[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 05 มิถุนายน 2559 19:02:26



หัวข้อ: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 05 มิถุนายน 2559 19:02:26

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/33304050192236_IMG_3377.jpg)
พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก

“กรรมทั้งหลายไม่ได้มาจากอื่นไกล
มาจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเราเท่านี้”

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร - จังหวัดสกลนคร

*゚¨゚✎-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·¯`·.¸> <((((º> ♫♫♫~*  


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/65790925464696_IMG_3321.jpg)
วิหารพระพุทธชินราช
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก

“ผู้ทรงศีลด้วยความบริสุทธิ์ ก็เท่ากับว่านานั้นมีคันนา
ฝนตกลงมาน้ำก็ขัง เอาปุ๋ยใส่มันก็ขัง
ถ้าใครไม่มีศีลบริสุทธิ์ ก็เท่ากับนาไม่มีหัวคันนา
ฝนตกลงมาน้ำในนาไหลหนีหมด ใครจะไปหว่านปุ๋ยก็ไม่อยู่ เมล็ดข้าวก็ไม่อยู่”

พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี ธมฺมธโร)
วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ

*゚¨゚✎-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·¯`·.¸> <((((º> ♫♫♫~*  



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/74529006207982_IMG_3337.jpg)
พระพุทธชินราช
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก

“เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีความสูงศักดิ์มาก
อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ มนุษย์เราจะต่ำลงกว่าสัตว์
และจะเลวกว่าสัตว์อีกมากมาย อย่าพากันทำ
ให้พากันละบาป บำเพ็ญบุญ ทำแต่คุณความดี
อย่าให้เสียชีวิตเปล่าที่มีวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์”

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
วัดป่าสุทธาวาส  จังหวัดสกลนคร

*゚¨゚✎-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·¯`·.¸> <((((º> ♫♫♫~*  


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/70846137363049_IMG_3344.jpg)
พระพุทธชินราช
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก

“คนทำบุญเหมือนน้ำเย็น
คนรักษาศีล ภาวนา เย็นเหมือนน้ำ
คนไม่ทำบุญให้ทาน ไม่รักษาศีล ไม่ภาวนา มันเป็นไฟ
เหมือนไฟ มันร้อน มันไหม้เรื่อยไป”

พระญาณสิทธาจารย์  (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/97223619413044_IMG_3346.jpg)
พระอริยสาวก พระพุทธชินราช
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก

รู้แล้วอย่าหลงรู้ รับว่ารู้ แล้ววางรู้ รู้จึงไม่มีพันธะ
จิตก็บริสุทธิ์ได้ ละบุญละบาปใดๆ ก็ได้

หลวงปู่จาม มหาปุญโญ
วัดป่าวิเวกวัฒนาราม อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/70013245691855__3623_3633_3604_3649_3617_3656.jpg)
ภาพ: วัดแม่นางปลื้ม  
อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

“ในทางโลก  การได้มามากๆ เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
แต่ในทางธรรม  การสละสิ่งที่มีมากๆ ให้หมดไป
แม้แต่สิ่งละเอียดอ่อนภายในใจได้
ท่านว่า ประเสริฐสุด

พระอุดมญาณโมลี (จันทร์ศรี จนฺททีโป)
วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี

*゚¨゚✎-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·¯`·.¸> <((((º> ♫♫♫~*


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/53365852476821_IMG_3144.jpg)

การปฏิบัตินั้น ให้พยายามทำ มันจะสงบหรือไม่สงบก็ช่าง ปล่อยไว้ก่อน
เอาเรื่องเราปฏิบัติเป็นเรื่องแรก เอาเรื่องเราได้สร้างเหตุนี้แหละ ถ้าทำแล้วผลจะเป็นอย่างไรก็ได้
เราทำได้แล้วอย่ากลัวว่าจะไม่ได้ผล มันไม่สงบเราก็ได้ทำ ทีนี้ถ้าเราไม่ทำใครเล่าจะได้ ใครเล่าจะเห็น
"คนหานั่นแหละจะเห็น คนกินนี่แหละจะอิ่ม"

หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

*゚¨゚✎-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·¯`·.¸> <((((º> ♫♫♫~*  


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/33449121192097__3623_3633_3604_3585_3621_3634.jpg)

กายเดียว จิตเดียว หนังแผ่นเดียว
เรียนเท่านี้ไปนิพพานได้

หลวงปู่บุดดา ถาวโร
วัดกลางชูศรีเจริญสุข ต.พักทัน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี

*゚¨゚✎-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·¯`·.¸> <((((º> ♫♫♫~*  


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/54881345273719__3623_3633_3604_3585_3621_3634.jpg)
มันจะมีนรก มีสวรรค์อย่างไร
นั่นมันกิเลสต่างหากเล่า
กิเลสหมด มันก็หมดนรก หมดสวรรค์ซิ

หลวงปู่บุดดา ถาวโร
วัดกลางชูศรีเจริญสุข ต.พักทัน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/81704689189791_1.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/44223071469200_2.jpg)


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/46094073603550_3.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/90777573279208_1.jpg)
ภาพ : หัตถ์พระอัครสาวก พระพุทธชินราช
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก
(พระอัครสาวกประดิษฐานอยู่ด้านข้างพระพุทธชินราช)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/50526167907648_IMG_4531.jpg)
พิพิธภัณฑ์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
(กรกฎาคม ๒๕๕๙)

"กรรมดีกรรมชั่ว ผู้นี้เป็นกำเอา เป็นผู้ทำเอา
ไม่เห็นมีกรรมมาจากต้นไม้ภูเขาเลากา ไม่เห็นมีกรรมมาจากฟ้าอากาศ
มาจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเท่านี้แหละ"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

*゚¨゚✎-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·¯`·.¸> <((((º> ♫♫♫~*


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/72977146796054_IMG_4472.jpg)
รูปหล่อเหมือน หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ประดิษฐานภายในพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

 *゚¨゚✎-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·¯`·.¸> <((((º> ♫♫♫~*

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/49446735158562_IMG_4526.jpg)


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/52742555778887__MG_7899.JPG)
พระเนตรขวา พระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต)
วัดพนัญเชิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

มหาเหตุ
...เหตุทั้งหลายของคนเรา ก็ล้วนมาจากใจ
ใจจึงเป็นมหาเหตุ ถ้าใจดี ใจสูง ใจประเสริฐ การทำ การพูด
ก็พลอยดีและประเสริฐไปด้วย...


ธรรมวจนะ  พระครูปราโมทย์ธรรมธาดา
(หลวงปู่หลอด ปโมทิโต)


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/93794887099001_1.jpg)
ภาพจาก : วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก

พระพุทธองค์ตรัสว่า
"ผู้ไม่มีสติก็คือคนประมาท คนประมาทนั้นก็คือคนตาย"
แม้มีชีวิตอยู่ก็เรียกว่าตายแล้่ว เพราะจิตใจมันตาย ไม่มีอะไรแล้ว เป็นผู้ประมาท
"ปมาโท มจฺจุโนปทํ คนประมาทแล้วเหมือนคนตาย"
นี่ตายในภาษาธรรมะ ตายในภาษาด้านปรมัตถ์ ไม่ใช่ตายในร่างกายของเรา


พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/80452644866373__MG_6106.jpg)
"พระพักตร์" สมเด็จนางพญาเรือนแก้ว วัดนางพญา อ.เมือง จ.พิษณุโลก
(๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐)

"พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัยก็ดี รู้อะไรๆ ได้ด้วยทศพลญาณก็ดี
รอบรู้สรรพเญยฺยธรรมทั้งปวงก็ดี ก็เพราะมีมหาเหตุนั้นเป็นดั้งเดิมทีเดียว จึงทรงรอบรู้ได้เป็นอนันตนัย
แม้สาวกทั้งหลายก็มีมหาเหตุนี้แลเป็นเดิม จึงสามารถรู้ตามคำสอนของพระองค์ได้ด้วยเหตุนี้แล"

พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ
ณ วัดป่าบ้านนามน กิ่งอำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร พ.ศ.๒๔๘๖
*บันทึกโดยพระอาจารย์วิริยังค์ สิรนฺธโร (พระราชธรรมเจติยาจารย์)
วัดธรรมมงคล กรุงเทพมหานคร


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/90453064731425_IMG_8951.JPG)
ภาพจาก : วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร  ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

ภิกษุผู้ถอนภวตัณหาได้แล้ว มีจิตสงบแล้ว
สิ้นความเวียนเกิดแล้ว ย่อมไม่มีภพอีก

อุจฺฉินฺนภวตณฺหสฺส  สนฺตจิตฺตสฺส ภิกฺขโน
วิกฺขีโณ ชาติสํสาโร   นตฺถิ ตสฺส ปุนพฺภโว

ขุ.อุ.๒๕/๑๔๓


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/14835887402295__MG_6215.jpg)
"พระหัตถ์ขวา" สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงสุวรรณภิงคารหลั่งน้ำทักษิโณทก ประกาศอิสรภาพจากหงสาวดี
ภาพจาก : พระวิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก
(๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐)

หมู่ปราชญ์บัณฑิต เปรียบได้กับ "รวงข้าวที่สมบูรณ์"
รวงข้าวที่สมบูรณ์นั้น จะโน้มรวงอ่อนลงสู่เบื้องล่าง
อันหมู่ปราชญ์บัณฑิต ย่อมอ่อนน้อมถ่อมตน
ที่ชูก้านขึ้นสูง ชี้โด่เด่ นั้นคือ "ข้าวลีบ"

พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/18070309195253_IMG_4420.jpg)

"อะไรเล่าจะทรมานจิตใจมนุษย์
ยิ่งไปกว่าการสำนึกผิดโดยไม่มีทางแก้
"

 
จาก : ธรรมะใต้เงาไม้ - หลวงปู่แบน ธนากโร (พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร) 
วัดดอยธรรมเจดีย์  บ้านนาสีนวล ตำบลตองโขบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร
ภาพถ่ายปี พ.ศ.๒๕๕๙


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/14020128548145__MG_6092.jpg)
สมเด็จนางพญาเรือนแก้ว วัดนางพญา อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/69873585717545__MG_6131.jpg)

"รตฺตสฺส  หิ อุกฺกฏิกํ ปทํ ภเว
ทุฏฺฐสฺส โหติ สหาสนุปิฬิตํ
มูฬฺหสฺส โหติ อวกฑฺฒิตํ ปทํ
วิวฏฉทสฺส อยมีทิสํ ปทํ"


คนราคจริต รอยเท้าจะเว้าตรงกลาง
คนโทสจริต รอยเท้าจะจิกปลาย
ส่วนรอยเท้า (ราบเสมอกัน) เป็นของคนหมดกิเลสแล้ว

ที่มา : สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก หน้า ๖๗ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๙๐๕ ประจำวันที่ ๑๗-๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/34016508567664_IMG_4541.jpg)
รูปปั้นหล่อหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
ภาพจาก : วัดป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร (พ.ศ.๒๕๕๙)

ให้ท่องอยู่ในใจเสมอว่า เรามีความแก่ เจ็บ ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน ป่าช้าอันเป็นที่เผาศพภายนอก
และป่าช้าที่ฝังศพภายใน คือตัวเราเอง เป็นป่าช้าร้อยแปดพันเก้าแห่งศพที่นำมาฝังหรือบรรจุ จะอยู่ในตัวเรา
ตลอดเวลาทั้งศพเก่าศพใหม่ทุกวัน พิจารณาธรรมสังเวช พิจารณาความตายเป็นอารมณ์ ย่อมมีทางถอดถอน
ความเผลอเย่อหยิ่งในวัย ในชีวิต และวิทยฐานะต่างๆ ออกได้  จะเห็นโทษแห่งความบกพร่องของตัว และพยายาม
แก้ไขได้เป็นลำดับมากกว่าจะไปเห็นโทษของคนอื่น แล้วมานินทาเขา ซึ่งเป็นความไม่ดีใส่ตน
นี่คือการภาวนา คือวิธีเตือนตน สั่งสอนตน ตรวจตราดูความบกพร่องของตน
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 07 มีนาคม 2560 16:16:54

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/22941301721665_IMG_3327.jpg)

ท่านที่มีความสนใจในการบำเพ็ญภาวนา ก็พากันภาวนาไป ไม่ต้องไปสนใจกับวัตถุมงคลอันเป็นของภายนอก
แต่ผู้ที่ยังไม่สามารถหันมาสู่การปฏิบัติธรรมได้ ก็ให้อาศัยวัตถุภายนอก เช่น วัตถุมงคลนี้เป็นที่พึ่งไปก่อนเถิด
อย่าไปตำหนิติเตียนอะไรเลย   ครั้นเขาเหล่านั้นประสบเหตุเภทภัยมีภยันตรายแก่ตน และเกิดแคล้วคลาด
ด้วยคุณแห่งพระรัตนตรัยก็ดี โดยบังเอิญก็ดี เขาก็จะบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ในภายหลัง
ซึ่งก็จะเป็นเหตุให้เจริญงอกงามในทางที่ถูกต้องได้เอง
คำสอน หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระสุปฏิปันโน แห่ง จ.สุรินทร์



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/78380257553524_17.JPG)
ภาพจาก : วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/32325358854399_44.JPG)
ภาพจาก : วัดมเหยงคณ์ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ผู้กระทำกรรมดี ย่อมได้เสวยผลของกรรมดี

ผู้ที่มีใจผูกพันอยู่กับ การรักษากาย วาจา ใจ อยู่ในศีลบริสุทธิ์ มามากในอดีตชาติ
จะมีจิตใจผ่องใส จะไม่เศร้าหมอง ก็จะรู้ได้จากปัจจุบันชาติ
คือ ปัจจุบันชาติจะเป็นผู้มีผิวพรรณอันงดงาม หน้าตาผ่องใส เป็นที่เจริญใจผู้พบเห็นทั้งหลาย
ผู้ที่มีใจผูกพันอยู่กับการปฏิบัติธรรมมามากในอดีตชาติ ก็จะรู้ได้จากปัจจุบันชาติ
คือ ปัจจุบันชาติจะเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ศึกษาปฏิบัติธรรมเข้าใจง่าย เจริญดีในธรรม


จากหนังสือ "ชีวิตนี้สำคัญนัก"
พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/67905740191539_DSC_0066.jpg)
จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถวัดพนมยงค์
ต.ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา (มีนาคม ๒๕๖๐)

กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว อยู่บนหัวกลิ่นบัวบ่ต้อง
แมงภู่ง่องบินผ่ายแอ่วมา เอาเกษรดอกบัวไปจ๊อย

อุปมา...เหมือนกบอยู่กอบัว แต่ไม่รู้จักบัว ดอกบัวจะบานจะตูม จะร่วงจะโรย
ก็ไม่รู้เรื่อง วันดีคืนดีอาจโดนด้ามเสียมเขาหรอก นี้ฉันใด บางคนอยู่ใกล้วัด ใกล้พระ
ก็น่าจะรู้จักธรรมะและนำธรรมะมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตและสังคม แต่ไม่รู้เรื่องเลย

'ธรรมปริศนา' พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/35570751254757_2.jpg)
หุ่นหุ่นขี้ผึ้ง หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ประดิษฐานในเขมปัตตเจดีย์ วัดภูจ้อก้อ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/29185625000132_12.jpg)
อัฐธาตุและเส้นผมที่แปรสภาพเป็นพระธาตุ ของ หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ประดิษฐานในเขมปัตตเจดีย์ วัดภูจ้อก้อ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร

สิ่งใดที่ถูกสมมติว่าเป็นอัตตาแบบตื้นๆ สิ่งนั้นต้องถูกปรมัตถ์กวาดล้างลึกลงไปอีก
เป็นเมืองขึ้นของอัตตา แต่ไม่ให้หลงติดอยู่ในอัตตาและอนัตตา เพราะจะพาให้เดือดร้อนด้วยการ
ยืนยันในทิฏฐิและความเห็น การรู้จักกาลเทศะสิ่งที่ควรปล่อยวางและไม่ควรปล่อยวาง เป็นทาง
ของปัญญาของสติที่ควรเลือกเฟ้น และก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

หลวงปู่หล้่า เขมปัตโต


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/88683075250850_DSC_0054.jpg)
ภาพจาก : พระอุโบสถ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร บางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
(พุธที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๐)

ลุกขึ้นตื่นขึ้นมาหัดพิจารณากายานุปัสสนา คือการพิจารณากาย
หนังก็ไม่ใช่ของเรา เนื้อก็ไม่ใช่ของเรา ตับไตไส้พุงก็ไม่ใช่ของเรา อาหารใหม่
อาหารเก่าก็ไม่ใช่ของเรา เพื่อนฝูงพี่น้องก็ไม่เห็นเรา เราเจ็บ เราร้อน
เราตกนรกหมกไม้ เพื่อนฝูงก็ช่วยไม่ได้ นอกจากเราช่วยตัวเราเองเท่านั้น

คติธรรม : หลวงปู่คำพอง ติสโส (พระครูสุวัณโณปมคุณ)
วัดถ้ำกกดู่ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/55228834350903_1..JPG)
รูปหล่อ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ภาพจาก : วัดป่าบ้านหนองผือ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร  

การตำหนิติเตียนผู้อื่น  ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย
ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น   นักปราชญ์ท่านถือเป็น
ความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย  จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมาน
อย่างไม่คาดฝัน   การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรองเป็นการสั่งสมโทษและบาป
ใส่ตนให้ได้รับความทุกข์  จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาป
เป็นภัยแก่ตนเสีย  ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไม
พอใจสร้างขึ้นเอง
คติธรรม : หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าบ้านหนองผือ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/73889182963305_18268342_207445939771094_76201.jpg)
พระภาวนาเขมคุณ วิ. (สุรศักดิ์ เขมรํสี)
เจ้าอาวาส วัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/95500020682811_18275061_207446173104404_54598.jpg)

มัจจุราชจ้องคอยท่า เวลาไม่คอยใคร
ชีวิตร่อยหลอไป เรากำลังทำอะไรอยู่

บัดนี้เวลาแห่งการปฏิบัติธรรมในภาคบ่ายมาถึงแล้ว
จึงขอให้ทุกท่านผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายได้โปรดเตรียมตัวแสวงหาโมกขธรรม
นั่นราวป่า นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอจงเดินจงกรม นั่งสมาธิเจริญภาวนา ความเพียร
เพื่อที่จะชำแรกกิเลสให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ ด้วยความไม่ประมาทเถิดฯ

พระธรรมบท (บทที่ ๒) อัปปมาทวรรค
---------------------------------
เสียงตามสาย พระภาวนาเขมคุณ วิ. (สุรศักดิ์ เขมรํสี) กล่าวให้ผู้ใฝ่ในธรรม
เตรียมตัวแสวงหาโมกขธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิเจริญภาวนา ณ สำนักกรรมฐาน
วัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/68309591462214_1.JPG)
หุ่นขี้ผึ้ง พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทศก์ เทสรังสี)

ธรรมทั้งหลายมีอยู่ในตัวเราทุกคน
ผู้รู้ธรรมคือใจ ที่จะรู้มาก รู้น้อย รู้หยาบ ละเอียด
ก็แล้วแต่ความสามารถ บุญบารมี หรือการอบรมของแต่ละบุคคล


จากโอษฐ์ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทศก์ เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/17824934298793__MG_9774.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/34133425396349__MG_9936.jpg)

ต้องทรมานใจ
"ไม่เคยมีใครบรรลุธรรม ด้วยการอยู่ไปกินไป
นอนไปตามใจชอบ โดยไม่มีการฝึกจิตทรมานใจ"


จากโอษฐ์ พระครูปราโมทย์ธรรมธาดา (หลวงปู่หลอด ปโมทิโต)
วัดสิริกมลาวาส(วัดใหม่เสนานิคม) ลาดพร้าว บางกะปิ กรุงเทพมหานคร.


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/28268826670116_17.JPG)
ภาพจาก วัดป่าบ้านหนองผือ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร  

"อสุภนิมิต"
ในบางครั้งเราทำสมาธิได้แล้ว ขณะที่จิตรวมวูบลงไป ร่างกายของเราก็จะเกิดเห็นเป็นซากศพ
ที่มีสภาพเหมือนกับว่าเพิ่งจะขุดขึ้นมาจากหลุมศพ แต่จริงๆ แล้วร่างกายของเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อเรา
ถอนจิตออกมาก็จะเห็นเป็นตัวตนธรรมดา อาการที่เราเห็นเป็นซากศพนี้ท่านเรียกว่า "อสุภนิมิต"
ถ้าเราเคยได้ยินครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนในเรื่องของอสุภนิมิตนี้แล้วเราก็ทำความรู้เท่ากัน  

อสุภนิมิตนี้ถ้าเกิดบ่อยๆ จะเป็นการดีมาก ท่านอาจารย์ใหญ่ (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ท่านนิยมมาก ถ้าพระเณร
องค์ใดได้อสุภนิมิตร่างกายเน่าเปื่อยเป็นซากศพแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นจะสามารถที่จะบรรลุธรรมได้ง่าย อสุภนิมิตนี้
ไม่ใช่เป็นของร้าย เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าเราอดกลัวไม่ได้ ก็ให้เราลืมตาเสีย ตั้งสติให้มั่น ขออย่างเดียว อย่าลุกวิ่งหนี
ถ้าเราลุกวิ่งหนีก็จะทำให้เราเสียสติได้ การลุกขึ้นวิ่งหนีนี้ขอห้ามโดยเด็ดขาด

ธรรมะบางตอน โดย หลวงปู่คำดี ปภาโส


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 28 พฤษภาคม 2560 18:23:19
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/93245559930801__MG_7974.jpg)
ภาพจาก : วัดมหาธาตุ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา

"เราทั้งหลายเกิดมานี่ย่อมมีความมุ่งมาตรปรารถนาอยู่เป็น ๓ นัย
นัยหนึ่งต้องการวัตถุข้าวของเงินทองมากๆ นัยสองต้องการรูปสวยๆ งามๆ
อายุยืนนาน นัยที่สามต้องการมีปัญญาเฉลียวฉลาด เหตุใดจึงไม่ได้
สมความปรารถนา ก็เพราะไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ท่านได้วางข้อปฏิบัติไว้
คือให้มีทาน มีศีล มีภาวนา สามนัยนี้ให้พากันรู้จัก"

วาทะธรรม หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/76129987421962_1.jpg)
พระพุทธรูป ประดิษฐาน ณ พระธาตุพนมบรมเจดีย์
วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม

น้ำจะใสสะอาดสักเท่าไรก็ตามที หากไม่มีคนใช้คนบริโภคแล้ว จะมีประโยชน์อะไร
เพชร นิล จินดา หรือแร่ที่มีราคาต่างๆ ซึ่งมีอยู่ใต้พื้นพสุธา มีคนมาบอกว่ามีอยู่ตรงนั้นๆ
จะมีประโยชน์อะไรแก่ผู้ไม่มีปัญญาที่จะแสวงหาเอาของเหล่านั้นขึ้นมาใช้  
พระพุทธเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระองค์ชมคนที่มีปัญญาสามารถคิดค้นกลั่นกรอง
เอาจิตที่ผุดผ่องอยู่แล้ว ในกองแห่งกิเลสนั้นออกมาใช้ได้ ว่าเป็นผู้ประเสริฐ.


