยประมาณ 50-60 บาทเองครับ มาเถอะครับ ผมแนะนำเลยที่นี่ หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 16 พฤษภาคม 2559 13:34:05 มื้อเที่ยงวันที่สองกับเฝอริมทาง เราเดินออกจากพิพิธภัณฑ์กันด้วยความล้าและหิวโหย อาหารเช้าที่กินกันมาคนละนิดมันคงย่อยไปหมดแล้วในตอนนี้ และพลังงานที่ได้มาเราก็น่าจะใช้มันไปหมดแล้วจากการเดินวนอยู่ในนี้กว่าสองชั่วโมง เราเดินชมร้านขายของที่ระลึกใกล้กับทางออกเพื่อรับแอร์เย็น ๆ กันจนสดชื่นขึ้นมาพอสมควร จากนั้นก็ออกจากประตูใหญ่ มายืนโบกแท็กซี่ เป้าหมายต่อไปที่เราวางแผนกันไว้คือ วิหารแห่งวรรณกรรม โดยวิหารแห่งวรรณกรรมนี้มีอีกชื่อคือ วัดว่านเหมี่ยว (Van Mieu) ซึ่งห่างจากที่เดิมพอสมควร จนไม่สมควรที่จะเดิน ระหว่างทางเราก็เกาะกระจกมองของกิน เมื่อใกล้ถึง เราบอกแท็กซี่ให้จอดก่อนถึงทางเข้าประมาณสองร้อยเมตร เพราะเราเห็นร้านอาหารริมทางอยู่หลายร้าน ดูน่ากิน เราเดินหาร้านเหมาะ ๆ กันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจนั่งที่ร้านเล็ก ๆ ริมทางที่มีคนกินกันแน่นร้าน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/45973004938827_161.jpg) ทริปนี้เรากินร้านข้างทางกันเยอะมาก แล้วก็ไอ้ร้านข้างทางนี่แหละที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ทั้งรสชาติ ทั้งราคา ดีงามพระรามแปด (http://www.sookjaipic.com/images_upload/41129163031776_162.jpg) ร้านที่เราเลือกกินในมื้อนี้เป็นร้านขายเฝอครับ เฝอเนี่ยในความเข้าใจของผมมันคือก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละ เป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก แบบเวียดนาม ส่วนมากเนื้อที่ใส่จะเป็นไก่ต้ม บางที่ก็สับ บางที่ก็ฉีก แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เราสั่งเฝอผัดเราจะได้เป็นผัดมาม่า ซึ่งตอนนี้ความเข้าใจของผม เฝออาจเป็นอะไรก็ได้ที่เป็นแป้งเส้น ๆ "หรือพูดง่าย ๆ คือ ถ้าสั่งเฝอเราจะได้เส้นเล็กต้มจืดไก่ฉีก แต่ถ้าสั่งเฝอผัดเราจะได้ผัดมาม่า" เราสั่งมาลองกันทั้งเฝอ และเฝอผัดครับ ระหว่างนั่งรอผมก็รู้สึกว่าแถวนี้มันต้องเป็นสรวงสวรรค์แน่ ๆ เลย ทำไมน่ะหรอครับ... (http://www.sookjaipic.com/images_upload/54341690325074_163.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/26571961906221_164.jpg) นี่ไง มีนางฟ้าแถวนี้เยอะมาก นางฟ้าเหล่านั้นเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นกำแพงของวิหารแห่งวรรณกรรม ตลอดเวลาราวกับมีมหกรรมอะไรสักอย่าง แล้วนางฟ้าเหล่านี้ก็ล้วนทรงอาภรณ์ด้วยอ๋าวหญ่าย อย่าเพิ่งหาว่าผมลามกครับ เชื่อเถอะครับว่าไม่ได้มีผมคนเดียว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/70160720745722_165.jpg) นี่ ! บรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างมองไปฝั่งตรงข้าม ทิศทางเดียวกันกับผมไม่ขาดสาย จนถึงตอนนี้ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าที่คนมันนั่งร้านนี้กันเยอะ เพราะอาหารอร่อยหรือเพราะวิวมันสวยกันแน่วะ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/74844545746842_169.jpg) ชั่วครู่ผ่านไป อาหารของเราก็ถูกนำมาวางเสริฟให้ที่โต๊ะ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/99099165904853_166.jpg) อันนี้เฝอครับ รสชาติกลมกล่อม หอมหวานอร่อยมาก ใครจะเชื่อว่าหอมหัวใหญ่จะเข้ากันได้ดีกับอาหารจานนี้อย่างเหลือเชื่อ ตีเป็นเงินไทยไม่เกิน 30 บาทครับ แต่เครื่องครันที่เค้าใส่เข้ามาให้มันเต็มที่มากเลย ไก่ก็ชิ้นใหญ่ ๆ ไม่ใช่ไก่กระดาษบ้านเรา ไก่กระดาษคือไก่ตามร้านก๋วยเตี๋ยวร้านข้าวมันไก่บ้านเราเค้าทำกันครับ เฉือนไก่บาง ๆ เอามาตีให้บางยิ่งขึ้นไปอีกแล้วค่อยสับ แต่ที่นี่ไม่ใช่ครับ น้ำซุปหอมหวาน เส้นนุ่ม ๆ กับเนื้อไก่เข้ากันได้ดีสุด ๆ ประทับใจจริง ๆ ครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/45342582340041_168.jpg) ส่วนอันนี้คือ Fried Pho ครับ หรือแปลตรง ๆ ก็เฝอผัดนั่นแหละ หน้าตาเหมือนมาม่าผัดบ้านเราเลย แต่อร่อยครับ รสชาติเค้าจะไม่แรง คือจืด ๆ มีเค็มนิด ๆ หวานหน่อย ๆ แบบกลมกล่อม ๆ เมนูนี้รสชาติดีผิดคาดครับ หอมกระทะจริง ๆ น่าจะตั้งไฟแรงจัด ซัดน้ำมันลงไป แล้วก็ใส่ทุกอย่างลงผัดแบบเร็ว ๆ ครับ ผักยังกรอบ เนื้อไก่ชิ้น ๆ แน่น ๆ เข้ากันดีมาก เมนูนี้สาว ๆ ก็เอ่ยปากชมว่าอร่อยมากเช่นกัน เสียแค่อย่างเดียวคือน้ำมันเยอะไปหน่อย ซึ่งถูกจริตผมแต่ไม่ถูกจริตสาว ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/28447577522860_170.jpg) อาหารที่นี่สำหรับผมไม่ต้องปรุงเลยครับ เพราะถ้าอยากได้ความหวานลงในชามก๋วยเตี๋ยว ก็เพียงแค่จ้องหน้าเธอตอนเดินผ่าน ก๋วยเตี๋ยวก็พลอยหวานเจี๊ยบบบบ... ราวกับใส่ขัณฑสกรในบัดดล ตลอดเวลาที่นั่งกินมีสาวใส่อ๋าวหญ่ายเดินผ่านร้านที่ผมนั่ง เดินผ่านกำแพงวิหารแห่งวรรณกรรมฝั่งตรงข้ามไม่ขาดสาย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่กลางฝูงช้างเผือก อยากจะเป็นควาญช้างซะเหลือเกิน ปล. ขอเพิ่มเติมว่าถ้ามาเวียดนามต้องโบกแท็กซี่ของวีน่าซันแล้วจะปลอดภัยมากไม่ต้องกลัวโดนโขกหัวแตก หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 16 พฤษภาคม 2559 18:26:04 วิหารแห่งวรรณกรรม วิหารแห่งวรรณกรรม หรือวัดว่านเหมี่ยว หรือคนไทยหลาย ๆ คนที่เคยมาเรียกกันว่าวัดจอหงวน คือสถานที่ต่อมาที่เราจะมาเที่ยวกัน หลังจากเราแวะกินเฝอกันจนอิ่มท้องตามด้วยกาแฟที่ร้านใกล้ ๆ กันอีกแก้ว เราก็เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม (http://www.sookjaipic.com/images_upload/86032959860232_171.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/91739074968629_172.jpg) วันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีบัณฑิตมากมายมาถ่ายรูป อย่างที่ผมบอกไปตอนต้นครับว่าวัดนี้บางคนเรียกวัดจอหงวน คือเป็นเหมือนสถานที่แห่งปัญญา ใครที่เรียนจบกันมาต้องมาถ่ายรูปที่นี่ให้ได้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/45604237169027_173.jpg) ตรงนี้คือจุดที่เราต่อคิวซื้อตั๋วเข้าชม เป็นคิวยาวพอสมควร เรายืนต่อคิวอยู่ไม่กี่นาทีก็ได้ตั๋วเข้า ส่วนนึงเพราะความรวดเร็วของคนขาย อีกส่วนคือถึงจะดูล้งเล้งแต่ที่นี่เค้าไม่แซงคิวกัน ไม่มีมาฝากกันยืนจองแล้วมาแทรก เป็นระเบียบวินัยที่เกิดขึ้นกลางความวุ่นวาย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/49490877654817_174.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/52328307512733_175.jpg) แล้วเราก็เดินกันเข้ามาในวัด รอบข้างเราเป็นกำแพง เป็นโคมดูขลัง ๆ เข้ากันอย่างประหลาดกับบรรยากาศร่มรืนของร่มเงาไม้ สิ่งหนึ่งที่ผมพบเห็นคือความสะอาดครับ ที่นี่ถือว่าสะอาดมากเมื่อเทียบกับคนปริมาณมากขนาดนี้ หญ้าในสนามเรียบกริบ พื้นนี่ไม่มีขยะสักชิ้นร่วงหล่น ถือว่าน่าชื่นชมครับ สำหรับวัดนี้นะครับเป็นวัดโบราณแห่งหนึ่งของเวียดนามซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานเกือบพันปี สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1070 ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าหลีไทโต ท่านสร้างอุทิศให้แก่ท่านศาสดาขงจื้อ วิหารนี้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งแรกของเวียดนาม เทียบได้กับที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ ในบ้านเราที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาในปี 1076 วิหารวรรณกรรมถูกเชื่อมต่อกับกว็อกตื่อยาม ซึ่งเป็นโรงเรียนของพวกขุนนางและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก ของเวียดนาม ในสมัยราชวงศ์ตรันได้เปลี่ยนชื่อเป็น กว็อกฮ็อกเวียน หรือวิทยาลัยแห่งชาติ ในปี 1235 เมื่อสอบได้ในระดับท้องถิ่นแล้ว นักเรียนที่ปรารถนาจะเลื่อนชั้นขึ้นเป็นขุนนางระดับสูง ก็จะมาเล่าเรียนวรรณคดี ปรัชญา ภาษาจีนโบราณ และประวัติศาสตร์ที่นี่ ซึ่งขงจื้อเชื่อว่าจะเป็นพื้นฐานนำไปสู่การเป็นนักปกครองได้อย่างดียิ่ง มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนามนี้ ได้เปิดสอนจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 ก็ได้ปิดตัวลง และถูกทิ้งให้รกร้าง เมื่อยุคที่ฝรั่งเศสเข้ายึดเวียดนามเป็นเมืองขึ้น ปัจจุบัน วิหารวรรณกรรมแห่งนี้กลายเป็นสถานที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางการศึกษาของเวียดนาม และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ แม้เวลาผ่านไปร่วมพันปี แต่วิหารวรรณกรรมแห่งนี้ยังได้รับการบูรณะซ่อมแซม ให้คงความเป็นตัวอย่างวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาวเวียดนามได้เป็นอย่างดี ภายในบริเวณวัดมีพื้นที่กว้างขวาง โดยมีกำแพงล้อมรอบถึง 5 แห่ง และก่อนจะเข้าสู่ประตูใหญ่ของวิหาร เหนือขึ้นไปของประตูมีข้อความ ที่ขอร้องให้ผู้มาเยือนลงจากหลังม้าก่อนที่จะเข้าไปในบริเวณวัด เมื่อลอดซุ้มประตูหลังประตูทางเข้าใหญ่เข้าไปข้างในเป็นทางเดินปูหิน สองข้างทางเดินเป็นบ่อน้ำ ผ่านลาน 2 แห่งแล้ว จะเห็นประตูกำแพงใหญ่ชื่อว่า ได๋แถงห์โมน อันเป็นสัญลักษณ์ของกรุงฮานอย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/78992757904860_176.jpg) หลังจากผ่านเข้าประตูทางเข้าวัดแล้ว เป็นที่ตั้งของ เคว วัน กั๊ก หรือตึกดาวลูกไก่ ซึ่งเป็นแหล่งที่เหล่านักอักษรศาสตร์ ใช้ท่องบทกวี เมื่อผ่านประตูแห่งความ สำเร็จ หรือ ได๋ แถงห์ โมน ก็จะพบกับลานโล่งล้อมรอบสระน้ำใหญ่ที่มีชื่อว่า สระแสงงาม หรือ เทียน กวาง ติงห์ (ในภาพด้านบน) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42751401248905_177.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/40803686239653_178.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/49936928517288_179.jpg) ซึ่งลานบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของแผ่นจารึกชื่อของ จอหงวน ที่ผ่านการสอบหลักสูตร 3 ปี ซึ่งแต่ละแผ่นตั้งอยู่บนหินรูปเต่า ที่มีจำนวนถึง 82 แผ่น จากที่เคยมีอยู่เดิมถึง 117 แผ่น โดยเริ่มมีการบันทึกไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1442-1779 ส่วนตัวผมและคณะเดินทางเราคิดว่าเต่าที่แบกแผ่นหินหน้าตาน่ารักดี และละม้ายคล้ายคลึงไปทางแมวน้ำมากกว่า (http://www.sookjaipic.com/images_upload/28402455813354_180.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/84933714982536_181.jpg) ด้านตรงข้ามกับวิหารมี อาคารแห่งการเฉลิมฉลอง หรือ ไบ๋ เยือง ซึ่งเป็นที่ตั้งเครื่องเซ่นสังเวยให้แก่ขงจื้อ อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่กษัตริย์ได้ทรงมอบน้ำพระพิพัฒน์สัตยาให้กับอาจารย์ผู้สอนในอดีต ซึ่งบริเวณนี้มีแผ่นไม้ที่สลักไว้ ด้านบนแท่นบูชาว่า อาจารย์ของนักเรียนกว่าพันรุ่น เป็นยังไงบ้างครับประวัติของที่นี่ มีความเป็นมานับร้อยนับพันปี นับเป็นที่แห่งประวัติศาสตร์ ความทรงจำ ปัญญา ความสำเร็จ และที่สำคัญชาวเวียดนามมากมายต่างก็เลือกที่จะมาถ่ายรูปความสำเร็จทางการศึกษาของตนเองคู่กับสถานที่แห่งนี้ หลังจากเดินชมความงามของสถานที่ ผมก็อดเขิลไม่ได้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/43032766133546_184.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/44930546482404_182.jpg) ดูสิครับแค่ผมเดินเฉี่ยว ๆ ยังมาพร่ำเพ้อกันขนาดนี้ จะไม่ให้ผมเขิลได้ไง เอาเป็นว่าหยุดงานมโนไว้ก่อน แล้วมาชมความงามของสาวเวียดนามที่ผมแทบจะเลือดกำเดาไหลจนหมดตัวกัน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/97641857216755_188.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/23908170395427_187.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/38234575630889_185.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/29620152422123_186.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/89294062223699_191.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/19177610302964_192.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/31306359089083_193.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/44411386301120_194.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/92899556126859_195.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/96352734996212_196.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/92599526213275_197.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/20363321941759_198.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/74755413457751_200.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/34405361778206_202.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/52238168236282_203.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/39844831658734_204.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/65028615130318_183.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/19801006259189_190.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/21199997804231_189.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/12517159639133_201.jpg) ให้ตายสิ นี่เป็นกระทู้ที่ผมตั้งแล้วบันเทิงจริง ๆ โพสท์รูปไปนั่งปาดน้ำลายไป ไม่รู้จะงามกันไปถึงไหน งามทั้งคน งามทั้งชุด อยากจะกรี๊ดออกมาดัง ๆ แต่ก็อย่างที่รู้กัน ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปไวเสมอ ไม่ต้องเสียใจครับสาว ๆ ถึงเราจะได้พบเจอกันแค่ผ่าน ๆ แต่พรหมลิขิตจะพาเรามาพานพบกันอีกในภายภาคหน้า (http://www.sookjaipic.com/images_upload/94262169177333_199.jpg) น้าแม๊ครักทุกคน !! ผมเดินออกมาจากวัดแบบหงอย ๆ รู้สึกตัวเองโคตรโชคดีที่ได้มาเจอกี่เพ้าปริมาณมหาศาลสมใจหวัง แต่ช่วงเวลานี้มันช่างสั้นเหลือเกิน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/34175962292485_205.jpg) เราเดินออกจากวัด เลี้ยวซ้ายเลาะฟุตบาทเดินย้อนออกมาทางเก่าที่เราเดินมาจากร้านเฝอริมทาง หน้าวัดยังคับคั่งไปด้วยบัณฑิตจำนวนมาก ทั้งที่นั่งพัก และที่เพิ่งมาถึง ลาก่อนนะจ๊ะสาว ๆ เรายังมีที่ต้องไปอีกมากในวันนี้ สถานที่ต่อไปรอเราอยู่.... หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 17 พฤษภาคม 2559 12:13:55 หอคอยชูงธง เป้าหมายต่อมาของเราอยู่ไม่ห่างจากวิหารแห่งวรรณกรรมนัก มันคือ Hanoi Flag Towet หรือ หอคอยชูธง (Cot Co) ซึ่งตั้งตระหง่านชูธงเวียดนาม และฝั่งตรงข้ามหอคอยเป็นสวนสาธารณะมีรูปปั้น วลาดิเมียร์ เลนิน เราเลือกใช้ระบบขนส่งมวลตีนอีกครั้ง ใช้เวลาเดินชิล ๆ กันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราก็เห็นธงเวียดนามผืนใหญ่ปลิวไสวอยู่ไม่ไกล เดาได้เลยว่าที่นั่นแหละคือหอคอยชูธง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/13346770074632_206.jpg) หอคอยนี้สร้างเมื่อปี ค.ศ.1812 ประตูทางด้านตะวันออกมีสลักคำว่า Nghenh Huc หมายถึง ยินดีต้อนรับแสงตะวันแห่งอรุณรุ่ง ส่วนประตูฝั่งตะวันตกมีสลักคำว่า Hoi Quang แปลว่าแสงสะท้อน และประตูทางทิศใต้มีคำว่า Huong Minh แปลว่ามุ่งสู่แสงตะวัน ตัวหอคอยสว่างจากหน้าต่างรูปกันหันดอกไม้ทั้ง 36 อัน หอคอยนี้สมัยที่ถูกปกครองโดยฝรั่งเศสระหว่างปี ค.