หัวข้อ: ศีล - สมาธิ - ปัญญา เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 19 มีนาคม 2554 12:46:41 (http://www.seesod.com/storage36/9W9uBpVgrm1295519812/l.jpg) http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/09.%20Track%209.wma (http://uyfz9q.bay.livefilestore.com/y1puwwLyY1hQGevKbPEFyCjgBoQn3NSNeo-y8gjotl_lxJ--glH5i3PgMx-t56j5hxrXEdhp0j_jvxReSFv7ti_moNX3z_jaCAr/hyooneunhye.gif?psid=1) ถ่ายภาพประกอบเนื้อหาสาระโดย Sometime สงวนลิขสิทธิ์ภาพตามกฏหมาย ทำไมท่านจึงกล่าวว่า สมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ทั้งที่ปัญญาเกิดได้จาก สาเหตุอื่นอันเป็นกุศลอีกหลายเหตุ ? ต้องเข้าใจก่อนว่า สมาธิอันเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา สมาธิในที่นี้คืออย่างไรที่ ทำให้เกิดปัญญาและปัญญาในที่นี้หมายถึงปัญญาอะไร สมาธิหรือความตั้งมั่นแห่งจิตนั้นมีทั้งสัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิเพราะฉะนั้น.................. มิจฉาสมาธิที่เป็นความตั้งมั่นที่เป็นเอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิตจะไม่เป็นสัมมา สมาธิและไม่เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญาได้เลย เพราะปัญญาที่กล่าวถึงคือปัญญาที่รู้แจ้ง ตามความเป็นจริงในสภาพธรรมในขณะนี้{รู้ทุกขอริยสัจ}โดยความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเพราะฉนั้น...............สมาธิใดที่เกิดพร้อมปัญญาที่รู้ความจริงในขณะนี้{เอกัคคตา เจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท} สมาธินั้นเป็นสัมมาสมาธิ ตั้งมั่นในอารมณ์นั้นเมื่อสมาธิ ตั้งมั่นในอารมณ์นั้นปัญญาก็รู้ความจริงในสภาพธรรมนั้นที่กำลังปรากฎตามความเป็น จริงและอีกประการหนึ่ง สมาธิใดที่เมื่อเกิดแล้ว ทำให้เกิดการรู้สภาพธรรมตามความเป็น จริงจนถึงระดับวิปัสสนาญานและบรรลุธรรมสมาธินั้นก็เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญาด้วย เช่นกัน เป็นสัมมาสมาธิ แต่จะเห็นได้ว่าที่กล่าวมาจะต้องมีปัญญา มีความเข้าใจในเรื่อง ของสภาพธรรมเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว หากไม่เข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐานก็ไม่สามารถที่ จะรู้แจ้งอริยสัจ 4 เป็นสมมาสมาธิในการตรัสรู้ได้เลย ดังเช่น ดาบสทั้งหลายที่ได้ฌาน แต่ก็ไม่สามารถรู้ความจริงในขณะนี้พราะไม่มีความเข้าใจเรื่องการ{เจริญสติปัฏฐาน}นั่นเอง พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม 5 ภาค 2 หน้าที่ 404 คำว่า{สมาธิ}ที่ถูกต้องเป็นสัมมาสมาธิตามความหมายใน ข้อ 3 นั้นจะทำให้ได้ อภิญญาด้วยหรือจะเกี่ยวกันหรือไม่เนื่องจากเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปจริง ๆ ว่าหากนั่ง สมาธิแล้วจะทำให้ได้อิทธิฤทธิ ปาฏิหาริย์ หายโรค - หายภัย ต่าง ๆ เป็นผลพลอยได้ ? การเจริญสมาธิตามพระสูตรข้างต้นเป็นสัมมาสมาธิที่เป็นการเจริญฌานด้วย เพราะ ฉะนั้นเมื่อเจริญฌานจนถึงขั้นสูงสุดและมีความคล่องแคล่วในเรื่องฌานย่อมสามารถได้ ฤทธิ์ต่าง ๆ ได้แต่หากขาดความเข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ฌานนั้นก็ไม่สามารถเป็น บาทอันทำให้บรรลุธรรมได้เลยซึ่งการเจริญฌานที่ถูกต้องเพียงเบื้องต้นยังยากที่จะ ทำได้ไม่ต้องกล่าวถึงการบรรลุขั้นสูงสุดที่จะได้ฤทธิ์และที่สำคัญการเข้าใจความจริง ในเรื่องการเจริญสติปัฏฐานนั้นยากกว่าการเจริญฌานหาประมาณมิได้เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องของปัญญาความเข้าใจทั้งหมดสำคัญที่สุดคือความเข้าใจในเรื่องสติปัฏ ฐานหรือการเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนี้เป็นพื้นฐาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษเป็นผู้มีความเห็นอย่างสัตบุรุษอย่างไร คือ สัตบุรุษในโลกนี้ เป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า........................ ทานที่ให้แล้วมีผล ยัญที่บูชาแล้วมีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มี - โลกอื่นมี มารดามีคุณ - บิดามีคุณ สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบซึ่งประกาศโลกนี้ โลกอื่นให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลกมีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ เทวทหวรรคที่ 1 จูฬปุณณมสูตรที่ 10 มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 1 หน้าที่ 189 หัวข้อ: Re: ศีล - สมาธิ - ปัญญา เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 19 มีนาคม 2554 19:27:56 อนุโมทนาสาธุธรรมครับ อ.บางครั้ง
|