หัวข้อ: พระอริยจริยาวัตร “สมเด็จพระญาณสังวรฯ” ที่หาชมได้ยากมาก เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 สิงหาคม 2559 00:00:20 สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) กับ วงศ์พระกรรมฐาน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=43517 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=43517) ที่นี่...พระของประชาชน (พระอริยจริยาวัตรของสมเด็จพระสังฆราช) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=49462 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=49462) พระอริยจริยาวัตร “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ” อันทรงคุณค่า หาชมได้ยากมาก ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ : พระศรัณย์ ปญฺญาพโล ที่พักสงฆ์อาพาธ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา : หนังสือ บวรธรรมบพิตร ฉบับประมวลพระรูป (http://www.dhammajak.net/board/files/paragraph_paragraph_paragraphparagraph_22_131.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงทอดพระเนตรพระสาทิสลักษณ์สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ที่จัดแสดงอยู่ภายในพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร เขตพระราชฐานชั้นใน พระราชวังบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๖ พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรนี้เคยถูกอัคคีภัยทั้งองค์ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๑ จนในภายหลังสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ ตามแบบสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียน เพื่อใช้เป็นที่แปรพระราชฐาน และใช้ในการรับรองพระราชอาคันตุกะ แล้วเสร็จเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๗ ในส่วนของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์นั้น ทรงเป็นพระราชธิดา ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า จึงทรงเป็นพระราชปิตุจฉา (ป้า) ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ ๙ (http://www.dhammajak.net/board/files/_paragraph__paragraph_paragraphparagraph44_930.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงทอดพระเนตรพระบรมสาทิสลักษณ์ล้นเกล้าทั้ง ๒ พระองค์ ภายในพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร เขตพระราชฐานชั้นใน พระราชวังบางปะอิน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา (http://www.dhammajak.net/board/files/_paragraphparagraph_oe_191.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงทอดพระเนตร “พระแท่นที่ประทับ” ภายในท้องพระโรงของพระที่นั่งวโรภาษพิมาน เขตพระราชฐานชั้นนอก พระราชวังบางปะอิน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๖ (http://www.dhammajak.net/board/files/paragraph___oe_325.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงกราบสักการะ “หลวงพ่อพุทธโสธร” หรือ “หลวงพ่อโสธร” พระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ (หลังเก่า) วัดโสธรวราราม วรวิหาร ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๖ ประวัติ “หลวงพ่อพุทธโสธร” วัดโสธรวราราม วรวิหาร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=38565 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=38565) (http://www.dhammajak.net/board/files/paragraph_____507.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงนำพระเถรานุเถระกราบสักการะ “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” หรือ “พระแก้วมรกต” พระประธานในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ ประวัติ “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” หรือพระแก้วมรกต http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19306 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19306) (http://www.dhammajak.net/board/files/_paragraph__oe_194.