ศ. 1894 - 1897 ถูกใช้เป็นหอสังเกตุการณ์และหอสื่อสาร ทำให้เป็นสิ่งก่อสร้างหนึ่งที่รอดจากการทำลายของฝรั่งเศส ซึ่งจะเข้าชมหอคอยชูธงต้องเสียค่าเข้าด้วยนะครับราคาสามสิบบาทนิด ๆ โดยค่าเข้าเราจ่ายทีเดียวจะได้เข้าทั้งหอคอยชูธง และพิพิธภัณฑ์ทางทหารซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกัน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/86800502695971_207.jpg) หลังจากจ่ายเงินซื้อตั๋วเข้าชม เราก็เดินดิ่งเข้าไปในตัวพิพิธภัณฑ์ก่อนเป็นอันดับแรก เป็นอาคารขนาดไม่ใหญ่นัก ด้านหน้าของอาคารมีซากรถถังจอดอยู่ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/97133326406280_210.jpg) ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรครับ หลังจากเวียดนามผ่านช่วงศึกสงคราม โดยเฉพาะสงครามเวียดนาม เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ของพวกนี้ก็คงเหลือเต็มบ้านเต็มเมือง จนไม่ว่านั่งรถผ่านไปที่ไหนก็สามารถพบเห็นซากรถถัง ซากปืนใหญ่ วางตามหน่วยงานราชการ ราวกับเป็นของประดับไปแล้ว ช่วยย้ำเตือนถึงความโหดร้ายของสงครามที่ฝังแน่นอยู่อย่างไม่ลืมเลือน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/30727585984600_208.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/33617913309070_209.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/89807283050484_211.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/57152686268091_212.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/79433985178669_213.jpg) ด้านในพิพิธภัณฑ์ก็จะมีเรื่องราวของสงคราม ภาพของผู้นำกองทัพเวียดนามในยุคสมัยต่าง ๆ สิ่งของจากสงคราม และอื่น ๆ อีกมาก โดยที่นี่จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดวางแบบง่าย ๆ ไม่หวือหวาครับ มันเลยไม่ให้ความรู้สึกดึงดูดสักเท่าไหร่ ด้านในค่อนข้างร้อน เป็นพิพิธภัณฑ์แบบเก่า ๆ ครับคือไม่ติดแอร์ แปะภาพบนพื้นเหมือนฟิวเจอร์บอร์ดแล้วเอาไปแปะบนผนังอีกที แล้วก็ส่วนของแสดงก็จัดแบบง่าย ๆ ใส่ตู้กระจก ไม่มีการจัดแสงให้เหมาะกับการถ่ายรูปเท่าไหร่ เราเดินกันผ่าน ๆ ครับ ที่นี่เป็นตึกสองชั้น หลังจากเราดูชั้นที่สองจบ ก็จะมีระเบียงอ้อมไปด้านหลัง ไปหาตึกอีกตึกนึงครับ อยู่ทางด้านหลังของตึกนี้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/77227631790770_215.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/18797643772429_216.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/52227480254239_217.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/84039901072780_218.jpg) ในส่วนของตึกนี้ดูดีขึ้นครับ ร้อนน้อยกว่าตึกด้านหน้านิดหน่อย แต่ยังเป็นพัดลมเหมือนกัน ไม่ติดแอร์ แล้วก็เป็นโถงใหญ่ ๆ มีเก้าอี้ไว้ให้นักท่องเที่ยวนั่งชมวีดีทัศน์เกี่ยวกับสงครามในเวียดนามครับ รอบ ๆ ห้องเป็นตู้ใส่ข้าวของเครื่องใช้ในสงคราม แต่จัดแสงและจัดวางไว้อย่างน่าสนใจผิดกับของตึกแรก ผมเดินดูอยู่ไม่นานก็ออกจากตึกครับ สามารถเดินลงด้านข้างได้เลย ไม่ต้องอ้อมกลับไปลงที่ตึกหน้า ตรงทางลงมีร้านขายของที่ระลึกกับขายน้ำเย็นเจี๊ยบด้วยครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/13062161372767_214.jpg) พอเดินลงมาเราก็จะเจอกับปืนใหญ่มากมายตั้งแต่ยุคบางระจันเลยก็ว่าได้ เรียงไล่มาจนถึงยุคปัจจุบัน โดยปืนใหญ่ที่ว่า เค้าจะวางไว้ติดกับหอคอยชูธงฝั่งที่เป็นทางเข้าหอครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/61048671106497_219.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/72685121662086_230.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/43135176309280_231.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/99318168477879_234.jpg) ทางด้านหลังของหอคอยชูธงก็จะเป็นลานกว้าง มีเศษซากเครื่องบิน ปืนใหญ่ รถถัง รถสายพานลำเลียงพล ฯลฯ ที่ใช้ในยุคสงครามครับ โดยสามารถปีนขึ้นไปถ่ายรูปได้ (ในบางจุด) งานนี้ก็สนุกพวกสาว ๆ เค้าหละ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/11436003529363_238.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/34587633651163_232.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/36165341734886_235.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/31702292958895_233.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/59802113473415_236.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/94168539883361_237.jpg) เศษซากพวกนี้จะมีคนเดินเข้ามาถ่ายรูปกันไม่ขาดสายครับ ในอริยาบทต่าง ๆ เป็นมุมถ่ายรูปสวย ๆ อีกมุมของเมืองนี้เลย หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าไปในตัวหอคอยชูธงครับ ทางเดินแคบ ๆ ดูไม่มีอะไร ก็เลยแค่เดินถ่ายรูปบรรยากาศรอบ ๆ หลังกินน้ำกินท่าเสร็จแล้วเราก็เตรียมไปยังจุดหมายต่อไป (http://www.sookjaipic.com/images_upload/78277679367197_239.jpg) ก่อนลงจากหอ ผมขอชักภาพไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย จะเห็นได้ว่าด้านหลังของผมเป็นลานกว้างที่มีแต่เศษซากจากสงคราม ที่สำคัญคือแดดร้อนมากและอากาศไม่สดใสเอาซะเลย หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 17 พฤษภาคม 2559 14:39:19 สุสานโฮจิมินห์ วัดเสาเดียว และบ้านพักลุงโฮ อย่าเพิ่งตกใจครับว่าทำไมผมรวบยอดสถานที่ท่องเที่ยวถึงสามที่ไว้ในโพสท์เดียว สาเหตุก็คือทั้งสามแห่งนี้อยู่ในโซนเดียวกันครับ ว่าด้วยการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลตีนในตอนนี้ของเราก่อน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/85372398421168_aa2.jpg) กรอบหมายเลขหนึ่งที่เห็นในแผนที่คือวัดพริตตี้... เอ๊ย ! วัดอ๋าวหญ่าย... เอ๊ย ! วัดว่านเหมี่ยว... เอ๊ย ! ... ถูกแล้ว !! จบไปแล้วมุกโง่ ๆ ที่เล่นเอง ชงเอง กินเอง มาเข้าเรื่องกันต่อครับ กรอบเลข 1 คือวัดว่านเหมี่ยวหรือวิหารแห่งวรรณกรรมที่ว่า เราเดินจากหน้าวัดเลาะกำแพงไปตามเส้นทางที่ลากไว้ ผ่านสวนสาธารณะ (สีเขียว ๆ) มาจนถึงสถานที่หมายเลขสอง ซึ่งก็คือหอยคอยชูธงครับ ระยะทางประมาณห้าร้อยเมตร และตอนนี้เรากำลังจะเดินออกจากหอคอยชูธง (เลข 2) ไปยังสุสานลุงโฮ ที่อยู่ในกรอบหมายเลขสามครับ โดยระยะทางก็พอ ๆ กันกับทีแรกคือเดินจากหอคอยชูธงไปอีกประมาณ 500 เมตรเช่นกัน สุสานของโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’ s Mausoleum) ตั้งอยู่ที่จัตุรัสบาดิงห์ อยู่ห่างจากทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมไปทางทิศตะวันตก 2 กิโลเมตร จัตุรัสกลางเมืองนี้เป็นที่ประธานาธิบดีโฮจิมินห์อ่านคำประกาศอิสรภาพเวียดนามจากฝรั่งเสสต่อหน้าชาวเวียดนาม ที่มาชุมนุมกันอยู่ในจัตุรัสมากกว่า 500,000 คน เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ.1945 สุสานโฮจิมินห์ เป็นอาคารสุสานสร้างด้วยหินอ่อน หินแกรนิต และไม้มีค่าจากทั่วประเทศ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของ Old Quarter สุสานนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1973 หลังจากโฮจิมินห์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1969 ในสุสานโฮจิมินห์มีทหารกองเกียรติยศในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีขาวยืนถือดาบปลายปืนยืนรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา มีทางเดินแคบๆ ไปยังห้องโถงใหญ่ ที่กลางห้องมีแท่นหินตั้งโลงแก้วบรรจุร่างของโฮจิมินห์หรือลุงโฮ ที่นอนสงบเหมือนคนนอนหลับ อยู่ภายใน ผู้ที่จะเข้าไปในสุสานจะต้องฝากกระเป๋าถือและสิ่งของมีค่าไว้กับเจ้าหน้าที่ ในสุสานแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ใส่กางเกงขาสั้น หรือกระโปรงสั้น ห้ามพูดคุยเสียงดัง ไม่อนุญาตให้สูบบุรี่ ถ่ายรูปและวิดีโอใดๆทั้งนั้น ผู้เข้าไปเคารพจะต้องแต่งกายสุภาพ และสำรวมเดินตามกันไปเป็นแถวเรียงหนึ่งตามเส้นทางที่จัดไว้ให้ ศพของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ได้รับการรักษาไว้ ให้อยู่ในสภาพเดิม ซึ่งเป็นความลับทางการแพทย์ของรัสเซีย ที่แพทย์ในโลกตะวันตกยังไม่มีความชำนาญเท่า สุสานโฮจิมินห์จะปิดในฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลานาน 2 เดือน (เดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายน) เพื่อนำศพลุงโฮไปทำความสะอาด และเปลี่ยนน้ำยาที่รัสเซีย เพื่อให้ศพของรัฐบุรุษที่ชาวเวียดนามนับถือเป็นบิดาของประเทศยืนยงไปชั่วนิรันดร์ ซึ่งขัดกับความประสงค์ ของโฮจิมินห์ที่สั่งให้เผาร่างของท่าน แล้วนำเถ้าถ่านกับอังคารไปบรรจุไว้ที่ภาคกลางใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือของประเทศ หากแต่ว่ารัฐบาลเวียดนามไม่ยอมปฏิบัติตาม คงเก็บรักษาร่างของลุงโฮไว้ให้คนเวียดนามกราบไหว้บูชาอยู่จนถึงปัจจุบัน เพื่อให้ชาวเวียดนามทุกคนได้เข้ามาคารวะท่าน เพราะชาวเวียดนามต่างยึดถือว่าตนเองเป็น "บุตรหลานของบั๊กโฮ" กันทุกคน เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาศพของลุงโฮคงทำให้หลายคนประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แต่ให้ลุงโฮท่านนอนไปก่อนเถอะครับท่านนอนสบายแล้ว แต่เรานี่สิยังต้องเดินกันขาลากอีกไกลโข แถวนี้แตกต่างจากที่เราอยู่ครับ เพราะรถน้อยกว่า ถนนค่อนข้างเงียบสงบไม่ค่อยมีเสียงแตรมากวนใจเท่าไหร่ มันสบายหูอย่างประหลาดจนเหมือนไม่ได้อยู่ในฮานอย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/81819883527027_241.jpg) เดินกันประมาณสิบนาที เราก็มากันถึงสุสานลุงโฮแล้ว สนามหญ้าหน้าสุสานลุงโอกว้างมาก มากจนเราเห็นสุสานลุงโฮอยู่ไกล ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42355711882313_240.jpg) ไม่รอช้าสาว ๆ คว้างกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/38912232054604_242.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/47702998916308_243.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/21444809685150_244.jpg) จากนั้นเราเดินเข้าไปด้านหน้าเพื่อถ่ายภาพกัน จุดนี้เป็นอีกจุดที่รัวชัทเตอร์ไปพอสมควรเลยครับ ได้ภาพสวย ๆ มาเยอะอยู่ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/17096147562066_245.jpg) ระหว่างเดินถ่ายรูปก็จะมีกองเกียรติยศเดินไปรอบ ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42556848666734_246.jpg) เราเดินไปทางซ้ายมือเพื่อจะอ้อมสวนไปด้านหลังของสุสานลุงโฮ ซึ่งเป็นที่ตั้งของของพิพิธภัณฑ์ วัดเสาเดียว และบ้านลุงโฮ ในภาพคือภาพของพิพิทธภัณฑ์โฮจิมินห์ครับ เป็นรูปแบบของอาคารสมัยใหม่ ภายในอาคารมีการจัดแสดงมากมาย มีภาพขาวดำในสมัยสงคราม มีหุ่นปั้นจัดแสดงหลายจุด รวมถึงลุงโฮด้วย แต่จากที่เราหาข้อมูล(กันเดี๋ยวนั้น) เราเลือกจะไม่เข้าชม เพราะการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ไม่เหมาะกับเวลาที่มีจำกัด เราจึงเลือกจะเก็บรายละเอียดที่อื่น ๆ แทน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/48571297360791_247.jpg) จากด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เราเดินเลี้ยวมาทางขวามือมานิดเดียว จะเป็นที่ตั้งของวัดเสาเดียว หรือ วัดเจดีย์เสาเดียว ซึ่งตั้งอยู่ใกล้บ้านลุงโฮ ชาวเวียดนามเรียกว่า จั่วโมดโกด เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 วัดเจดีย์เสาเดียว สร้างเป็นศาลาเก๋งจีนหลังเดียวขนาดเล็กตั้งอยู่บนเสาต้นเดียว ศาลานี้อยู่กลางสระบัวรูปสี่เหลี่ยม ภายในศาลาประดิษฐาน รูปเจ้าแม่กวนอิมปางสิบกร ที่นี่เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของฮานอย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/92003475212388_248.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/85364144461022_249.jpg) รอบ ๆ ของวัดเสาเดียวเป็นร้านอาหารครับ มีผลไม้ แล้วก็น้ำต่าง ๆ ขาย สามารถนั่งชิล ๆ ชมความสวยงามของวัดได้ เป็นมุมที่เหมาะจะหลบร้อนมาก ๆ ครับของที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ และจากตรงนี้เรายังเห็นด้านหลังของสุสานลุงโฮได้ด้วยครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/34000900636116_250.jpg) ถัดจากวัดเสาเดียว เราก็ไปกันต่อที่บ้านลุงโฮ เราเสียค่าเข้าชมในราคาถูกเหมือนที่อื่น ถ้าจำไม่ผิด บัตรนี้ใช้ชมพิพิธภัณฑ์ได้ด้วย คือเป็นการตีตั๋วทีเดียวเข้าชมได้ทั่วบริเวณ ด้านในนี้ร่มรื่นมากผิดจากด้านนอก ทางขวามือของในภาพคือทำเนียบประธานาธิบดีครับ ซึ่งบ้านพักลุงโฮก็อยู่ถัดไปด้านหลังของลุงโฮนี่แหละครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/36093270281950_251.jpg) เดินตามทางมาอีกนิดผมเห็นคนจำนวนมากยืนมุงอะไรสักอย่าง ไกด์ที่อธิบายให้คนกลุ่มนั้นพูดจับใจความได้ว่า ที่นี่คือห้องทำงานของลุงโฮครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/81951374477810_254.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/80877431813213_252.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/15336990480621_253.jpg) เราเดินเลาะสระน้ำมาทางขวามือ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่คนให้ความสนใจกันมากนั่นคือบ้านพักของลุงโฮครับ เรามากันถึงแล้ว บ้านพักทำจากไม้ยกสูงดูเรียบง่ายไม่หรูหราใหญ่โตอะไร เราสามารถเดินชมรอบ ๆ ได้ แล้วก็เดินขึ้นไปชั้นสองชมห้องนอนได้ ผ่านทางเดินที่กำหนดไว้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/20342521824770_255.jpg) ลงจากบ้านลุงโฮมาจะมีสะพานเล็ก ๆ ตรงจุดนี้จะเห็นได้ว่ามีปลาคาร์ฟมากมายว่ายแหวกอย่างสบายใจ สะพานนี้จะเชื่อมไปยังทางเดินรอบสระน้ำ และระหว่างทางจะมีคนหยุดเดินแล้วนั่งถ่ายรูปเป็นช่วง ๆ ครับ สิ่งที่เค้าถ่ายคือสิ่งนี้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/87006895326905_256.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/65661244673861_257.jpg) รากไม้ครับ ! รอบๆสระน้ำมีต้นไม้ใหญ่ที่ว่ากันว่าลุงโฮเอามาปลูกเอาไว้ ต้นไม้ชนิดนี้มีรากผุดขึ้นมาหายใจ รากไม้ดูแปลกตา หากลองมองให้ดีบวกกับพลังมโนอีกสักหน่อย จะเห็นว่ารากไม้ที่ผุดขึ้นมาเหมือนกับพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ มากมาย ก็จบกันไปแล้วครับกับบ้านลุงโฮและบริเวณรอบ ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/94871043206916_260.jpg) ถัดออกมาก็จะเป็นโซนนั่งพักครับ มีเก้าอี้ยาว ๆ เรียงรายกันหลายตัว มีของที่ระลึก มีไอติม น้ำดื่มจำหน่ายให้คลายร้อน บริเวณนี้จะมีร้านค้าอยู่รอบ ๆ แล้วก็มีห้องน้ำห้องท่าที่อยู่ด้านหลัง ถึงจุดนี้ผมนั่งทอดกายเหยียดขาออกไป ส่วนสาว ๆ ไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา ปะแป้งกันให้สดชื่นหลังจากเดินกันมาเยอะ ระหว่างนี้ผมก็นั่งเพลิน ๆ ลมเย็น ๆ พัดผ่าน ผมก็นั่งดูลูกหลานลุงโฮเพลินตา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/29434001528554_258.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/36532123593820_259.jpg) หลานลุงโฮนั้นโก้จริง ๆ แต่ แด่ด แต แด๊ด แต่ แต แต่ด แต่ด (*โปรดใช้ทำนองสาวบางโพ) หลังสาว ๆ ล้างหน้าล้างตา กินน้ำ ปัสสาวะกันจนสดชื่น เราเดินออกจากเขตบ้านพักลุงโฮ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/89699882310297_262.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/61898249222172_261.jpg) เมื่อพ้นประตู ภาพสุสานลุงโฮที่ตั้งตระหง่านก็ปรากฏตรงหน้าพวกเราอีกครั้ง กองเกียรติยศเองก็ยังเดินกันต่อเนื่อง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/45943869070874_263.jpg) เราเลือกเดินออกมาทางซ้าย และเริ่มเดินเลาะถนนไปยังสถานที่ต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากที่นี่ ระหว่างทางเราได้เดินผ่านทำเนียบประธานาธิบดี ซึ่งก็หยุดถ่ายรูปกันนิดหน่อย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/98859404068854_264.