วาทะธรรม พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์  
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/43508524364895_1.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/63009006074733__MG_6276.jpg)

"บุญและบาปสิ่งใดๆ ใจถึงก่อน ใจเป็นรากฐาน
ใจเป็นประธาน มันสำเร็จที่ดวงใจ"

วาทะธรรม หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
ภาพจาก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/55011138982242__MG_1203.jpg)
ภาพจาก :  หอพระแก้ว นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ถ่ายภาพ : Mckaforce - แอ็ดมิน สุขใจดอทคอม

พระพุทธองค์ตรัสว่า "ฆ่าความโกรธได้ ย่อมเป็นสุข"
ความโกรธนั้น มีพื้นฐานมาจากทิฐิมานะ การถือตัวถือตน พอมีสิ่งขัดข้องเข้ามากระทบ
ความถือตัวตนก็บังเกิดกำเริบขึ้น ได้ยินแล้วร้อนหู ได้เห็นแล้วร้อนตา  ส่วนใหญ่มักเอา
ตัวเองเข้าไปเปรียบเทียบ เอาตัวเองเข้าไปวัด แล้วกำหนดมาตรฐานขึ้นมาเอง ถ้าสามารถ
ทนรับวิบัติผลของความโกรธที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงชี้แจงโทษไว้ได้ ก็ไม่ต้องปรับปรุง
แก้ไขอะไร เพียงแค่อยู่ให้ห่างจากผู้คนเอาไว้ จะได้ไม่ไปสร้างโทษภัยให้แก่ผู้อื่น แต่ถ้า
อ่านแล้วได้พิจารณาเห็นโทษของความโกรธอย่างชัดเจน ต้องการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
ถอนพิษภัยของความโกรธให้หมดสิ้น ก็ควรทำการฝึกฝน
พระเฉลิมชาติ ชาติวโร
พระธรรมทูตเชิงลึกแดนพุทธภูมิ
สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/80707206742631__MG_7898.JPG)
"อุณาโลม" พระพุทธไตรรัตนนายก วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา
ของเดิมเป็นอัญมณีสวยงามมาก ถูกถอดเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย
ถ่ายภาพ : Mckaforce - แอ็ดมิน สุขใจดอทคอม

กัมมัฏฐาน ฐานที่ตั้งของกายนี้แหละ กายเขาไม่รู้แจ้ง จะรู้แจ้งก็รู้แจ้งที่ใจนี่แหละ
เอาใจละสิ่งทั้งหลายที่มาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ  มาทางตา
ที่พอใจก็ดี ไม่พอใจก็ดี  มาทางหู ที่พอใจก็ดี ไม่พอใจก็ดี  มาทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
ที่พอใจก็ดี ที่ไม่พอใจก็ดี เอาศีลนี่แหละนำออกเสียด้วยปัญญาของตนออกไปจากใจนี้
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/67672259277767_ihdbhc9bf6ig7iebaca9b_1_.jpg)
พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ที่วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง) ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

“คนเรา มีภูมิจิตภูมิธรรมต่างกัน ฝึกปฏิบัติมาไม่เท่ากัน
จะให้ทุกคนรู้เหมือนเรา เข้าใจเราทุกอย่างไม่ได้
เมื่อเขาทำพลาดไป เราควรให้อภัย วันหนึ่งเขาจะรู้เอง ทำได้ถูกต้องเอง”

วาทะธรรม พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป  


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/97889744531777_10.JPG)
รูปหล่อหลวงปู่เทศก์ เทสรังสี  วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

“..ถ้าความตายมาปรากฏให้เห็นเฉพาะหน้า น้อมนำเอามาพิจารณาถึงตัวของเรา ว่าเราก็จะต้องเป็นเช่นเดียวกันนั้น
ตายแล้วเปื่อยเน่าเป็นอสุภ แม้มีชีวิตอยู่ ก็ปฏิกูลโสโครก เป็นของน่าเบื่อหน่าย แล้วจะหายจากความเกลียดความกลัว
และจะมุ่งหน้าบำเพ็ญแต่ความดี อันมีสาระให้เกิดประโยชน์แก่ตนทั้งโลกนี้และโลกหน้า สมกับธรรมที่ว่า
ธมฺมกาโม ภวํ โหติ ผู้ใคร่ต่อธรรม เป็นผู้เจริญ...”
ธรรมคำสอน หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/28222653642296_4.2.JPG)
กุฏิที่พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล เคยอยู่จำพรรษา
วัดดอนธาตุ ตำบลทรายมูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
เป็นกุฏิไม้เล็กๆ ขนาดห้อง ๒.๕๐x๔.๐๐ ตารางเมตร ยกใต้ถุนสูง ๑.๒๐ เมตร

การนอนเป็นเวลา ฉันเป็นเวลา อาบน้ำเข้าห้องน้ำเป็นเวลา
มันเป็นอุบายสร้างพลังจิต แล้วทำให้เรามีความจริงใจ ทีนี้นักปฏิบัติทั้งหลาย
ไม่ได้ทำอย่างนี้ แม้แต่นักสะกดจิต เขาก็ยังยึดหลักอันนี้

เรื่องราวของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
บอกเล่าโดย พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/49308686537875_1.jpg)
ภาพจาก : งานเทศกาลตักบาตรเทียน เมืองโบราณโคกไม้เดน อำเภอพยุหะครี จังหวัดนครสวรรค์ (๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐)
ถ่ายภาพ : Mckaforce แอ็ดมินเว็บไซท์ สุขใจดอทคอม

มาตาปุตุคุณกถา
สุนทรภู่กวีไทยกล่าวไว้ว่า
“แม้ลูกชั่วหัวดื้อทำสือรู้ จนพี่ป้าย่าปู่ไม่รู้จัก
ผลาญพงศ์เผ่าเหล่ากอทรลักษณ์ ชื่อว่าอกตัญญูชาติงูพิษ”

ธรรมดาคนที่ไม่ดีนั้นเป็นคนไม่รู้จักใครๆ ทั้งนั้น
มารดาบิดาของตนแท้ๆ ก็ไม่รู้จัก ญาติพี่น้องก็ไม่รู้จัก
ไม่รู้จนกระทั่งตนของตน ไม่ทราบว่าเราเป็นอะไรกับท่านผู้อื่น
มีแต่คอยผลาญพงศ์เผ่าเหล่ากอของตนเท่านั้น  
คนผู้ดีมีกตัญญูจึงเป็นผู้รู้จักหน้าที่ของตน


พระธรรมเทศนา เรื่อง มาตาปุตุคุณกถา
อบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรและญาติโยม
ของ พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม)
วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/46381502391563__MG_9853.jpg)
ถ่ายภาพ : Mckaforce แอ็ดมินเว็บไซท์ สุขใจดอทคอม

อริยะชน ท่านผู้รู้ ปราชญ์ บัณฑิต มองเห็นการเกิดน่าเบื่อหน่าย
พร้อมๆ กับดิ้นรนปลีกตัวหนีแร้วบ่วงห่วงผูกมัดรัดพันธนาการโดยเห็นด้วยปัญญา

.....จึงพ้นทุกข์.....
คมวาทะ - หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/74955664368139_1.jpg)
ภาพจาก : วัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา

เรื่องสวดมนต์นั้น เราจะสวดได้เพียงไร แค่ไหนไม่สำคัญ
แม้จะได้แต่เพียง นะโม ตัสสะ ภะคะวะโร อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ จบอยู่แค่นั้น
ก็สวดอยู่แค่นั้นแหละ แล้วก็สวดด้วยความมั่นใจ เป็นอุบายสำหรับอบรมจิตใจ
อุบายกระตุ้นความรู้สึกให้มีความตั้งมั่นลงในคุณความดี

ทีนี้ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือ คุณธรรม อย่าไปน้อยอกน้อยใจ
ผู้ที่ท่องสวดมนต์ไม่ได้มาก อย่าไปน้อยใจ จำอะไรไม่ได้ก็จำ พุทโธๆๆ
หรือ ยุบหนอ พองหนอ เพียงคำเดียวเท่านั้นให้ได้


คำสอน พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
p450 al.24


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/39717622763580_DSC_0198.jpg)
ภาพจาก : วัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา

เรื่องที่จิตของเราไม่หยุดนิ่ง ทำให้จิตของเรานี้ไม่มีความแน่วแน่
เหมือนกันกับน้ำที่มันไหลบ่าไปทุกแห่งทุกหน น้ำนั้นจะไม่มีกำลัง จะเซาะดินก็ไม่ได้
จะพัดเอาสิ่งต่างๆ ไปก็ไม่ได้ ต่างจากน้ำที่มันไหลรวมกันไป ถ้าน้ำที่มันไหลรวมกันไป
สามารถที่จะเซาะดินให้เป็นห้วย เป็นคลองลงไปได้ คือมันไหลในห้วยในคลอง ก็สามารถ
พัดเอาขอนเอาไม้ ตลอดถึงหินหนักๆ มันก็ยังพัดเอาไปได้ เพราะมันมีกำลัง  
ฉันใด จิตของเราก็ฉันนั้น เมื่อจิตของเรามันแตกซ่านไปตามอารมณ์ จิตนี้ก็จะไม่มีกำลัง
ถ้าจิตของเรามันรวมแน่วแน่ จดจ่อในสิ่งเดียว จิตก็จะมีกำลังขึ้น เมื่อจิตของเรามีกำลัง
จิตนี้ก็จะต่อต้านกับกิเลสที่มันเกิดขึ้นกับจิตใจของเรา หรือเวลาเรากระทบอารมณ์
จิตของเราก็จะต่อต้านกับความกระทบในอารมณ์นั้้นๆ ไม่ให้เกิดความชอบใจ ความเสียใจ

คำสอน พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน  อุตฺตโม)
วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลุนคร


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/73693946128090_IMG_1643.JPG)
การแสดงลอดบ่วงไฟ งานประเพณีตรุษจีนปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์
photo by Mckaforce : admin site sookjai.com

"โลกไม่ได้วุ่นวาย ใจเราต่างหากที่วุ่นวาย"
วาทะธรรม พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/27551597522364_1488373555821.jpg)

"เราเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ควรรีบเร่งทุกเวลา อย่าชักช้าจะเสียการ
จงตั้งใจพยายามฝึกจิต ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบให้ทัน"

วาทะธรรม : หลวงปู่เสาร์ - พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล)
วัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/68309060277210__MG_6158.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/37510780493418__MG_6188.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/98025825081600__MG_6328.jpg)
ปญฺจกฺขนฺธาทุกฺขา
เบญจขันธ์ เป็นทุกข์อย่างยิ่งทีเดียว พวกเราแบกหามอยู่เรื่อยๆ
ไม่รู้จักปลงวิธีไหน ไม่เหมือนพระอริยเจ้า รู้จักปลง เจริญสมถะ เจริญวิปัสสนา
ให้แคล่วคล่อง ให้เก่งกล้า ปลงด้วยวิธีนี้ พวกเราปลงไม่ได้ หาบอยู่อย่างนั้น
หนักอยู่อย่างนั้นเอง หนัก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หนักขนาดไหน
ต้องหาเรื่องอาหาร เรื่องกาย ต้องหาเครื่องประดับ ต้องหาผ้าหากางเกง หาซิ่นนุ่ง
หมดไปหลายร้อยตั้งแต่เด็กๆ มา ข้าวก็หมดไปหลายยุ้งหลายฉาง มันหนักถึงขนาดนั้น
ทีเดียวนะ แต่ก็ไม่ปลง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือน สมถวิธี วิปัสสนาวิธี

ธรรมคำสอน หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร
วัดถ้ำผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/17956902252303_f.gif)
เมตตา
อย่ากลัว จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรทำอันตรายได้
เจ้าจงจำไว้ ถ้าปรารถนาความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น
ก็ควรส่งกระแสใจที่ประกอบด้วยเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ ไปยังท่านเหล่านั้น
แล้วก็จะได้รับความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากท่านเหล่านั้นเช่นเดียวกัน
นี่เป็นกฎของจิตตานุภาพ แล้วความสำเร็จทั้งหลายที่ปรารถนาก็จะบังเกิดแก่ตน
สมประสงค์ทุกประเด็นแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย

วาทะธรรม ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ (พระภิกษุ พระยานรรัตนราชมานิต)
วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/46874009610878_DSC_0373.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/69430277951889_1.jpg)
ภาพจาก : เมืองลูเซิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ถ่ายภาพ : kimleng

“ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน ปจฺจุปนฺนหิเตน วา
เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปฺปลํ ว ยโถทเก”


พระพุทธองค์ตรัสว่า ปฐมเหตุแห่งความรักนั้นมี ๒ ประการคือ
เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน ๑ และทำประโยชน์เกื้อกูลกันในปัจจุบันชาติ ๑ จึงจะเกิดขึ้นได้

 
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/75909221503469_DSC_0986.JPG)
วาสนาพาให้ไป

วาสนาพาให้ไป คือใครสั่งสมมาอย่างไรก็ไปตามนั้น และวาสนานี้แหละจะเป็นตัวการที่ทำให้ชีวิตของเราผันแปร
ไปตามมัน  เพราะฉะนั้นวาสนาจึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยไม่รู้ตัว ท่านก็เลย
บอกว่าให้เรามาตั้งใจสร้างวาสนาให้ดี เพราะวาสนานั้นสร้างได้      คนไทยเราชอบพูดว่าวาสนานี้แข่งกันไม่ได้
แต่พระบอกว่าให้แก้ไขวาสนา ให้เราปรับปรุงวาสนาเพราะมันอยู่ที่ตัวเรา ที่สร้างมันขึ้นมา แต่การแก้ไขอาจจะ
ยากสักหน่อย เพราะความเคยชินนี้แก้ยากมาก แต่แก้ได้ปรับปรุงได้ ถ้าเราทำก็จะมีผลดีต่อชีวิตอย่างมากมาย
ขอให้จำไว้เป็นคติประจำใจเลยว่า "วาสนามีไว้แก้ไข ไม่ใช่มีไว้แข่งขัน"

คติธรรม : สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/75102237529224_13.JPG)

เป็นเด็กนี่สุขได้ง่าย เจออะไรนิดหน่อยก็หัวเราะแล้ว
แต่พอโตขึ้นชักสุขได้ยากขึ้น เพราะฉะนั้น ต้องระวัง ท่านจึงให้ไม่ประมาท

คติธรรม : สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 05 เมษายน 2561 16:04:32

(http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/normal_%CB%C5%C7%A7%BE%E8%CD%B7%D9%C5%20%A2%D4%BB%DA%BB%BB%AD%E2%AD~1.jpg)
หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ
ขอขอบคุณที่มาภาพ : เว็บไซต์ ธรรมจักรดอทเน็ต

จิตวิญญาณที่ชอบเที่ยวเร่ร่อนไปตามวัฎฎะ จะต้องอยู่ในเขตเขตของกฏแห่งกรรม
ด้วยกันทั้งนั้น ผู้ที่นับถือศาสนาอะไร หรือผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอะไร จะต้องอยู่ใน
อำนาจกฏแห่งกรรมด้วยกัน ไม่มีจิตวิญญาณใดอยู่เหนือกรรมนี้ไปได้เลย

วาทะธรรม...หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ
วัดป่าบ้านค้อ ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี    


(http://www.dhammajak.net/board/files/_58_113.jpg)
หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
ขอขอบคุณที่มาภาพ : ธรรมจักรดอทเน็ต

เทวดาใจอยู่กับบุญ ฤๅษี โยคี เข้าฌาน ใจอยู่กับองค์ฌาน
พระอริยะอรหํ เข้านิโรธ ใจอยู่กับสมาบัติ สัญญาเวทนานิยตนิโรธ
พระอรหํ พระพุทธ พระปัจเจกก์ ใจอยู่กับองค์พระธรรม
มนุษย์ สัตว์ เปรต ผี อสุรกาย สัตว์นรก ใจก็อยู่ในรูปนั้นในภพนั้นๆ
หมดกำหนดอายุ ใจก็เปลี่ยนภพไป

คติธรรม : หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/61722064680523_11.JPG)

“.. .บุคคลใดมั่นใจในคุณค่าแห่งชีวิตตนจนเป็นผู้ที่พร้อมจะตายได้ทุกเวลา
บุคคลนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ปฏิบัติต่อชีวิตตนอย่างถูกต้อง ตรงต่อคุณค่า
และสาระของชีวิตนั้น   แม้จะต้องสูญเสียชีวิตคือตายลงเวลาใดก็ไม่เป็นเหตุ
ให้เกิดทุกข์เพราะความโศกเศร้าเสียดายในชีวิตตน...”

วาทะธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/81455694428748_1.jpg)
พระโพธิญาณเถระ (ชา  สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

การปฏิบัติคืออำนาจ
พระพุทธศาสนาไม่มีอำนาจอะไรเลย แม้นก้อนทองคำก็ไม่มีราคา ถ้าเราไม่มารวมกันว่ามันเป็นโลหะที่ดีมีราคา
ทองคำมันก็ถูกทิ้งเหมือนก้อนตะกั่วเท่านั้นแหละ  พระพุทธศาสนาตั้งไว้มีอยู่ แต่ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ จะไป
มีอำนาจอะไรเล่า อย่างธรรมะเรื่องขันติมีอยู่ แต่เราไม่อดทนกัน มันจะมีอำนาจอะไรไหม?
คติธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/54220129590895_DSC_0016.JPG)
หลวงปู่บุดดา ถาวโร

พรหมจรรย์
ภิกษุทั้งหลาย......
พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อมิใช่หลอกลวงคน  พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อมิใช่ให้คนเคารพ กราบไหว้บูชา
พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อมิใช่หวังลาภยศ เกียรติ สรรเสริญ เพื่อมิใช่เป็นศาสดาเจ้าลัทธิ เพื่อล้มล้างลัทธิอื่น
แต่พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อ..สำรวม..ระวัง และในที่สุดเพื่อ นิโรธะ  เพื่อความดับสิ้นไปแห่งทุกข์เท่านั้นแล.
คติธรรม หลวงปู่บุดดา ถาวโร  วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/56997362068957_1542285747001_1024x768_.jpg)
พระภาวนาเขมคุณ วิ. (พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรํสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธา

มิจฉาทิฏฐิ ได้แก่ ความเห็นผิด เห็นไปว่าการให้ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล
การเซ่นสรวงไม่มีผล  การทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว คุณบิดามารดาไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี
เรียกว่าปฏิเสธชาตินี้ชาติหน้า สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ รู้แจ้ง และสั่งสอนผู้อื่นได้ไม่มี หรือปฏิเสธพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหล่านี้ล้วนเป็นมิจฉาทิฐิ


ทีมา (บางส่วน) พระธรรมเทศนา เรื่อง"พระรัตนตรัย" โดย พระภาวนาเขมคุณ วิ. (พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรํสี)


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/56478649377822_18342066_207457489769939_67821.jpg)
ภาพจาก วัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธา

ธรรมดาจิต
"จิต ธรรมดาเป็นของผ่องใส อาคันตุกะกิเลส มันพาให้เศร้าหมอง
ท่านจึงทำให้สะอาดได้ ที่มาหัดทำสมาธิภาวนานี่ก็ทำให้เพื่อกิเลสหมดสิ้นไป"

พระครูปราโมทย์ธรรมธาดา (หลวงปู่หลอด ปโมทิโต)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/68469717974464__MG_3444_Copy_.JPG)

เมื่อความต้องการจะประกอบธุรกิจใดๆ เกิดขึ้น  ย่อมจำปรารถนาสหายมาเป็นมิตรในงาน
ธุรการนั้นๆ จึงจะสำเร็จไปได้ตามประสงค์ ฉันใด บุญที่ทำไว้ก็ฉันนั้น คือบุญย่อมเป็นมิตร
คอยสนับสนุนสนองสุขสมบัติอันเป็นที่ปรารถนาต้องการ ดุจมีผู้ศักดิ์สิทธิ์คอยดลบันดาล
ให้เป็นไปในสัมปรายภพ  ข้อนี้เป็นบุญญานุภาพอันน่าเห็นเป็นอัศจรรย์   ต้องตามคาถา
ประพันธ์พุทธภาษิตว่า 
สหาโย อตฺถชาตสฺส         โหติ มิตฺตํ ปุนปฺปุนํ 
สยํ กตานิ ปุญฺญานิ   ตํ มิตฺตํ สมฺปรายิกํ
แปลความว่า  ทุกครั้งไปสหายเป็นมิตรในงานของผู้เกิดความต้องการประกอบธุรกิจ บุญที่
ทำไว้เองก็เช่นเดียวกัน คือบุญนั้นเป็นมิตรติดตามไปอำนวยสุขสมบัติให้ในสัมปรายภพดังนี้



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/49300070106983_view_resizing_images_6_320x200.jpg)
"มีวินัยเป็นวัตร  วินัยจะทำให้เกิดศีลบริสุทธิ์  ทำศีลให้บริสุทธิ์
ศีลจะนำไปสู่การเป็นสมาธิ เกิดสมาธิจะนำไปสู่การเกิดปัญญา
ปัญญาจะเกิดขึ้นเอง รักษาวินัยให้แน่วแน่   ตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง"

คติธรรม หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล 
พระวิปัสสนาจารย์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าบ้านคุ้ม ต.โคกสว่าง อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี
เทศนาพิเศษ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/73758834269311_P_20180114_060602_320x200_.jpg)

บุญ คือ ความเป็นผู้ให้ ความทำตัวไม่ให้เป็นเวรเป็นภัย ความมุ่งดีและรู้จักดี. ข้อแรกดีคือทาน
ข้อสองก็คือศีล ข้อสามก็คือภาวนา  คือความอบรมจิตใจและปัญญาให้เกิดความมุ่งดี และรู้จักดี
เหล่านี้เป็นตัวความดีเครื่องเกื้อกูลความสุข ทุกๆ อย่างได้ชื่อว่าเป็นบุญ เป็นเครื่องฟอกชำระล้าง
ความชั่วและความทุกข์ให้หมดไปโดยลำดับ บุญนี้แหละเป็นเครื่องทำโลกนี้ให้เป็นโลกของความดี
ให้เป็นโลกสวรรค์ คือเป็นโลกที่มีสุข  ทำบุญ ก็คือทำความดีดังพรรณนามา แต่จะได้ก็ต้องอาศัย
ความพากเพียรพยายาม ยิ่งเพียรมาก บุญก็ยิ่งมาก ยิ่งบุญมาก ก็ยิ่งล่วงทุกข์ได้มาก  สมดังพระ
พุทธภาษิตที่ว่า วิริเยน ทุกขมจฺเจติ  คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร
เทศนาพิเศษ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 14 มิถุนายน 2562 18:13:00

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/79505017937885__320x200_.jpg)