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงกราบสักการะ “พระพุทธเทวปฏิมากร” พระประธานในพระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๖ พระพุทธเทวปฏิมากรนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากวัดศาลาสี่หน้า (วัดคูหาสวรรค์) มาประดิษฐานเป็นองค์พระประธาน ณ พระอารามแห่งนี้ ประวัติ “พระพุทธเทวปฏิมากร” วัดพระเชตุพนฯ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19303 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19303) (http://www.dhammajak.net/board/files/ae__15_157.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงถวายพวงมาลัยสักการะ “พระไพรีพินาศ” พระพุทธรูปศิลาปิดทอง ศิลปะศรีวิชัย ปางประทานพร ในโอกาสที่เสด็จขึ้นคำบูชาและวางเครื่องสักการะพระเจดีย์ วัดบวรนิเวศวิหาร เนื่องในวันมาฆบูชา วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๕ “พิธีมาฆบูชา” เป็นธรรมเนียมที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงตั้งขึ้นนับแต่ยังทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร ด้วยเป็นพิธีบูชาที่ทรงพระราชดำริขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ซึ่งหลังจากพระองค์ทรงนำทำวัตรสวดมนต์แล้ว จักเสด็จไปยังลานประทักษิณชั้นบนของพระเจดีย์ ทรงกล่าวคำบูชาพระเจดีย์แล้ววางเครื่องสักการะ (โดยไม่มีการเวียนเทียนแต่อย่างใด) เหตุใดจึงชื่อ “พระไพรีพินาศ” ? http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=44199 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=44199) (http://www.dhammajak.net/board/files/__paragraph_15_741.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงกราบสักการะ “พระพุทธวชิรญาณ” พระพุทธรูปฉลองพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ภายในพระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ รัชกาลที่ ๔ พระบูรพาจารย์ในการก่อตั้งวงศ์พระธรรมยุต http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=45383 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=45383) (http://www.dhammajak.net/board/files/__paragraph_15_741.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงกราบสักการะ “พระพุทธวชิรญาณ” พระพุทธรูปฉลองพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ภายในพระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ รัชกาลที่ ๔ พระบูรพาจารย์ในการก่อตั้งวงศ์พระธรรมยุต http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=45383 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=45383) (http://www.dhammajak.net/board/files/__paragraph_16_175.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงกราบสักการะ “พระพุทธปัญญาอัคคะ” พระพุทธรูปฉลองพระองค์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค) ภายในพระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รูปที่ ๒ และทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ (พระอุปัชฌาย์) ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระประวัติ “สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=26031 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=26031) (http://www.dhammajak.net/board/files/_22_785.jpg) ณ พระตำหนักเดิม (พระตำหนักใหญ่) ชั้น ๒ ที่สถิตของเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร - ภาพในอดีต สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงสักการะพระอัฐิและอัฐิของเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ภายในพระคูหาไม้แกะสลัก ด้านบนประดับลวดลายฉัตร ๕ ชั้น พระคูหาหลังนี้เป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิร่วมกัน ๓ พระองค์ ได้แก่ ๑. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รูปที่ ๒ ๒. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รูปที่ ๓ ๓. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รูปที่ ๔ สำหรับอัฐิของ “พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ)” เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รูปที่ ๕ ประดิษฐาน ณ ม้าหมู่ด้านหน้าพระคูหาไม้แกะสลักดังกล่าว (http://www.dhammajak.net/board/files/_11_740.jpg) ณ พระตำหนักเดิม (พระตำหนักใหญ่) ชั้น ๒ ที่สถิตของเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร - ภาพในปัจจุบัน พระคูหาตรงกลาง : ประดิษฐานพระอัฐิ ๑. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รูปที่ ๒ ร่วมกับ ๒. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รูปที่ ๓ พระคูหาเบื้องซ้าย : ประดิษฐานพระอัฐิ ๑. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รูปที่ ๔ ร่วมกับ ๒. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รูปที่ ๖ พระคูหาเบื้องขวา : ประดิษฐานอัฐิ “พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ)” เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รูปที่ ๕ หัวข้อ: Re: พระอริยจริยาวัตร “สมเด็จพระญาณสังวรฯ” ที่หาชมได้ยากมาก เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 17 สิงหาคม 2559 00:01:01 (http://www.dhammajak.net/board/files/paragraph_paragraphparagraph_paragraph_16_190.jpg)
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กำลังเสด็จกลับภายหลังทรงนมัสการพระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เนื่องในธรรมเนียมการนมัสการพระปฐมเจดีย์ ธรรมเนียมการนมัสการพระปฐมเจดีย์นี้ เป็นธรรมเนียมของ “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย” ที่สืบมาตั้งแต่ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ยังทรงพระผนวช และทรงค้นพบพระปฐมเจดีย์ โดยสันนิษฐานว่าเป็นพระสถูปโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในแผ่นดินนี้ จึงทรงโปรดที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ พร้อมด้วยพระเถรานุเถระ ด้วยพระราชศรัทธาเลื่อมใส ด้วยทรงสันนิษฐานเห็นความมหัศจรรย์ของพระสถูป จึงสถาปนาให้เป็นพระมหาสถูปและเป็นพระเจดีย์สำคัญของแผ่นดิน เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงปกครองคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายสืบมา ได้ทรงตั้งเป็นธรรมเนียมขึ้นโดยกำหนดไว้ว่า ภายหลังเสร็จการรับกฐินแห่งวัดทั้งหลายแล้ว ทรงนัดพระเถรานุเถระทั้งหลายไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ สืบมาในสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงกำหนดธรรมเนียมนี้ในวันแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ของทุกปี ประวัติ “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=47044 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=47044) พระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=39910 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=39910) (http://www.dhammajak.net/board/files/paragraph_____601.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสด็จฯ ออกทรงรับน้ำสรงพระราชทานฯ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติพระชันษา ๘๙ ปี เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ ณ ตึกวชิรญาณ-สามัคคีพยาบาร ชั้น ๖ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (http://www.dhammajak.net/board/files/64_112.jpg) “ห้องกระจก” ใต้กุฏิไม้หลังใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า “พระตำหนักคอยท่าปราโมช” คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร (http://www.dhammajak.net/board/files/268_1455695973.jpg_160.jpg) พลโท Phone Myint รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและการศาสนา พร้อมด้วยเอกอัครราชทูตแห่งเมียนมาร์ และคณะ เข้าถวายสักการะ ณ ห้องรับแขก พระตำหนักคอยท่าปราโมช ชั้นล่าง วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๔ ในคราวอัญเชิญเครื่องสมณศักดิ์ที่ “อภิธชมหารัฏฐคุรุ” อันเป็นสมณศักดิ์ชั้นสูงสุดของคณะสงฆ์เมียนมาร์ มาถวายแด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นับว่าทรงเป็นพระมหาเถระไทยองค์ที่ ๒ ที่ได้รับพระเกียรติยศเช่นนี้ จากคณะสงฆ์เมียนมาร์ สืบต่อจาก “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์” สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ทรงได้รับการถวายเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๐๐ ในคราวที่นายกรัฐมนตรีแห่งเมียนมาร์ ได้รับเชิญมาร่วมในงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษในประเทศไทย หมายเหตุ : สมัยก่อนเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทรงรับแขก ที่ห้องรับแขก พระตำหนักคอยท่าปราโมช ชั้นล่างบ้าง ที่ห้องกระจก ใต้กุฏิไม้หลังใหญ่ ด้านหน้าพระตำหนักคอยท่าปราโมชบ้าง เมื่อประมาณหลังปีพุทธศักราช ๒๕๔๑ เป็นต้นมา แต่ละวันจะมีประชาชนเดินทางมาเข้าเฝ้ากราบนมัสการเป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยทั้งพระตำหนักฯ ชั้นล่าง และในห้องกระจกดังกล่าวคับแคบ จึงเปลี่ยนมาทรงรับแขกที่บริเวณลานด้านหน้าพระตำหนักฯ ซึ่งเป็นพื้นที่โล่ง เชื่อมต่อระหว่างพระตำหนักฯ กับกุฏิไม้หลังใหญ่ที่ชั้นล่างเป็น “ห้องกระจก” (http://www.dhammajak.net/board/files/_9_139.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงถวายสังฆทานทุกวันจันทร์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ณ ห้องรับแขก พระตำหนักคอยท่าปราโมช ชั้นล่าง วัดบวรนิเวศวิหาร ในภาพ : (ก) ประตูที่อยู่ด้านหลังของเจ้าประคุณสมเด็จฯ คือ ประตูเข้าห้องทรงงานซึ่งใช้เป็นที่เสวยด้วย (ข) ป้ายที่แขวนอยู่บนตู้เหนือพระเศียรของเจ้าประคุณสมเด็จฯ คือ ป้ายลายพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเขียนป้ายบอกให้พุทธศาสนิกชนรอก่อนเมื่อถึงเวลาเสวย โดยทรงลงพระนามกำกับไว้ด้วย ความว่า “เมื่อถวายภัตตาหารแล้ว ขอเชิญท่านสาธุชนทั้งหลายลงคอยข้างล่างจนฉันเสร็จ ระหว่าง ๘.๐๐ น. - ๙.๓๐ น. สิรินธร ๒๙ เมษายน ๒๕๒๕” (http://www.dhammajak.net/board/files/3000_169.jpg) ความเรียบง่ายภายหลังได้รับพระราชทานสถาปนา เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระญาณสังวร” ทรงออกรับการปฏิสันถารจากพุทธศาสนิกชน ณ ห้องหน้ามุข พระตำหนักคอยท่าปราโมช ชั้น ๒ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕ “พระตำหนักคอยท่าปราโมช” วัดบวรนิเวศวิหาร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=46698 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=46698) (http://www.dhammajak.net/board/files/____paragraph__234_378.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นองค์ประธานในการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๓ โดยทรงนำกรรมการมหาเถรสมาคมและพระมหาเถรานุเถระ นมัสการพระรัตนตรัยก่อนเริ่มการประชุม (http://www.dhammajak.net/board/files/_paragraphparagraph_456_992.jpg) ท้องพระโรงพระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร (http://www.dhammajak.net/board/files/__16_971.jpg) ธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์อย่างหนึ่งในเทศกาลเข้าพรรษา คือพระสงฆ์จะไปกราบขอขมาคารวะต่อพระเถระ ที่อาจจะพลั้งเผลอล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกเวลาหากมีความประมาท ก่อนอธิษฐานเข้าพรรษา จึงมีธรรมเนียมปฏิบัติคือการกราบขอขมาคารวะต่อพระรัตนตรัย จากนั้นก็จะมากราบขอขมาคารวะต่อพระเถระในอารามที่พระสงฆ์จะอยู่จำพรรษา หลังเข้าพรรษาก็จะนิยมเดินทางไปกราบขอขมาคารวะ ต่อพระเถระทั้งหลายตามวัดต่างๆ ขอให้ท่านอดโทษ ยกโทษให้ ดังนั้น หลังวันเข้าพรรษาตามอารามต่างๆ ที่มีพระเถระผู้มีตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์อยู่ จึงมีพระภิกษุสามเณรจากวัดต่างๆ เดินทางมากราบขอขมาคารวะต่อพระเถระ ณ อารามทั้งหลาย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษา ก็มักทรงเสด็จฯ ไปสักการะ อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารทุกพระองค์ในวันเข้าพรรษา