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/44492401182651_265.jpg) ที่ตลกคือระหว่างยืนถ่ายมีทหารเดินมายัยคนที่ไปยืนถ่ายรูปอยู่ตรงรั้วเลยรีบเก็บกล้องเดินหนีในทันที แต่เค้าไม่ได้ว่าอะไรครับ เราเลยหัวเราะกันลั่น ทำเนียบประธานาธิบดีหลังนี้คือที่ผมพูดถึงข้างต้นครับที่ผมบอกว่าอยู่ทางขวามือของทางเดินเรา แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ถ่ายภาพครับ เพราะว่าไม่สามารถเห็นตัวอาคารได้เต็ม ๆ จึงเดินเลยไปชมบ้านลุงโฮซึ่งอยู่หลังอาคารนี้ก่อน สำหรับทำเนียบประธานาธิบดี เป็นอาคารทรงโคโลเนียลสีเหลืองที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1901 เพื่อใช้เป็นที่ทำการ ของผู้สำเร็จราชการชาวฝรั่งเศสแห่งอินโด-ไชน่า (ซึงจัดเป็นหนึ่งในคนมีอำนาจสูงสุดของอินโดจีนในตอนนั้น) ที่นี่เคยเป็นสถานที่ทำงานของประธานาธิบดีโฮจิมินห์เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันเป็นที่รับแขกเมืองของเวียดนาม ปล. โฮจิมินห์เสียชีวิตในวันที่ 2 กันยายน 1969 ซึ่งตรงกับวันชาติเวียดนามพอดี ทางรัฐบาลเวียดนามจึงประกาศว่า โฮจิมินห์เสียชีวิตในวันที่ 3 กันยายาน 1969 แทนเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศในการเฉลิมฉลองวันชาติ ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก oceansmile.com หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 18 พฤษภาคม 2559 18:11:41 วัดจั่วเตริ่นกว๊อก หลังเดินเที่ยวสุสานลุงโฮ บ้านพักลุงโฮ วัดเสาเดียว ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันทั้งหมด เราก็เดินลัดเลาะผ่านออกมา ทางหน้าทำเนียบประธานาธิบดี ข้ามถนนอันวุ่นวาย เราเดินกันมาเรื่อย ๆ จนมาถึงทะเลสาบโฮไต (http://www.sookjaipic.com/images_upload/62655804347660_269.jpg) เส้นทางที่นี่ไม่มีหลุมบ่อครับ ทางเท้าบ้านเค้ากว้างมาก เค้าให้ความสำคัญกับการสัญจรทั้งทางเท้า และทางรถวิ่งเลย นานน๊านทีจะเจอเศษขยะบนทางเท้า เราก็เก็บมันไปทิ้งซะ พึงระลึกไว้ครับ ไปที่ไหนก็ตามไม่ว่าในหรือนอกประเทศ เจอเศษขยะถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็เก็บเอาไปทิ้ง ถ้าไม่เก็บทิ้งก็อย่าไปทิ้งเพิ่ม ไม่รักษาก็อย่าทำลายครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/12381781761844_aa11.jpg) เส้นทางที่เราพึ่งพาสองขาและหัวใจไกลประมาณหนึ่งกิโลเมตรครับ ดูจากแผนที่จะเห็นได้ว่ามันมีลักษณะเหมือนสะพาน ตัดตรงขอบ ๆ ทะเลสาบ มันเป็นถนนตัดข้ามที่สองข้างทางมีวิวสวย ๆ เป็นทะเลสาบกว้างสุดลูกหูลูกตาครับ หมายเลข 1 ในแผนที่คือสุสานลุงโฮ ส่วนหมายเลขสองคือวัดจั่วเตริ่นกว๊อกที่เรากำลังจะไปครับ หมายเลขสามคือทะเลสาบโฮไต ซึ่งผมจะบอกว่ามันใหญ่มาก มากเสียจนทะเลสาบฮว่านเกี๊ยม ที่เราแวะมาตั้งแต่แรกในหมายเลข 4 ดูเล็กจิ๋วไปถนัดตา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/98936990772684_266.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/35007837704486_267.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/25829606089326_268.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/12165516739090_283.jpg) เราเดินเลาะถนนข้างทะเลสาบชมวิวความสวยงามยามเย็น ท่ามกลางเสียงแตรที่ระงมอยู่รอบทิศ ทะเลสาบกลับสงบนิ่งไม่ติงไหว เป็นอะไรที่ขัดกันสุด ๆ ภายในทะเลสาบขนาดสุดลูกหูลูกตานี้มีภาพครอบครัวกำลังปั่นเรือถีบดูแล้วก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย บ้างก็เอาเรือบังคับวิทยุมาเล่น บ้างก็วิ่งออกกำลังบนเส้นทางที่เราเดินประหนึ่งวิ่งในสวนลุม และก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่เอามอเตอร์ไซค์มาขี่บนทางเดินของเรา ซึ่งเราก็งงว่ามันมายังไงวะ ? (http://www.sookjaipic.com/images_upload/86770022370749_270.jpg) หลังจากเราเดินจนน้ำลายเริ่มเหนียว จุดหมายต่อไปก็โดดเด่นตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า ซึ่งก็คือเจดีย์เตริ่นกว็อก ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบโฮไตซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในฮานอย เจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในเวียดนาม ผมนึกแปลกใจเหมือนกันว่าก่อนที่เค้าจะทำถนนตัดข้ามทะเลสาบเส้นนี้ขึ้น เค้ามาสร้างวัดกลางทะเลสาบนี้ได้ยังไง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/27396602680285_277.jpg) จากถนนข้ามทะเลสาบ จะมีทางเล็ก ๆ เข้าไปที่วัดซึ่งมีลักษณะเหมือนเกาะเล็ก ๆ กลางทะเลสาบแห่งนี้ กว่าจะมาถึงพระอาทิตย์ก็ห่างจากเส้นขอบฟ้าไม่มากแล้ว เรารีบเข้าไปในตัววัด เพราะไม่รู้ว่าเค้าจะปิดประตูกันตอนไหน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/76617271701494_284.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/46980367145604_273.jpg) สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในวัดนี้คือเจดีย์สีชมพูไล่ระดับขึ้นไปเป็นชั้นๆ คล้ายกับเจดีย์ของญี่ปุ่น ซึ่งเห็นมาแต่ไกล และเป็นตัวบ่งบอกว่าเราใกล้จะมาถึงวัดนี้แล้ว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/99114797429906_272.jpg) เจดีย์นี้มี 11 ชั้น สูง 15 เมตร หอแต่ละชั้นมี 6 ประตูโค้ง และในแต่ละชั้นของเจดีย์มีพระพุทธรูปสีขาวประดิษฐานอยู่ ในช่องรอบเจดีย์ และที่นี่ยังเป็นที่บรรจุอัฐิของพระที่เป็นเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้อีกด้วย เจดีย์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ตรงกับต้นโพธิ์ใหญ่ซึ่งได้มาจากประธานาธิบดีอินเดียเมื่อเขาไปเยี่ยมฮานอยในปี ค.ศ. 1959 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/92232133158379_274.jpg) บรรยากาศภายในวัดเงียบสงบมากครับ เสียงแตรที่ระงมตรงปากทางไม่ค่อยจะเล็ดลอดมาได้ถึงข้างในสักเท่าไหร่ ประกอบกับความร่มรื่นภายใน ที่นี่จึงนับเป็นอีกมุมสงบใจกลางเมือง ซึ่งระหว่างที่เราอยู่กันที่นั่น ก็มีคนแวะเวียนมาเที่ยว และมาไหว้พระขอพรกันไม่ขาดสาย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/51858064697848_271.jpg) บรรยากาศรอบ ๆ เจดีย์ คราบตะไคร่น้ำตามก้อนอิฐช่วยเพิ่มความขลังได้หลายเลเวล นอกจากบรรยากาศงาม ๆ ที่นี่ยังมีลูกหลานลุงโฮงาม ๆ ให้ได้ชมด้วย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/18164715708957_280.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/97578301901618_275.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/47304115278853_276.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/39057931842075_278.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/67714834627177_279.jpg) หลังจากที่ผมบอกกับตัวเองอีกครั้งว่า "หลานลุงโฮนั้นโก้จริง ๆ" เราก็แยกย้ายกันไปไหว้พระ พอเสร็จก็เดินออกมาด้านนอก ข้ามสะพานเล็ก ๆ กลับสู่ถนนเส้นเดิม เราต่างก็คอแห้งเพราะโปรแกรมวันนี้มีแต่เดิน เดิน เดิน แล้วก็เดิน เป็นการใช้งานอวัยวะของร่างกายที่มีชื่อว่า "ขา" ได้อย่างคุ้มค่าที่สุดวันหนึ่งเลยนับตั้งแต่เกิดมาเป็นผู้เป็นคน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42580969921416_281.