บูชาท่านผู้ควรบูชา ย่อมประสบความดีและความสุขโดยตลอด เพราะท่านผู้ควรบูชา
ย่อมเป็นบุญเขตอันประเสริฐ  เมื่อบ่ายหน้าเข้าไปใกล้ได้พบเห็น ก็ชื่อว่าได้บ่ายหน้า
เข้าไปใกล้บุญเขต ได้พบเห็นบุญเขต เมื่อใกล้บุญก็ไกลบาป อันตรงกันข้าม อาศัย
เหตุนี้ จึงมีพระพุทธภาษิตตรัสยกการเห็นสมณะผู้สงบบาปทั้งหลายเป็นมงคลว่า
สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
"การเห็นสมณะทั้งหลาย เป็นมงคลอันอุดม"

เทศนาพิเศษ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก  


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/59880467587047_l_320x200_.jpg)

ความรู้กาย เป็นความรู้ทางโลก  ความรู้จิต เป็นความรู้ทางธรรม
เมื่อมีศีลก็พ้นจากกิเลสอย่างหยาบด้วยศีล  เมื่อมีสมาธิ ก็พ้นจากกิเลสอย่างกลางด้วยสมาธิ
เมื่อมีปัญญา ก็พ้นจากกิเลสอย่างละเอียดด้วยปัญญา  ความพ้นจากกิเลสอย่างหยาบ กลาง
ละเอียด เป็นวิมุตติโดยลำดับ
บันทึกเทศนา : สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/43615261796447_ri_320x200_.jpg)
เทฺวเม ธมฺมา พหุปการา กตเม เทฺว สติ จ สมฺปชญฺญญฺจ
พระพุทธเจ้า ได้ทรงอาศัยสติ คือ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ คือความรู้ตัว
อันเป็นตัวปัญญา อุดหนุนการปฏิบัติ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วทรง
แสดงธรรมเพื่อให้ผู้ฟังรู้ถูกรู้จริง อันเรียกว่า "สัจจธรรม"
บันทึกเทศนา : สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
600-26


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 07 กันยายน 2562 13:45:56

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/23917568930321_15235921_1152940228087464_4361.jpg)
เย ธัมมาติปภูติกถา
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา    เตสํ เหตุํ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ      เอวํวาที มหาสมโณ  
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น  
พระมหาสมณะทรงสั่งสอนอย่างนี้  อุปติสสะได้ฟังแล้วได้ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม ว่า
ยงฺกิญฺจิ สมุทฺยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด
ต้องมีความดับเป็นธรรมดา.
บันทึกเทศนา : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลมหาสังฆปริณายก


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/99317819790707_21432812_1716940048601186_2227.jpg)

เราเกิดมานี่ เทียวไปเทียวมาอยู่นี่น่ะ ไม่ต้องการอะไรทั้งหมดทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องการความทุกข์ ไม่ต้องการ
วันตาย ต้องการหาความสุข แต่หาไม่พบ เพราะศรัทธาของเราไม่เพียงพอ เชื่อไปตามกามกิเลส ประพฤติ
ไปทางอื่น ไปทางโลกเสีย ทางธรรมของพระพุทธเจ้าไม่เอาใจใส่ ไม่มีความสนใจ ไม่พอใจ ที่จริงถึงเรา
ไม่อยากไปก็ตาม พระนิพพานน่ะ แต่ก็ควรปฏิบัติไว้ ควรอบรมจิตใจของตนให้มันเป็นอุปนิสัยเป็นปัจจัยต่อ
พระนิพพาน อบรมไว้ บางทีไปชาติหน้าชาติใหม่เราเกิดความเบื่อหน่ายอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะกลับมาปฏิบัติ
มันจะได้บรรลุคุณวิเศษโดยเร็วไม่เฉื่อยชาไป พวกเราไปคบหากับนักปราชญ์อาจารย์บ่อยๆ สนใจบ่อยๆ ทำไปๆ
ก็จะเป็นไปวันหนึ่งแหละ จะได้รับผลอยู่นั่นแหละ ทำแล้วจะเปล่าประโยชน์ ไม่เปล่าดอก ทุกสิ่งทุกอย่าง
หลวงปู่ขาว อนาลโย



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/79139708148108_Y10195977_24_1_320x200_.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/85268777112166_hqdefault_1_320x200_.jpg)
ภาพจาก : youtube.com

"ตั้งใจภาวนา อย่าให้เสียชาติเกิดนะ เกิดเปล่าๆ ตายเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์
อะไรเลยนะ เกิดมาทั้งทีได้พบพระพุทธศาสนาชั้นยอด พบครูบาอาจารย์ชั้นยอด
บุญสุดๆ แล้ว จะหาได้ในสามโลกธาตุนี้ วาสนาสุดๆ แล้วในบรรดาสัตว์โลกเรา
อย่าตายทิ้งเปล่าๆเท่านั้น"
พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต วัดภูสังโฆ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

* พระอาจารย์วันชัยแห่งภูสังโฆ พระดี ที่หลวงตามหาบัวฯ บอกว่า ครองแต่ธรรมเต็มหัวใจ "...เรียกว่าผ่าน ผ่านได้แล้วท่านวันชัย ผ่านโดยสมบูรณ์ ไม่มีอะไรล่ะกิเลสตัณหาตัวไหนไม่มี เรียกว่าขาดสะบั้นไปเลยละ ครองแต่ธรรมเต็มหัวใจ ถ้าธรรมครองใจแล้วสบายมาก ถ้ากิเลสครองใจเป็นไฟไปเลย มันต่างกัน…”

ประวัติพระอาจารย์วันชัย  พระอาจารย์วันชัย วิจิตฺโต เกิดวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ อดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่น ๘ และ จปร. รุ่น ๑๙ ท่านได้ทำงานรับราชการทหารอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นจึงออกบวช แล้วได้พบหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นครั้งแรกที่มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซ.จรัญสนิทวงศ์ ๓๗ ฝั่งธนบุรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/97161782988243__0014_320x200_.jpg)
"การแพทย์อายุรเวท" การออกลูกของคนสมัยโบราณ มี "หมอตำแย" เป็นผู้ทำคลอด
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดเทวสังฆาราม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

"ถึงหลวงพ่อจะเป็นเด็กกำพร้า แต่พระคุณของบิดามารดาผู้ให้เกิดก็ประมาณค่ามิได้ 
หลวงพ่อคิดว่าพระคุณของบิดามารดาและคุณของท่านผู้มีคุณทั้งหลายสำคัญที่สุด
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า มาตาปิตุอุปัฏฐานัง การอุปัฏฐากบิดามารดา
เป็นมงคลอันสูงสุด เพราะบิดามารดาเป็นพรหมของลูก บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูก
บิดามารดาเป็นเนื้อนาบุญของลูก  เพราะฉะนั้นชาวพุทธเรานี่ควรจะได้รู้จักพระสององค์นี้ก่อน"
....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน อำเภอเมืองนครราชสีมา .....


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 03 ตุลาคม 2562 18:27:51

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/58637592775954_71181116_2127073470727289_2896.jpg)

ให้พิจารณาเห็นทั้งโทษและคุณ ถ้าสิ่งใดมีโทษมากสิ่งนั้นก็มีคุณมาก
สิ่งใดมีโทษน้อย สิ่งนั้นก็มีคุณน้อย เหมือนอย่างเพลิงเป็นของมีโทษมาก
ก็เป็นของมีคุณมาก เหมือนอย่างความเกิด ความแก่ ความป่วยไข้
ความตายนี้ ชื่อว่าเป็นโทษอันไม่พึงปรารถนาของสัตว์อย่างลึกซึ้ง
แต่เป็นของมีคุณหาที่สุดมิได้ ถ้าใครยังไม่เห็นโทษแห่งความเกิด แก่
เจ็บ ตายแล้ว ยังห่างต่อทางพระนิพพานนัก บรรดาท่านที่สำเร็จ
พระนิพพาน ย่อมอาศัยความเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ทั้งนั้น ให้พุทธบริษัท
พึงกำหนดความเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้เป็นวิธีวิปัสสนาอยู่เป็นนิตย์ เมื่อมี
อุปนิสัยก็จักได้บรรลุมรรคผลนิพพานสมดังความปรารถนาฯ
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท)
วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/51373048085305__paragraph_paragraph_6_156_1_C.jpg)
เป็นที่น่าเสียดาย ผู้ที่ได้เป็นมนุษย์สมบัติอันล้ำค่า แต่หาได้ทำให้เกิด
ประโยชน์เท่าที่ควรไม่ เพราะเกิดในถิ่นประเทศอันไม่สมควร แต่บุคคล
ที่น่าสงสารมากกว่านั้น คือ ผู้ที่เกิดมาแล้วได้รับความสมบูรณ์พร้อม
ด้วยประการทั้งปวง ตลอดถึงการศึกษา แล้วประมาท จมอยู่ในความ
สุขนั้นๆ อันหาสาระมิได้ นอนให้กาลเวลาเขมือบกินอายุชีวิตให้สิ้นไป
โดยไร้ประโยชน์ก็ยังมีเป็นอันมาก...
• หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี •


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/28538806653684_69900492_1300637110112208_6523.jpg)

ไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์ เป็นสิ่งที่แฝงมาด้วยกัน ความจริงของไสยศาสตร์
เขาก็มีอยู่ตามขั้นตอนของเขา แต่ไม่เป็นความจริงในขั้นอมตะ  พระพุทธเจ้า
จึงตรัสว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ละชั่ว ประพฤติดี  ทำจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด
นี่เป็นมงคลอันอมตะ

..... หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน อำเภอเมืองนครราชสีมา .....


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/68309591462214_1.JPG)

"ขอให้มีศรัทธา ทำทานไปเรื่อย ทั้งทานภายนอก ทานภายใน รักษาศีล
คือรักษากาย วาจา และใจ ให้มันเป็นปกติ หรือรักษาจิตนั่นเอง คอยมีสติ
ปกครองจิตใจ สิ่งใดไม่ควรคิดก็ไม่คิด สิ่งใดไม่ควรพูดก็ไม่พูด สิ่งใดไม่ควรทำ
ก็ไม่ทำ เพราะเรามีสติรู้อยู่ว่าเราเป็นผู้มีศีล  บุญกุศลที่สร้างสมถึงที่สุดแล้ว
มันจะหมดเรื่อง ไม่มีอะไรอีก และไม่เอาไปด้วย บาปก็ไม่เอา บุญก็ไม่เอา
ผู้ที่ยังเอาอยู่จึงได้บุญได้บาป เป็นภพเป็นชาติขึ้น ผู้ทอดธุระแล้ว ไม่มีบุญ
และบาปแล้ว จึงได้เรียกว่า โลกุตระ เหนือโลก"
หลวงปู่เทศก์ เทสรังสี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/24063303238815_71118931_909238236110832_86572.jpg)

"กฐินผ้าป่า​ หรือศรัทธา​ ไม่ต้องบอกใครมากหรอก  ยามนี้ข้าวยากหมากแพง​ กฐินจะร้อน​
ผ้าป่าจะร้อน​ จะเดือดร้อนญาติโยม​ ให้ตามมีตามเกิด​เถอะ พระเราหากภาวนาเป็น​ ศีลบริสุทธิ์​
บริสุทธิ์​ใจ​ หากจำเป็นจริงๆ​นะ​ ภูมิเจ้าที่ภูมิเทวดาเขาเห็นเดี๋ยวก็หามาช่วยเอง​ วัดนั่นนะ ไม่มีวัน
สร้างเสร็จหรอก​ และไม่จำเป็นต้องเสร็จ​ เหมือนทำนาทำไร่นี้แหละ​ ทำกันตลอดปีตลอดชาติ​
ทำกันจนวันตายแหละบุญ ให้เชื่อมั่นในบุญเถอะ​ นรก​ สวรรค์​ นิพพาน​ มันมีจริง​ ๆ​ ไม่ใช่
นิทานปรัมปรา​ เชื่อมั่นในศีล​ ในภาวนาเถอะ​ ของจริง ของแท้"
๏ คติธรรม หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต
วัดป่าเวฬุวันอรัญญวาสี บ้านกุดกะเสียน ต.เขื่องใน อเขื่องใน จ.อุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 09 พฤศจิกายน 2562 11:28:25
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/60312872835331_lp_mun_4pp_1_1_Copy_.jpg)

"การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัว
ไปด้วย ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์
ถือเป็นความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนา
มาทรมานอย่างไม่คาดฝัน การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการ
สั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน
งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว
แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง"
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร  


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/28538806653684_69900492_1300637110112208_6523.jpg)

"สมองคนเรามันฝึกได้  แต่พอมานั่งสมาธิ จะบังคับแต่ให้มันหยุดนิ่งๆ
นั่นแหละคือการทำลายมันสมองของตัวเอง เวลามันคิด ปล่อยให้มันคิด
แต่ว่าเราต้องมีสติรู้ตัว เวลามันหยุด ก็มีสติรู้ว่ามันหยุด จิตเวลามันหยุดนิ่ง
อยู่นิ่งๆ เฉยๆ มันต้องการพักผ่อน ถ้าเวลามันคิด มันต้องการทำงาน  
เวลาจิตจะทำงาน เราไปห้ามไปสกัดมันไว้ไม่ให้มันทำงาน มันก็เหมือน
ร่างกายไม่ได้ออกกำลังกาย"
....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน อำเภอเมืองนครราชสีมา .....


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/55159299406740_74284478_2200583393376296_7738.jpg)

“ตั้งแต่เด็กหลวงปู่ไม่เคยด่าใคร ว่าให้ใคร แม้จะไม่ชอบ ไม่พอใจ หลวงปู่ก็ไม่เคย
ว่าให้ใครเลย ไม่รู้ทำไม ไม่ชอบ แม้จะปริปากว่าก็ไม่เคย เป็นขันติบารมี แต่ชอบ
ทำให้ทุกๆ คนมีความสุข ตอนเด็กๆ จึงมีเพื่อนมาก

สมัยก่อนหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ท่านเทศน์สอน อยู่วัดโศการาม มีคุณหญิงคนหนึ่ง
ชอบมาเล่าว่าตัวเองภาวนาดี ได้เป็นถึงพระโสดาบัน มาเล่าทุกๆวัน จนหลวงปู่ตื้อ
อยากลอง จึงลองด่าผู้หญิงคนนี้ดู " เป็นโซดาหรือเป็นโสดา " เพียงพูดแค่นี้
ผู้หญิงคนนั้น เดือดปุดๆเหมือนโซดาเลย นักปฏิบัติ ถ้าอยากรู้ว่าดีแค่ไหนลองด่าดู
ถ้ายังเดือดอยู่ ควบคุมความโกรธตัวเองไม่ได้แล้วจะผ่านได้ยังไง...”
หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล
สำนักสงฆ์เทพนิมิตสุดเขตสยาม อ.เชียงของ จ.เชียงราย



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 พฤศจิกายน 2562 15:08:29
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/67672259277767_ihdbhc9bf6ig7iebaca9b_1_.jpg)
พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ที่วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง) ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

✾ พระอรหันต์ ที่พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป มั่นใจ
"นับถือครูบาอาจารย์อยู่หลายองค์อยู่ แต่ถ้าพูดไปแล้วมันผิดจากหลัก พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้พูดถ้าว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แม้ตนเองสำเร็จก็ห้ามไม่ให้พูด หลักพระศาสนาท่านห้ามไม่ให้พูดเพราะอวดอุตริมนุสธรรม ต้องลงโทษหนัก ของพระก็คือปราชิกถ้าพูดแล้ว ให้ดูเอาเองให้พิจารณาเอาเอง การประพฤติปฏิบัติของแต่ละองค์ว่าปฏิบัติละกิเลส ผู้ใดจะละได้กว่ากัน บางองค์นะโยมคลุมจีวรก็ไม่สวย นุ่งสบงก็ไม่สวย ขณะปฏิบัติเดินโคลงเคลงมันก็ไม่น่าที่โยมจะเลื่อมใสเวลามรณภาพไปเผา ๑๒ วัน กลายเป็นพระธาตุเลย อัฐิของท่าน ไม่รู้ว่าท่านสำเร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างนี้ก็มี บางองค์ก็เรียบร้อย ปฏิบัติเรียบร้อย มันเป็นกิริยามารยาท ก็ดูยาก ต้องดูทางความละ ต้องอยู่กับแต่ละองค์ว่าท่านละขันธ์ ๕ ได้ไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ท่านปล่อยได้ดีไหม เราจะน่าเลื่อมใสว่าองค์นี้ปล่อยเก่ง ละได้เก่ง องค์นี้คงจะหลุดพ้น นึกในใจอย่างนั้น ทีนี้ บางองค์ท่านก็ดุ โยมต้องดูดีๆ ท่านดุด้วยความเมตตาเหมือนพ่อแม่ด่าลูกนะ แท้จริงท่านละอยู่ ถามดูพ่อแม่นี้รักลูกนะ มันไม่ดีก็ด่าเลยใช่ไหม บางที่ด่าหยาบๆ เลย ทีนี้ พระบางองค์ท่านก็รักลูกศิษย์ บางองค์นี้ดุเลย แต่เวลาลูกศิษย์ป่วย เอาขึ้นเครื่องบินไปเช็คร่างกายเลย ท่านมีเมตตาดูแลอย่างดีเลย อย่างนี้ก็มี นั่นดูกันยาก แต่ด่าแล้วยิ้มด้วยเหมือนหลวงปู่ตื้อ ด่าแล้วหัวเราะเป็นพระที่พ้นทุกข์แล้ว ท่านด่าพระ ด่าเก่งเหมือนกัน กราบไม่ทันเสร็จเลยบางองค์นี้ด่าแล้ว เงยหน้าขึ้นมายิ้มใส่หน้า แน่จริงด่าแล้วอย่าให้โกรธ ท่านทดลองจิตใจเฉยๆ ว่าบำเพ็ญมานี้แข็งแกร่งแค่ไหน ละอะไรได้บ้าง พอรู้ละได้มองหน้ากันท่านก็ยิ้ม เลิกด่าแล้ว มันเป็นอย่างนี้

เหตุฉะนั้น พระไม่ว่ามหานิกาย ไม่ว่าธรรมยุติ ไม่ว่าญาติโยม ญาติโยมนี้อาตมาให้สังเกตว่าถ้าบรรลุธรรมน่าจะได้โสดาบันบุคคล หรือสกิทาคามี ถ้าเดินทางที่ถูกต้อง ถ้าพระที่บรรลุได้ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์มันก็ไม่ขาดผู้ที่มีปัญญาละกิเลส แต่ยังไม่รู้องค์ไหนอาตมาบอกไม่ได้นะ อาจจะมีหลายองค์ในเมืองไทยที่บรรลุธรรมในที่สุดแห่งกองทุกข์ แต่อาตมาบอกไม่ได้ มีแต่พระด้วยกันเราอยู่ด้วยกันถึงจะรู้ ถ้าพระองค์ไหนท่านว่าจะทำงานอะไรหนอ ไม่มีงานจะทำ องค์นั้นสำเร็จแล้ว พูดแค่นี้แหละ ไม่มีงานทำคือไม่มีกิเลส ไม่มีกิเลสที่จะละแล้ว มันหมดงานทำ อันนี้เป็นพระอรหันต์ หมดงานทำ กวาดวัดบ้าง จักตอกเล่นบ้าง มัดใบตองบ้าง เหมือนหลวงปู่มั่น มันไม่มีอะไรทำ อยู่เฉยๆ เดินจงกรมแล้วมาจักตอกให้พระมุงตูบ มันไม่มีอะไรทำ กิเลสมันหมด มันเป็นอย่างนั้น ที่อาตมามั่นใจมี หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่สิม พูดได้เพราะท่านไปแล้ว หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ดูลย์ หายห่วง"



✾หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เหาะไปบิณฑบาต
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่หลวงปู่มั่น พักภาวนาที่ถ้ำเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยหลวงปู่มั่น พักภาวนาอยู่ในถ้ำข้างบน ส่วนพระรูปอื่นๆ ก็กระจายกันอยู่ที่ต่ำลงมาและออกไปอยู่ในสถานที่ใกล้เคียง อยู่ตามถ้ำผาปล่อง ถ้ำปากเปียง อยู่กระจายกันออกไป ทำตูบใครตูบมัน โดยหลวงปู่มั่นท่านอยู่ที่ถ้ำเชียงดาวเพียงรูปเดียว ท่านพักภาวนาอยู่ข้างบน โดยท่านจะไม่ลงมาข้างล่างเลย เว้นระยะห่าง ๔-๕ วัน จึงจะลงมาร่วมฉันกับพระลูกศิษย์หนึ่งครั้ง

ที่นี้ก็มีเสียงลือว่าหลวงปู่มั่น ท่านภาวนาโดยไม่ฉันอาหารตลอดเวลาที่อยู่ข้างบน พอลงมาจึงจะฉันเสียครั้งหนึ่ง เวลานั้นหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ท่านยังหนุ่มยังแน่น ท่านมาพักภาวนาอยู่ที่นั่นด้วย หลวงปู่ตื้อ ท่านไม่เชื่อว่าหลวงปู่มั่นท่าน อดข้าวในระหว่าง ๔ วัน ไม่ฉันข้าวไม่ลงมาร่วมฉันเลย เมื่อหลวงปู่มั่นท่านไม่ลงมาติดต่อกันเป็นวันที่ ๕ แล้ว หลวงปู่ตื้อท่านก็เลยแอบขึ้นไป ตั้งแต่ตี ๔ โน่น ไปดูหลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อได้คลานขึ้นไปในถ้ำ ไปนอนลี้ (แอบ) อยู่หมอบลี้อยู่

พอฟ้าเริ่มสว่างมาพอจะมองเห็นได้แล้ว ก็เห็นหลวงปู่มั่น ครองผ้าจีวร คล้องบาตร แล้วท่านก็เข้าฌานเหาะลอยข้ามหัวหลวงปู่ตื้อออกไปบิณฑบาตที่เชียงใหม่ หลวงปู่ตื้อไปแอบเห็นติดต่อกัน ๒ วัน จนแน่ใจแล้วท่านก็ไม่ขึ้นไปดูอีก รู้แต่ว่าหลวงปู่มั่นเข้าฌานเหาะไปบิณฑบาตที่เชียงใหม่มาฉันทุกวันเลย แล้วบรรดาพระเณรพอได้ทราบความจากหลวงปู่ตื้อ ก็เลยหายห่วงหมดสงสัย พวกพระก็เลี้ยงกันเอง วันที่ท่านลงมาหาท่านก็เทศน์ให้บรรดาพระเณรและหลวงปู่ตื้อฟังเสียยกหนักๆ พอฟังจบแล้วก็เงียบเลย เป็นอย่างนั้น จากนั้นมาหลวงปู่ตื้อ จึงเชื่อว่าหลวงปู่มั่นได้ฌานร้อยเปอร์เซ็นต์
ถ่ายทอดโดย : พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง) อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่, อ้างอิงจาก โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๗  พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอนที่ ๒

ขอขอบคุณเพจพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น เจ้าของข้อความข้างต้น ที่ได้นำมาเผยแพร่เป็นธรรมทาน แก่ผู้มีศรัทธา


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 26 มกราคม 2563 18:08:42
 
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/87492779311206_37961300_257017094897206_49019.jpg)

"การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ได้ไปปฏิบัติที่ไหน ปฏิบัติที่ กาย วาจา ใจ เท่านี้เอง
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เมื่อย่อให้สั้น
ก็ลงมาอยู่ที่กาย วาจา ของเรานี้เอง พระพุทธเจ้าสอนพุทธบริษัททั้งหลายนั้น
ก็สอนที่ 'จิตใจ' นี้เอง"

พระอุดมญาณโมลี
(หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป)
วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 เมษายน 2563 19:17:52

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/38273796149425_17_Copy_.JPG)
ภาพจาก วัดอุโมงค์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

คนน้อยนักน้อยหนาที่จะได้มาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด ก็เพราะเวลาไม่อำนวยบ้าง  
สารพัดจะขัดข้องบ้าง ไม่ได้สร้างนิสัยไว้ในทางพระพุทธศาสนาบ้าง ศาสนาใดๆ ในโลกจะเสมอเหมือน
พระพุทธศาสนาเป็นไม่มีเลย เพราะว่าพระพุทธศาสนาเป็นของสูง ไม่เป็นของต่ำ ใครจะถือว่าต่ำสัก
เพียงใดก็ตามก็เป็นของสูงอยู่ตามธรรมชาติ

ธรรมชาติของพุทธศาสนาไม่ลบเลือนไปทางไหน เป็นของมีคุณค่าอยู่ทุกยุคทุกสมัยของนักปราชญ์
แต่ก็ตรงกันข้าม ผู้มีนิสสัยวาสนาสร้างบารมีมานานเป็นผู้เบาบางมาทางกิเลสแล้วจึงยินดีเลื่อมใสใน
ทางพระพุทธศาสนา เพราะกุศลกรรมมาก  ส่วนผู้อกุศลกรรมมากบันดาลไม่ให้ยินดี บันดาลไม่ให้
เลื่อมใส บันดาลไม่ให้สนใจ สนใจไปทางอื่นซะ เพราะ “กัมมุนา วัตตติ โลโก” สัตว์โลกเป็นไปตาม
กรรมที่ตนสร้างไว้  ถ้าทำไปทางบาปหนักก็บันดาลไม่ให้เลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนา ผู้ที่เลื่อมใส
ในทางพระพุทธศาสนาเป็นผู้มีวาสนามากแล้ว  ฉะนั้น พึ่งพากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ให้สมกับเรา
เกิดมาพบพุทธศาสนา

คติธรรม
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดภูจ้อก้อ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 พฤษภาคม 2563 18:10:25
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/28538806653684_69900492_1300637110112208_6523.jpg)

สวดมนต์และนั่งสมาธิเป็นเรื่องเดียวกัน

         พุทธบริษัทของเราทั้งหลายยังพากันเข้าใจผิด เข้าใจผิดอะไร เข้าใจผิดว่าสวดมนต์ก็เรื่องหนึ่ง
ปฏิบัติสมาธิก็อีกเรื่องหนึ่ง อันนี้เป็นการเข้าใจผิด การปฏิบัติสมาธิคือทำจิตให้มีสิ่งรู้ มีสติสิ่งระลึก จะเป็น
อะไรก็ได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น  เมื่อเราหยิบดอกไม้ปักลงไปในแจกัน เรามีสติ เราก็ได้ชื่อว่าปฏิบัติสมาธิ เอา
เทียนไปติดเชิงเทียนแล้วจุดบูชา จุดธูปบูชา กราบพระลงไปด้วยความมีสติ ก็คือการปฏิบัติสมาธิ เมื่อเรา
มากล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า อรหังสัมมา..สวากขาโต..สุปฏฺิปันโน..เจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ
ที่เรียกว่า สวดมนต์ทำวัตรเช้า-วัตรเย็น  นั่นแหละอันนั้นก็คือการปฏิบัติสมาธิ เพราะสิ่งนั้นก็เป็นอารมณ์
สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติของผู้ปฏิบัติ  เพราะฉะนั้นอย่าไปเข้าใจผิด บางท่านนั่งสวดมนต์ รีบสวดๆๆ..
สวดเอาๆๆ.. จะรีบสวดให้มันจบ แล้วจะได้ไปรีบนั่งสมาธิ เป็นการเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น สวดมนต์ก็ดี ทำ
อะไรก็ดีที่เรามีสติจดจ่อรู้อยู่กับสิ่งๆ นั้น เป็นการปฏิบัติสมาธิทั้งนั้น

• หลวงพ่อพุธ ฐานิโย •


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 พฤษภาคม 2563 15:45:00
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/65081644141011_99431185_139971837653520_58412.jpg)

สัตว์ทั้งหลายเกิดมาด้วยอำนาจของกรรม

องค์หลวงตาสอนอยู่เสมอ ให้พระเณร ฆราวาส ลูกศิษย์ลูกหา สงเคราะห์สัตว์ รู้จักมีความเมตตาสงสาร
เห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น “...คือสัตว์ทุกตัว เกิดมาด้วย
อำนาจของกรรมทั้งนั้น ไม่ได้เกิดมาด้วยอำนาจของชาติชั้น วรรณะ ยศถาบรรดาศักดิ์อะไร  เกิดขึ้นมา
ด้วยอำนาจของกรรม กรรมเป็นพื้นฐานให้เกิด นอกนั้นแตกเป็นแขนงออกไป สุจริตบ้าง ทุจริตบ้าง แล้ว
แต่จะเกิด นั้นเป็นเรื่องนอกต่างหาก หลักของกรรมเป็นหลักใหญ่........เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่ให้ดูถูก
เหยียดหยามกัน  แม้แต่สัตว์เดรัจฉานท่านก็ไม่ให้ไปดูถูกเขา  เวลานี้เขาเสวยกรรมอยู่ในวาระของเขา
อย่างนั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป ท่านจึงไม่ให้ประมาท มันเป็นวาระๆ เมื่อพ้นจากนี้แล้ว เขาอาจจะสูงกว่าเราก็ได้
ก็เหมือนคนลงมาจากน้ำจากหลุมจากบ่อขึ้นภูเขา  ทีแรกก็อยู่ใต้ก้นบ่อ พอขึ้นมาแล้ว เขาขึ้นภูเขาสูง
กว่าเราอีก กรรมไม่แน่นอนแล้วแต่ใครสร้างของใครเอาไว้...”

“...เขาก็รักสุขเกลียดทุกข์ มีหิวมีอิ่ม มีเจ็บมีป่วย มีราคะตัณหา มีจิตวิญญาณเช่นเดียวกับมนุษย์เรา  
ตัวจิตนี้เอง เป็นตัวท่องเที่ยวพาเราไปเวียนว่ายตายเกิด เพราะนี้ขึ้นอยู่กับวาระของกรรมที่ให้เสวยผลดี
ชั่วอย่างไร ตามที่เราสร้างกรรมมา   จึงไม่ควรประมาทเขา ไม่ควรเบียดเบียนเขา ไม่ควรรังแกเขา และ
ไม่ควรฆ่าเขา การเบียดเบียนเขาก็คือเบียดเบียนตัวเรานั่นเอง...”
โอวาทธรรม
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี


ขอขอบคุณเพจโอวาทธรรมพระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 02 มิถุนายน 2563 19:11:03

(https://sites.google.com/site/dhammajak2500/_/rsrc/1461634921763/patibathdham-than-phor-li/_1_175.jpg)
ขอขอบคุณภาพจาก sites.google.com/site

คนที่จิตยังไม่สูงเต็มที่ เมื่อใครเขาด่าว่าอะไรก็มักเก็บไปคิด คนเราโดยมากสำคัญตนว่าเป็นคนฉลาด
แต่ชอบกลืนกินอารมณ์ที่ชั่ว  อารมณ์ชั่วเปรียบเหมือนกับเศษอาหารที่เขาคายออกแล้ว  ถ้าเป็นคน
อดอยากยากจนจริงๆ จำเป็นจะต้องขอเขากิน  ก็ควรกลืนกินแต่อารมณ์ที่ดี  เปรียบเหมือนอาหารที่
ไม่เป็นเศษของใคร

แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยู่ในลักษณะที่ยากจน นี่เป็นลักษณะของคนโง่ ไม่ใช่คนฉลาดเพราะความดีอยู่กับ
ตัวเองแท้ๆ แต่ไพล่ไปเก็บเอาความชั่วที่คนอื่นเขามา เช่นนี้ก็ย่อมเป็นการผิดทาง

ที่ถูกนั้น..ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขา ต้องคิดว่านั่นเป็นสมบัติของเขา ไม่ใช่ของเรา ส่วนความดีที่เราทำ
ก็ย่อมอยู่ที่ตัวเรา ให้คิดเหมือนมะม่วงที่เป็นหนอน คนฉลาดเขาก็เลือกกินแต่ตรงเนื้อที่ดีๆ ส่วนที่เน่าที่
เสียก็ปล่อยให้บุ้งหนอนมันกินของมันไปเพราะเป็นวิสัยของมัน ส่วนเราก็อย่าไปอยู่จำพวกบุ้งหนอนด้วย

อย่างนี้เรียกว่าผู้นั้นเป็น “มนุสฺโส” คือมีใจสูงขึ้น เหมือนกับเราอยู่บนศาลาก็ย่อมพ้นจากสัตว์เดรัจฉาน
เช่น แมว สุนัข ที่จะมารบกวน มันจะกระโดดขึ้นมาตะครุบเราก็ไม่ได้ ถ้าเราอยู่บนพื้นดินเราก็จะต้อง
ถูกแดดบ้าง ฝนบ้างและอันตรายต่างๆ ก็มารบกวนได้ คือยังปนเปกับคนพาลบ้าง บัณฑิตบ้าง ฉันใดก็ดี

การประพฤติปฏิบัติธรรมของนักปราชญ์ ท่านจึงต้องรู้จักเลือกเฟ้นแต่สิ่งที่ดี ท่านไม่ยอมเก็บของเสียมา
บริโภคเพราะของเสียนั้นเมื่อบริโภคเข้าไปแล้วก็เกิดพิษเน่าบูดให้โทษแก่ร่างกาย ส่วนของดีเมื่อบริโภค
เข้าไปแล้ว ไม่มีโทษ มีแต่จะเกิดประโยชน์แก่ร่างกายอย่างเดียว
คัดลอกจาก
พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร แนวทางปฏิบัติวิปัสสนา-กัมมัฏฐาน
f.ธรรมะท่านพ่อลี วัดอโศการาม


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 มิถุนายน 2563 16:11:31

(https://lh3.googleusercontent.com/proxy/VipeOhzlyxDuv8NGks1EmIqXNVwi3KUkWgvlgvtxHyjU1OFRDFdEP4NwLIpnBS__gDxH7MIA_G49w8VHQoJZJLPXl0_c8r9uaScU3A)

....อย่าไปว่าคนอื่นเขา ตัวเรานั้นดีแล้วหรือ
ให้หมั่นถามตัวเองเช่นนี้ตลอดเวลา แล้วจะไม่มี
ความเดือดร้อนใจ  ไม่ต้องลับเขี้ยวไว้กัดกัน

โอวาทธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 22 มิถุนายน 2563 10:25:48

(https://img-196.uamulet.com/uauctions/UAKGlkImages/2015/2/6/U15470176355884023585103261.jpg)

“....ลักษณะพระที่ดีจริง  ย่อมไม่อยากร่านเป็นนั่นเป็นนี่
เมื่อถึงคราวจะต้องเป็นเข้าจริง ไม่แสดงพยศและเบี่ยงบ่าย
พระผิดจากลักษณะนี้ เราก็ไม่เลื่อมใส”

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
(พระนามเดิมว่า  พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ
พระราชโอรสพระองค์ที่ ๔๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔)



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 กรกฎาคม 2563 19:21:41

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/97606690559122__62_877_1_Copy_.jpg)
"สติของเราไม่เคยเผลอเลย ไม่เผลอทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งหลับและตื่น
หมุนอยู่ตลอดเป็นอันเดียวกับจิต แนบสนิท ติดกันไปเลย จะเดิน จะเหิน
ทุกอิริยาบถ การพูดจา การบิณฑบาต การขบฉัน สติไม่เคยเผลอเลย
สักครั้งเดียว"
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ แสดงโอวาทธรรมต่อ หลวงปู่ศรี มหาวีโร


(https://palungjit.org/attachments/6960-jpg.158268/)
ขอขอบคุณเว็บไซต์ palungjit.org(ที่มาภาพ)

“อย่าไปคิดไม่ดี หรือเพ่งโทษกับคนอื่นเขานะ ในขณะที่จิตของเขาบางคน
กำหนดสมาธิทุกขณะจิต  จิตมีความสงบหรือสว่างไสวอยู่ภายในดวงจิตขึ้นแล้ว
เราจะเป็นบาปและมีมลทินไม่รู้ตัว จงสำรวมจิตภายนอก ภายใน”
หลวงปู่สอ พันธุโล
วัดบ้านหนองแสง ตำบลสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 07 กันยายน 2563 12:44:26
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/74159717021716_118603821_963390854176595_9019.jpg)

จิตเป็นผู้แต่งกรรม  ถ้าธรรมเข้าถึงใจ จะพ้นจากกรรม
คติธรรม หลวงปู่เทศก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

ภาพจาก วัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 ตุลาคม 2563 15:40:28

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/84611106746726_1.jpg)

ยามมีลม    ชวนกันชม    ว่ารูปสวย
ทั้งร่ำรวย    เครื่องประดับ    และทรัพย์สิน
พอสิ้นลม    หมดลวดลาย    กลายเป็นดิน
หมดทรัพย์สิน    หมดญาติมิตร        เคยติดพัน
จิตก็รู้    ใจก็รู้    ดูไม่เห็น  
ยังตื่นเต้น    หลงใหล    อยู่ในขันธ์
ด้วยอำนาจ    ความเห็นผิด    จิตผูกพัน  
เพราะร่างขันธ์        ภายนอก    หลอกคนเป็น
ผีภายนอก    ไม่เห็นตัว    กลัวกันมาก
อสุภซาก    อยู่ภายใน     ไม่ใคร่เห็น
ทั้งผีสาง    อยู่ในร่าง     ของคนเป็น  
ถ้าใครเห็น    จะประสบ    พบหนทาง
พระบรมครู    ให้พิจารณา     ดูในกาย  
เพื่อทำลาย    ความเห็นผิด     จิตสว่าง
รีบกำจัด    ตัวกามฉันท์    เครื่องกั้นกาง  
พบหนทาง    ภายในตน    ทุกคนเอย.


#หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต
วัดบางแก้วผดุงธรรม, จังหวัดพัทลุง


(เพจพระพุทธศาสนา)



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 13 ตุลาคม 2563 19:33:26
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/59100647477639_13.JPG)

อันวัน คืน เดือน ปี มันหมดสิ้นไป แต่โดยแท้จริงแล้วที่มันหมดไปสิ้นไปจริงๆ ก็คืออายุของคนเรา
หรือชีวิตของคนเราต่างหากที่มันหมดไปสิ้นไป  แต่เมื่อเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่ได้ทำสมาธิภาวนา
เราก็มักจะเข้าใจว่าอายุ  หรือชีวิตของเรายังไม่ได้หมดไปสิ้นไป  อันวัน คืน เดือน ปี ที่หมดไปนั้น
แท้ที่จริงอายุ หรือชีวิตของคนเราทุกคนก็ได้หมดตามไปด้วย    และผลที่สุดเราทุกคนก็จะต้องตาย
ด้วยกันทุกคน  ดังนั้น เราจึงไม่ควรประมาท อันความตายเมื่อมาถึงแก่บุคคลผู้ใดแล้ว  บุคคลผู้นั้น
ก็จะไม่มีโอกาสสั่งหรือบอกลาแก่ผู้ใดด้วย  เพราะความตายไม่มีป้ายบอกว่าจะมาถึงแก่บุคคลเมื่อใด
ความตายมีโอกาสเกิดขึ้นแก่บุคคลเราได้ตลอดเวลา ยิ่งสมัยปัจจุบันนี้ความตายที่เกิดจากอุบัติเหตุ
ทันทีทันใด ยิ่งมีมากขึ้นทุกวัน  เช่น คนที่ตายจากเครื่องบินตก คนที่ตายจากเรืออับปาง หรือคนที่
ตายจากอุบัติเหตุทาวรถยนต์ เป็นต้น นี่แหละวัน คืน เดือน ปีที่ผ่านไปๆ นั้น ชีวิตของคนเราทุกคน
มันก็หมดไปสิ้นไปด้วยเช่นกัน  เราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้  อย่าเข้าใจว่าเราจะสุขสบาย มีอายุ
ยืนยาว แต่แท้ที่จริงแล้วเราทุกคนอาจตายได้ทุกเวลา แล้วจะมาคิดเอาเองว่าเรายังไม่ใกล้ตาย จึงเป็น
การคิดที่ประมาทอยู่  เราทุกคนยืนอยู่ก็ยืนรอวันตาย เราทุกคนเดินอยู่ก็เดินรอวันตาย เราทุกคนนั่ง
อยู่ก็นั่งรอวันตาย  เราทุกคนนอนอยู่ก็นอนรอวันตาย  ผลที่สุดเราทุกคนก็ต้องตายแน่นอน นี่แหละ
เราทุกคนอย่าได้เป็นผู้ประมาทอีกต่อไป

จงเตือนตนให้รีบเร่งปฏิบัติธรรม  เจริญสมาธิภาวนาให้รู้ความจริงว่า 
แท้จริงแล้วอายุหรือชืวิตของคนเรามันหมดสิ้นไป


โอวาทธรรม หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง  อำเภอเชียงดาว  จังหวัดเชียงใหม่


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 22 ตุลาคม 2563 18:54:07
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/40584953377644_122261791_1748739561949883_767.jpg)

...คนเราเวลาตาย ทำให้คนร้องไห้เศร้าใจ แต่เวลาเกิด ทำให้คนหัวเราะชอบใจ ดีใจ
คนที่หัวเราะก็หลง คนที่ร้องไห้ก็หลง ไม่รู้อะไรเป็นเหตุเป็นผล ความจริง ตายและเกิด
ก็อันเดียวกันนั่นเอง เพียงแต่ว่าเขาเปลี่ยนกันทำหน้าที่เท่านั้นเอง...

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 26 พฤศจิกายน 2563 21:02:15
(https://sites.google.com/site/sphrathewtheph/_/rsrc/1256968246357/-11-1/mun013.jpg)


ไม่มีอะไรตายดอก ธาตุ ๔ เขาแยกกัน
เขาอยู่ด้วยกันมานานแล้ว  จิตก็ไม่ตาย

โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต
(http://www.sookjai.com/Themes/default/images/post/xx.gif)

ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ
ทุกข์ทั้งหลายมีชาติทุกข์เป็นต้น ย่อมมีปัจจัย เมื่อบุคคลมารู้ทั่วถึง
รู้แจ้งประจักษ์ชัด ด้วยวิปัสสนาปัญญาว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หรือมารู้ทั่วถึงว่า
ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา

โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต

(http://www.sookjai.com/Themes/default/images/post/xx.gif)

ไม่มีอะไรจะแข็งแกร่งเท่าใจ
ถ้าได้รับความช่วยเหลือที่ถูกทาง
ใจจะกลายเป็นของประเสริฐ ให้เจ้าของได้ชมอย่างภูมิใจต่อเรื่องทั้งหลายทันที

โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 มกราคม 2564 14:34:31
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/12437632183233_0v0u6d_1_640x480_.jpg)

การทรงเจ้าเข้าผี การดูดวง การปลุกเสกของขลัง การนอนโลงสะเดาะเคราะห์ การที่เชื่อว่าสุขทุกข์ล้วนเกิดขึ้นเอง
ไม่ใช่เพราะกฎแห่งกรรม   การเชื่อว่าสุขทุกข์ล้วนเป็นฝีมือของเทวดาสรรค์สร้าง ไม่ใช่เพราะกฎแห่งกรรม สิ่งเหล่านี้
เป็นตัวอย่างของสิ่งที่ไม่มีในคำสอนของศาสนาพุทธ  คำสอนของศาสนาพุทธสรุปแบบสั้นที่สุด คือ ทาน ศีล ภาวนา
และทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตทั้งสุขทุกข์ล้วนมีเหตุมาทั้งสิ้น ไม่มีอะไรบังเอิญ ล้วนเกิดจากทั้งกรรมดีและกรรมชั่วที่เคย
กระทำมาในภพชาติก่อน ซึ่งเราจำไม่ได้เพราะจิตมีสภาวะเกิดดับ จำอะไรจึงไม่ได้ว่าเคยทำกรรมใดมาบ้าง แต่กฎแห่ง
กรรมมันจดไว้ทุกสิ่งอย่างอยู่ภายในจิต และแผ่ขยายออกมาให้เป็นเราในทุกวันนี้

โอวาทธรรม ~ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาละวัน อำเภอเมือง จ.นครราชสีมา


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 มกราคม 2564 20:54:47
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/40808677135242_139638726_2736988666553621_240.jpg)(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/37093453812930_138874378_2736988696553618_916.jpg)

คำเตือนสุดท้ายในงานศพของพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล

ขณะที่ประชุมกราบลา ท่านได้เตือนว่า “ทุกรูปทุกองค์ อย่าพากันประมาทเลย จงพากันคิดว่าการมาทำศพนั้น คือการสอนตัวของเราเอง นำศพมาเป็นสักขีพยานว่าความตายเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้” ท่านพระอาจารย์มั่น ฯ ท่านเสริมว่า “ปัจจุบันบางคนพากันเข้าใจผิดว่า เวลาคนตายนิมนต์พระเคาะโลงบอกว่าพระสวดแล้ว นี่เป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก ความจริงนั้นการสวดของพระขณะที่มีศพ ท่านต้องการให้ผู้ฟังปลงธรรมสังเวช คือเอาความตายเป็นสักขีพยานว่านี่ยังไงศพ จะได้นึกถึงตัวของเราว่าจะต้องตาย ท่านพระอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้เล่าเรื่องบุพกรรมของท่านพระยศกุลบุตร ว่าในอดีตชาติเมื่อมีการตายโดยไม่มีญาติ (หรือเรียกกันว่าผีไม่มีญาติ) ท่านกับสหายจะไปตามเก็บเอาศพมาทำฌาปนกิจให้หมด โดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด

อยู่มาวันหนึ่ง มีหญิงคนหนึ่งได้ตายลงโดยฉับพลันด้วยโรคปัจจุบัน เนื้อหนัง มังสายังเอี่ยมลอออยู่ ท่านพร้อมกับสหายเมื่อทราบข่าวก็รีบไปนำศพนั้นมา ทุกๆ คนก็ได้เห็นศพตายใหม่ๆ ยังไม่มีอวัยวะบกพร่องต่างคนต่างก็พูดว่า “แหมศพนี้ยังดูสดใส” แล้วจึงนำร่างหญิงนั้นไปสู่ป่าช้าวางลงบนเชิงตะกอน เตรียมการฌาปนกิจ เมื่อติดไฟๆ ได้ลุกขึ้น เผาผลาญร่างของหญิงนั้นดำเป็นตอตะโก ทุกส่วนกำลังถูกไฟเผาผลาญ ขาดวิ่นลง อย่างน่าอนาจ ท่านพระยศกุลบุตรในชาตินั้น ได้เห็นภาพที่เปลี่ยนจากเอี่ยมลออมาเป็นสภาพดำเป็นตอตะโก ได้ปลงธรรมสังเวช เกิดความสลดใจ ได้เห็นธรรม แล้วท่านก็บอกสหายๆ ก็ได้มาดูเกิดสลดใจได้เห็นธรรมเช่นเดียวกัน

ด้วยบุพกรรมที่ท่านทำไว้ในอดีตชาติเช่นนี้เอง เป็นปัจจัยให้ท่านมาบังเกิดเป็นเศรษฐี ซื่อว่ายศกุลบุตร เมื่อท่านได้เสวยอารมณ์ชมสมบัติแล้ว เมื่อบารมีปัจจัยในอดีตแก่กล้าขึ้น วันหนึ่งท่านจึงลุกขึ้นกลางดึกเดินออกจากห้อง เห็นนางบำเรอหลับใหลหลงละเมอด้วยอาการกิริยาต่างๆ ท่านก็จึงเกิดเบื่อหน่าย ออกอุทานในใจว่า ที่นี่ขัดข้อง ที่นี่วุ่นวายๆ ๆ แล้วก็เดินลงจากปราสาท หนีออกจากบ้านบ่นไปคนเดียว เดินไปจนถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ พระพุทธองค์ทรงได้ยินทางทิพย์โสต จึงได้เรียกยศกุลบุตรว่า “ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่วุ่นวาย จงมาเถิด เราจะแสดงธรรมแก่เธอ” เมื่อยศกุลบุตรได้ยินเข้าแล้ว จึงรีบเดินเข้าไปตามเสียงนั้น แล้วก็ได้ฟังธรรม ภายหลังได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วบวชในพระพุทธศาสนา สหายทั้ง ๕๔ คน เมื่อได้ทราบว่ายศกุลบุตรบวชแล้ว ก็มาคิดว่าธรรมวินัยที่ยศกุลบุตรบวชคงไม่เลว จึงได้ชวนกันมาพบกับพระยศ แล้วพระยศก็พาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟัง สหายทั้ง ๕๔ ก็ได้บรรลุเพระอรหันต์ แล้วบวชในพระพุทธศาสนา

ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านเล่าจบแล้วก็ย้ำว่าการที่บุคคลมาทำงานศพนั้น ต้องมาปลงสังเวช จึงจะได้ผล มิใช่จะมาทำงานศพด้วยความสนุกสนาน หรือด้วยเพียงธรรมเนียมหรือด้วยเสียไม่ได้ หรือมาด้วยการเห็นผิด ต้องกระทำเช่นกับพระยศกุลบุตรกับสหายในอดีตชาติ เมื่อท่านได้ทำการเผาศพอย่างนั้นแล้ว ผลที่ได้รับจึงเป็นผลใหญ่


ที่มาของบทความ
ชีวิตคือการต่อสู้ ประวัติและผลงาน
พระราชธรรมเจติยาจารย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
เพจพระพุทธศาสนา


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 26 มกราคม 2564 20:20:17

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/97606690559122__62_877_1_Copy_.jpg)

"พวกเรานี้มันหมดยุคผู้มีบุญวาสนามากแล้ว วาสนาของสัตว์โลก
นับวันแต่จะด้อยลงไปทุกที ยิ่งเลย ๒,๕๐๐ ปีไปแล้ว คนที่จะสำเร็จ
มรรคผลเพียงแค่แต่พระโสดาบันนี้ก็ยาก"
โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/57223557639453_141006014_1077113162804363_326.jpg)
ภาพ : จิตรกรรมฝาผนัง วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.

พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงสิ่งที่บุคคลได้ยากไว้ ๔ ประการ คือ
๑.การได้ความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ได้โดยยาก
๒.การดำรงชีวิตอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ตายเสียในระหว่างช่วงใดช่วงหนึ่ง
๓.การได้ฟังพระสัมธรรมเป็นสิ่งที่ได้โดยยาก
๔.การอุบัติบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก
จากหนังสือ “นิเทศธรรม”  ท่านเจ้าคุณระแบบ ฐิตญาโณ
ครั้งดำรงสมณศักดิ์ พระเทพดิลก


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2564 20:54:28
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/23801230183905_Phra_Acharn_Fun_Acaro_at_Wat_T.jpg)
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ขณะพักอยู่ที่วัดถ้ำขาม จังหวัดสกลนคร เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๘

ถ้าอะไรเราไม่ได้ทำไว้ อยากได้มันก็ไม่มา ถ้าได้ทำไว้แล้วสร้างไว้แล้ว
ไม่อยากได้มันก็ได้  นี้แหละ “บารมี


(http://www.sookjai.com/Themes/default/images/post/xx.gif)

“ให้หมั่นเข้าวัดทุกวัน  ให้เข้าไปดูในใจตัวเองว่า ขณะนี้เดี๋ยวนี้
มันดีเลวแค่ไหน ไม่ต้องไปเข้าวัดไกลๆ ที่ไหน ให้หมั่นเข้าไปวัด
ที่ใจตัวเองบ่อยๆ ”


โอวาทธรรม หลวงปู่ฝั้น อาจาโร


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2564 18:22:13
(https://inwfile.com/s-dp/pl50zu.jpg)

"การพูดแต่ละครั้ง ไม่ควรทำให้ผู้อื่นเสียใจ เสียหน้า เสียหาย เสียความรู้สึก
วันนี้มีโอกาสพูด ให้พูดดี มีโอกาสทำ ให้ทำดี เพราะบางทีพรุ่งนี้ อาจไม่มีโอกาส"

โอวาทธรรม หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี

ขอขอบคุณเว็บไซต์ inwfile.com/ (ที่มาภาพ)


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 20:36:38
(https://lh3.googleusercontent.com/proxy/0VUlGy7W6JQsG9EFIoNbapbMOodkDHkrHJj4ongevfuPWQJ197mpgRbiuITzNw1-hLNYc2OXCLZG_s6FyY5QDOyEM1pYddvS9_jOjaGQVcWYAU9ZRMnd_MB1WYZcgL2tZjPLYjXGsWNARlKCWMLFTUwxyFJ5FnL_2dcexC9KuyKMfImRndO8AAjxNvzNuAF9ZDzbjbCH1s0wXnwVqWqULu4-pxawu5X5bO4)

ความสุขที่แท้จริงได้แก่สุขอันเกิดจากจิตนิ่งสงบ
วาทะธรรม ของ..หลวงปู่จาม มหาปุญโญ
วัดป่าวิเวกวัฒนาราม อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร
(ในพรรษา ปี ๒๕๔๕)


    ตัวเราได้ตัวตนเป็นคนมนุษย์
แต่ไม่รู้จักคุณค่าของมนุษย์
นี่เรียกว่า ประมาท.
     บุคคลผู้มีนิสัยปัจจัยต้องมีเครื่องอยู่
ศีล ๕ เป็นเครื่องอยู่
ศีล ๘ เป็นเครื่องอยู่
เมตตาเป็นเครื่องอยู่
คุณงามความดีใดๆ เป็นเครื่องอยู่
เหล่านี้เป็นเครื่องหมายของความดี.
     การจะปล่อยวางได้
การจะละคลายความยึดถือ
การจะหายจากความยึดมั่นสำคัญหมาย
ต้องทำจิตให้สงบเสียก่อน
เพราะอาศัยความสงบของจิตนั้นเอง
วิปัสสนาญาณจึงจะเกิดได้.
     อาการของจิตนั้น เป็นได้ทั้งกิเลส
เป็นได้ทั้งธรรมมะ
ต้องระมัดระวังอย่าหลงจิต อย่าหลงตน.
     อยู่เฉยๆ มันไม่ได้ประโยชน์อันใดดอก
มันต้องพิจารณาฝึกหัดใช้ปัญญา
ใช้ปัญญาพิจารณา
อย่าอยู่เฉยๆ .
     ทุกขํเป็นวิหารธรรม
สุขเป็นวิหารธรรม
ธรรมเป็นวิหารธรรม
คำว่า วิหารธรรม คือ เป็นเครื่องดำเนินของชีวิต
เป็นเครื่องดำเนินของวัฏฏะ .
     อย่าไปกลัวทุกขํ
อย่าอยากได้สุขจนเกินตัว
คนกลัว - คนอยากมากเกินไป
นั้นมันทำความดีไม่ถูก
คนใดกลัวทุกข์คนนั้นกลัวธรรม.
     เราเกิดมาในกามภพนี้
จึงได้สุขจากกาม
จึงได้ทุกข์จากกาม
ความรัก ความชัง ความยินดี ความยินร้าย
จึงเป็นตัวกาม , เป็นตัวตัณหา
แม้สุขก็สุขอยู่กับทุกข์
จึงเป็นทุกข์ล้วนๆ ในชีวิตของเรา.
     รูปกายนี้
จะมีอะไร นอกเสียจากรูป
รูปเป็นธาตุทั้ง ๔ ธาตุดิน –ธาตุน้ำ –ธาตุลม –ธาตุไฟ
รูป อนิจจํ
รูป ทุกขํ
รูป อหัตตา .
     ใจไม่มีตน มีตัว แต่เป็นของมีฤทธิ์
คำว่ามีฤทธิ์นั้น แปลว่า ทำกรรมได้ กรรมดีได้
กรรมชั่วได้
คำว่า กรรมมันเกิดจากความคิด คิดดี คิดชั่ว
เรียกว่า มโนกรรม
ใจของเราเป็นความดีอยู่แล้ว อย่าเอาไปทำกรรมชั่ว.
     คนโลภก็ตั้งแต่โลภ
คนอยากได้ก็ตั้งแต่อยากได้
คนเมาก็ตั้งแต่เมา
คนโทสะร้ายก็ตั้งแต่โทสะร้าย
คนลุ่มหลงมัวเมาก็ไปตามเรื่อง
เกิดมามันจึงเป็นทุกข์อยู่เสมอ .
     คิดถึงอายุของตน
วันนี้อายุเท่าใด
วันไหนจะตาย
ตายไปด้วยอะไร
ตายแล้วถืออะไรไป .
     วันหนึ่งวันหนึ่ง
นึกถึงตนกี่ครั้ง
นึกถึงความตายกี่ครั้ง
รู้ไหมว่าตัวเองมันแก่เฒ่าทุกวัน
อะไรบ้างจะเป็นสมบัติของตน .
     คนได้สุขก็เมาสุข
คนได้ทุกข์ก็เมาทุกข์
คนเมาก็เมา
คนศึกษาก็เมาศึกษา
คนปฏิบัติก็เมาปฏิบัติ
ความรู้สึกตัวมันมีน้อย
จึงไม่ค่อยรู้จักตนเอง .
     อนิจจํ
ทุกขํ
อนัตตา
พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วไม่มีผิดพลาด
มั่นคงแน่นอน
เป็นธรรมแท้แน่นอน .
     สบายดี...
สบายรอท่าวันตาย
เมื่อใดมันจะตาย
อายุมากแล้วนี้
มันก็อยากตาย
     เราเดินทางไกล
มันอยากจะให้ถึงจุดหมายปลายทาง
อย่างเร็วๆ กำลังแข้งขาไม่พอ
คนเกิดมาแล้วมันมีทุกข์มาก
เมื่อทุกข์อยู่ตลอดก็อยากจะพ้นทุกข์
มาถามหาความสำเร็จมรรคผล
ตามหาทั้งที่กำลังของตัวไม่พอ .
     ความดีอันตนทำไว้นั้น
มันซึมซาบเข้าถึงหัวใจ
มันซาบซ่านอยู่ในใจ
นี่เรียกว่า สุขใจ
สุขสัมผัสของเรา
สุขอันคนอื่นไม่มีส่วนด้วย
ด้วยเหตุนี้...
จึงให้ตั้งใจทำความดี .
     ความชั่วทั้งหลายมันเป็นอันตรายของธรรม
ความโลภเกิดขึ้น
ความหลงเกิดขึ้น
ความโกรธเกิดขึ้น
เกิดขึ้นแล้วเต็มอยู่ในใจ ความสงบก็ไม่เกิด
ความสว่างก็ไม่เกิด
ใจก็ไม่ใสสะอาด
ในที่สุดก็ไม่รู้ช่องหนทางการแก้ไข - การรักษา .
     อย่าไปเชื่อหลายกับพระสมัยใหม่
พระขี้กะโล่ ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไม่ถือ
ทำอะไรไปตามความพอใจ .
     รูปนี้เป็นของใคร
เวทนาเป็นของใคร
สัญญาเป็นของใคร
สังขารเป็นของใคร
วิญญาณเป็นของใคร
เป็นของเราอยู่หรือ เป็นแล้วทำไมมันต้อง มีเกิด
มีแก่
มีเจ็บ
มีตาย
มีทุกข์มีสุข ด้วยเล่า
คิดถึงตัวเองบ้างไหม
ตัวตนนี้ใช่หรือไม่ใช่ตัวตน
อย่างไรจึงเป็นเช่นนั้น .
     คนมีทรัพย์เป็นนกเขา
คนมีทานเป็นนกเขา
คนมีศีลเป็นนกเขา
คนมีภาวนาเป็นนกเขา
คนมีปัญญาเป็นนกเขา
อะไรก็ของกูของกู
นิดหน่อยก็ของกู ของกู
ระวังอย่าให้เป็นนกเขา .
     สิ่งใดควรรักษา
สิ่งใดควรละควรเอา
สิ่งใดควรถอน
สิ่งใดควรทิ้ง
สิ่งใดควรดำเนินต่อไป
ให้รู้ตนของตน ให้เห็นโทษภัยและคุณประโยชน์ .
     ฐานที่ตั้งของธรรม
คือความสงบ
ความเกิดจากมีสติ
สติเกิดจากรู้จักจิตของตน
การฟังธรรมคำสอนต้องได้ความและรู้เรื่อง .
     ใจมันตั้งอยู่ในกาย
เราอยู่อย่างใดใจมันก็อยู่ด้วยอย่างนั้น
ให้รู้จักกาย
ให้รู้จักใจ.

อนุโมทนาบุญกุศลกับทุกๆท่าน
♤เพจพระพุทธศาสนา♤♤♤


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 20:03:31

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/52742555778887__MG_7899.JPG)

สัตว์โลกเกิดมาเพราะกรรม

บางคนเกิดมาไม่รู้จักศาสนา เพราะชาติก่อนเขามีนิสัยมาจากสัตว์เดรัจฉาน
บางคนเกิดมาสร้างแต่ความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เพราะชาติก่อนเขามีนิสัยมาจากนรกมาเกิด
บางคนเกิดมารู้จักเสียสละ ทำบุญให้ทาน รักษาศีลภาวนา เพราะชาติก่อนเขามีนิสัยมาจากสวรรค์มาเกิด
บางคนเกิดมายากจนเพราะชาติก่อนเขาไม่เคยคิดเสียสละทรัพย์สิน เงินทองข้าวของ ทำบุญให้ทานแก่ผู้อืน 
กรรมจึงจำแนกความเป็นอยู่ของแต่ละคนให้มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันไปต่างๆ นานา

คติธรรม หลวงปุ่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 มีนาคม 2564 18:21:14
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/32742664259340_1_Copy_.jpg)
ภาพ : โบราณสถาน วัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา

ดับหรือหักกิเลส ดับหรือหักใจในส่วนที่เป็นอดีต
ในส่วนที่เป็นอนาคต และในส่วนที่เป็นปัจจุบันได้
ก็จะเป็นผู้ที่มีจิตใจสงบ มีจิตใจมีความสุข ตลอดวันตลอดคืน


สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 09 เมษายน 2564 19:33:25
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/68309591462214_1.JPG)

ที่ว่าศาสนาสอนถึงเรื่องนรกสวรรค์ชั้นฟ้านั้น อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องนั้นเลย อันนั้นของมองไม่เห็น มาเอาคำสอนที่เห็นที่เป็นประโยชน์ในปัจจุบันนี่ดีกว่า ท่านสอนให้ทุกคนค่อยดีขึ้นมีการพัฒนาทั้งกายและใจ ทั้งทางด้านวัตถุและนามธรรมให้เจริญไปพร้อมๆ กัน คนยิ่งจะได้รับความสุขความสบาย ส่วนผู้ที่จะเจริญไปขั้นสูงนั้นมันไปเองหรอก เบื้องต้นขอให้ตั้งรากฐานของธรรมนี้เอาไว้ให้มั่นคงเสียก่อน เมื่อเห็นคุณค่าด้วยตนเองแล้ว มีศรัทธาที่จะรักษา ศีลห้าเป็นนิจหรือศีลแปด ตลอดชีวิต หรือจะบวชในพระพุทธศาสนา เป็นพระเป็นเณร อะไรก็ตาม  อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก หากจะมีคำแย้งขึ้นมาว่า ถ้าบวชเป็นพระมากๆ ก็เอาเปรียบผู้อื่นน่ะซี ไม่ทำมาหากิน พึ่งพาคนอื่นเขา กินแล้วก็ขี้เกียจขี้คร้านเลยไม่คิดที่จะทำประโยชน์ให้ประเทศชาติบ้านเมือง

อันนั้นขอให้คิดทั่วถึงใหม่อีกที พวกลูกๆ หลานๆ ของเราเกิดขึ้นมามันทำประโยชน์อะไรให้แก่เราบ้าง เรียนหนังสือจนกระทั่งจบก็เป็นเวลา ๒๐ ปีแล้ว เราหรือพ่อแม่ทั้งหลาย ต้องเลี้ยงดูมาหมดไปเท่าไรแล้ว มันทำประโยชน์อะไรให้แก่เราบ้าง บางคนผลาญทิ้งสิ้นไปตั้งเยอะแยะ เรียนสำเร็จแล้ว ทำอะไรให้แก่เราบ้าง และทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมีกี่คนคิดๆ ดูซิ คนพวกที่มาบวชในพุทธศาสนานั้นน่ะ อย่างน้อยที่สุดก็ทรงไว้ซึ่งเพศสมณะ เป็นที่สำหรับให้พวกที่ยังไม่ได้บวช หรือพวกที่ยังไม่ได้คบค้าสมาคม ได้เห็นผู้ปฏิบัติดีมีศีลธรรม เป็นเครื่องวัดความดีของพวกชาวบ้านและญาติโยม ถึงพระจะเลวสักเท่าใด ก็เรียกว่ายังพออดทนอยู่ได้ในพุทธศาสนา อย่างน้อยที่สุดศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ก็ยังมี ถึงแม้จะไม่ครบ ๒๒๗ แต่ฆราวาสพวกเราบางคน ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย ศีล ๕ สักตัวเดียวก็ไม่เคยรักษา เห็นความ ผิดเล็กๆ น้อย  ของพระภิกษุ สามเณร ก็อย่าเพิ่งถือว่าเลวทั้งหมด การเหมาเอาว่าพระภิกษุเหมือนกันทั้งหมดก็ยังไม่ถูก พุทธศาสนาไม่ได้หมายเอาที่พระ หมายเอาการปฏิบัติต่างหาก

พระนั้นอยู่ที่บุคคล แต่ศาสนาไม่ได้อยู่ที่บุคคล ศาสนาเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าบุคคลปฏิบัติผิด ก็เป็นเรื่องบุคคลผิดไม่ใช่ศาสนาผิด ศาสนาก็ยังสอนตรงไปตรงมาอยู่ตามเดิม สอนให้ละชั่วทำดีอยู่ตามเดิม แต่คนไม่ปฏิบัติตาม เมื่อเราปฏิบัติตามคำสอนไม่ได้จะหาว่าศาสนาไม่ดีไม่ได้ นี่ให้พิจารณาอย่างนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ใครจะทำผิดทำเลวทรามอย่างไรเป็นเรื่องศาสนาเสื่อมหมด ยกให้ศาสนาไม่ดีทั้งนั้น บางทีแม้แต่คนเข้าวัดเข้าวามาฟังเทศน์ฟังธรรมรักษาศีลอบรมภาวนาทำกัมมัฏฐานแสดง กิริยาโกรธกริ้วขึ้นสักทีหนึ่ง

โอโฮ! กล่าวโทษศาสนานี้ไม่ดีเลย เข้าวัดเข้าวาจนแก่จนเฒ่าแล้วยังละโลภโมโทสันไม่ได้ พูดอย่างนี้มันก็ผิดไป อย่าพูดอย่างนั้น นั่นเรื่องของบุคคล ศาสนาสอนให้ละ แต่บุคคลไม่ละ ไม่ทราบจะทำอย่างไร ถ้าเข้าใจได้อย่างนี้ก็สบาย

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 พฤษภาคม 2564 20:23:04
(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQuOmTCicP09fqSZR9yCAvRi2H2MelROOOwI-pHObyS3-FXOuwVQR3bB279cgK83Ge80UU&usqp=CAU)

แม้ใครใคร่จะปฏิบัติธรรม ก็ต้องปฏิบัติธรรม ที่กายและใจเรานี้
หาได้ไปปฏิบัติที่อื่นไม่ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องหอบสังขารนี้ไปที่ไหน
ถ้าตั้งใจจริงแล้ว นั่งอยู่ที่ไหนธรรมก็เกิดที่ตรงนั้น
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 13 พฤษภาคม 2564 18:49:40
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/99014088304506_183294686_2813679018884585_371.jpg)