หลังจากนั้นก็จะเสด็จฯ ไปสักการะพระอัฐิ ของสมเด็จพระสังฆราชในอดีตทุกพระองค์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) วัดเทพศิรินทราวาส ตลอดจนเสด็จฯ ไปสักการะ “พระเทพมงคลรังษี (หลวงพ่อดี พุทฺธโชติ)” พระอุปัชฌาย์ในคราวอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย ณ วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี อยู่เป็นประจำทุกปีมิได้ขาด ในขณะเมื่อพระอนามัยยังอำนวย ทั้งยังโปรดให้มีการสร้างสาธารณูปโภคอุทิศถวาย เป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระสังฆราชในอดีตทุกพระองค์ด้วย นับเป็นความกตัญญุตาของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ประเพณีการขอขมาคารวะ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=30082 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=30082) (http://www.dhammajak.net/board/files/paragraph_22_210.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร ทรงบิณฑบาต ณ วัดสีตลาราม (วัดน้ำหัก) ต.ระแหง อ.เมือง จ.ตาก ในคราวเสด็จตรวจการคณะสงฆ์ภาคพายัพ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ (http://www.dhammajak.net/board/files/paragraph_40_619.jpg) ภิกษุ ซึ่งแปลว่า ผู้ขอนั้นเป็นผู้ขอโดยปรกติ เดินอุ้มบาตรเข้าไปในละแวกบ้าน ด้วยอาการที่สำรวม สำรวมตา สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ เดินเข้าไป ผู้มีศรัทธาเกิดความเลื่อมใสก็ใส่บาตรถวาย และผู้ถวายนั้นก็ไม่ได้ดูหมิ่นว่าเป็นยาจกวณิพก แต่ว่าถวายด้วยความเคารพนับถือ ถือว่าเมื่อใส่บาตรถวายพระแล้วก็ได้บุญ เพราะฉะนั้น เมื่อพระอุ้มบาตรเข้าไป คนไทยเราจึงเรียกว่า พระมาโปรด อันแสดงว่าใส่บาตรถวายด้วยความเคารพ และถือว่าได้บุญกุศล การบิณฑบาต “อาการที่ขออย่างภิกษุ” ดั่งนี้ จึงไม่ใช่เป็นการขอที่เบียดเบียนใครให้เดือดร้อน พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเปรียบว่า เหมือนอย่างแมลงผึ้งที่เคล้าเอารสของดอกไม้เพื่อไปทำน้ำผึ้ง โดยไม่เบียดเบียนดอกไม้ ไม่เบียดเบียนกลิ่นของดอกไม้ ไม่เบียดเบียนรสส่วนใดส่วนหนึ่งของดอกไม้ต้นดอกไม้ นำเอารสหวานไปเท่านั้น มุนีผู้ที่จาริกบิณฑบาตไปในละแวกบ้านก็เช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนชาวบ้านให้เดือดร้อน รับแต่ของที่เขาแบ่งมาใส่บาตรคนละเล็กคนละน้อย โดยไม่ทำให้ผู้ที่ใส่บาตรต้องเดือดร้อน ต้องเสียหายแต่อย่างใด เพราะโดยปกตินั้นเขาก็ปรุงอาหารไว้สำหรับบริโภคอยู่แล้ว และโดยมากนั้นก็มักจะปรุงไว้มีส่วนเหลือ เพราะฉะนั้น แม้เขาจะแบ่งมาใส่บาตรบ้าง ก็ไม่ทำให้เขาต้องขาดอาหารบริโภค แล้วก็ใส่บาตรกันหลายๆ คน คนละเล็กคนละน้อย จาก...หนังสือพระไตรรัตนคุณ เรื่อง “ปาหุเนยโย” หนึ่งในพระสังฆคุณ หนังสือที่ระลึกงานออกพระเมรุพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (http://www.dhammajak.net/board/files/__1_190.jpg) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านพระไตรปิฎก วรรณกรรมบาลี และภาษาบาลีเป็นอย่างดี ด้วยทรงพระนิพนธ์ตำราทางด้านนี้ไว้เป็นจำนวนมาก พระเกียรติคุณของพระองค์จึงเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ ดังที่พระองค์ทรงได้รับเลือกเป็นกรรมการรจนาพจนานุกรมภาษาบาลี ที่มีชื่อว่า A Critical Pali Dictionary จาก ราชบัณฑิตสมาคมทางวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์แห่งประเทศเดนมาร์ก (The Royal Danish Academy of Sciences and Letters) อันนับว่าเป็นพระเกียรติคุณอย่างสูงที่พระองค์ทรงได้รับประการหนึ่ง ส่วนหนึ่งจาก...