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/61880125602086_282.jpg) ที่ด้านหน้ามีร้านขายไอติมร้านเล็ก ๆ เราซื้อมากินกันคนละอันให้พอสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะวันนี้เราตั้งใจจะตระเวนหาของกิน แถว ๆ กับโรงแรมที่เราพัก ซึ่งมันแทบจะอยู่ใจกลางของถนนคนเดิน เมื่อกินกันเสร็จเราจึงโบกแท็กซี่กลับที่พัก ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงแรม และในอีกไม่ช้าเราจะตระเวนหาของกินให้สมใจ หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 19 พฤษภาคม 2559 12:55:19 ราตรีนี้ที่ถนนคนเดิน พอมาถึงโรงแรม เราเอาสัมภาระที่ไม่จำเป็นออกจากกระเป๋า แล้วเก็บไว้ที่โรงแรม ล้างหน้า เซ็ตผมกันพอเป็นพิธี จากนั้นก็ได้เวลาตระเวนราตรี จนกระทั่งเวลานี้พาหนะที่ดีที่สุดสำหรับเราก็ยังเป็นสิ่งเดิม "ตีน" (http://www.sookjaipic.com/images_upload/75837271205253_285.jpg) เราเดินออกจากโรงแรมแล้วเลี้ยวซ้าย แถวนี้จะเป็นถนนสองเลน ซึ่งก็ไม่ใช่สองเลนแบบเต็ม ๆ ซะด้วย จะให้ดีเราเรียกว่าถนนเลนครึ่ง อีกครึ่งเอาไว้ให้แทรก ๆ หลบ ๆ กันเอง บริเวณรอบ ๆ ที่พักของเราเป็นถนนคนเดินที่ใหญ่พอสมควร อารมณ์คล้าย ๆ ตรอกข้าวสารแต่ไม่คึกคักเท่า ร้านเหล้าน้อย จะเน้นหนักไปแนว ๆ ร้านอาหารข้างทางซะมากกว่า (http://www.sookjaipic.com/images_upload/58633154796229_286.jpg) สิ่งที่ผมชอบคือที่นี่เค้าตั้งร้านอาหารแบบไม่เกรงใจเทวดาฟ้าดิน เห็นได้ว่าไม่ใช่แค่ตามฟุตบาท แต่ล้นออกมากลางถนน มันตลกตรงที่พอมีรถวิ่งผ่านมา เค้าก็จะยกเก้าอี้แล้วขยับไปเบียด ๆ กันหลบให้รถผ่าน แต่พอสักพักผ่านไป จอกแหนเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ล่องลอยแผ่วงกว้างกลับมาใหม่ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/61447402462363_287.jpg) เราเดินดูร้านอาหารที่หน้าตาเหมือน ๆ กันทั้งซอย และตกลงปลงใจนั่งที่ร้านนี้ ร้านที่อาเจ๊แกยืนกวักนักท่องเที่ยวทุกคน ที่เฉียดกรายเข้าไปใกล้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/72398189910583_288.jpg) หลังจากได้โต๊ะนั่งแล้ว อาเจ๊แกก็เอาเมนูอาหารมาให้ เมนูที่นี่ไม่ใช่แค่มีภาษาอังกฤษกำกับ แต่มีภาพประกอบด้วย เรารู้อยู่แก่ใจว่าภาพประกอบตามเมนูอาหารมักน่ากินเกินจริง เหมือนกองไฟที่เอาไว้ล่อแมงเม่าอย่างเรา ๆ แต่ใครจะสนเล่า สุดท้ายเราก็เลือกจะทำตัวเหมือนแมงเม่าแล้วเลือกกินจากหน้าตาของมันนั่นแหละ เราสั่งอาหารกันมาหลายอย่าง อาเจ๊แกรับออเดอร์แล้วก็เดินข้ามฝั่งหายไปไหนไม่รู้ เรานั่งกันงง ๆ ไหนวะครัว ? จนสักพักเราก็ได้รู้ว่า อาเจ๊แกเปิดร้านแบบเอเย่นต์ หรือพูดง่าย ๆ คือเป็นนายหน้านั่นแหละครับ คือพอแกรับออเดอร์ปุ๊บ แกก็จะไปเดินสั่งจากร้านแถว ๆ นั้น แกแวะซื้อจากร้านโน้นร้านนี้ แล้วก็เอามาให้เรากิน เจ๊แกไม่ต้องลงทุนอะไร เอาโต๊ะมาตั้ง แล้วเอาเมนูมาให้ แล้วเดินไปสั่ง แล้วเอามาเสริฟ แค่นั้น ! จบ ! เป็นธุรกิจที่ง่ายกว่าที่คิด แต่อย่าคิดว่าเจ๊แกคิดแพงนะครับ อาหารราคาไม่แพงเลย สงสัยเจ๊แกจะได้ราคาดีลเลอร์ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/67280493428309_289.jpg) ระหว่างรออาหารที่เจ๊แกกำลังเดินไปสั่งมาให้ น้ำผลไม้ที่สั่งไว้ก็มาเสริฟ ในแก้วที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ ให้เดาผมเชื่อว่าไม่มีใครเดาออกว่ามันคือน้ำอะไร งั้นขอเฉลยเลยก็แล้วกัน มันคือน้ำส้มคั้นครับ มีเศษกากส้มกองอยู่ก้นแก้ว มีรสเปรี้ยวนิด ๆ คล้ายมะนาว รสชาติเฝื่อน ๆ ปะแล่ม ๆ นี่มันไม่ใช่น้ำส้มคั้น ในความคิดผมมันเหมือนเศษกากส้มชงกับน้ำล้างตีนมากกว่า งานนี้ผมรอดตัวเพราะสั่งน้ำเปล่า (http://www.sookjaipic.com/images_upload/63467777727378_290.jpg) รอไม่นานอาหารที่สั่งไว้ก็มาเสริฟที่โต๊ะจนครบ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/38588700443506_291.jpg) ทั้งไก่ทอด เสริฟพร้อมน้ำจิ้มไก่ จานนี้รสชาติใช้ได้ครับ คืออร่อย ทานได้ ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/78841145626372_292.jpg) จานนี้อะไรไม่รู้ครับ ผมไม่ได้เป็นคนสั่ง แต่มีเนื้อเหนียว ๆ หนา ๆ ด้านในมัน ๆ คล้ายกับไส้หมู จานนี้ทานกันไม่หมดครับ คือไอ้ตัวผัดผักอ่ะอร่อย แต่ไอ้ส่วนที่เหมือนไส้อ่ะเราเขี่ยกันทิ้ง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/38905846368935_293.jpg) นี่ครับ จานนี้เราสั่งกันเพราะในรูปมันดูน่ากินมาก มันคือหนวดปลาหมึกชุบแป้งทอดครับ เสริฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มเค็ม ๆ พอหยิบมากัดคำแรกเท่านั้นแหละ "เหนียวชิบหาย" เหนียมเหมือนกำลังกินยางมอเตอร์ไซค์ชุบแป้งทอด คือรสชาติมันไม่แย่นะครับ ถ้าเทียบกับอาหารอื่น ๆ จานนี้ยังอร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความเหนียว เหนียวแบบบัดซบ เหมาะมากสำหรับกินแกล้มเหล้า เพราะกว่าจะเคี้ยวแหลกก็หายเมาพอดี (http://www.sookjaipic.com/images_upload/77291710757546_294.jpg) จานนี้ยำแมงกะพรุนครับ สาว ๆ บอกอร่อยกันทุกคน แต่ผมไม่กล้าแตะเลยเพราะแมงกระพรุนที่นี่มีจุด ๆ บนตัวด้วย ดูน่ากลัวมากกว่าน่ากิน ปกติก็ไม่กินแมงกะพรุนอยู่แล้ว ยิ่งมามีจุด ๆ แบบนี้ด้วยทำใจไม่ลงเลยจริง ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/78919805296593_295.jpg) แล้วก็มีผัดเต้าหู้น้ำแดงรสอร่อยเชียวแหละ เต้าหู้เค้าไม่เหม็นครับ หวาน ๆ หอม ๆ น้ำแดงที่ราดก็รสชาติดี เมนูนี้อร่อยจริงกินกันหมดเกลี้ยงครับ อาจเพราะรสชาติค่อนข้างคุ้นชินใกล้เคียงกับบ้านเมืองเรา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/47445873046914_296.jpg) ทุกอย่างไม่ถือว่าแย่ครับร้านนี้ ติดนิดเดียวตรงแหนมย่างที่เราสั่งมาจานนึง แหนมย่างของเค้าหน้าตาคล้าย ๆ แหนมบ้านเราแต่ประเด็นคือมันไม่เปรี้ยว แถมออกหวานด้วยจ้า เป็นเมนูที่ขัดแย้งกับสามัญสำนึกตัวเองมาก สมองมันบอกเราว่าไอ้ของแบบนี้มันต้องเปรี้ยวนำเค็มตาม ต้องหอมข้าวหอมกระเทียม แต่พอมันเข้าปากปุ๊บ มันหวาน ๆ จืด ๆ เหนียว ๆ มีกลิ่นหอมนิด ๆ จากการย่างไฟ แต่รู้สึกว่ามันไม่อร่อยเอาซะเลย ถ้าจะติก็ติแค่เมนูนี้เมนูเดียวเลยแหละ แต่ภาพรวมก็ถือว่าเป็นอีกมื้อที่ไม่ทำให้เราผิดหวัง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/33337540096706_298.jpg) ระหว่างนั่งทานก็มีเจ๊คนนี้เดินมาที่ร้านครับ มายืนคุยล้งเล้ง เดาว่าน่าจะมาเคลียร์เรื่องค่าอาหารกับเจ้าของร้าน ที่ผมชอบใจคือป้าแกเขียนคิ้วได้กุ๊งกิ๊งกระดิ่งแตกซะจริง ๆ หันไปมองนี่เกือบหัวเราะลั่น แต่โลกก็ไม่โหดร้ายเสมอไป (http://www.sookjaipic.com/images_upload/23059980612662_297.jpg) อย่างน้อยระหว่างนั่นกินก็ยังมีสารเพิ่มความหวานแทนน้ำตาลมาให้ผมได้สดชื่นขึ้นบ้าง หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 19 พฤษภาคม 2559 14:00:00 ไอศกรีมแล็บ ( Icream Lab ) หลังจากของคาว เราเดินต่อกันมาในซอย พบวัยรุ่นมากมายนั่งแคะหอย แหย่หอยตลอดสองข้างทาง แคะหอยจริง ๆ ครับ ที่นี่เค้านิยมการกินหอยมาก ไกด์ของเราเองยังยืนยันข้อมูลเรื่องนี้ด้วยว่าคนที่นี่เค้าชอบกินหอย มีร้านหอยเรียงรายมากมาย นอกจากหอยแล้วยังมีกลิ่นหอมเตะจมูกมาก ๆ มันคือกลิ่นของเนย ของเนื้อย่างที่ผมคุ้นเคย ผมหันไปมองตามกลิ่น มันเป็นบาร์บีคิวไสตล์เวียดนาม อารมณ์คล้าย ๆ หมูกระทะของบ้านเราครับ แต่เนื่องจากเราเพิ่งกินมื้อใหญ่กันมา เราเลยตัดสินใจว่าเราจะมาลองกินกันใหม่พรุ่งนี้ เราเดินผ่านตรอกซอกซอยมากไม่นานก็มาถึงเป้าหมายถัดไป เป็นของหวานปิดท้ายของค่ำคืนนี้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/31848659697506_299.jpg) iCream Lab เป็นร้านเล็ก ๆ ขนาดหนึ่งห้องแถว มีโต๊ะให้เรานั่งไม่กี่โต๊ะ สีสันสดใสต่างจากบรรยากาศร้านในโซนนี้ แค่ชื่อร้านก็ชอบแล้ว เดินเข้าไปยิ่งชอบ ร้านตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้เหมือนตามห้องทดลอง ไม่ว่าจะเป็นหลอดแก้ว บีกเกอร์ หลอดทดลอง ถ้วยถังต่าง ๆ ล้วนเข้ากัน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/92475618090894_302.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/79607656225562_300.jpg) เราเดินเข้าไปในร้าน พนักงานเอาเมนูมาให้ แต่ละเมนูดูน่ากินมาก เราสั่งกันไปคนละอย่างแล้วนั่งรอ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/74527032011085_301.jpg) ระหว่างรอพนักงานก็เอาน้ำมาเสริฟ ผมชอบมาก น้ำถูกเสริฟใส่แก้วบีกเกอร์ มันดูสมกับบรรยากาศห้องทดลองของที่นี่ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/17494774858156_303.jpg) นี่คือเค้าท์เตอร์ไอติมครับ ตกแต่งสวยงามมีกระจกกั้น ซึ่งเดี๋ยวจะเข้าใจครับว่าเค้ากันเอาไว้ทำไม (http://www.sookjaipic.com/images_upload/13116329701410_307.jpg) หลังจากสั่งเสร็จน้องผู้หญิงที่รับออเดอร์เราก็เดินไปหลังเค้าเตอร์ หยิบน้ำออกมาจากตู้แช่ แล้วเค้าก็เทใส่เครื่องปั่นครับ ผมนั่งมองแล้วนึกในใจ นี่มึงจะทำไอศกรีมโชว์รึไงวะ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/31843714954124_308.jpg) ระหว่างที่กำลังปั่นน้ำอะไรสักอย่างในโถปั่น น้องผู้ชายก็เดินไปที่ถังด้านหลัง เอาเหยือกไปจอปลายท่อแล้วเปิดวาล์วที่ถัง สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ออกมาครับ ผมอ่านไปที่ป้าย เฮ้ย นี่มันไนโตรเจนเหลว เคยเห็นแต่ตามรายการทีวีที่เค้าเอาไปแช่แข็ง โดยเค้าเอามาทดลองเอากุหลาบเอาอะไรมาแช่ มันจะแข็ง พอหล่นพื้นนี่กุหลาบแตกกระจายเหมือนกระจกเลยครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/16542120609018_309.jpg) จากนั้นเค้าก็เอาเหยือกที่ว่ามาเทใส่โถปั่นที่ก้านแกว่งกำลังหมุนปั่นอยู่ ไนโตรเจนเหลวอุณหภูมิติดลบ 196 องศาเซลเซียส มาเจอกับครีมในโถ ไอฟุ้งไปทั่ว ถึงตอนนี้พอจะทราบแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมเค้าต้องมีกระจกกั้นตรงเค้าท์เตอร์ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/49461751720971_310.jpg) เค้าเติมไปทีละเครื่องครับ ซึ่งในแต่ละโถปั่นก็จะมีครีมรสชาติต่าง ๆ กันไป ทั้งครีมช็อคโกแลต ครีมวานิลลา ฯลฯ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/18906783809264_311.jpg) เมื่อใส่ไนโตรเจนเหลวแล้วปั่นต่อเพียงครู่เดียวก็ได้มาเป็นไอศกรีมเนื้อเนียน ๆ หน้าตาแบบในรูปครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/21109986139668_312.jpg) พอได้เนื้อไอศกรีม ก็ได้เวลาตักไอศกรีมออกจากโถมาเป็นลูก ๆ ใส่ถ้วยที่เตรียมไว้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/82302371536691_313.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/18707734139429_315.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/19317886730035_314.jpg) และในที่สุดหลังจากผ่านขั้นตอนการทำอันเว่อร์วังอลังการ ไอศกรีมหน้าตาหน้ากิน ดูหรูหราซาลาแมนเดอร์ ก็มาเสริฟให้เราถึงโต๊ะ ทั้งน่าตื่นตาตื่นใจ น่าประทับใจ แถมยังอร่อยถูกปาก ร้านนี้ให้คะแนนเต็มไปเลยครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/55026958386103_316.jpg) อีกช็อทที่เราอดฮากันไม่ได้คือเราขอน้ำแข็งครับ อยากกินน้ำเย็น ๆ ให้ชื่นใจ น้องเค้าเดินไปเอาไนโตรเจนเหลว แล้วมาเทใส่แก้วน้ำครับ ผมนี่ขำลั่นร้านเลยทีเดียว เย็นสมใจเลย ติดลบเกือบสองร้อยองศา 555 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/26138522393173_317.jpg) ทุกสิ่งทุกอย่างบนโต๊ะเราถูกเติมเต็มด้วยไนโตรเจนเหลวครับ ไม่เว้นแม้กระทั่งน้ำปั่น (http://www.sookjaipic.com/images_upload/75758200304375_318.jpg) แล้วก็ได้เวลากินอย่างจริงจังเสียที ผมไม่รู้ว่าความอร่อยส่วนหนึ่งมันมาจากความประทับใจในขั้นตอนการทำหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ ผมว่ารสชาติไอศกรีมเค้าก็อร่อยจริง ๆ ถ้าอยากได้ที่ถ่ายรูปสวย ๆ มาชมขั้นตอนที่น่าตื่นตาตื่นใจ ที่นี่เหมาะมาก ๆ ครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/37772926729586_304.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/77452326607373_305.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/38088294325603_306.jpg) บรรยากาศภายในร้านครับ ผมชอบที่เค้าเขียนที่กำแพงว่า I Scream U Scream We all Scream, 4 iCream เป็นคำจำกัดความที่อ่านแล้วอมยิ้มเลยครับ แล้วก็ที่เห็นตามกำแพงเค้าไม่ได้วาดกันเล่น ๆ นะครับ สังเกตดี ๆ มันเป็นเมนูของที่นี่พร้อมราคาด้วย ที่นี่นับเป็นอีกสถานที่เล็ก ๆ ที่สร้างความประทับใจให้ผมได้ไม่น้อยทีเดียว ถ้ามีโอกาสได้ไปฮานอยอีก ผมคงไม่พลาดที่จะไปซ้ำที่ร้านนี้แน่นอน หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 22 มิถุนายน 2559 18:59:27 จองรถทัวร์ไปมุยเน่ หลังจากไปชมความเว่อร์วังอลังการของไอศกรีมแล็บ เราเดินเล่นกันพักนึงลัดเลาะไปตามตลาดกลางคืน ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ขากลับก็เหมือนเช่นเคย เราเดินผ่านร้านบาร์บีคิวแบบเวียดนาม แล้วก็ร้านชาบูแบบนั่งริมทางอยู่หลายร้าน อดบ่นปอดแปดไม่ได้ ว่าเสียดายไม่น่ารีบกินข้าวกันเลย อิ่มซะแล้วยัดไม่ลงแล้ว ได้แต่สูดกลิ่นหอมยั่วตัวเอง พร้อมตั้งสัจจะวาจาไว้ว่าในวันพรุ่งนี้ เราจะต้องมากินกันให้ได้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/61628673763738_323.jpg) บรรยากาศถนนคนเดินของที่นี่มีผู้คนพลุกพล่านในทุกตรอกซอกซอย ไม่ถึงกับแออัด แต่ก็ละลานตามากเลยทีเดียว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/24429191028078_324.jpg) มีศาลเจ้าที่เปิดยามค่ำคืนเอาไว้สำหรับมาไหว้เจ้าก่อนไปกินเหล้ากับเพื่อนฝูงด้วยนะเออ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/43470002007153_325.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/70010978273219_328.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/13054713068736_327.jpg) ที่นี่ไม่ต่างจากบ้านเรานักมีทั้งการแสดงเปิดหมวก เล่นดนตรี และมีเวทีแสดงประจำถนนคนเดิน ซึ่งก็มีคนหยุดชมมากมายเหมือนกัน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/68800574541091_326.jpg) ของขายข้างทางที่เป็นแผงลอยเน้นอะไรง่าย ๆ โดยมากมักจะเป็นอาหารแดกด่วน จากซ้ายคือข้าวโพดปิ้ง ตามมาด้วยหมูย่างแบบเสียบไม้ แล้วก็ Bami Bread (แบ๋งหมี่) เป็นขนมปังแบบขนมปังฟรั่งเศษ ทรงลูกรักบี้ไม่ได้ยาวเป็นไม้เบสบอลเหมือนขนมปังฟรั่งเศษต้นตำรับ (บาแก็ต) ส่วนการทำจะคล้าย ๆ กับ ข้าวจี่ปาเตของทางลาว ก็คือจะผ่าขนมปัง แล้วเอาไส้ต่าง ๆ ยัดเข้าไป เช่นหมูยอ กุนเชียง ตับสุกบด ผักกาดหอม มะเขือเทศ แครอทซอย แล้วราดด้วย มายองเนสหรือเนย กับซอสปรุงรส แล้วนำไปปิ้งให้พออุ่น ๆ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/49923216468757_343.jpg) อันนี้ขายเหมือนขนมหวานแบบใส่น้ำแข็ง คิดว่าน่าจะใช่เพราะไม่ได้ซื้อกิน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/54133366172512_345.jpg) หน้าที่พักเรามีของที่ระลึกเป็นโมเดลกระดาษขายราคา 1$ ร้านนี้สามารถเรียกเงินในกระเป๋าของสาว ๆ ไปได้ด้วยแหละ อย่างว่า สาว ๆ เค้าชอบอะไรน่ารักมุ้งมิ้ง ผิดกับผมที่ไปเวียดนามก็ได้ของฝากเป็นตุ๊กตาหุ่นกระบอกน้ำสภาพหลอน ๆ กลับจากพม่าก็หิ้วหุ่นกระบอกพม่าที่เป็นพระอุ้มบาตรหน้าตาดูเหมือนตุ๊กตาผีดูหลอน ๆ ไม่ต่างกัน เอามาใส่รวมกันในตู้โชว์เดินผ่านแล้วมองเข้าไปทีไรรู้สึกช่วยให้อาการป่วยทางจิตกำเริบได้เป็นอย่างดี (http://www.sookjaipic.com/images_upload/46520965836114_329.jpg) หลังจากเดินลัดเลาะอยู่พักใหญ่เราก็กลับมาถึงโรงแรมอีกครั้ง สองสาว (จอย เอิ๊ก) เลือกจะรออยู่ที่โรงแรม แต่ผมกับน้องเมเราจำเป็นต้องเดินย้อนกลับไปใกล้ ๆ ที่เดิมอีกครั้งเพื่อจองรถทัวร์ให้เสร็จสิ้นในค่ำคืนนี้ เพราะหลังจากนี้อีกสองวันคณะเดินทางของเราจะแยกย้ายกันที่ฮานอย ผมกับน้องเมเราจะไปมุยเน่ดินแดนแห่งทะเลทราย ส่วนจอยกับเอิ๊กจะไปกันที่ซาปาดินแดนแห่งนาขั้นบันได (http://www.sookjaipic.com/images_upload/82335812846819_342.