"การเดินจงกรมนี่ไม่ใช่ของเล่นๆ นะ ไม่ใช่ว่ามาเดินให้เมื่อยเฉยๆ การเดินจงกรมนี่ครูบาอาจารย์หลายรูปหลายองค์ ท่านก็ยืนยัน
ว่ามันมีอานิสงค์มาก แม้เทวดาก็ยังต้องลงมาขอส่วนบุญ   เมื่อหลายปีก่อนหลวงพ่อได้มีโอกาสสอบถามกับหลวงปู่ผู้เฒ่าองค์หนึ่ง  
ปัจจุบันท่านละสังขารไปแล้ว  ท่านชื่อหลวงปู่พิมพ์ ท่านเป็นคนบ้านไร่ใต้ พิบูลมังสาหาร นี่แหละ มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดป่าหนอง
แคนพัฒนา อ.สว่างวีรวงค์ จ.อุบล ท่านบวชเมื่อแก่   คนแก่นี่ก็ทำงานอะไรไม่ไหว  ท่านก็เลยเอาดีด้านเดินจงกรม   เดินวันหนึ่ง
๔-๕ ชั่วโมง  ไม่ว่าจะไปงานปฏิบัติธรรมที่ไหนท่านจะพาเดินจงกรมตลอด  อยู่มาวันหนึ่ง ก็ปกติของท่านเวลาฉันภัตตาหารเสร็จ
ประมาณ ๙ โมงเช้า  ท่านก็จะเดินจงกรมต่อถึงเที่ยง   ท่านก็เดินไปๆ เงยหน้ามองดูนาฬิกาก็เที่ยงแล้ว  ตามคนเฒ่าคนแก่นี่ก็จะ
ไปนั่งพักขาก่อน บ้านเราเรียกนั่งเซาเมื่อย ท่านก็นั่งหลับตาไปเรื่อย พอลืมตาขึ้น เห็นผู้หญิงแต่ชุดไทยเดินถือพานดอกดาวเรื่อง
มา ๔ คน หน้าตาสะสวย ไม่เหมือนคนแถวนี้ ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาด้วย มาถึงก็มากราบ กราบสวยมากท่านว่า  ท่านเลยถามไปว่า
“พากันมาทำอะไร?” เขาก็ว่า “มาขอบุญกับหลวงปู่”  ท่านว่าท่านจะไปมีบุญอะไรให้  เขาก็ว่า “บุญหลวงปู่เดินจงกรมนี่แหละ”  
ท่านก็เลยรับพานแล้วก็ให้พรเขาไป ก็มองเขาเดินออกจากวัดไปจนสุดลูกหูลูกตา นี่เห็นไหมอานิสงค์การเดินจงกรมมันมากมาย
ขนาดไหน เหล่าเทวดาเขาทำไม่ได้ พอมาเห็นแบบนี้ก็อดไม่รนทนไม่ไหวรีบมาขอส่วนบุญอันนี้ แต่มนุษย์พวกเราทั้งหลายนี่สิ
มีโอกาสให้ทำ ก็ไม่ทำ มันติดตรงขี้เกียจ มันก็เลยไม่ได้บุญอย่างเขา"

หลวงพ่อสมหมาย ปิยธัมโม
วัดป่าอุดมวนาสันต์ สาขาวัดหนองป่าพง
อำเภอนาเยีย จ.อุบลราชธานี


(http://f.ptcdn.info/997/021/000/1407159127-2681203738-o.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/86686439108517_179373582_2812021135717040_874.jpg)

ช่วยเพื่อนมนุษย์...ไม่ต้องคาดหวัง ช่วยเพื่อนมนุษย์...ไม่ต้องนับว่าช่วยได้เท่าไรแล้ว เหลือเท่าไรแล้ว เพราะจำนวน
ผู้เป็นทุกข์มีเกินที่ใครจะนับได้และเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ถ้าการช่วยเพื่อนมนุษย์ไม่มีที่จบสิ้น แล้วเราจะช่วยทำไม? ช่วย
เพราะคนรักความดีทนความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ไม่ได้ ช่วยเพราะช่วยนิดหน่อยดีกว่าไม่ได้ช่วยเสียเลย ช่วยเพราะ
พระพุทธองค์สอนว่าความทุกข์เกิดตรงไหน ต้องพยายามดับตรงนั้น ทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่างเต็มความสามารถ
แล้วปล่อยวางในผล...
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ
พระเทพพัชรญาณมุนี (ฌอน ชิเวอร์ตัน ชยสาโร)


ขอขอบคุณที่มา : fb.พระพุทธศาสนา


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 26 พฤษภาคม 2564 20:17:08
(https://www.w-nikro.com/images/column_1418258492/DSCF0039.JPG)

มารไม่มีบารมีไม่เกิด

๑. มาร มาช่วยเสริมสร้างบุญบารมีหากเราคิดเป็น มีธรรมในใจจริง
๒. มาร เข้ามาในชีวิต เพื่อให้เรารู้ว่า กฏแห่งกรรมมีจริง ผลแห่งกรรมมีจริง
๓. มาร มาในรูปแบบคู่ชีวิต เจ้ากรรมนายเวรมีแต่เรื่องปวดหัว เรื่องร้อนในใจ เข้ามาเพื่อให้เรารู้สึกตัว รู้จักที่จะฝึกจิตให้อดทน รู้จักยับยั้งชั่งใจไม่กระทำบาปกรรมตอบสนอง รู้ดีรู้ชั่ว ไม่สร้างเวรกรรมใหม่ผูกพันกันหนักขึ้นไปอีก
๔. มาร มาในรูปแบบเพื่อนรอบตัวไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่ทำงาน เพื่อนบ้าน เพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ เข้ามาทดสอบจริยธรรม คุณธรรมของเราว่าเราอยู่ในระดับไหน เข้ามาเพื่อให้เราได้เห็นทางสว่างขึ้น พัฒนาตนเองให้ดีขึ้น เข้าใจโลกและธรรมมากขึ้น
๕. มาร มาในรูปแบบเงินทั้งการอัตคัดขัดสน เพื่อให้เราจักความจริงแท้ของธรรมชาติ ได้รู้จักตน รู้จักพอประมาณ รู้จักใช้ชีวิตที่พอเพียง ไม่ประมาท เกิดปัญญาในการมีชีวิตโดยไม่เอาเงินเป็นที่ตั้งก็มีความสุขได้
๖. มาร มาในรูปแบบเงินมากมายที่ยั่วยวนให้เราหลงใหล มาทดสอบกิเลสว่า ทดสอบคุณธรรมว่าเราดีจริงหรือไม่
๗. มาร มาในรูปแบบปัญหาในเนื้องานที่เราทำ ทำให้เราตื่น ที่ต้องแสวงหาปัญญาในทางแก้ไข ทำให้เรารู้ว่าปัญญาของเราอยู่ในระดับไหน ต้องเสริมเพิ่มเติมอย่างไร
๘. มาร มาในรูปแบบการขัดขวางการสร้างบุญ ทำให้เรารู้คุณค่าของบุญที่แท้จริง มาเสริมให้เรามีจิตใจ มีศรัทธา ไม่ย่อท้อในการสร้างบุญบารมีมากขึ้น
ขอให้พิจารณามารในความเป็นจริงในแง่มุมที่เกิดผล ขอบุญบารมีจงบังเกิดแก่ท่านทุกคน


            โอวาทธรรม ครูบาเจ้าศรีวิชัย


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 พฤษภาคม 2564 17:25:53
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/62045288830995_1.jpg)
              หุ่นขี้ผึ้ง หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
   ประดิษฐานในเขมปัตตเจดีย์ วัดภูจ้อก้อ จ.มุกดาหาร


"พรหมจรรย์เบื้องต้นของพระพุทธศาสนา คือพระโสดาบัน"

๑.ไม่เสียดายอยากถือศาสดาอื่นนอกจากพระพุทธเจ้า และพระธรรมคำสอนขององค์ท่าน และอริยสาวกขององค์ท่าน อริยสาวกขององค์ท่านเบื้องต้นนั้นไม่นิยมว่าภิกษุสามเณรและชั้นวรรณะใดๆ
๒.ไม่เสียดายอยากล่วงละเมิดศีล ๕
๓.ไม่เสียดายอยากล่วงอบายมุขทุกประเภท
๔.ไม่เสียดายอยากจะถือฤกษ์ดียามดีพร้อมทั้งไสยศาสตร์ต่างๆ เช่น อยู่ยงคงกระพัน เป็นต้น
๕.ไม่เสียดายอยากค้าขายเครื่องประหาร ค้าขายมนุษย์ ค้าขายสัตว์เป็นและเนื้อสัตว์ที่ตัวฆ่าเพื่อเป็นอาหาร    ค้าขายน้ำเมา ค้าขายยาพิษ การค้าขาย ๕ อย่างนี้ไม่เสียดายอยากค้าขายเลย
๖.ไม่เสียดายอยากจะผูกเวรกับท่านผู้ใด โกรธอยู่แต่ไม่ถึงกับผูกเวร แปลว่าโกรธแบบเบา ถ้าหากว่ามีผู้มาทำให้ผิดใจ จนถึงร้องไห้หรือน้ำตาออกก็ตกลงในใจว่า "ถ้าเคยทำเขาแต่ชาติก่อน ผลของกรรมตามมาก็ให้แล้วก้นไปซะ ข้าพเจ้าจะไม่จองเวรเลย ถ้าเขามาก่อใหม่ในชาตินี้ก็ให้แล้วกันไปซะ จะไม่จองเวรใดๆ " ดังนี้เป็นต้น

เมื่อตกลงใจขนาดนี้ ดังกล่าวมาแล้วแต่ต้นก็ปิดประตูนรกแล้ว เพราะไม่มีนรกอยู่ในที่ใจ ปิดประตูเปรตอีกด้วย ปิดประตูสัตว์ดิรัจฉานอีกด้วย ก็มีคติเป็น ๒ ในอนาคตคือ "ไม่มนุษย์ก็สวรรค์" เท่านั้น

ซ้ำเข้าไปอีกว่า "สิ่งใดไม่เสียดายอยากล่วงละเมิด สิ่งนั้นก็ไม่ลำบากหัวใจเลย" นี่คือพรหมจรรย์เบื้องต้นของพระพุทธศาสนา คือพระโสดาบันเราดีๆ นี้เอง ไม่นิยมชั้นวรรณะและเพศวัยใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากว่าเปิดประตูใจถึงพระโสดาบันแล้ว เรียกว่า "ดวงตาปัญญาเห็นธรรม" เป็นทุนแล้ว เรียกว่า โลกุตตระทุน เป็นทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายนอกหากดึงดูดไปเอง และก็เปิดประตูสกทาคามีไปเองในตัวด้วย จะเร็วหรือช้าก็ไม่ถอยหลังด้วยดังกล่าวแล้วนั้น..."


พระธรรมคำสอน   หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
          วัดภูจ้อก้อ จ.มุกดาหาร


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 04 มิถุนายน 2564 20:15:48
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/97606690559122__62_877_1_Copy_.jpg)

"กรรม"เป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย
ถ้าเราสามารถรู้เห็นกรรมดี กรรมชั่วที่ตนและผู้อื่นทำขึ้น เหมือนเห็นวัตถุต่างๆ แล้ว
จะไม่กล้าทำบาป...แต่จะกระตือรือร้นทำแต่ความดี ซึ่งเป็นของเย็นเหมือนน้ำ
ความเดือดร้อนในโลกก็จะลดน้อยลง เพราะต่างก็รักษาตัว กลัวบาปอันตราย

โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ถูริทัตโต
จากหนังสือคู่มือสวดมนต์แปล วัดป่าเขวาสินรินทร์ อำเภอเขาสินทร์ จังหวัดสุรินทร์  


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 25 มิถุนายน 2564 16:18:34
(https://lh3.googleusercontent.com/proxy/x1HLTX9mhlvs-VcKLwyaaQYKAQF5TJerRAlaEUVZfGK3RWlZJFql_C2x_Ew9BqH8Koh_U8VmZ2gJuOESDJH9v9XMYWp0dwzkLQ5xu9ux6mBhTrAmaDg)
หุ่นขี้ผึ้ง หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ประดิษฐานในเขมปัตตเจดีย์ วัดภูจ้อก้อ จ.มุกดาหาร

ปฏิปทาหลวงปู่มั่นไม่มีการปลุกเสกพระพุทธรูป

ถ้าอ้างว่าปฏิบัติรักษาตามปฏิปทาหลวงปู่มั่น อย่าปลุกเสกพระ อย่าจัดงานหาเงิน อย่าเรี่ยไร
เงินทอง ปฏิปทาของหลวงปู่มั่นทอดสะพานให้ลูกๆหลานๆ ยังมีอยู่อีกมากมายนัก การเรี่ยไรแผ่ๆ
ขอๆ ทางตรงและทางอ้อม และจัดงานขึ้นในวัดเพื่อหารายได้สมทบการก่อสร้างหรือซ่อมแซม
ที่เกี่ยวกับตัวเงินๆ ไม่มีในขันธสันดานขององค์หลวงปู่มั่นเลย

เครื่องรางของขลังไม่มีปฏิปทาเลย รูปเหรียญ ขายพระเล็ก พระน้อย พุทธาภิเษกไม่มีในปฏิปทา
ขององค์ท่านเลยนา วิชาปลุกเสก แกะหู แกะตา ให้พระพุทธรูปหรือทำพิธีบวชให้พระพุทธรูป
ไม่มีในสันติวิธีขององค์ท่าน

องค์หลวงปู่มั่นกล่าวว่า “สมมติเป็นพระพุทธรูปแล้วก็เสร็จกัน เราดีอย่างไรจึงจะไปบวช
ให้องค์ท่าน องค์ท่านบวชก่อนเราแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปปลุกเสกท่านให้ตื่น ท่านตื่น
ก่อนเราเข้าอนุปาทิเสสนิพพานแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปแคะหู แคะตาให้องค์ท่าน ตานอก
ตาใน หูนอก หูในขององค์ท่านดีกว่าเราแล้ว จะภิเษกภิษันให้องค์ท่านอะไรอีก องค์ท่าน
เป็นพระพุทธเจ้าเต็มภูมิแล้ว จะเอาไสยศาสตร์ไปพอกองค์ท่านทำไม นั่นแหละตัวบาป
นั่นแหละขุมนรกมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเต็มภูมิแล้วยังสำคัญว่าเห็นชอบ เข้าข้างตัวแต่ไม่
เข้าข้างธรรมวินัย เพียงเท่านี้ก็ยังไม่รู้จักผิดรู้จักถูกแล้ว ธรรมอันละเอียดลออ ก็ยังมีขึ้นไป
กว่านี้มาก ไฉนจะรู้ได้..

จากหนังสืออัตตโนประวัติพระหล้า เขมปัตโต
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 07 กรกฎาคม 2564 20:20:19
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/36649517466624_91188272_2619263341731881_2150.jpg)

คนที่จะพ้นจากทุกข์ได้ พ้นจากโลกนี้ได้ พ้นจากกรรมได้ ก็เพราะใจอันเดียว  จงยึดใจถือใจเป็นสำคัญ
จะมาเกิดก็เพราะใจ เกิดแล้วจะมาสร้างกิเลสขึ้นก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ ถ้าใจไม่เป็นทุกข์ ใจไม่
ยึดถือ ปล่อยทิ้งเสีย กายอันนี้ก็ไปตามเรื่องของกาย ใจก็เป็นตามเรื่องของใจ  หมดเรื่องหมดราวกันที

พระคติธรรม หลวงปู่เทศก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 กรกฎาคม 2564 18:07:57
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/66945661852757__Copy_.jpg)

ที่ให้ภาวนาพุทโธนั้น เพราะพุทโธ เป็นกิริยาของใจ ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้ว มันสงบวูบลงไป
นิ่ง สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน พอหลังจากนั้นคำว่า พุทโธ มันก็หายไป แล้วทำไมมันจึงหายไป เพราะ
จิตมันถึงพุทโธแล้ว จิตกลายเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน  เป็นคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ
เกิดขึ้นในจิตของท่านผู้ภาวนา
          การเจริญภาวนาให้ผลยิ่งกว่าการรักษาศีล การให้ทาน และการเจริญเมตตา
          เพราะการภาวนา ทำให้มีสติ ไม่หลงทาง ไม่หลงโลก ศีล ทาน เมตตา
          มีภาวนาเป็นยอดดังนี้ การเจริญภาวนาเป็นทางของสุคติ หากยังไม่ได้
          ไม่ถึงก็เป็นอุปนิสัยของมรรคผล

"ธมโม จ วินโย สุสังวุโต"
ให้ตั้งใจปฏิบัติพระธรรมพระวินัยกว้างแคบ ตามความสามารถตน


"เขาจะเชื่อความดีที่เราทำ มากกว่าคำพูดที่เราสอน"

ธรรมโอวาท หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 31 กรกฎาคม 2564 14:43:20
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/91303576777378_14291755_1137633762992968_1207.jpg)

สมัยก่อนอยู่กับหลวงปู่แหวน  ท่านเป็นพระโบราณ  ท่านก็ไม่จุดไฟ  ไม่ค่อยใช้  
เวลาจงกรมกลางคืนก็ไม่ได้จุดไฟเดินแสงธรรมดา...ก็เห็น  อันนี้เกิดจากการฝึกเอา  
ฝึกเอาให้มันเข้ามาในตัว ให้มันเข้ากับธรรมะ คือไม่ต้องปรุงแต่ง คือทางโลกเค้าสร้าง
แต่สิ่งปรุงแต่ง สร้างแต่สิ่งที่ไม่ใช่ของเดิม คือแบบใช้นอกตัว  ไม่ได้ใช้ในตัว

ทำบุญให้ทานไม่รู้กี่อย่าง กฐินผ้าป่ากี่สิบกี่ร้อยกอง มันก็ไม่ได้บุญเท่าจิตเราสงบรวมเป็นสมาธิ  
เพราะว่าอันนั้นมันไปถึงบ่อบุญแท้ ถึงเราอาศัยวัตถุทาน  อาศัยข้าวอาหารปัจจัย  แต่มันก็เป็น
วัตถุที่มีอายุสั้น ถ้าเราทำจิตของเราให้สงบได้ ท่านบอก“ปฏิบัติบูชามีค่ากว่า วัตถุเทียบไม่ได้”  
เราต้องเข้าใจของเราอย่างนี้

โอวาทธรรม หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 01 สิงหาคม 2564 20:42:39
(https://lh3.googleusercontent.com/proxy/3TR-NeB_UkcF5zB20YmunLthucrmpNmeRRj5ErUtEIR0t0OTjqxVtA3NqBvHoU5JQuFE4497PXLCXoP5RvIGHuqcSYHMVpitbkINohaEyTA)

กายกับใจ  อยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละ เป็นที่ปฏิบัติบูชาภาวนา
อยู่บ้าน ก็ภาวนาได้.....บวช ไม่บวช ก็ภาวนาได้ทั้งนั้น

หลวงปู่สิม..พุทธาจาโร


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 สิงหาคม 2564 20:06:40
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/86814007866713_13186.jpg)

"พระพุทธเจ้าท่านจะไม่นั่งพูดบนหินอ่อน หรือบนอาคารที่หรูหรา ธรรมเทศนา
หรือพระสูตรส่วนมาก พูดกันที่ไหนก็ได้ แล้วแต่มันจะมีชนวนให้พูด มันมีอะไร
ที่สะดุดใจที่ไหนท่านก็พูดเรื่องนั้นไปเลย พระสูตรหรือคำสอนทั้งหมดเกิดขึ้น
เนื่องจากท่านพูดตามที่ต่างๆ และก็ไม่เคยมีที่พูดกันอย่างแบบพิธีรีตรองในห้อง
ปาฐกถา หรืออาสนะที่สวยงาม"

คติธรรมคำสอน หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ
                             


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 27 สิงหาคม 2564 20:43:14
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/77769909095432_505853_1_Copy_.jpg)
พระธาตุ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่แห่งวงศ์พระกรรมฐานสายวัดป่า
ขอขอบคุณ เว็บไซท์ หนังสือพิมพ์แนวหน้า (ที่มาภาพประกอบ)

พระธาตุเกิดจาก? มีทั้งเกิดได้ช้าและเกิดได้เร็ว

"..ปุถุชนคนธรรมดาตายแล้วกระดูกเป็นกระดูกตลอดไปเลย จากนั้นกลายเป็นดินไปเลย..จิตปุถุชนเราจิตเศร้าหมอง ร่างกายก็เป็นธรรมดาไปเสียเศร้าหมองตามเดิม..

ส่วนอัฐิของพระอรหันต์นี้ พอท่านตายแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุเพราะอะไร? เพราะจิตของท่านครอบอยู่ในร่างกาย พอจิตบริสุทธิ์แล้วเท่านั้น จิตดวงที่บริสุทธิ์นี้จะฟอกธาตุขันธ์ไปโดยหลักธรรมชาติ ไม่มีใครบังคับบัญชา ความบริสุทธิ์ของจิตนี้เป็นความสะอาดสุดยอดแล้วมันจะซักฟอกร่างกายซึ่งเป็นของหยาบๆ ให้กลายเป็นร่างกายหรือว่าธาตุขันธ์อันละเอียดลงไปๆ จนกลายเป็นพระธาตุได้ คือจิตที่บริสุทธิ์นั่นละซักฟอกธาตุขันธ์..

จะกลายเป็นพระธาตุเร็ว ต่างกันอย่างนี้ คือ เป็นแต่ช้าหรือเร็ว เนื่องจากจิตดวงที่บริสุทธิ์แล้วครองขันธ์อยู่ นานหรือไม่นาน? ถ้านานก็เป็นพระธาตุได้เร็ว ถ้าไม่นานพอบริสุทธิ์ได้ไม่นานนิพพานไปเสียนี้ อัฐินี้จะกลายเป็นพระธาตุช้าไปหน่อย พากันเข้าใจ นี้คือหลักความจริง..."


โอวาทธรรม หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 07 กันยายน 2564 21:03:34
(https://hilight.kapook.com/img_cms2/user/pattamaporn/News2015/cha1.jpg)
ขอขอบคุณเว็บไซท์ hilight.kapook.com (ที่มาภาพ)

วันข้าวประดับประดิน
ธรรมเทศนา พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

...อย่างวันนี้แหละที่เรียกว่า วันข้าวประดับประดิน บรรพบุรุษของเราทั้งหลายที่บ้านเรา ที่ต้องห่อข้าว ห่อข้าวเล็กๆ กล้วยบ้างข้าวบ้างอะไรบ้างเล็กๆ น้อยๆ ห่อเสร็จแล้วก็เอาไปวางไว้บริเวณวัดบริเวณหน้าวัดต่างๆ เพื่อคิดว่าจะให้ผีพ่อผีแม่นั้นมากิน อืม เป็นธรรมดา เป็นธรรมเนียมของพวกเราทั้งหลาย ทำมาก็เพราะอะไร เพราะเป็นอนุสติ ความระลึกถึงผู้มีพระคุณ แต่ไม่รู้จักว่าจะทำอย่างไร ก็เลยทำปีหนึ่งผ่านไป นึกถึงบิดามารดา ท่านเคยพาทำก็เลยทำ ก็เลยเอาแกง เอาส้ม เอาข้าว เอาหวาน เอาอะไรต่างๆ พากันห่อแล้วไปวางไว้

ตามภาษาบุญชนิดนี้เรียกว่าข้าวประดับประดิน ข้าวประดับดิน คือทำบุญอุทิศให้ผีพ่อผีแม่เรา ซึ่งเรามาควรนึกดูว่าในหนึ่งปีเราเอาให้กินหนึ่งครั้ง มันจะเหลืออยู่มั๊ย?!! และให้กินนิดเดียวด้วยซ้ำ ห่อใส่ใบตองกล้วยห่อเท่าสองสามนิ้วนี่ กล้วยลูกหนึ่งก็ตัดสี่ชิ้นห้าชิ้น แล้วให้กินเพื่ออุทิศให้ ผีพ่อผีแม่ผีปู่ย่าตายายเรากิน ปีหนึ่งทำครั้งหนึ่งน่ะ

ถ้าหากว่าเรารอเอาบุญตอนตาย ถ้าเขาห่อให้เรากินแบบนี้ มันจะเป็นอย่างไร??!! หือ!! นี่แหละ การกระทำบุญให้ทานนั้น ให้เราวิจัย ให้เราพิจารณา ฉะนั้นบุญกุศลอันนี้ ให้พวกเราถือเสียว่า ให้ทำเอาตอนแต่เมื่อเรามีชีวิตอยู่ บางคนทอดธุระน่ะ หาข้าวของเงินทองให้ลูกหลาน เพื่อไปสร้างบุญสร้างกุศลให้ แล้วก็ตายไปเฉยๆ เพื่อให้เขาทำให้ คนนี้คิดผิดมาก ไม่มีที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้ทำบุญตอนตาย ให้บุคคลอื่นทำให้นั้นไม่มี ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก

เรื่องการทำบุญให้คนตายนั้น มันก็เป็นกตัญญูกตเวทีแก่บุคคลที่มีคุณ จะให้มันเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้น ไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สรรเสริญ ถึงแม้ว่าฟังพระธรรมเทศนาก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เกี่ยวถึงคนตายฟังธรรม ฟังเทศน์ ท่านไม่ได้เกี่ยว เพราะมันฟังไม่เป็น..ฯ.