คำประกาศสดุดีพระเกียรติคุณในวโรกาส ถวายปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ศาสนาเปรียบเทียบ) แด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ของมหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปีการศึกษา ๒๕๓๑ (http://www.dhammajak.net/board/files/_oeae__17_447.jpg) หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช มาร่วมถวายสักการะ และเฝ้าอังคาส (ถวายอาหารพระ) แด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร เนื่องในงานพิธีสมโภชสุพรรณบัฏ สมเด็จพระราชาคณะ และวันคล้ายวันประสูติครบ ๖๐ ปี วันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๖ สมเด็จพระญาณสังวรฯ กับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อครั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการปรับปรุงหลักสูตรวิชาพื้นฐาน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ นั้น มีการเพิ่มรายวิชาอารยธรรมไทย เป็นวิชาพื้นฐานทั่วไปสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ ทุกคน ในที่ประชุมครั้งนั้น ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ ได้เสนอว่า วิชาพื้นฐานทั่วไปสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ ในต่างประเทศนั้น “...มักเอาอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ที่มีความรู้มากมาสอนปี ๑ ไม่ใช่เอาอาจารย์เด็กไปสอนปี ๑...” ในที่ประชุมจึงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรกราบเรียน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มาเป็นผู้สอน แม้ท่านจะกรุณารับ แต่ก็ได้เสนอแนวทางเพิ่มเติมไว้ให้แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน โดยที่ท่านเป็นคนมาสอนทางด้านวัฒนธรรม นาฏศิลป์ และวรรณคดีในตอนเริ่มต้น ในส่วนของศาสนา ในครั้งแรกท่านจะไม่สอน โดยท่านแนะนำให้อาราธนาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ซึ่งในขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ มาเป็นผู้บรรยายในส่วนของพระพุทธศาสนา โดยท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นผู้นำคณาจารย์ ไปกราบเรียนเชิญด้วยตนเอง เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็บอกว่าท่านสอนได้ช่วงหนึ่ง คือเป็นหลักพระพุทธศาสนาเท่านั้น เรื่องอื่นๆ ขอให้อาจารย์คึกฤทธิ์ช่วยสอน ครั้งนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่มีการนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ มาเป็นผู้บรรยายในมหาวิทยาลัยฝ่ายโลก จาก...หนังสือครูคึกฤทธิ์ โดย อัจฉราพร กมุทพิสมัย และสุนทรี อาสะไวย์ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, พิมพ์ในโอกาสครบรอบอายุ ๘๔ ปี วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๘ และหนังสือบวรธรรมบพิตร ฉบับประมวลพระรูป (http://www.dhammajak.net/board/files/paragraph_11_675.jpg) รถยนต์... ก็ยังนับว่าไม่เหมาะ ในการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มักใช้บริการรถรับจ้างสาธารณะ ด้วยไม่โปรดที่จะรบกวนผู้อื่น หากเดินไปเองได้ ก็จะเดิน บ่อยครั้งที่มีผู้มาอาราธนาไปบำเพ็ญกุศลที่บ้าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดมากนัก เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็จะตรัสแก่เจ้าภาพว่า “ไม่ต้องเอารถมารับนะ แล้วจะเดินไปเอง” เมื่อคราวที่ต้องไปปฏิบัติหน้าที่พระอุปัชฌาย์ ประทานบรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตร ณ วัดพุทธบูชา บางมด เป็นประจำทุกปีก่อนเข้าพรรษา ก็โปรดที่จะเดินทางโดยรถแท็กซี่ จากวัดบวรนิเวศวิหารต่อหนึ่ง แล้วไปลงเรือหางยาวอีกต่อหนึ่ง ลัดเลาะเรื่อยไปตามคลอง จนถึงวัดพุทธบูชา ด้วยเหตุนี้ ผู้เคารพนับถือหลายคน จึงพยายามที่จะถวายรถยนต์สำหรับทรงใช้ส่วนพระองค์ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ด้วยเหตุผลง่ายๆ “ไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน” อีกครั้งหนึ่ง คราวเกิดเหตุระเบิดขึ้นข้างพระตำหนัก ในช่วงบ่ายขณะที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ กำลังสนทนาธรรมอยู่กับนางโยเซฟีน สแตนตัน* ซึ่งโชคดีว่าไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ แต่เหตุระเบิดในครั้งนั้นทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถวายอารักขา วันละ ๑ นาย และโปรดให้รถยนต์หลวง (รยล.) มาประจำไว้ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อถวายความสะดวกในการเสด็จไปปฏิบัติศาสนกิจยังสถานที่ต่างๆ สำหรับกรณีของรถยนต์หลวงนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับสั่ง กับเจ้าหน้าที่ผู้รับรับสั่งสั้นๆ เพียงว่า “ไม่สมควร” เป็นอันว่าไม่ทรงรับไว้ เพียงแต่ขอรับพระราชทานใช้เป็นครั้งคราวเท่านั้น หมายเหตุ : * นางโยเซฟีน สแตนตัน คือ ภรรยาของนายเอดวิน เอฟ สแตนตัน อดีตเอกอัครราชทูตอเมริกาประจำประเทศไทยคนแรก หลวงพ่อชากับรถยนต์ (หนังสือลำธารริมลานธรรม) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=52037 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=52037) (http://www.dhammajak.net/board/files/paragraphparagraphae_2520_aeparagraph_paragraphparagraph_793.jpg) พระเมตตาของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไม่มีประมาณ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๑ เสด็จไปปฏิบัติศาสนกิจทางภาคอีสาน ทรงแวะตามหมู่บ้านประทานของแจกแก่ชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติ ในยามที่ประชาชนประสบภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ไฟไหม้ โรคระบาด ภัยร้อน ภัยแล้ง ภัยหนาวต่างๆ ก็จะทรงขวนขวายในทันทีทั้งด้านปัจจัยสี่ ทั้งการเยียวยาจิตใจ และบำรุงขวัญด้วยธรรมะ เพื่อเกื้อกูล ผ่อนหนักให้บรรเทาเบาลง ทั้งที่พระองค์เองก็ใช่ว่าจะมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์นัก แต่ละวันถูกรุมเร้าด้วยพระศาสนกิจตั้งแต่เช้าจรดค่ำ บางคราวต้องเสด็จไปกิจนิมนต์ไกลโพ้นข้ามจังหวัด ทว่าก็ไม่เคยแสดงอาการอ่อนล้า ครั้นผู้ถวายงานใกล้ชิดกราบทูลให้ทรงผ่อนคลายหรือละเว้นเสียบ้าง ก็จะทรงพระสรวลแต่เบาๆ พลางรับสั่งว่า “เออ ! จะทำอย่างไรได้...ที่นี่เป็นพระของประชาชน” (http://www.dhammajak.net/board/files/_15_640.jpg) วินัยกรรม ชีวิตก เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระโศภณคณาภรณ์ ทรงเป็นผู้ดำรงอยู่ในความไม่ประมาท ด้วยทรงมีพระลิขิต “วินัยกรรม” หรือพระพินัยกรรม ไว้ด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เองลงบนกระดาษ ๑ แผ่น จัดแจกบริขารทั้งปวงให้แก่สงฆ์ในอารามต่างๆ ดังปรากฏความว่า บริกขารทั้งปวงก็ดี สิทธิเพื่อบริกขารทั้งปวงก็ดี ของข้าพเจ้า : อยู่วัดบวรนิเวศ ถวายแด่ท่านเจ้าอาวาส (ภายหลังเมื่อทรงครองวัด จึงขีดฆ่าออกแล้วลงพระนามกำกับไว้ ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ) และพระกรรมการวัดบวรนิเวศ อยู่ที่วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี ถวายแด่ท่านเจ้าอาวาส และพระเถระผู้รองลงมาอีก ๓ รูป วัดเทวสังฆาราม นอกจากนี้ อยู่ที่ผู้ใดที่ไหน ให้แก่ผู้นั้นที่นั้น ข้าพเจ้ามีความประสงค์แจ้งอยู่ในแบบวินัยกรรมชีวิตกนี้ พระโศภณคณาภรณ์ เขียนที่กุฏิคอยท่า วัดบวรนิเวศวิหาร ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๒ เวลา ๒๓.๒๐ น. ยืนยันตามนี้ พระโศภณคณาภรณ์ ยืนยันตามนี้ พระโศภณคณาภรณ์ ๒๒ เม.ย. ๒๔๙๖ ,,______,, พระสาสนโสภณ ๒๕ ก.ค. ๒๕๐๙ พระวินัยกรรมนี้นอกจากจะแสดงความไม่ประมาทในการใช้ชีวิต เนื่องด้วยทรงมีพระลิขิตตั้งแต่มีพระชนมายุได้ ๓๖ ปี แล้วยังคงดำรงมั่นในเจตนารมณ์นี้ด้วยการลงพระนามกำกับอีก ๒ ครั้ง ทั้งในปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๔๐ ปี และในปีพุทธศักราช ๒๕๐๙ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๕๓ ปี ในครั้งหลังนี้พระองค์ได้ทรงขีดทับข้อความในพระวินัยกรรม ที่ยกบริขารในส่วนของวัดบวรนิเวศวิหารออก เนื่องด้วยพระองค์ท่านดำรงสถานะเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องยกบริขารใดๆ ให้เจ้าอาวาสอีก พระวินัยกรรมนี้ยังสะท้อนถึงหลักอนุสสติ ๑๐ ที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงพิจารณามรณานุสสติอยู่เนืองๆ นับเป็นการเตรียมความพร้อมในการใช้ชิวิต เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับคนรอบข้างหากต้องจากโลกนี้ไป จาก : หนังสือบวรธรรมบพิตร ฉบับประมวลพระรูป จาก http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=51025 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=51025) |