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/82890389611323_339.jpg) ว่าแล้วหลังจากส่งสองสาวเสร็จเราก็ย้อนกลับไปที่ถนนคนเดินอีกครั้ง โชคยังดีที่บริษัททัวร์อยู่ไม่ไกลจากเรามาก เราเปิดแผนที่ดูปรากฏว่าไม่มีบอกจ้า... บอกแค่ว่าอยู่ซอยไหน แล้วไอ้ซอยที่ว่าก็โครตลึกและพลุกพล่านเลย โดยบริษัทเลื่องชื่อลือชาที่ว่าชื่อว่า เดอะซิญ ทัวริสท์ เชื่อไหมว่าในซอย ๆ เดียว มีบริษัททัวร์เลียนแบบอยู่ถึง 6 แห่ง แถมเปิดติด ๆ กันจนเราสับสน แต่แล้วเราก็เข้ามาจนสุดซอยและเจอบริษัททัวร์ตัวจริงเข้าจนได้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/74230547870198_333.jpg) ต้นตำรับป้ายจะหน้าตาแบบนี้นะจ๊ะ ให้ดูที่ป้ายแล้วอ่านให้ละเอียด โดยเฉพาะตรงอีเมลแอดเดรส เพราะที่อื่น ๆ จะทำให้คล้ายที่นี่แต่ตรงโลโก้จะไม่เหมือนกัน ร้านจะอยู่ลึกสุดฝั่งขวามือ หรือหากเข้ามาจากอีกฟากจะอยู่ซ้ายมือ ร้านแรกตรงหัวมุม หรือให้ดูที่เลขที่บ้าน คือเลขที่ 52 ก็ได้เช่นกัน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/17336790139476_331.jpg) เราเข้าไปจองรถนอนด้านในราคาเป็นมิตรไม่ต้องโดนหักหัวคิว ตัวสถานที่เป็นออฟฟิศขนาดเล็ก ๆ ประมาณ 1 คูหาครึ่ง มีเก้าอี้ให้นั่งรอเรียงอยู่ มีป้ายที่ท่องเที่ยวเก่า ๆ ดูมีมนต์ขลังนัก จากรูปจะเห็นแสงไฟสลัว ๆ คาดว่าต้องการประหยัดไฟ และที่สำคัญมีพนักงานหน้าตาง่วง ๆ พูดด้วยสำเนียงฟังยากนั่งรอบริการเราอยู่ เราจองตั๋วกันเสร็จก็เดินกลับโรงแรม ระหว่างทางผมอดไม่ได้ที่จะควักกล้องมาให้ดูว่าไอ้เดอะซิญทัวริสท์เนี่ย เค้าเอาชื่อนี้ไปใช้กันเยอะขนาดไหน แถมตั้งชื่อกันให้งงกันเป็นไก่ตาแตกซะงั้น (http://www.sookjaipic.com/images_upload/47648454167776_334.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42839910089969_335.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/55363223080833_336.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/92797438841727_337.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/43105505199895_338.jpg) ผ่าง !! เหลือเชื่อเลยใช่ไม๊ครับ นี่แค่ในซอย ๆ เดียว แถมเปิดร้านติดกันชนิดที่ว่าถ้าเป็นเมืองไทยคงยิงกันตายไปแล้ว ของแท้คือ เดอะซิญทัวริสท์ ของก๊อปนี่มาเป็นทิวเลยไม่ว่าจะเป็น เดอะซิญคาเฟ่ทัวริสท์ ซิญคาเฟ่ทัวริสท์ ซิญทัวริสท์ ฯลฯ เห็นแล้วพาให้ปวดขมับชะมัด แต่ช่างเถอะเราเสร็จสิ้นภารกิจของวันแล้ว ระหว่างเดินกลับที่พัก ผมอดไม่ได้อีกแล้ว ที่จะส่องลูกหลานลุงโฮก่อนกลับไปนอนหลับฝันดี ฮา... (http://www.sookjaipic.com/images_upload/11386051774024_319.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/46634328116973_321.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/50730011819137_320.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/39975573701990_344.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/72755860785643_322.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/48501869332459_340.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/87422605272796_341.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/74653026420209_330.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/61690397022498_332.jpg) หลานลุงโฮนั้นโก้จริง ๆ ! เอาละครับพอหอมปากหอมคอ (อันที่จริงมีอีกเพียบ) ผมต้องพักผ่อนเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไกลในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเราจะออกเดินทางกันแต่เช้า โดยเป้าหมายของเราอยู่ที่ "แหล่งภูมิทัศน์จ่างอาน" จะสวยงามสมคำร่ำลือหรือไม่ กดเลื่อนลงไปอ่านต่อกันนะจ๊ะ... หัวข้อ: Re: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 22 มิถุนายน 2559 20:15:22 แหล่งภูมิทัศน์จ่างอาน 1 เราตื่นกันหกโมงเช้า อาบน้ำแต่งตัวลงมานั่งกินขนมปังทาเนยกับชาขม ๆ ที่ด้านล่าง ไม่ถึงแปดโมงดีรถที่จะพาเราไปทัวร์ก็มาจอด ที่หน้าโรงแรม เรากระวีกระวาดขึ้นรถ เพราะแถวนี้จอดได้ไม่นานนัก รถมินิแวนขนาดกลาง ๆ พาเราหกคน อันประกอบด้วย คนขับรถ ไกด์ และกลุ่มพวกเราทั้งสี่คน ไปยังจุดหมายปลายทางที่ไกลพอจะให้เราหลับได้อีกงีบหนึ่ง "แหล่งภูมิทัศน์จ่างอาน" (http://www.sookjaipic.com/images_upload/26324688767393_aa4.jpg) ระยะทางประมาณ 100 กม.จากที่พักของเรา แต่เนื่องจากที่นี่ไม่ขับรถเกินกว่าอัตรากฏหมายกำหนด เราเลยใช้เวลาถึงสองชั่วโมง กว่าจะมาถึงทั้งที่ระยะทางแค่ร้อยกม. ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับภาพบ้านคนเบื้องหน้า รถขับเข้าไปในหมู่บ้านเล็ก ๆ ได้พักหนึ่ง "ทางตัน" ! ฟังไม่ผิดครับ เค้าทำถนนกันอยู่ เราเลยต้องอ้อมมาอีกทางหนึ่ง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/45202253593338_346.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/21072032882107_347.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/73249996743268_348.jpg) ระหว่างอ้อมมีช็อตเด็ดกีฬามันที่ผมบันทึกภาพไม่ทัน คือมันเป็นเนินครับ เนินสูงพอสมควร เป็นเนินที่ถนนหมู่บ้านจะไปตัดขึ้นถนนใหญ่ ระหว่างที่เราใกล้ถึงเนินมันมีมอเตอร์ไซค์คันนึงขี่อยู่ด้านหน้าเราห่างประมาณห้าสิบเมตรครับกำลังจะขี่ขึ้นเนินเลย ประเด็นคือไอ้มอเตอร์ไซค์ที่ว่านี่มันแบกถังแก๊สมาด้วยสามถังครับ เป็นถังแก๊สบ้านขนาดกำลังน่ารัก 15 กก. ดูเก่า ๆ สภาพของถังเหมือนมันพร้อมที่จะรั่วและระเบิดได้ตลอด คนขับรถของเราเหมือนจะรู้ครับ เค้าชะลอรถก่อนขึ้นเนิน คนหกคนในรถมองไปที่จุดเดียวกันพร้อมบอกว่าเดี๋ยวมึงร่วงแน่เลย แปลกแต่จริงเหมือนพลังจิตจะส่งไปถึงครับ ไอ้ถังเจ้ากรรม ร่วงจากมอเตอร์ไซค์กลิ้งมาทางรถเรา ผมใจหายดังแว๊บ มันกลิ้งกลุกกลัก ๆ ลงมาและหยุดนิ่งก่อนถึงรถเราไม่มากนัก ไอ้ลุงที่ขี่มอเตอร์ไซค์จอดรถตั้งขาตั้งเดินลงมาเก็บแล้วหิ้วกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางพวกเราที่ยังอึ้งกับภาพเบื้องหน้า ระหว่างที่สาว ๆ ส่งเสียงเอะอะกัน ผมนั่งเงียบกริบเหมือนจะมีสติที่สุด หารู้ไม่ "กูหัวใจจะวาย" ผ่านไปเพียงไม่นานบนถนนขนาดสองเลนวิ่งสวนกัน แล้วเราก็มาถึงจนได้ แหล่งภูมิทัศน์จ่างอาน (Tràng An Scenic Landscape Complex) คือเขตภูมิทัศน์แห่งหนึ่งใกล้เมืองนิญบิ่ญ จังหวัดนิญบิ่ญ บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง ประเทศเวียดนาม เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งท่องเที่ยวล่องเรือในถ้ำ แหล่งภูมิทัศน์จ่างอานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแบบผสมทั้งทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ การชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงามในจ่างอานนั้น ทำได้โดยการล่องเรือเล็กประมาณ นั่งได้ 4-5 คน คนแจวเรือจะพาเราไปเยี่ยมชมวัด หลังจากนั้นก็จะพาเราไปลอดถ้ำ มีทั้งหมด 49 ถ้ำ (แต่ไม่ต้องตกใจเราไม่ได้ลอดมันทุกถ้ำหรอก) ซึ่งถ้ำจะมีชื่อแตกต่างกันไป ใช้เวลาล่องเรือไปกลับประมาณสองชั่วโมง และรู้ไหมครับ เค้ายกย่องที่นี่กันในชื่อ "ฮาลองบก" เลยทีเดียว (http://www.sookjaipic.com/images_upload/45667174417111_aa5.jpg) อันนี้ไกด์ประจำวันนี้ของพวกเราครับ ชื่อเพชร เพชรบอกว่าจริง ๆ แล้วชื่อเค้าในภาษาเวียดนามแปลว่าพลอย เพชรมาเรียนในไทย ถ้าจำไม่ผิดเพชรมาเรียนที่ ม.สารคาม ครับหลังจากจบแล้วก็กลับบ้านเกิด เพชรบอกว่าสาเหตุที่ชื่อเพชรคือคำว่าพลอยในภาษาไทย เค้าใช้กับชื่อของผู้หญิง เลยเปลี่ยนมาเป็นเพชรในชื่อไทย เรื่องภาษากับสำเนียงในภาษาไทยนี่ถือว่าดีมากครับ ใครไปเวียดนามแถว ๆ ฮานอยอยากได้ไกด์เป็นกันเอง พูดรู้เรื่อง ข้อมูลแน่น หลังไมค์มาถามข้อมูลได้ครับ หลังจากเรามาถึงที่ เพชรเข้าไปซื้อตั๋วให้เราครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/36044146451685_349.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/97397662699222_350.jpg) ได้ตั๋วกันมาเรียบร้อยสาว ๆ ก็พากันไปเข้าห้องน้ำห้องท่าก่อนลงเรือง เพราะเพชรบอกใช้เวลานาน ผมเห็นด้วยเพราะหากไปขี้แตกบนเรือคงได้เด่นได้ดังกันแน่ ! (http://www.sookjaipic.com/images_upload/41974563151597_351.jpg) เข้าห้องน้ำห้องท่ากันเสร็จก็มาลงเรือครับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/47184798783726_352.jpg) กล้องพร้อม ! (http://www.sookjaipic.com/images_upload/64139601132935_353.jpg) ออกเรือได้ ! |