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/95617600447601_117963635_2605104806408675_308.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/66381739369697_117384763_2605104839742005_640.jpg)


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 23 กันยายน 2564 20:48:12
(http://f.ptcdn.info/545/039/000/o1ho73yb012k3MCoBH0-o.gif)

เจ้ากรรมนายเวร เปรียบเสมือน..เจ้าหนี้
เมื่อรู้ว่าเรามีเงินก็จะทวงเงินเรา เมื่อเป็นหนี้ก็ต้องใช้เขาไป
เราต้องผ่านจุดนี้ให้ได้เสียก่อน  เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้แล้ว
ชีวิตของเราก็จะดีขึ้น

โอวาทธรรม..หลวงพ่อจรัญ..ฐิตธัมโม


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 กันยายน 2564 05:44:05
(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ1tcoHDH2r2FUIS1ADBICal8hTtYV_E0SF9gvXE0pLZ7OckFyvwsbOsh0GZ0yjPLjahyQ&usqp=CAU)

ที่สุดของชีวิตคนเรานั้น นอกจากได้พบพุทธศาสนาแล้ว
ที่สุดของชีวิตอีกอย่างหนึ่งนั้น คือการรู้ธรรม และปฏิบัติธรรม
อยู่ในแสงสว่าง แห่งพระธรรม

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 03 ตุลาคม 2564 19:18:56
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/44284234320123_250px_Copy_.jpg)

  อสุภกัมมัฏฐาน หรืออสุสัญญานี้ เป็นข้าศึกแก่ราคะ ความกำหนัดยินดีโดยตรง
ผู้ใดมาเจริญอสุภะ  เห็นเป็นของไม่งามในกาย เห็นกายเป็นของไม่งามปฏิกูลน่าเกลียด
จนเกิดความเบื่อหน่าย ไม่กำหนัดยินดี ดับราคาโทสะโมหะเสียได้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าดื่มกิน
ซึ่งรสพระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง เหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสรรเสริญกายคตาสติ
อสุภกัมมัฏฐานนี้ว่า "ผู้ใดได้เจริญกายคตาสตินี้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าได้บริโภคซึ่งรส
คือ นิพพาน เป็นธรรมมีผู้ตายไม่มี
" ดังนี้

โอวาทธรรม เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทฺธสิริ)


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 21 ตุลาคม 2564 20:53:01
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/86159122114380_view_resizing_images_2_320x200.jpg)

เรียนคุณไสยมนต์ดำ ตายไปเป็น มหิทธิกาเปรต
โอวาทธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

คนเรานั้น เข้าใจผิดกันไปใหญ่โต เห็น "พระมีฤทธิ์" นิดๆ หน่อยๆ เสกพระขลังยิงไม่เข้าฟันไม่ออก ก็นึกว่าท่านต้องสำเร็จเป็น "พระอรหันต์" กันไปโน่นแล้ว พวกเรียก "คาถามนต์ไสยศาสตร์" นี้ ตายไปไม่ได้เป็นเกิดเป็นเทวดาอะไรหรอก แต่ต้องไปเกิดเป็นผีใหญ่ "มหิทธิกาเปรต" หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เกจิดังๆ ที่เล่นมนต์ไสยศาสตร์" ที่มีชื่อเสียงมากๆ นั้น ตายแล้วไปเป็นผีใหญ่แทบทั้งสิ้น ก็บรรดามนต์ขลังหรือเครื่องรางที่อาจารย์ไสยศาสตร์นี้ทำไว้มันขลัง เพราะพวกอาจารย์ไสยศาสตร์ที่ตายไป เป็นผีใหญ่ "มหิทธิกาเปรต" นี้ เขาก็มีฤทธิ์เหมือนกัน เมื่อคนที่มีของขลังที่ทำเอาไว้มีอันตราย เขาก็จะส่งฤทธิ์มาช่วยให้เหนียวบ้าง คงกระพันบ้างไปตามเรื่อง นั่นเอง เป็นพระเป็นสงฆ์ วิชชาของพระพุทธเจ้ามีดีๆ กลับไม่เรียน กลับไปเรียนมนต์ไสยศาสตร์ ตอนภาวนามนต์ไสยศาสตร์ แม้จิตจากสว่างไสว รู้ตื่นเบิกบาน รู้เห็นอะไรมากได้หลายอย่างก็จริง แต่ครั้นเวลาจะตาย แม้จะภาวนามนต์ไสยศาสตร์จนจิตสว่างก็ตาม (จิตดีน่าจะไปที่ดีๆ) พอจิตขาดปุ๊บ กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นผีใหญ่ไปแล้ว เพราะมนต์ไสยศาสตร์มันกดทับไว้ ไม่ได้ไปสวรรค์นิพพานอะไรหรอก"

"มีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลานว่า เมื่อได้บวชมาเป็นพระเป็นสงฆ์แล้ว อย่าไปเรียนมนต์ไสยศาสตร์เน้อ มันจะกลายไปเป็นผีใหญ่หมด เน้อ"




หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 พฤศจิกายน 2564 20:17:49
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/35654635023739_1_Copy_.jpg)

"....จงห่วงตัวเอง เร่งทำความเพียรภาวนาละกิเลสให้ได้ ถ้าจิตเราบริสุทธิ์
หมดความอยาก  ความหมายความหวัง ถึงกายจะยังหรือตาย ก็ไม่วุ่นวาย
เดือดร้อน ไม่มีอะไรจะได้จะเสียแฝงอยู่ในความบริสุทธิ์ของจิตเป็นปัจจัตตัง
เฉพาะตัว นี้คือการภาวนาชำระจิต  จงตั้งหน้าทำจะทราบเอง  โลกนี้ไม่มี
ที่สุดของความอยากคนมีตัณหา ไม่มีเวลาจะสงบบริสุทธิ์ได้ ธรรม คือสติ
ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เท่านั้น จะทำจิตของคนให้บริสุทธิ์ได้...."

โอวาทธรรมคำสอน พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร
วัดป่าแก้วชุมพล ตำบลค้อใต้ อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร.
(๒๓ พ.ย.๒๕๒๑)


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 11 พฤศจิกายน 2564 20:24:53
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/12178065627813_254107933_2947467448839074_597.jpg)
พระครูวิมลคุณากร  หลวงปู่ศุข เกสโร

เวลากรรมบังนี่ มันโง่ทุกคนเลยว่ะ

หลวงปู่ศุข เมตตาเตือนสติ แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร ให้ชีวิตดีขึ้น

เวลาที่กรรมไม่ดีมาส่งผลหรือที่เรียกว่า "กรรมบัง" เป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดแล้วของชีวิต
บางคนเสียผู้เสียคน  ทำอะไรผิดพลาดไปหมด หรือตัดสินใจผิดๆ จนชีวิตพินาศ หรือ
แม้แต่ไม่ทำอะไร ก็ดิ่งลงๆๆ หรือแม้แต่ไม่รู้ตัว อาจจะพลิกวูบเดียวจบ! ครูบาอาจารย์
ท่านเตือนไว้ตลอด   ไม่ว่ากรรมดี บุญจะส่งผล หรือกรรมไม่ดีเข้าส่งผล หรือกรรมบัง
ท่านสอนเสมอให้มี "สติ" ซึ่งสำคัญมากๆ "สติ" ที่ดีจะวางใจเป็นกลาง รู้เท่าทันกรรม
ไม่ประมาท รู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเราที่ดีที่ชั่วก็แค่นั้นเอง มาแล้วก็ผ่านไป

"สติ" ที่ดีคือ อยู่กับปัจจุบัน  กรรมเก่าแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากรรมปัจจุบันในชาตินี้
ไม่ประมาทในกรรม ละบาป เลิกทำกรรมชั่วให้มากที่สุด หมั่นเติมบุญกุศลของตนไม่
หยุดยั้ง ฝึกสติ  ฝึกใจให้แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา สติมาจากการทำสมาธิ การสวดมนต์
ก็ช่วยได้เป็นการฝึกแบบง่ายๆ การสวดมนต์เป็นการน้อมจิตให้จดจ่อกับบทสวดมนต์
ซึ่งทำให้จิตมีสมาธิในระดับหนึ่ง การสวดมนต์ก็เป็นเหตุ และปัจจั” หนึ่งในการบรรลุ
ธรรม    มีสติ ยับยั้ง ละอายและเกรงกลัวต่อบาปเข้าใจในบุญ แสวงหาปัญญาธรรม
เพื่อจะได้เข้าใจโลก เข้าใจธรรม ไม่โง่ ไม่หลง ไม่ว่าบุญจะส่ง หรือกรรมเก่าจะบัง
ก็ไม่มี "โง่" อีกต่อไป

พระครูวิมลคุณากร  หลวงปู่ศุข เกสโร
วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 พฤศจิกายน 2564 19:50:06
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/59006819128990_259466626_2956068791312273_809.jpg)

ปุถุชนนั้นเมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว เรียกว่าตายหรือมรณภาพ
ถ้าเป็นคนชั้นสูง ก็เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสวรรคต  ที่แท้ก็เป็นตายอันเดียวกัน  หมดลมหายใจอย่างเดียวกัน
เมื่อตายไปแล้วก็ไม่ได้ขนเอาข้าวของอันใดไปได้เลย ได้ติดตัวไปแต่เพียงไม้กระดานอันกว้างหนึ่งศอกกำมา
และทางยาววาหนึ่งเท่านั้น กับบุญกุศลที่ตนได้ทำไว้แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่  และบาปที่ตนได้ทำเอาไว้แต่เมื่อยัง
เป็นมนุษย์เท่านั้น จึงสมกับอุเทศที่อาตมาได้ยกขึ้นตั้งไว้เบื้องต้นว่า  
กุสลาธมฺมา อกุสลาธมฺมา อพฺยากตาธมฺมา
ซึ่งแปลเป็นใจความแล้วคงได้ความว่า กุศลกรรมทั้งหลาย อันเป็นทางบุญเรียกว่ากุศล อกุสลาธมฺมา เป็น
ส่วนบาป เรียกว่าอกุศลคือทางชั่ว ทางไม่ดี อพฺยากตาธมฺมา เป็นส่วนกลางๆ จะว่าดีก็ไม่ใช่ เป็นส่วนชั่ว
ก็ไม่ใช่ เรียกว่า อพยากฤต เท่านี้แหละที่จะติดตัวผู้ตายไปได้ ถ้าเราทำดีไว้แต่เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เมื่อเรา
ตายไปก็จะไปสู่สุคติโลกสวรรค์   ถ้าทำชั่วไว้ เป็นต้นว่า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ศีล ๕ ไม่เคยรักษา คุณพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไม่รู้ เมื่อตายไปแล้วผลกรรมนั้นก็จะตามไปสนองให้ได้รับความเดือดร้อน วิปฺปฏิสาร
อยู่ในนรกอเวจีหลายกัปหลายกัลป์..."

โอวาทธรรมหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ
วัดดอยธรรมเจดีย์  ตำบลตองโขบ
อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร


ขอขอบคุณที่มา : เพจพระพุทธศาสนา


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 ธันวาคม 2564 19:38:58
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/82273844877878_264942759_2970141723238313_626.jpg)

“การภาวนานั้นเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เกิดพลังจิต เมื่อเกิดพลังจิตแล้ว ก็สามารถควบคุมพลังจิตเราได้  
พลังจิตเราก็สามารถควบคุมจิตเราได้ เมื่อควบคุมจิตเราได้แล้ว จิตก็ไม่เขว เพราะถ้าหากว่าเขว สมาธิก็
ช่วยยับยั้งไว้ไม่ให้เขว และก็มีสุขคติเป็นที่ไปแน่นอน    ถ้าหากว่าเราได้ทำสมาธิไปจนเกิดความชำนาญ
ชำนาญมากเข้าเนี่ยมันเพียงแต่หยุด หมายความว่าหยุดความนึกคิดก็เป็นสมาธิทันที ไม่เหมือนกับคนที่
เขาเพิ่งทำใหม่ๆ เขาทำใหม่ๆ เขายังไม่ชำนาญ   เขากว่าจะนึกพุทโธได้ กว่าจะอะไรได้ ก็ต้องเสียเวลาไป
ระยะหนึ่ง แต่คนที่ชำนาญแล้วนี่ พอหลับตาพรึบ พุทโธก็มาเอง  เพราะฉะนั้นเวลาที่ใกล้ชีวิตจะดับขันธ์นี่
พุทโธก็มาเอง แม้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็มาเอง เพราะว่ามันอยู่ที่ใจของเราแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่มีอะไรเป็น
ที่พึ่งให้แก่เราในภพนี้และภพหน้า ก็มีบุญเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งให้แก่เราในชาตินี้และชาติหน้า”
พระพรหมมงคลญาณ
(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 23 ธันวาคม 2564 14:36:51
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/23415325954556__temp_hash_7869d42845e2fff23c8.jpg)

  "...จิตคนเรามีพลัง มีอำนาจมาก ขอให้ภาวนา ทานก็ทำ เป็นสมบัติติดตัว
ติดตามไปทุกภพทุกชาติ   แต่จิตตภาวนานี้มีอำนาจมาก มีพลังมาก ขอให้ภาวนา
อย่าได้ขี้เกียจภาวนา ภาวนาจนจิตสงบ จิตรวมลงเหมือนเส้นด้ายพุ่งเข้ารูเข็มให้ได้
เสียก่อน แล้วจึงหมุนสู่ขั้นปัญญา  สมาธิก็เหมือนการรวบรวมทรัพย์  เมื่อมีมากจน
เพียงพอแล้ว ก็เอาทรัพย์ออกไปใช้ คือ เอาปัญญา ออกไปฆ่ากิเลส เข้าใจมั๊ย..."

โอวาทธรรม หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร


หลวงปู่จันทร์เรียน
วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต ต.ทับกุง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี

พระเลิศในธุดงควัตร เลิศในข้อวัตรปฏิบัติ เลิศในอภิญญาญาณ มีฤทธิ์เยอะ สมัยนี้หาได้ยากนัก เพราะช้างเผือกท่านย่อมอยู่ในป่าดง...

หลวงพ่อจันทร์เรียน ท่านเป็นพระแท้ "ของจริง"

หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านบอกว่า "พระทั่วประเทศ เราคบจันทร์เรียนองค์เดียว"

หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านเคยเอ่ยให้ฟัง "พระยอดธงของเรา จันทร์เรียนเสก ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้ว"

หากใครเคยไปกราบหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท คงอาจทราบว่าหลวงปู่เจี๊ยะท่านมักจะแนะนำลูกศิษย์ให้ไปกราบหลวงพ่อจันเรียน วัดถ้ำสหาย จ.อุดรธานี โดยให้เหตุผลที่ควรไปกราบนอกเหนือจากคุณธรรมขั้นสูงของหลวงพ่อจันทร์เรียนว่า? ท่านมีฤทธิ์มาก ไม่น้อยไปกว่าหลวงปู่ฝั้นเลย ขนาดพระแทบทุกรุ่นของหลวงปู่เจี๊ยะ ท่านต้องสั่งให้ศิษย์ให้นำไปถวายหลวงพ่อจันทร์เรียนอธิษฐานก่อนแจก

ถ้าจะพูดถึงกิตติศัพท์ของพระป่ากรรมฐานในยุคปัจจุบัน คงจะไม่มีใครที่จะไม่ทราบนามขององค์หลวงพ่อไปได้ ไม่ว่ากิตติศัพท์ด้านภาวนา ด้านความเข้มข้นในข้อวัตรปฏิบัติ และด้านความเข้มข้นในพระอภิญญาญาณ จะเห็นได้ว่าในแต่พระพรรษาจะมีพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมต่างเดินทางมาเพื่อที่จะมาพำนักขอจำพรรษากับท่านมากมายในแต่ละพรรษาไม่ต่ำกว่า ๘๐ รูปขึ้นไปในแต่ละพรรษา

เป็นเครื่องยืนยันและแสดงได้ว่าองค์ท่านเข้มงวดกวดขันพระเณรในด้านภาวนา และรวมถึงข้อวัตรน้อยใหญ่ทำให้พระที่ต้องการเพื่อความหลุดพ้นจริงจัง ต่างดั้นด้นมาเพื่อขอรับนิสสัยและขอรับโอวาทธรรมเพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนาในสำนักถ้ำสหายแห่งนี้...

ปฏิปทา เด่นๆ ขององค์หลวงพ่อจันทร์เรียน อาทิเช่น
๑.ไม่รับกิจนิมนต์ ถ้าไม่จำเป็นจริง และอย่างเด็ดขาด
๒.ไม่ชอบความคลุกคลี ไม่ว่างานบุญต่างๆ ไม่จำเป็นไม่ไป เว้นงานศพ.
๓.ไม่รับกฐิน
๔.ไม่เข้า กทม.โดยไม่จำเป็นอย่างเด็ดขาด

สมญานามที่ว่า "ช้างเผือกย่อมอยู่ในป่า" ท่านจึงเป็นครูบาอาจารย์รูปสำคัญมากในยุคนี้ที่เด่นในการกวดขันพระเณร และเป็นกำลังสำคัญในการอบรมพระกรรมฐานในยุคนี้ เพราะเนื่องจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์รุ่นใหญ่ต่างชราร่วงโรยไปตามธาตุขันธ์อาจจะอบรมพระเณรได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นสำนักนี้จึงเป็นที่จับตาของพระที่ต้องการปรารภความเพียรโดยแน่แท้

กุลบุตรท่านใดที่จะมาบวชในสำนักนี้ต้องผ่านการเป็นผ้าขาวถือศีล ๘ ก่อนเพื่อให้ท่านดูความเหมาะสมก่อนที่จะเข้ามาบวชในสำนักนี้ได้ แต่ละคนจะเป็นผ้าขาวมากน้อยระยะเวลาต่างกันตามแต่ท่านจะเห็นว่าเหมาะสม บางท่านต้องเป็นผ้าขาวนาน ๓ เดือน บางท่านนาน ๑ ปี บางท่านต้องนานถึง ๓ ปี ก็มี

และท่านจะไม่รับบวชแก้บน บวช ๗ วัน ๑๕ วัน ท่านจะไม่รับเด็ดขาด...
 ขอขอบคุณที่มา เว็บไซต์ "พลังจิต"


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 27 ธันวาคม 2564 12:58:53
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/77769909095432_505853_1_Copy_.jpg)

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

เราทั้งหลาย ต่างเกิดมาด้วยวาสนา  มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ 
ดังที่ทราบอยู่แก่ใจ อย่าลืมตัวลืมวาสนา โดยลืมสร้างคุณงามความดีเสริมต่อ
ภพชาติของเรา ที่เคยเป็นมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงและกลับกลายหายไปเป็นชาติ
ที่ต่ำทราม ไม่ปรารถนาจะกลายมาเป็นตัวเราเข้า แล้วแก้ไม่ตก

ความสูงศักดิ์  ความต่ำทราม  ความสุขทุกขั้นจนถึงบรมสุข  และความทุกข์
จนเข้าขั้นมหันตทุกข์เหล่านี้ มีได้กับทุกคนตลอดสัตว์  ถ้าตนเองทำให้มี
อย่าเข้าใจว่ามีได้เฉพาะผู้กำลังเสวยอยู่เท่านั้น โดยผู้อื่นไม่มี เพราะสิ่งเหล่านี้
เป็นสมบัติกลาง  แต่กลับกลายมาเป็นสมบัติจำเพาะของผู้ผลิตผู้ทำเองได้

ท่านจึงสอนไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน   เมื่อเห็นเขาตกทุกข์หรือกำลังจน
เมื่อถึงวาระเข้าจริงๆ ไม่มีใครมีอำนาจหลีกเลี่ยงได้  เพราะกรรมดีกรรมชั่ว
เรามีทางสร้างได้เช่นเดียวกับผู้อื่น จึงมีทางเป็นไปได้เช่นเดียวกับผู้อื่น
และผู้อื่นก็มีทางเป็นไปได้เช่นเดียวกับที่เราเคยเป็น.

โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่แห่งวงศ์พระกรรมฐานสายวัดป่า


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 11 มกราคม 2565 12:53:04
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/49526280909776__Copy_.jpg)

"พึ่งร่างกาย กายก็แตก พึ่งน้ำในกาย น้ำก็สลาย พึ่งไฟในกาย ไฟก็กระจาย กายทั้งร่าง
มีแต่เรื่องแตกกระจาย แล้วจะพึ่งอะไร? พึ่งบ้าน บ้านก็จะพัง พึ่งสมบัติเงินทอง ก็ล้วน
แต่สิ่งจะพังทลาย ยังเพลินเมามัว มั่วสุมอยู่หรือ?   มนุษย์เราตัวฉลาดแท้ๆ ไม่สมควร
กับความเป็นดังที่กล่าวมา   ความดีมีอยู่  แสวงหาซิมนุษย์ทั้งหลาย ท่านหาความดีได้
ทำไมเราหาไม่ได้? เวลาไพล่ไปหาความเลวทรามต่ำช้า ทำไมหาได้?  สิ่งเหล่านั้นมัน
วิเศษวิโสอะไร ถ้ามันพาคนให้วิเศษ มนุษย์พากันวิเศษเลิศโลกไปนานแล้ว ไม่จมปลัก
ดังที่เห็นกันอยู่นี้เลย  จึงไม่ควรเพลิดเพลิน ไม่ควรมัวเมา ไม่เข้าเรื่องอยู่เปล่าๆ อะไรดี
มีสาระ รีบแสวงหา"
หลวงปู่ขาว อนาลโย
 วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 27 มีนาคม 2565 16:08:24
(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/5/54/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%8C_%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A5.jpg)

อย่าปล่อยให้จิตปรุงแต่งมากนัก
ข้อสำคัญ ให้รู้จัก "จิต" ของเราเท่านั้นเอง เพราะว่าจิตคือ "ตัวหลักธรรม"
นอกจากจิตแล้ว ไม่มีหลักธรรมใดๆ เลย...ภาวนามากๆ แล้วจะรู้ถึงความเป็นจริง
...เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากมาย...มีเท่านั้น...
เปล่า...เปล่า...บริสุทธิ์
หลวงปู่ดูลย์  อตุโล
วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 05 เมษายน 2565 10:01:46
(https://www.isangate.com/new/images/dhamma/ariyasong/LP_fun_05.jpg)
ขอขอบคุณเว็บไซต์ อีสานเกท ดอท คอม (isangate.com) - ที่มาภาพ

ถ้าอะไรเราไม่ได้ทำไว้ อยากได้มันก็ไม่มา
ถ้าได้ทำไว้แล้วสร้างไว้แล้ว ไม่อยากได้มันก็ได้ นี่แหละ...บารมี


หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 เมษายน 2565 13:01:11
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/92260912971364_278722857_2184673998356435_229.jpg)

ภาพของ หลวงปู่ชา สุภทฺโท แห่งวัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ไปแสดงธรรมโปรด
"แม่ชีพิมพ์"  โยมมารดาผู้อุ้มท้องให้กำเนิด ในวาระสุดท้ายแห่งชีพของแม่ชี   ใจความสำคัญในการ
แสดงธรรมโปรดโยมมารดาครานั้นว่า "...การปล่อยวางกายนี้ไม่ใช่ของเรา ให้ปล่อยไป  สิ่งที่เกิดขึ้น
มันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมะ  อย่าไปอาลัยอาวรณ์กับสกนธิ์ร่างกาย ทำจิตใจให้เบิกบาน ให้อยู่กับคำ
บริกรรม...." รุ่งเช้าแม่ชีพิมพ์ได้ "ละโลก ละขันธ์" อย่างสงบเมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๑๗

ปฏิปทาหนึ่งของพ่อแม่ครูอาจารย์ และอริยะชนทั้งหลาย คือการดูแลบุพการีอย่างดีที่สุด
และ "ที่สุด" ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญคือการ "ให้ธรรม ชักนำสู่ทางวิมุติ"


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 พฤษภาคม 2565 19:42:18
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/87336441998680_280280099_2201155106708324_547.jpg)

ถิ่นกาขาว

โยมต้องเข้าใจนะ ยุคปัจจุบันนี้ ยุคของเราเป็นยุคพิเศษนะ บอกตรงๆ นะนี่ ยุคของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เค้าเรียก "ถิ่นกาขาว" ยุคของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ รัชกาลที่ ๑๐ เป็นแดนศิวิไลซ์ และเป็นถิ่นอริยะด้วย

อริยะนี่ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนะ หมายความว่า พระอริยะต่อไปจะเกิดขึ้นในองค์รัชกาลที่ ๑๐ จะเยอะมาก แต่ตอนนี้ที่อาตมารู้ๆ อยู่ อริยะนะมันเกิดจากโยมมากกว่าพระว่ะ เพราะโยมเร่งปฏิบัติเอาจริงเอาจัง เอาเป็นเอาตาย เพราะอยากจะไปนิพพาน แต่พระไม่ค่อยอยากไปหรอก เพราะอย่างไงก็เป็นพระอยู่แล้ว ไม่ไปก็ได้ฉันอยู่แล้ว แต่โยมนี่อยากไป

ตอนนี้อาตมาคิดมองเห็นภาพเลย ว่าเป็นถิ่นอริยะ ตอนนี้พวกเราเร่งการปฏิบัติ ถึงจะไม่มีอะไร.. แต่การปฏิบัติไม่ทิ้ง อยู่บ้านก็ทำวัตรตลอด พระไม่ค่อยได้ทำวัตรหรอก โยมทำตลอดเลย โอ้โห..นี่ สมเป็นถิ่นอริยะโยม

ถ้าเป็นพระต้องพระดี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไม่ใช่ปฏิบัติดีแต่ปาก การกระทำสวนทางกันคนละเรื่อง ไม่เอา

ศาสนาพุทธ ศาสนาของพระพุทธเจ้า อยู่ตรงคนทำดี ดีด้วยการกระทำ ดีด้วยคำพูดด้วย หมดทุกอย่าง

หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ต.จรัส อ.บัวเชด จ.สุรินทร์


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 พฤษภาคม 2565 15:39:46

(http://www.guitarthai.com/picpost/gtpicpost/A1712419.jpg)
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
ขอขอบคุณเว็บไซท์ พลังจิตดอทคอม (ที่มาภาพ)

"พระพุทธเจ้าท่านจึงให้นึกถึงมรณภัย คือความตายนี้ ทุกลมหายใจเข้า ทุกลม
หายใจออก "มรณัง เม ภวิสสติ" "มรณะ" "มรณัง" ก็แปลว่าความตาย หรือคือ
จะต้องตายด้วยกันทั้งหมดสิ้น "เม" ก็หมายถึงเรา เราทุกคนต้องตาย ต้องมอง
ให้เห็นนึกให้ได้ ถ้านึกไม่ได้แล้วจิตมันจะเป็นไปตามอารมณ์ต่างๆ ไม่สงบลงได้
ถ้ามองเห็นแจ้งในจิตในใจว่าอย่างไรเสียต้องตาย รอวันตายอยู่ทุกลมหายใจ
ถ้ามาถึงเวลาหายใจเข้าไป บุคคลผู้นั้นก็ตายเวลาหายใจเข้า หรือถึงเวลาหายใจออก 
บุคคลนั้นก็ตายเวลาหายใจออก  มรณภัยคือความตายนี้ ใกล้ที่สุดแค่ลมหายใจนี่เอง"

โอวาทธรรม หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 มิถุนายน 2565 14:38:55
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/86590870635377_paragraph_56_214_Copy_.jpg)

อกุศลจิต คือ จิตทุกข์จิตยาก จิตวุ่นจิตวาย จิตเดือดร้อน จิตฟุ้งซ่าน รำคาญ
นี่ให้พิจารณาดูซี่ มันไม่ได้เกิดจากอื่น อกุศลทั้งหลายมันเกิดจาก"จิต" ให้เรา
เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจให้เรียบร้อย  เมื่อมีความสำรวมยังงี้
จะไปฆ่าคนฆ่าสัตว์ตัวโตๆ ยังไง แม้แต่มดตัวแดงแมงตัวน้อยท่านก็ไม่ให้กระทำ
ไม่ให้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

หลวงปู่ฝั้น  อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 มิถุนายน 2565 11:07:14
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/62111151880688_61469720_1098268603680180_7524.jpg)
ขอขอบคุณเว็บไซท์ phrakruangaphinihan.com (พระเครื่องอภินิหารดอทคอม) - ที่มาภาพ

"ศาสนาบ่เคยเสื่อม แต่ที่เสื่อมคือใจมนุษย์  พระธรรมคำสอนของพุทธองค์
ก็ยังคงเดิม ให้เราทั้งหลายเปิดดูเอา  ตู้คัมภีร์ใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่กาย
กับจิตเรานี่เอง อย่ามัวแต่ติผู้อื่น ติตัวเองให้มากสอนตัวเองให้มาก กิจคนอื่น
อย่าไปยุ่ง เอากิจตัวให้สำเร็จก่อน...เอวัง โหนตุ"

โอวาทธรรม  หลวงปู่จื่อ พันธมุตฺโต
วัดเขาตาเงาะอุดมพร ต.หนองบัวระเหว อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 23 มิถุนายน 2565 16:12:14

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/50330404233601_23_Copy_.jpg)


"เกศา-ผม, โลมา-ขน, นขา-เล็บ, ทันตา-ฟัน, ตโจ-หนัง ตะจะปริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ นี้แหละ

ลืมตาขึ้นมา ให้มันเห็น แล้วตั้งใจทำอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่ทำวันเดียว เดือนเดียว หรือปีหนึ่ง ทำเอาตาย เอาชีวิตเป็นแดน"


โอวาทธรรม หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมืองหนองบัวลำพู จ.หนองบัวลำพู



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 31 กรกฎาคม 2565 16:42:45
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/97626233183675__Copy_.jpg)

ความอ่อนน้อมถ่อมตน
เป็นเครื่องประดับที่งดงาม 
ไม่มีเครื่องประดับใดๆ ในโลก จะเอามาเปรียบ

คติธรรม  หลวงปู่แบน ธนากโร (พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร)
วัดดอยธรรมเจดีย์  ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร

750.


หัวข้อ: Re: บ่วงของมาร - คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 03 สิงหาคม 2565 16:19:02

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/34787341041697__Copy_.jpg)


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 20 สิงหาคม 2565 20:06:27
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/22535407832927_300477048_2896017510544837_615.jpg)
พระอาจารย์ราวี จารุธมฺโม

ศาสนาไม่ได้อยู่แค่กับพระกับเณร แต่อยู่กับผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไป
ฆราวาส ญาติโยมก็ตาม หากมีศีล ประพฤติธรรม ศาสนาก็อยู่กับคนนั้นนั่นแหละ
โอวาทธรรม พระครูจารุธรรมพิมล (พระอาจารย์ราวี จารุธมฺโม)
เจ้าอาวาสวัดป่าโนนกุดหล่ม จังหวัดศรีสะเกษ


หัวข้อ: Re: คำพระสอน เทศนาธรรม "มรณานุสสติ" หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 กันยายน 2565 16:32:49
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/59100647477639_13.JPG)

"...ใจกิเลสตัณหานี่ไม่รู้สึกตัว มักจะคิดไป ปรุงไป แต่งไป ว่าเรายังอยู่ดีสบายอยู่เสมอ
บางคนแก่ชราแล้วจิตใจก็ยังไม่แก่ ยังสำคัญผิดคิดว่าเรายังไม่แก่อยู่ตลอดเวลา ครั้นเจ็บไข้
ได้ป่วยมาถึงเข้า แทนที่จะนึกถึงว่า เอ! มรณะความตายมันใกล้มา เป็นเทวทูต ทูตเทวดา
มาบอกแล้ว ปวดหัวตัวร้อน เป็นไข้ไม่สบาย แต่ไม่สน คิดฟุ้งซ่านไปอย่างอื่น จะหาทางแก้
ครั้นเจ็บมานิดหน่อยก็เข้าโรงพยาบาล เข้าใจว่าเข้าไปโรงพยาบาลแล้ว หมอจะรักษาได้
บางคนมันแทนที่เข้าไปแล้วจะได้ออกมา เลยมันไม่ได้ออกมา ไปโรงพยาบาลแล้วก็เลยไป
ป่าช้าทีเดียวก็มี นี่แหละเราท่านทั้งหลายอย่าพากันประมาท เดี๋ยวนี้เราตั้งอยู่ในความประมาท
ความประมาทนั้น ถ้าใครไม่นึกมองเห็นมรณะภัยความตายทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว ประมาท
ทุกคนไป ทั้งผู้เทศน์และผู้ฟัง..."

เทศนาธรรม - หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
เทศน์... มรณานุสสติ
๒๑ เมษายน ๒๕๒๗


ที่มา - เสียงธรรม หลวงปู่สิม พุทธาจาโร  www.youtube.com/ (http://www.youtube.com/)


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 กันยายน 2565 16:39:06

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/90455521477593_11.JPG)
ภาพ - สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว  จังหวัดเชียงใหม่

พุทโธ พุทธะ เป็นชื่อ เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า
  พุทธะ แปลว่า จิตผู้รู้  ดวงจิตผู้รู้นี้มีอยู่ในตัวคนเราทุกคน แต่ว่าเป็นจิตผู้รู้
ที่ยังไม่ได้ภาวนาให้ดี จิตใจยังไม่สงบ และเวลาแหละเป็นเวลาที่เราทุกดวงใจ
จะได้รวมเอาดวงจิตอันนี้ให้มาสงบตั้งมั่นเป็นผู้รู้ภายใน แต่เราต้องปล่อยวาง
อารมณ์อันเป็นอดีต อะติตัง คือที่ล่วงมาแล้วให้หมดไป ส่วนอนาคตข้างหน้า
ก็ไม่ต้องไปคิดถึงในเวลานี้ ให้ถือกาลเวลาปัจจุบันที่เรานั่งอยู่นี่แหละภาวนา
ในใจนี้ หรือว่านึกฟังธรรมไปก็ภาวนาพุทโธไป...

เทศนาธรรม - หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
เรื่อง พิจารณากาย  ณ วัดเบญจมบพิธ กทม.
๖ มกราคม ๒๕๒๘

ที่มา - เสียงธรรม หลวงปู่สิม พุทธาจาโร  www.youtube.com (http://www.youtube.com)



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 พฤศจิกายน 2565 09:53:30

"ทุกครั้งที่จะทำอะไรที่ดีที่งาม
จงมีความแน่วแน่ต่อความดีนั้นๆ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม
จะไม่ให้เหตุการณ์ต่างๆ มาเป็นอุปสรรคขวางกั้น"
คติธรรม พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี


ต้องใช้โทรศัพท์โพสต์
อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้มาหลายวัน และยังต้องอยู่อีกหลายทิวา-ราตรี.


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 14 พฤศจิกายน 2565 10:04:04
เวลาโกรธอย่าพูด. ให้นิ่งเสียก่อน
คอยให้มันได้สติเสียก่อน
พอได้สติแล้ว มันก็ถอนออกเอง
คติธรรม. หลวงปู่แหวน สุจิโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่


หัวข้อ: Re: ธรรมคือความสงบ : คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 มีนาคม 2566 16:03:55

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/95515688219004_111_Copy_.jpg)
ธรรมคือความสงบ
ใจที่มีธรรมบรรจุอยู่ ก็คือใจดวงสงบระงับจากเรื่องทั้งปวง

คติธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร

700


หัวข้อ: Re: มนุษย์มีปัญญาเฉียบแหลมคม : คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 มีนาคม 2566 16:49:44

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/29963232411278_111_Copy_.jpg)

อคฺคํ ฐานํ มนุสฺเสสุ มคฺคํ สตฺต วิสุทฺธิยา
มนุษย์มีปัญญาเฉียบแหลมคม คอยประดิษฐ์ กุศล อกุศล
สำเร็จอกุศล...มหาอเวจีเป็นที่สุด
------------------
..ธาตุมนุษย์เป็นธาตุตายตัว ไม่เป็นอื่นเหมือน นาค เทวดาทั้งหลาย
ที่เปลี่ยนเป็นอื่นได้ มนุษย์ มีนิสัยภาวนาให้สำเร็จง่ายกว่าภพอื่น

โอวาทธรรม
พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
บันทึกธรรมโดย หลวงปู่หลุย จันทสาโร



850


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 09 เมษายน 2566 13:58:00

(https://sites.google.com/site/sphrathewtheph/_/rsrc/1256968246357/-11-1/mun013.jpg)

"...วาสนานั้นเป็นไปตามอัธยาศัย คนที่มีวาสนาที่ดีมาแล้ว แต่คบคนพาล
วาสนาก็อาจเป็นเหมือนคนพาลได้   บางคนวาสนายังอ่อน  แต่คบบัณฑิต
วาสนาก็เลื่อนชั้นขึ้นเป็นบัณฑิต  ฉะนั้น พึงคบบัณฑิต เพื่อเลื่อนภูมิวาสนา
ของตนให้สูงขึ้น..."

โอวาทธรรม
พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 21 พฤษภาคม 2566 18:41:57

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/50849553239014_11_Copy_.jpg)

"พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลมีอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ฉิบหายด้วยภัยแห่งสงคราม"

การเสด็จไปสู่สถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตนั้นมีปัจจัย ๓ อย่าง คือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เกิดกลียุคในประเทศนั้น และด้วยความรัก

และท่านยังบอกอีกว่า วัดพระแก้วนี้เป็นวัดพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ เพราะพระสงฆ์มาจากตระกูลต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ไม่รู้พุทธอัธยาศัย พุทธธรรมเนียม เพราะพระพุทธเจ้าเป็นทั้งกษัตริย์ และผู้สุขุมาลชาติ เมื่อพระสงฆ์ไม่รู้พุทธธรรมเนียม ถ้าไปอยู่ก็มีแต่บาปกินหัว

ผู้รู้ทั้งพุทธอัธยาศัยและพุทธธรรมเนียมแล้ว มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวเท่านั้น ครั้งพุทธกาลก็มีพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นทรงรู้ แต่จอมไทย คือ พระมหากษัตริย์ทรงรู้มาแล้วได้ทรงสร้างวัดถวายจำเพาะพระแก้วเท่านั้น

พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร คือ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ต่างแต่วาสนาบารมีมากน้อยต่างกันเท่านั้น ท่านจึงทรงรู้พุทธอัธยาศัยเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า

ผู้ใดย่างกรายเข้าสู่วัดพระแก้วเป็นบุญทุกขณะที่อยู่ในบริเวณวัด แม้แต่ชาวต่างชาติ มีโอกาสเข้าไปในบริเวณวัดพระแก้ว จะด้วยศรัทธาหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนาโดยปริยาย หรือจะบังเอิญก็แล้วแต่ สามารถเป็นนิสัยให้เข้ามาได้ ต่อไปจะสามารถมาเกิดเป็นคนไทย สืบต่อบุญบารมีสำเร็จมรรคผลได้


โอวาทธรรม  พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
คัดจาก จากหนังสือ "รำลึกวันวาน" โดย หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ


หัวข้อ: Re: สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม : คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 พฤษภาคม 2566 17:24:39

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/21496243195401_55_Copy_.jpg)

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมดีกรรมชั่วที่ตนทำไว้
คนดีถึงจะทำตัวเป็นใบ้ใครก็รู้ ถึงจะหลบหลีกปลีกตัวอยู่ในถ้ำ ภูเขา
ถึงแม้มนุษย์ไม่รู้ เทวดาก็บอกเอง  กลิ่นของศีลย่อมฟุ้งขจรขจายไป
ทั่วทิศ เป็นมิตรหมายของคนดี

คติธรรม หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู





750/26


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 มิถุนายน 2566 19:27:28

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/43040726333856_111_Copy_.jpg)

ชาติถทฺโธ  ธนถทฺโธ     โคตฺตถทฺโธ จ โย นโร
สญฺชาติมติมญฺเญติ       ตํ ปราภโต มุขํ

นรชนใดเย่อหยิ่งเพราะชาติ เย่อหยิ่งเพราะทรัพย์  เย่อหยิ่งเพราะโคตร 
ย่อมดูหมิ่นซึ่งญาติของตน ความเย่อหยิ่งนั้น เป็นทางของผู้เสื่อม ดังนี้

ธรรมบรรยาย  สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี)



750/28



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 มิถุนายน 2566 19:24:19

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/56389289804630_22_Copy_.jpg)

750/28


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 30 สิงหาคม 2566 16:52:11

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/43893068407972_1_Copy_.jpg)



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 05 กันยายน 2566 18:57:56

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/56184524173537__1_Copy_.jpg)

วิมุตติ
คือความหลุดพ้นจากความยึดถือ
หลุดพ้นจากอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น
พ้นจากภพจากชาติ  ตั้งใจทำเอา

พระธรรมคำสอน
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 กันยายน 2566 16:02:49


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/57493629058202_4_Copy_.jpg)

"...คุณธรรมของนักบวช จะก้าวหน้าเจริญได้ดีนั้น
    อยู่ที่การทำข้อวัตร รู้จักวัตรรู้จักข้อธุดงค์..."

หลวงปู่จาม  มหาปุญฺโญ
วัดป่าวิเวกวัฒนาราม อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

ภาพ : ‘พระพุทธรูปปางสมาธิ’ ของ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (จาก เว็บท่ากรมศิลปากร)


หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 01 มกราคม 2567 13:48:59

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/71646156079239_2_Copy_.jpg)
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ปี พ.ศ.๒๔๗๘

ใจที่เป็นทุกข์เพราะเกิดจากความยึดมั่น แล้วมีการปรุงแต่งในความคิดขึ้น
และอุบายที่จะละความทุกข์ก็คือ หยุดการปรุงแต่ง แล้วปล่อยวางให้เป็น


คติธรรม พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
อดีตเจ้าอาวาสวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 มกราคม 2567 20:37:44

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/72945274702376_10_Copy_.jpg)

"การภาวนานั้น  ไม่ใช่ว่าจะนั่งหลับตาภาวนาอย่างเดียว  แต่ต้องทำและทำได้ตลอดเวลาการยืน
การเดิน การนั่ง การนอน ให้มีสติประคับประคองอยู่เสมอ สมาธินั้นอาตมาไม่เอามากหรอก
แต่ให้มีสติอยู่เสมอ
"
คติธรรม พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี


900


หัวข้อ: Re: การทำจิตให้สงบ : คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 มกราคม 2567 14:00:24
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/96509685615698_888_Copy_.jpg)

การทำจิตให้สงบ

การทำจิตให้สงบ คือการวางให้พอดี ตั้งใจเกินไปมากมันก็เลยไป ปล่อยเกินไปมันก็ไม่ถึง
เพราะขาดความพอดี  ธรรมดาจิตเป็นของไม่อยู่นิ่ง เป็นของมีกิริยาไหวตัวอยู่เรื่อย  ฉะนั้น
จิตใจของเราจึงไม่มีกำลัง...

...การทำจิตใจให้มีกำลังก็คือทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่นคิดนี่ไปต่างๆ ให้อยู่ใน
ขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตของเรานั้นไม่เคยได้สงบ ไม่เคยมีกำลัง มันจึงไม่มีกำลังทาง
ด้านสมาธิภายใน

คติธรรม พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี


1000


หัวข้อ: Re: อย่าส่งจิตออกนอก : คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 27 มกราคม 2567 17:08:36

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/62749295185009_66_Copy_.jpg)



หัวข้อ: Re: แม่น้ำจะเสมอด้วยตัณหาไม่มี : คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 31 มกราคม 2567 18:09:36

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/34752541159590_11111_Copy_.jpg)

   ตัณหาทั้งหลาย กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มันเป็นเชือกเป็นปอ เป็นโซ่มัดคนเราไว้
มัดคอ มัดเท้า มัดมือ มัดตีนไปมาไม่ได้ กิเลสตัณหามันมากมาย มันมัดไว้ผูกไว้ มัดไว้ให้จม
อยู่ในโลก ในวัฏฏะสงสารอันนี้แหละ
    ตัณหาในใจของคนเราไม่มีเวลาเหือดแห้งไป  ถ้าไม่ภาวนาละกิเลส ไม่เอาจริงเอาจังแล้ว
ตัณหามันไม่ยอมวาง พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย พระองค์จึงทรงตรัสไว้ว่า
"นตฺถิ ตณฺหาสมา นที"
แม่น้ำลำคลองทั้งหลายนั้นยังมีเวลาเต็ม แต่ตัณหาในใจมนุษย์คนเรา และสัตว์โลกทั้งหลายนั้น
ไม่มีเวลาเต็ม ฤดูฝนน้ำฝนเต็ม ตัณหาในจิตมันก็ยังไม่เต็ม ไม่พอ มีอย่างนี้แล้วอยากมีอย่างโน้น
ได้อย่างนี้แล้วอยากได้อย่างอื่นต่อๆไป เพราะว่า จิตไม่ภาวนา ไม่ละกิเลส...

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
วัดถ้ำผาปล่อง อ.เขียงดาว จ.เชียงใหม่



หัวข้อ: Re: คำพระสอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 22 มีนาคม 2567 10:43:39

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/20213252678513__1_Copy_.jpg)